เพศที่ 3 ความเป็นจริงที่มีอยู่ในสังคมโลก
โพสต์แล้ว: ศุกร์ เม.ย. 21, 2006 3:17 pm
หากจะพูดถึงเพศของมนุษย์บนโลกรวมถึงสังคมไทยแล้ว วันนี้คงไม่อาจบอกได้ว่ามีเพียงเพศชายและเพศหญิงอีกต่อไป เพราะบุคคลที่ถูกระบุให้เป็นเพศที่ 3 ในสังคม กลุ่มคนที่มีพฤติกรรมรักคนในเพศเดียวกัน ชายกับชาย หญิงกับหญิง มีการเปิดตัวและเป็นที่ยอมรับของสังคมมากขึ้น หลายต่อหลายครั้งที่คนกลุ่มนี้ถูกตีตราว่า เป็น "คนไม่ปกติ" แต่หากหยั่งลึกลงไปถึงจิตใจของความเป็นมนุษย์แล้วก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าเขาก็ไม่ได้แตกต่างไปจากพวกที่เรียกตัวเองว่าเป็นคนปกติเลย
แล้วอะไรเป็นสาเหตุของการเกิดพฤติกรรมรักร่วมเพศ ?
ก็คงไม่มีใครกล้าที่จะพูดหรือวิเคราะห์ฟันธงลงไปได้ว่าเป็นเพราะอะไร แต่ก็ได้มีการแบ่งสาเหตุหลัก ๆ ไว้ 3 สาเหตุ คือ
สาเหตุที่ 1 สาเหตุด้านกรรมพันธุ์ โดยที่สหรัฐอเมริกาเคยมีการศึกษาพฤติกรรมของคู่แฝดและพบว่าในคู่แฝดที่เกิดจากไข่ใบเดียวกัน ถ้าคนใดคนหนึ่งมีพฤติกรรมรักร่วมเพศ อีกคนก็จะมีโอกาสเป็นด้วยเสมอ แต่ในคู่แฝดที่เกิดจากไข่คนละใบ ถ้าคนหนึ่งเป็น อีกคนจะมีโอกาสเป็นเพียงร้อยละ 11.5 นอกจากนั้นยังมีการวิจัยอื่น ๆ ที่ให้การสนับสนุนอีกว่า ลักษณะดังกล่าวจะต้องเป็นสิ่งที่ติดตัวคน ๆ นั้นมาตั้งแต่เกิด หรือเป็นลักษณะประจำตัวของเขาเอง ไม่ใช่มาเรียนรู้จากสิ่งแวดล้อมในภายหลัง
สาเหตุที่ 2 ด้านสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะครอบครัว เกิดจากความสัมพันธ์ที่ไม่ดีระหว่างเด็กกับบิดาหรือมารดาที่เป็นเพศเดียวกันกับเด็ก ทำให้เด็กไม่สามารถลอกเลียนลักษณะ และบทบาททางเพศที่ถูกต้องได้ หรือการที่บิดามารดาทะเลาะวิวาทกันเป็นประจำก็อาจทำให้เด็กเกิดความเกลียดกลัวชีวิตรักต่างเพศที่เขาเห็น จึงหันไปหาความสุขทางเพศกับเพศเดียวกัน หรือแม้แต่การเลี้ยงดูผิดเพศเนื่องจากบิดามารดาไม่ต้องการเพศที่แท้จริงของเด็ก ก็อาจทำให้เกิดปัญหารักร่วมเพศได้ หรือการเข้าใจผิดในความสัมพันธ์ระหว่างบิดามารดา เช่น การที่เด็กมีโอกาสเห็นบิดามารดาร่วมเพศกันแล้วเข้าใจผิดว่าบิดากำลังทำร้ายมารดา อาจทำให้เด็กหญิงเกลียดกลัวบิดาตลอดจนผู้ชายอื่นทุกคนและหันไปหาความรักจากเพศเดียวกันซึ่งมีความนุ่มนวลกว่า
สาเหตุที่ 3 ด้านสังคม ซึ่งการกระทบกระเทือนใจอย่างรุนแรงจากความสัมพันธ์ ระหว่างวัยรุ่นชายกับหญิง ก็อาจเป็นสาเหตุของรักร่วมเพศได้ เช่น วัยรุ่นชายที่ผิดหวังความรักครั้งแรกจากหญิง อาจเศร้าโศกเสียใจมากและมองเห็นชีวิตรักต่างเพศเป็นความปวดร้าวใจ เลยหันเข้าหาเพศเดียวกันเพื่อหลีกเลี่ยงความผิดหวังครั้งที่สอง หรือวัยรุ่นหญิงที่อารมณ์อ่อนไหวง่าย ถ้าไม่ได้รับความสนใจหรือถูกเยาะเย้ยจากชายที่เธอรัก เธอก็อาจหันไปหาเพศหญิงด้วยกันแทน
อย่างไรก็ตาม จากเอกสารที่ศึกษาโดยเครือข่ายองค์กรทำงานเรื่องคนรักเพศเดียวกันจากกลุ่มฟ้าสีรุ้ง ระบุว่า สมาคมจิตวิทยาแห่งอเมริกา สมาคมนักสังคมสงเคราะห์แห่งชาติ และองค์กรวิชาชีพอื่น ๆ ในสหรัฐอเมริกา ต่างมีความเห็นร่วมกันว่าการรักเพศเดียวกันไม่ได้เป็นอาการเจ็บป่วยหรือความผิดปกติทางจิตแต่อย่างใด เนื่องจากองค์ความรู้จากงานวิจัยในช่วงเวลา 40 ปีที่ผ่านมา ได้แสดงให้เห็นแล้วว่า วิถีทางเพศ แบบการรักเพศเดียวกันนั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับอาการเจ็บป่วยหรือความผิดปกติทางจิต ขณะเดียวกันในทั่วทุกมุมโลกก็ได้เกิดขบวนการเคลื่อนไหวมากมายที่เติบโตขึ้น เพื่อแก้ไขปรับเปลี่ยนความเข้าใจของผู้คนในเรื่องวิถีทางเพศ รวมทั้งเรื่องผลกระทบต่อสิทธิมนุษยชนอันเนื่องมาจากการถูกตีตราของหญิงรักหญิง ชายรักชาย และบุคคลรักสองเพศ
สำหรับประเทศไทย น.พ.ยงยุทธ วงศ์ภิรมย์ศานต์ จากกรมสุขภาพจิต กล่าวว่า ในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ ด้วยความเขลาทำให้เราเคยจัดแบ่งว่าบุคคลที่มีพฤติกรรมรักร่วมเพศเป็นบุคคลที่มีความผิดปกติ หรือแม้แต่ในสมัยหนึ่งการที่ผู้หญิงจะบริสุทธิ์หรือไม่ ก็กลายเป็นเรื่องของความผิดปกติหรือไม่ปกติเช่นกัน และตั้งแต่ ค.ศ. 1970 เป็นต้นมา เรื่องดังกล่าวก็ไม่เคยปรากฏอยู่ในองค์ความรู้ทางสากลอีกต่อไป เพราะสมาคมจิตแพทย์ของสหรัฐอเมริกาได้ลงมติและประกาศว่า รักร่วมเพศไม่ใช่ความผิดปกติทางจิตใจแต่อย่างใด ส่วนเรื่องการเข้าใจผิดว่ารักร่วมเพศเป็นความวิปริตทางเพศนั้น ความจริงคือ ไม่ใช่ หากแต่คำว่า "วิปริตทางเพศ" ในปัจจุบัน มีความหมายเพียงประการเดียว คือ คนที่ได้มาซึ่งความสุขและความพึงพอใจทางเพศด้วยวิธีการที่สังคมไม่ยอมรับ เช่น ถ้ำมอง ชอบโชว์อวัยวะเพศ ชอบมีเพศสัมพันธ์กับเด็ก หรือมีเพศสัมพันธ์โดยทำร้ายฝ่ายตรงข้าม ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นปัญหาของชายรักร่วมเพศ อย่างไรก็ตาม คนวิปริตทางเพศ ในความหมายนี้ก็เกิดขึ้นได้ทั้งคนรักเพศเดียวกันและรักเพศตรงข้าม
ถึงแม้ปัจจุบันกลุ่มคนที่ถูกเรียกว่าเพศที่ 3 จะได้รับการยอมรับมากขึ้น แต่ความกังวลในสิ่งที่คนเหล่านั้นเป็น ก็ยังไม่อาจหายไปอย่างสนิทใจ ดังนั้นครอบครัว จึงเป็นปัจจัยสิ่งสำคัญที่ไม่อาจมองข้ามไปได้ เพราะการยอมรับ ความเข้าใจ และความเห็นใจลูกหลานของตนเองคือที่พึ่งสำคัญที่จะช่วยประคับประคองให้เขากล้ายืนอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริงได้ เรื่องพฤติกรรมรักเพศเดียวกันไม่ใช่เรื่องที่ผิดปกติ แต่ครอบครัวต้องให้กำลังใจ เป็นที่ปรึกษาในทางที่ถูกที่ควรให้แก่ลูกหลานมากกว่าที่จะตั้งแง่รังเกียจหรือหาทางเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมลูก ซึ่งบ่อยครั้งที่พ่อและแม่ได้เห็นกิริยาใกล้ชิดสนิทสนมระหว่างหญิงกับหญิง หรือชายกับชายแล้วก็แสดงออกถึงอาการรังเกียจและต่อต้าน โดยหารู้ไม่ว่าหนึ่งในนั้นอาจจะเป็นลูกของตัวเองก็จะทำให้ลูกหลานต้องพยายามปิดบังตัวเองไม่ให้พ่อแม่รู้ และมีชีวิตก็จะอยู่อย่างไม่เป็นสุข
ขอเพียงคนในสังคมมีความเข้าใจในกันและกัน การเกิดมาเป็นอะไร ก็คงไม่สำคัญเท่ากับการเป็นคนดีของครอบครัว และของสังคม เพราะถ้าทุกคนไม่เบียดเบียนซึ่งกันและกัน เห็นอกเห็นใจกัน แบ่งปันให้กัน น่าจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นเพศใดก็ตาม
แล้วอะไรเป็นสาเหตุของการเกิดพฤติกรรมรักร่วมเพศ ?
ก็คงไม่มีใครกล้าที่จะพูดหรือวิเคราะห์ฟันธงลงไปได้ว่าเป็นเพราะอะไร แต่ก็ได้มีการแบ่งสาเหตุหลัก ๆ ไว้ 3 สาเหตุ คือ
สาเหตุที่ 1 สาเหตุด้านกรรมพันธุ์ โดยที่สหรัฐอเมริกาเคยมีการศึกษาพฤติกรรมของคู่แฝดและพบว่าในคู่แฝดที่เกิดจากไข่ใบเดียวกัน ถ้าคนใดคนหนึ่งมีพฤติกรรมรักร่วมเพศ อีกคนก็จะมีโอกาสเป็นด้วยเสมอ แต่ในคู่แฝดที่เกิดจากไข่คนละใบ ถ้าคนหนึ่งเป็น อีกคนจะมีโอกาสเป็นเพียงร้อยละ 11.5 นอกจากนั้นยังมีการวิจัยอื่น ๆ ที่ให้การสนับสนุนอีกว่า ลักษณะดังกล่าวจะต้องเป็นสิ่งที่ติดตัวคน ๆ นั้นมาตั้งแต่เกิด หรือเป็นลักษณะประจำตัวของเขาเอง ไม่ใช่มาเรียนรู้จากสิ่งแวดล้อมในภายหลัง
สาเหตุที่ 2 ด้านสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะครอบครัว เกิดจากความสัมพันธ์ที่ไม่ดีระหว่างเด็กกับบิดาหรือมารดาที่เป็นเพศเดียวกันกับเด็ก ทำให้เด็กไม่สามารถลอกเลียนลักษณะ และบทบาททางเพศที่ถูกต้องได้ หรือการที่บิดามารดาทะเลาะวิวาทกันเป็นประจำก็อาจทำให้เด็กเกิดความเกลียดกลัวชีวิตรักต่างเพศที่เขาเห็น จึงหันไปหาความสุขทางเพศกับเพศเดียวกัน หรือแม้แต่การเลี้ยงดูผิดเพศเนื่องจากบิดามารดาไม่ต้องการเพศที่แท้จริงของเด็ก ก็อาจทำให้เกิดปัญหารักร่วมเพศได้ หรือการเข้าใจผิดในความสัมพันธ์ระหว่างบิดามารดา เช่น การที่เด็กมีโอกาสเห็นบิดามารดาร่วมเพศกันแล้วเข้าใจผิดว่าบิดากำลังทำร้ายมารดา อาจทำให้เด็กหญิงเกลียดกลัวบิดาตลอดจนผู้ชายอื่นทุกคนและหันไปหาความรักจากเพศเดียวกันซึ่งมีความนุ่มนวลกว่า
สาเหตุที่ 3 ด้านสังคม ซึ่งการกระทบกระเทือนใจอย่างรุนแรงจากความสัมพันธ์ ระหว่างวัยรุ่นชายกับหญิง ก็อาจเป็นสาเหตุของรักร่วมเพศได้ เช่น วัยรุ่นชายที่ผิดหวังความรักครั้งแรกจากหญิง อาจเศร้าโศกเสียใจมากและมองเห็นชีวิตรักต่างเพศเป็นความปวดร้าวใจ เลยหันเข้าหาเพศเดียวกันเพื่อหลีกเลี่ยงความผิดหวังครั้งที่สอง หรือวัยรุ่นหญิงที่อารมณ์อ่อนไหวง่าย ถ้าไม่ได้รับความสนใจหรือถูกเยาะเย้ยจากชายที่เธอรัก เธอก็อาจหันไปหาเพศหญิงด้วยกันแทน
อย่างไรก็ตาม จากเอกสารที่ศึกษาโดยเครือข่ายองค์กรทำงานเรื่องคนรักเพศเดียวกันจากกลุ่มฟ้าสีรุ้ง ระบุว่า สมาคมจิตวิทยาแห่งอเมริกา สมาคมนักสังคมสงเคราะห์แห่งชาติ และองค์กรวิชาชีพอื่น ๆ ในสหรัฐอเมริกา ต่างมีความเห็นร่วมกันว่าการรักเพศเดียวกันไม่ได้เป็นอาการเจ็บป่วยหรือความผิดปกติทางจิตแต่อย่างใด เนื่องจากองค์ความรู้จากงานวิจัยในช่วงเวลา 40 ปีที่ผ่านมา ได้แสดงให้เห็นแล้วว่า วิถีทางเพศ แบบการรักเพศเดียวกันนั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับอาการเจ็บป่วยหรือความผิดปกติทางจิต ขณะเดียวกันในทั่วทุกมุมโลกก็ได้เกิดขบวนการเคลื่อนไหวมากมายที่เติบโตขึ้น เพื่อแก้ไขปรับเปลี่ยนความเข้าใจของผู้คนในเรื่องวิถีทางเพศ รวมทั้งเรื่องผลกระทบต่อสิทธิมนุษยชนอันเนื่องมาจากการถูกตีตราของหญิงรักหญิง ชายรักชาย และบุคคลรักสองเพศ
สำหรับประเทศไทย น.พ.ยงยุทธ วงศ์ภิรมย์ศานต์ จากกรมสุขภาพจิต กล่าวว่า ในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ ด้วยความเขลาทำให้เราเคยจัดแบ่งว่าบุคคลที่มีพฤติกรรมรักร่วมเพศเป็นบุคคลที่มีความผิดปกติ หรือแม้แต่ในสมัยหนึ่งการที่ผู้หญิงจะบริสุทธิ์หรือไม่ ก็กลายเป็นเรื่องของความผิดปกติหรือไม่ปกติเช่นกัน และตั้งแต่ ค.ศ. 1970 เป็นต้นมา เรื่องดังกล่าวก็ไม่เคยปรากฏอยู่ในองค์ความรู้ทางสากลอีกต่อไป เพราะสมาคมจิตแพทย์ของสหรัฐอเมริกาได้ลงมติและประกาศว่า รักร่วมเพศไม่ใช่ความผิดปกติทางจิตใจแต่อย่างใด ส่วนเรื่องการเข้าใจผิดว่ารักร่วมเพศเป็นความวิปริตทางเพศนั้น ความจริงคือ ไม่ใช่ หากแต่คำว่า "วิปริตทางเพศ" ในปัจจุบัน มีความหมายเพียงประการเดียว คือ คนที่ได้มาซึ่งความสุขและความพึงพอใจทางเพศด้วยวิธีการที่สังคมไม่ยอมรับ เช่น ถ้ำมอง ชอบโชว์อวัยวะเพศ ชอบมีเพศสัมพันธ์กับเด็ก หรือมีเพศสัมพันธ์โดยทำร้ายฝ่ายตรงข้าม ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นปัญหาของชายรักร่วมเพศ อย่างไรก็ตาม คนวิปริตทางเพศ ในความหมายนี้ก็เกิดขึ้นได้ทั้งคนรักเพศเดียวกันและรักเพศตรงข้าม
ถึงแม้ปัจจุบันกลุ่มคนที่ถูกเรียกว่าเพศที่ 3 จะได้รับการยอมรับมากขึ้น แต่ความกังวลในสิ่งที่คนเหล่านั้นเป็น ก็ยังไม่อาจหายไปอย่างสนิทใจ ดังนั้นครอบครัว จึงเป็นปัจจัยสิ่งสำคัญที่ไม่อาจมองข้ามไปได้ เพราะการยอมรับ ความเข้าใจ และความเห็นใจลูกหลานของตนเองคือที่พึ่งสำคัญที่จะช่วยประคับประคองให้เขากล้ายืนอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริงได้ เรื่องพฤติกรรมรักเพศเดียวกันไม่ใช่เรื่องที่ผิดปกติ แต่ครอบครัวต้องให้กำลังใจ เป็นที่ปรึกษาในทางที่ถูกที่ควรให้แก่ลูกหลานมากกว่าที่จะตั้งแง่รังเกียจหรือหาทางเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมลูก ซึ่งบ่อยครั้งที่พ่อและแม่ได้เห็นกิริยาใกล้ชิดสนิทสนมระหว่างหญิงกับหญิง หรือชายกับชายแล้วก็แสดงออกถึงอาการรังเกียจและต่อต้าน โดยหารู้ไม่ว่าหนึ่งในนั้นอาจจะเป็นลูกของตัวเองก็จะทำให้ลูกหลานต้องพยายามปิดบังตัวเองไม่ให้พ่อแม่รู้ และมีชีวิตก็จะอยู่อย่างไม่เป็นสุข
ขอเพียงคนในสังคมมีความเข้าใจในกันและกัน การเกิดมาเป็นอะไร ก็คงไม่สำคัญเท่ากับการเป็นคนดีของครอบครัว และของสังคม เพราะถ้าทุกคนไม่เบียดเบียนซึ่งกันและกัน เห็นอกเห็นใจกัน แบ่งปันให้กัน น่าจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นเพศใดก็ตาม