หน้า 1 จากทั้งหมด 1
อยากจะทราบความเห็นต่อ...
โพสต์แล้ว: พุธ พ.ค. 03, 2006 2:27 am
โดย ผู้สนใจใคร่รู้
หลังจากผมได้อ่านความเห็นของเพื่อน ๆ ที่ได้แสดงมาในประเด็นที่ผมได้ตั้งไว้ก่อนหน้าที่แล้วก็ได้ทราบความรู้ใหม่ ๆ ที่น่าสนใจขึ้นอีกเยอะ แต่หลังจากนั้นผมก็คิดต่อไปอีกว่า...พวกเราในโลกยุคนี้ที่ล้วนแล้วแต่มีความเชื่อและศรัทธาในศาสนาต่างกันไปนั้นเพื่อน ๆเคยคิดกันเล่น ๆ หรือเปล่าครับว่า อภิศาสดาเอกของโลกทั้งสามท่านไม่ว่าจะเป็นท่านนบี องคืพระเยซูเจ้า และสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นล้วนทรงเป็นบุคคลผู้เคยมีชีวิตและพระชนม์ชีพอยู่จริงในโลกแล้วทั้งสิ้น และเหตุใดที่ทุกท่านที่ล้วนเป็นอภิศาสดา หรืออีกนัยหนึ่งทรงเป็น, เป็น มหาปราชญ์ในแต่ละยุคแต่ละสมัยจึงมิสามารถ ทำให้ทุกคนในทุกพื้นที่ในโลกนี้ศรัทธา หรือยึดมันในแนวทางของท่านใด , พระองค์ใดพระองค์หนึ่งได้ทั้งที่ทรงเป็น , เป็นในสิ่งที่เหนือมนุษย์กันทุกท่านครับ..... หรือว่ามนุษย์เรายังมีขีดจำกัดแห่งความเป็นมนุษย์ที่ขีดกันกันไว้ครับ...หรือเพื่อน ๆ คิดว่าอย่างไรครับ
Re:อยากจะทราบความเห็นต่อ...
โพสต์แล้ว: พุธ พ.ค. 03, 2006 3:08 am
โดย Holy
ผมคิดว่า มันมาจากประเด็นดังต่อไปนี้ครับ
1.บรรพบุรุษ
ขอตอบในกรอบศาสนาตัวเองในคริสตศาสนาที่เป็นศาสนาที่ไม่ใช่ศาสนาหลักของประเทศไทย ซึ่งทำให้คนจำนวนไม่น้อยต้อง "เปลี่ยนมาเข้า" เพราะพอดีคนไทยเกิดมาถ้าไม่เจาะจงศาสนาทางอำเภอกรอกว่า "พุทธ" ให้โดยอัตโนมัติ แล้วทีนี้เวลาที่มีใครคิดจะมาเข้าศาสนาคริสต์ ผมก็พบจากประสบการณ์ที่ดูแลน้องๆที่สนใจเข้าคริสต์คือ พ่อแม่ ไม่เห็นด้วย มีจำนวนมากกว่าพ่อแม่ที่จะให้เสรีภาพทางศาสนากับลูกหลานทันที ยิ่งอิสลามไม่ต้องพูดถึง ถ้าเคร่งมากก็ตัดสัมพันธ์หรือฆ่าแกงกันเลย ดังนั้นการนับถือศาสนาตามบรรพบุรุษ ทำให้ยากที่จะเปลี่ยนคนทั้งหมดให้เหลือศาสนาเดียว เพราะมีคนจำนวนมากไม่กล้าเปลี่ยนเพราะติดเงื่อนไขในครอบครัวที่ไม่ยอมจากศาสนาเดิม
2.ความเข้าใจ
ในสมัยพระเยซูเจ้า แม้จะทรงทำอัศจรรย์ หรือกระทำกิจการดีมากมาย ก็ยังมีบางคนไม่เชื่อ และฆ่าพระองค์ด้วยซ้ำ ซึ่งตรงนี้ เราทำให้ทุกคนเข้าใจเหมือนกันหมดไม่ได้หรอกครับ เรื่องธรรมดา ครูคนเดียวกันห้องเรียนเดียวกัน ยังทำให้นักเรียนทั้งห้องคะแนนเต็มทุกคนไม่ได้เลย
3.จริต
ง่ายๆคือ ไม่ชอบแนว เพราะอย่างผมเองเรียนศาสนศาสตร์ และปรัชญา ทำให้ต้องเรียนทุกศาสนา และแม้จะมีความรู้ในศาสนาต่างๆจำนวนมาก และเห็นว่าศาสดาทุกคนสอนสิ่งที่ดี และถ้ามองจากเฉพาะแง่สิ่งที่สอน ผมยังบอกตัวเองว่า ผมไม่ชอบแนวพระพุทธเจ้า(เน้นนะครับว่าแค่ความชอบไม่ชอบส่วนตัวไม่ได้บอกว่าไม่ดี) เพราะอย่างแนวทางของพระพุทธเจ้าที่สอนว่าทุกอย่างเป็นทุกข์และให้ตัดสละทุกอย่างถ้าจะบรรลุจุดสุงสุดของศาสนาก็เรียกง่ายๆว่าต้องออกบวช ซึ่งมันไม่ใช่แนวที่เหมาะกับผมเลย ผมพบว่าในคริสตศาสนามีนักบุญมากมายที่เป็นชาวบ้านทุกสาขาอาชีพ เด็กสุดก็13-14 เรียกง่ายๆว่าถ้าผมอยากบรรลุในทางคริสต์ ผมเชื่อและรักและปฎิบัติตนในโลกต่อไปผมก็ทำได้ มันถูกจริตผมที่เป็นคนไฮเปอร์ฯมากกว่า และอย่างในแง่มุมมองพระพุทธเจ้ามีจุดมุ่งหมายสุงสุดคือการดับทุกข์ และมองว่าทุกสิ่งเป็นทุกข์ ต้องละทางโลก และมุ่งนิพพาน แต่พระเยซูเจ้ามีจุดมุ่งหมายที่พาเรากลับบ้านไปอยู่กับพ่อพระบิดา ทุกอย่างเป็นสุขถ้าทำด้วยความรัก และไม่สนใจว่าต้องดับทุกข์ไหม ความทุกข์ทางคริสต์เปรียบเหมือนการเจ็บท้องคลอดลูกของหญิงที่เมื่อผ่านไปแล้วลูกคลอดออกมาแล้ว ก็มีบั้นปลายที่เป็นสุข จนลืมความทุกข์ก่อนหน้าไปหมด และที่ทำให้หญิงนั้นทนเจ็บคลอดลูกออกมาเพราะรักลูก เหมือนพระเยซูที่ถูกตรึงและสิ้นพระชนม์ทนได้เพราะรักเราแต่ผลสุดท้ายชนะความตายกลับคืนชีพรุ่งโรจน์ ซึ่งถ้ามองในแง่ปรัชญา ผมมองว่านี่เป็นมุมมองของวิธีที่ต่างกันในการเผชิญหน้าความทุกข์ แล้วเผอิญผมชอบแนวพระเยซูมากกว่า
4.การมีประสบการณ์
บางคนที่ผมเจอเขานั่งสมาธิทางพุทธ แล้วเขาเจออะไรดีๆ เขาก็เลยไปทางพุทธใหญ่เลย ส่วนผมเมื่อพระเจ้าสัมผัส และไขแสดงพระองค์แก่ผม ผมก็มีสันติสุขแล้วรู้สึกว่า ไม่ไปไหนแล้วอันนี้ดีที่สุดเลย ในขณะเดียวกันผมเคยนั่งสมาธิแล้วหลับ ถ้าไม่หลับก็คิดฟุ้งซ่านไป แต่เวลาผมอธิษฐานแล้วพระองค์ทรงสัมผัสมันมีสันติสุขมาก ปิติจนร้องไห้นี่บ่อย มันจึงเป็นเรื่องของประสบการณ์ส่วนตัวของแต่ละคน ไม่ใช่แค่การตัดสินใจจากสิ่งที่สอน
5.ความรัก
คนเราถ้ารักแล้ว ก็ไม่เปลี่ยนใจหรอกครับ ผมเองเนี่ยชื่นชมศาสดาอื่นๆนะ แต่ไม่เคยถึงขั้นรักคนไหน แต่ผมรักพระเยซูมาก ยิ่งเมื่อตอนทรงสัมผัสจิตใจผมนั้น ผมเคยบอกพระองค์ว่า "แล้วลูกจะไม่รักพระองค์ได้อย่างไร" "ทรงแสนดีเหลือเกิน" กับคนศาสนาอื่นนี่ไม่รู้แต่คิดว่าคนพุทธที่ศรัทธามากๆก็คงรักพระพุทธเจ้าล่ะมั้ง ดังนั้นถ้าไม่มีใจรัก คงไม่มาเข้า
+++อีกสิ่งหนึ่งที่จะลืมไม่ได้คือ เรื่องคุณภาพสำคัญกว่าปริมาณ ถ้าเอาคนมารวมกันหมดให้มีศาสนาเดียวกันหมด แต่มีไม่กี่คนของศาสนิกที่ศรัทธาจริงๆมันก็ไม่มีประโยชน์ ผมคิดว่าจำนวนคนในศาสนาที่สามารถเอามาคิดได้ว่าเป็นคนศาสนานั้นจริงๆคือคนที่ศรัทธาและปัฎิบัติหลักศาสนาจริงๆ ไม่ใช่เป็นมันไปวันๆครับ ดังนั้นเอาเข้าจริง ต่อให้มีคนศาสนาเดียวกันหมดทั้งโลก แต่คนที่นับได้ว่านับถือศาสนาจริงๆคงมีไม่ถึงครึ่งหรอกครับ ดังนั้นประเด็น มันคงไม่ได้ว่า ศาสนาอื่นที่เป็นคู่แข่ง แต่เป็นวัตถุนิยม ความสุขจอมปลอมทางโลกียวิสัย หรือที่อาจจะเรียกว่าบาปนี่แหละ ที่เป็นศัตรูของทุกศาสนา
Re:อยากจะทราบความเห็นต่อ...
โพสต์แล้ว: พุธ พ.ค. 03, 2006 10:08 am
โดย Zion
ผม มองว่า ศาสนาเป็น กรอบที่มนุษย์ตั้งขึ้น
กระนั้น ก็มีสภาพ เหมือนขั้นบันได
ที่จะนำมนุษย์ไปสู่ เป้าหมายของชีวิต/Summan Bonum/บรมธรรม
ซึ่งเป็นความเป็นจริง ในโลกนี้ มีขั้นบันได/ศาสนาที่หลากหลาย
แต่ละศาสนา นั้นก้มีข้อเด่นในตัวเอง
ขอยกตัวอย่างนะครับ
สิ่งที่เรามี= อาคารชั้น1
เป้าหมายของชีวิต= ชั้นสูงสุด (เท่าไหร่ไม่รู้ละ)
เราก็จำเป็น ต้องแสวงหา หนทางไปสู่จุดนั้นให้จงได้
หลายคนถ้าหาบันได ไม่เจอก็อาจจะปีนตึก
หรือบางคน เจอลิฟท์ แต่ก็ทนรอไม่ไหว ก็ หาบันไดเดินต่อไป
มนุษย์มีความต้องการที่หลากหลายครับ
กรอบที่ตอบสนองความต้องการของมนุษย์ ได้ ก็คือ ศาสนาต่างๆนั่นเอง ;)
Re:อยากจะทราบความเห็นต่อ...
โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. พ.ค. 04, 2006 12:17 am
โดย ~@Little lamb@~
เอาแบบง่าย ๆ ของเรา อิอิ
เพราะพระเจ้าทรงให้ Free will หรือ อิสระในการเลือก แก่มนุษย์
ดังนั้น การเลือกที่จะเชื่อ เลือกที่จะทำความดี เลือกที่จะทำชั่ว และ เลือกที่จะปฏิเสธสิ่งที่ได้ยิน
ดังนั้น เป็นปัญหาอยุ่ที่มนุษย์ในการเลือกคะ
ไม่ใช่ ขีดจำกัดของมนุษย์ แต่เป็นการเลือกของมนุษย์เอง