คิดยังไงที่ฮิราคิตุสบอกว่า " ไม่มีอะไรเที่ยงแท้นอกจาการเปลี่ยนแปลง "
เขาหมายถึงสรรพสิ่งในโลกและจักรวาล แต่ไม่ได้หมายความไปถึงสิ่งที่เหนือความคิดเขานี่ครับBOKAE เขียน: ::) เรามีพระเจ้าเที่ยงแท้ หากมีการเปลี่ยนแปลงแล้วพระเจ้าของเราละ........ >:(
ยก 1:16-18
พี่น้องที่รัก อย่าหลงผิด ของประทานทุกอย่างที่ดีและบริบูรณ์ย่อมมาจากเบื้องบน ลงมาจากพระบิดาผู้ทรงสร้างความสว่าง พระองค์ไม่ทรงเปลี่ยนแปลง ไม่ทรงมีแม้แต่เงาแห่งความแปรปรวนใด ๆ พระองค์พอพระทัยให้เราบังเกิดโดยพระวาจาแห่งความจริง เพื่อให้เราเป็นดุจผลแรกในสรรพสิ่งที่ทรงสร้าง
ใครละมีฤทธานุภาพ เท่าพระเป็นเจ้าของเราBOKAE เขียน: ::) เรามีพระเจ้าเที่ยงแท้ หากมีการเปลี่ยนแปลงแล้วพระเจ้าของเราละ........ >:(
พระเป็นเจ้าของเรา เป็นหนึ่งเดียว ศักดิ์สิทธิ์ สากล :D
-
- ~@
- โพสต์: 12724
- ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 2:28 pm
- ที่อยู่: Thailand
พระเจ้ายัง รัก เราไม่เปลี่ยนแปลงครับ
แม่นแล้ว................. ;DHoly เขียน:เขาหมายถึงสรรพสิ่งในโลกและจักรวาล แต่ไม่ได้หมายความไปถึงสิ่งที่เหนือความคิดเขานี่ครับBOKAE เขียน: ::) เรามีพระเจ้าเที่ยงแท้ หากมีการเปลี่ยนแปลงแล้วพระเจ้าของเราละ........ >:(
ยก 1:16-18
พี่น้องที่รัก อย่าหลงผิด ของประทานทุกอย่างที่ดีและบริบูรณ์ย่อมมาจากเบื้องบน ลงมาจากพระบิดาผู้ทรงสร้างความสว่าง พระองค์ไม่ทรงเปลี่ยนแปลง ไม่ทรงมีแม้แต่เงาแห่งความแปรปรวนใด ๆ พระองค์พอพระทัยให้เราบังเกิดโดยพระวาจาแห่งความจริง เพื่อให้เราเป็นดุจผลแรกในสรรพสิ่งที่ทรงสร้าง
ในยุคดึกดำบรรพ์ มนุษย์ไม่เข้าใจว่าปรากฏการณ์จำพวกแผ่นดินไหว ฟ้าผ่า ภูเขาไฟระเบิด เกิดขึ้นมาได้อย่างไร ก็มีผู้รู้ในยุคนั้นอธิบายว่า อ๋อ ก็คงมีเทพเป็นผู้ดลบันดาลให้เกิด จักรวาลไร้ระบบระเบียบ มีลักษณะเป็นกลีภพ (chaos) ปรากฏการณ์ธรรมชาติทั้งหลายจะเกิดเมื่อไร อย่างไร ไม่มีกฏเกณฑ์ให้อธิบายได้ ตอบไม่ได้ ขึ้นอยู่กับเทพนั่นเอง เทพประสงค์ให้เกิดก็เกิด ฉะนั้นถ้าไม่อยากให้เกิดภัยธรรมชาติ ก็ต้องเอาพระทัยเทพกันหน่อย ให้เทพพอพระทัยเข้าไว้เป็นดี ;DBOKAE เขียน: ::) เรามีพระเจ้าเที่ยงแท้ หากมีการเปลี่ยนแปลงแล้วพระเจ้าของเราละ........ >:(
ต่อมาในดินแดนกรีก มีบุคคลคนหนึ่งชื่อว่า"ธาเลส" เกิดข้อสงสัยและตั้งคำถามขึ้นมาว่า เอ๊ะ แล้วเราจะอธิบายเอกภพโดยไม่ต้องอ้างเทพได้บ่ เขาเชื่อว่าทำได้ เพราะจักรวาลมีระเบียบกฎเกณฑ์ เป็นจักรวาลที่มีระบบระเบียบ (cosmos) ไม่ได้เป็นกลีภพอย่างที่คนยุคดึกดำบรรพ์เข้าใจ เขาเชื่อว่าถ้าเราทราบว่าอะไรเป็นธาตุแรกสุดหรือ"ปฐมธาตุ (first element)" และปฐมธาตุดังกล่าวเปลี่ยนแปลงมาเป็นปรากฏการณ์ต่างๆได้อย่างไร เราก็จะสามารถอธิบายเอกภพได้โดยไม่ต้องอ้างเทพ ที่สุดเขาได้เสนอว่าปฐมธาตุก็ไม่ใช่อะไรอื่นไกล "น้ำ" หว่อเต๊อะ ว้อเท่อร์ นี่แหละครับ เช่นนี้ธาเลสจึงกลายเป็นผู้ริเริ่มปัญหาปรัชญาที่ว่าอะไรเป็นสิ่งที่แท้จริงสูงสุด อันเป็นปัญหาปรัชญาประจำยุคของปรัชญากรีกโบราณ จริงๆก็คงมีคนอื่นคิดมาก่อน แต่ไม่ปรากฏหลักฐาน บุญก็เลยหล่นทับคุณธาเลส กลายเป็นบิดาแห่งปรัชญาตะวันตกไป สบายแฮ ;D
หลังจากที่เขาได้เสนอว่าปฐมธาตุคือ"น้ำ"แล้ว ลูกศิษย์ของเขาที่ชื่อ"อแนกซีแมนเดอร์"ก็ออกมาบอกว่า ไม่ช่ายยยย น้ำก็ยังเป็นสสารเหมือนธาตุดิน ลม และไฟ จะไปเป็นปฐมธาตุได้อย่างไร ปฐมธาตุไม่น่าจะเป็นน้ำไปได้ ก็เลยเสนอแนวคิดใหม่ว่า น่าจะเป็นสารไร้รูป (formless matter) ต่างหาก แต่นักปรัชญาอีกคนที่ชื่อ"อแนกซีมีนีส"ก็มาบอกว่า สารไร้รูปที่ว่านั้นดูนามธรรมไปหน่อยแฮะ อากาศต่างหากล่ะที่เป็นปฐมธาตุ แต่พวกนักปรัชญาสำนักไพธากอรัสบอกว่า"ตัวเลข"ต่างหากเล่าที่เป็นสิ่งจริงแท้สูงสุด ( ultimate reality ) ของจักรวาล ;)
ต่อมาเฮราคลีตุส ชาวเมืองเอเฟซัส บอกว่า เฮอะ! สิ่งจริงแท้สูงสุดคือ"ไฟ"ต่างหากเล่า เพราะไฟเป็นธาตุที่ไม่เคยหยุดนิ่ง เปลี่ยนแปรอยู่ตลอดเวลา ที่เขากล่าวเช่นนี้ก็เพราะเขาเชื่อว่า การแปรสภาพ (becoming) เท่านั้นที่เป็นจริง ทุกสิ่งแปรสภาพอยู่ตลอดเวลา ไม่เคยหยุดนิ่งเลย เขาสาธกโดยการกล่าวว่า ไม่เคยมีใครก้าวลงไปในแม่น้ำสายเดียวกันได้ซ้ำกัน 2 ครั้ง เพราะน้ำนั้นไหลถ่ายเทตลอดเวลา น้ำเก่าที่เหยียบไปในครั้งแรก ไหลไปไหนต่อไหนก็ไม่รู้แล้ว น้ำที่เหยียบครั้งที่สองเป็นน้ำที่ไหลมาใหม่ต่างหาก ทุกสิ่งเปลี่ยนแปลงตลอด แต่บางครั้งที่เราไม่เห็นการเปลี่ยนแปลง ก็เพราะสิ่งใหม่เข้ามาแทนที่สิ่งเก่าในสัดส่วนที่เท่ากันจนเราสัมผัสถึงการเปลี่ยนแปลงนั้นไม่ได้ ความคงที่เป็นเพียงมายา แต่การเปลี่ยนแปลงสิเป็นสิ่งที่จริงแท้
แล้วพวกเขาก็แย้งกันไปเรื่อยจนถึงปรัชญากรีกยุครุ่งเรือง ปัญหาประจำยุคก็เปลี่ยนไปเป็น"เราจะเข้าถึงสิ่งจริงแท้ได้หรือไม่ อย่างไร" เริ่มจากพวกโซฟิสต์ออกมาบอกแบบฟันธงว่า เป็นไปไม่ด้ายยยยยยยยยยย ที่คนเราจะเข้าถึงสิ่งจริงแท้สูงสุด ดูซิ เถียงกันมาแต่โบราณนานนมว่าอะไรคือปฐมธาตุ ความเห็นยังไม่ลงรอยกันเล้ยยยย ฉะนั้น สิ่งจริงแท้ที่ว่านั้น ไม่ต้องไปแสวงหากันหรอก เข้าไม่ถึงอยู่แล้ว มนุษย์ทั้งหลาย เรามาสนใจผลประโยชน์เฉพาะหน้าในชีวิตนี้ดีกว่า โสคราตีสออกมาบอกว่า ตายล่ะ ถ้าให้แนวคิดแบบพวกโซฟิสต์นี้แพร่หลายอยู่ต่อไปก็ไม่มีมาตรฐานความจริง ความดีอะไรอีกเลย ไม่ได้การ เราต้องยับยั้ง ก็เลยเสนอแนวคิดที่ว่า ที่พวกโซฟิสต์สอนว่าคนเราไม่มีทางเข้าถึงความจริงได้นั้นเป็นเท็จ แท้ที่จริงแล้วคนเราสามารถเข้าถึงความจริงได้ โดยการตัดกิเลสทำปัสนา จากนั้นก็มีเพลโต อริสโตเติล ออกมาให้พวกเรารู้จักตามลำดับครับ ขี้เกียจเล่าแล้ว มันยาวอะ พิมพ์ไม่ไหว ;D
ปัญหาของบราเดอร์โบว์ ถ้าตอบในกรอบของศาสนา ผมว่าจะได้คำตอบเสียตั้งแต่ยังไม่ทันได้ถามเลยด้วยซ้ำไปครับ ;D เพราะถ้าบราเดอร์เข้ามาถามในบอร์ดนิวมานา ซึ่งผู้เข้าชมบอร์ดส่วนใหญ่เป็นคริสตชน ก็จะได้คำตอบว่า สรรพสิ่งจะเปลี่ยนแปลงนั้นก็เป็นเรื่องของสรรพสิ่ง แต่พระเจ้าทรงอยู่เหนือกาลเวลา พระองค์ไม่ทรงเปลี่ยนแปลง แต่ทรงเป็นองค์ความจริงแท้สูงสุดเสมอมาและตลอดไป แต่ถ้าไปถามพุทธศาสนิกชน ก็อาจได้คำตอบที่ว่า" อืม ดีๆๆ เวรี่กู๊ด แนวคิดของเฮราคลีตุสเป็นแนวคิดที่ดีนะ เพราะแนวคิดเรื่องการเปลี่ยนแปลงของเฮราคลีตุสนี้สอดคล้องกับหลักไตรลักษณ์ อนิจจํ ทุกฺขํ อนตฺตา สิ่งทั้งหลายเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ได้ดีจริง"
แต่ถ้าถาม-ตอบกันในกรอบของปรัชญา ก็ต้องมองแบบนักปรัชญา คือ ต้องมีใจกว้าง ยอมรับและเคารพความคิดทุกความคิด คำตอบทุกคำตอบที่เป็นไปได้ สมเหตุสมผล และไม่ขัดกันเอง สำหรับคำถามใดๆก็ตาม คำตอบที่เป็นความเห็นส่วนตัวมีได้ แต่พึงสงวนไว้ในใจ หรืออาจแสดงออกมาก็ได้ แต่สมควรระบุด้วยว่าเป็นความคิดเห็นหรือความเชื่อส่วนตัวครับ
ดังนั้น สำหรับผม ถ้าถามผม แล้วจะให้ตอบในกรอบของศาสนา ก็คงตอบเหมือนท่านอื่นๆข้างต้น แต่ถ้าถามผม แล้วให้ตอบในกรอบของปรัชญา ผมก็ตอบอย่างที่ตอบไปในย่อหน้าที่ 1 - 4
จริงๆแล้ว ในมุมมองของนักปรัชญา (ไม่ใช่มุมมองของนักการศาสนา) แนวคิดของเฮราคลีตุสเป็นเพียงคำตอบหนึ่งที่เป็นไปได้พอๆกับคำตอบของนักปรัชญาคนอื่นเท่านั้นแหละครับ ที่ว่าเป็นไปได้นั้น ก็เพราะคำตอบของเขามีเหตุผลก็จริงอยู่ แต่ก็พิสูจน์ออกมาให้ประจักษ์ต่อสายตาชาวโลกแบบจะๆไม่ได้ เพราะถ้าทำได้ก็คงเคลียร์กันไปตั้งแต่ยุคโน้นแล้ว ว่าอะไรเป็นปฐมธาตุของโลก และถ้าเป็นเช่นนั้น ปัญหาดังกล่าวก็จะไม่ใช่ปัญหาปรัชญาอีกต่อไป เพราะมีคำตอบที่แน่นอนตายตัวแล้ว แต่ในความเป็นจริง ปัญหาอภิปรัชญาดังกล่าว แม้ทุกวันนี้ก็ยังไม่ได้คำตอบซึ่งเป็นคำตอบที่ลงรอยแบบเห็นพ้องต้องกันเลยครับ
ฉะนั้นบราเดอร์ก็ฟังหูไว้หู รู้ว่าเฮราคลีตุสกล่าวไว้อย่างนั้น มีโลกทัศน์แบบนั้นก็พอครับ บราเดอร์ไม่ต้องไปเชื่อตามเขาก็ได้ อย่าวุ่นวายใจไปเลยครับ
พอเฮราคลีตุสเสนอว่า"ความเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งจริงแท้สูงสุด" บราเดอร์คอยดูนะ อีกแป๊บนึง นักปรัชญาอีกคนที่ชื่อ"พาร์นีมีดีส"ก็จะออกมาบอกว่า"เชอะ ! ความเปลี่ยนแปลงน่ะเป็นเพียงแค่มายาเท่านั้นแหละจ้ะ" ;D ;D ;D
แก้ไขล่าสุดโดย Anonymous เมื่อ พุธ ก.ค. 05, 2006 3:51 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
-
- ~@
- โพสต์: 12724
- ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 2:28 pm
- ที่อยู่: Thailand
โอ้ ความรู้ใหม่ :o
เหมือนกับที่คนชอบพูดกันว่า
ความแน่นอนคือความไม่แน่นอน
ถ้าจะอธิบายทางวิทยาศาสตร์
ก็จะเป็นเช่นนั้น
เช่น เมื่อเรานั่งรถ เราไม่เคลื่อนที่เมื่อตัวเปรียบเทียบ (reference) ของเราคือรถ
แต่ถ้าตัวเปรียบเทียบ (reference) ของเรา คือ ถนน เราก็จะ เคลื่อนที่
ถนนไม่อยู่กับที่ถ้าตัวเปรียบเทียบคือดวงอาทิตย์
ดวงอาทิตย์ไม่อยู่กับที่ถ้าตัวเปรียบเทียบคือ...................
ก็เปรียบเทียบไปเรื่อยๆ จนพบกับสิ่งหนึ่งที่ไม่เคลื่อนที่ ไม่เปลี่ยนแปลง
ซึ่งเราคริสตชนเรียกว่า พระเจ้า
ทางปรัชญาเรียกว่า Ultimate reality ชัดเจนออก
ไม่เห็นน่าสงสัยตรงไหนเลย
ความแน่นอนคือความไม่แน่นอน
ถ้าจะอธิบายทางวิทยาศาสตร์
ก็จะเป็นเช่นนั้น
เช่น เมื่อเรานั่งรถ เราไม่เคลื่อนที่เมื่อตัวเปรียบเทียบ (reference) ของเราคือรถ
แต่ถ้าตัวเปรียบเทียบ (reference) ของเรา คือ ถนน เราก็จะ เคลื่อนที่
ถนนไม่อยู่กับที่ถ้าตัวเปรียบเทียบคือดวงอาทิตย์
ดวงอาทิตย์ไม่อยู่กับที่ถ้าตัวเปรียบเทียบคือ...................
ก็เปรียบเทียบไปเรื่อยๆ จนพบกับสิ่งหนึ่งที่ไม่เคลื่อนที่ ไม่เปลี่ยนแปลง
ซึ่งเราคริสตชนเรียกว่า พระเจ้า
ทางปรัชญาเรียกว่า Ultimate reality ชัดเจนออก
ไม่เห็นน่าสงสัยตรงไหนเลย