หน้า 1 จากทั้งหมด 1

ผู้ปลูกและผู้รดน้ำ

โพสต์แล้ว: พุธ ธ.ค. 13, 2006 3:08 am
โดย Ezekiel
โลกมันดูใกล้ยุคสุดท้ายแล้ว เราก็ต้องรีบกันทำงานรับใช้พระเจ้า ร้อนรนประกาศข่าวประเสริฐ วันเวลาใกล้เข้ามาแล้วครับ ถ้าวันสุดท้ายขึ้นไปเข้าเฝ้าพระบิดา พระบิดาถามว่า ไหนละลูกแกะของเรา เราสร้างคนได้กี่คนแล้วเราดูแลวิญญาณคนได้กี่คนแล้ว เรามีลูกแกะกี่ตัว แต่เราไม่มีเลยพระเยซูอาจบอกว่าเราไม่รู้จักเจ้าก็ได้นะครับ ไม่รู้คาทอลิกสอนอย่างนี้หรือเปล่า ฮี ฮี ผมก็เสนอไปตามความคิดของผมนะครับ

ถ้า กทม ไม่มีหน้าหนาว พี่น้องจะทำยังไงครับ

โพสต์แล้ว: พุธ ธ.ค. 13, 2006 4:15 am
โดย Buddy
Ezekiel เขียน: โลกมันดูใกล้ยุคสุดท้ายแล้ว เราก็ต้องรีบกันทำงานรับใช้พระเจ้า ร้อนรนประกาศข่าวประเสริฐ วันเวลาใกล้เข้ามาแล้วครับ ถ้าวันสุดท้ายขึ้นไปเข้าเฝ้าพระบิดา พระบิดาถามว่า ไหนละลูกแกะของเรา เราสร้างคนได้กี่คนแล้วเราดูแลวิญญาณคนได้กี่คนแล้ว เรามีลูกแกะกี่ตัว แต่เราไม่มีเลยพระเยซูอาจบอกว่าเราไม่รู้จักเจ้าก็ได้นะครับ ไม่รู้คาทอลิกสอนอย่างนี้หรือเปล่า ฮี ฮี ผมก็เสนอไปตามความคิดของผมนะครับ
เราเป็นเพียงเครื่องมือให้พระใช้งาน  คนดูแลลูกแกะคือ พระเจ้า  พระองค์เป็นเจ้าของลูกแกะ  ไม่ใช่เรา  ถึงเราจะเคยช่วยใคร  เราก็ต้องถวายให้พระเป็นเจ้า  เพราะแท้จริงแล้วเป็นพระองค์ที่ช่วย  ไม่ใช่เรา 

ถ้า กทม ไม่มีหน้าหนาว พี่น้องจะทำยังไงครับ

โพสต์แล้ว: พุธ ธ.ค. 13, 2006 4:36 pm
โดย Joseph
Ezekiel เขียน: โลกมันดูใกล้ยุคสุดท้ายแล้ว เราก็ต้องรีบกันทำงานรับใช้พระเจ้า ร้อนรนประกาศข่าวประเสริฐ วันเวลาใกล้เข้ามาแล้วครับ ถ้าวันสุดท้ายขึ้นไปเข้าเฝ้าพระบิดา พระบิดาถามว่า ไหนละลูกแกะของเรา เราสร้างคนได้กี่คนแล้วเราดูแลวิญญาณคนได้กี่คนแล้ว เรามีลูกแกะกี่ตัว แต่เราไม่มีเลยพระเยซูอาจบอกว่าเราไม่รู้จักเจ้าก็ได้นะครับ ไม่รู้คาทอลิกสอนอย่างนี้หรือเปล่า ฮี ฮี ผมก็เสนอไปตามความคิดของผมนะครับ
ใช้เราต้องรับใช้พระแต่บอกว่า "เราไม่รู้จักเจ้า" เพราะเราไม่รับใช้ด้วยการสร้างลูกแกะมันดูเหมือนพวกหาลูกทีมขายตรงมากกว่า  ลึกๆ แล้วพี่ไม่เห็นด้วย แต่การที่พระองค์พูดแบบนี้ในความหมายของพี่ หมายถึงคนที่ขาดน้ำใจ ไม่ยอมช่วยเหลือคนอื่นเมื่อเห็นคนอื่นเดือนร้อน หรือได้ชื่อว่าเป็นคริสต์แล้วเห็นคนเดือนร้อนไม่ช่วย ใน ลูกา บทที่ 10 ข้อ 25 -37 มากว่า เกี่ยวกับชาวสะมาเรียผู้ใจดี อย่างนั้น :smiley:

Re: ถ้า กทม ไม่มีหน้าหนาว พี่น้องจะทำยังไงครับ

โพสต์แล้ว: พุธ ม.ค. 03, 2007 11:23 pm
โดย Ezekiel
Buddy เขียน:
Ezekiel เขียน: โลกมันดูใกล้ยุคสุดท้ายแล้ว เราก็ต้องรีบกันทำงานรับใช้พระเจ้า ร้อนรนประกาศข่าวประเสริฐ วันเวลาใกล้เข้ามาแล้วครับ ถ้าวันสุดท้ายขึ้นไปเข้าเฝ้าพระบิดา พระบิดาถามว่า ไหนละลูกแกะของเรา เราสร้างคนได้กี่คนแล้วเราดูแลวิญญาณคนได้กี่คนแล้ว เรามีลูกแกะกี่ตัว แต่เราไม่มีเลยพระเยซูอาจบอกว่าเราไม่รู้จักเจ้าก็ได้นะครับ ไม่รู้คาทอลิกสอนอย่างนี้หรือเปล่า ฮี ฮี ผมก็เสนอไปตามความคิดของผมนะครับ
เราเป็นเพียงเครื่องมือให้พระใช้งาน  คนดูแลลูกแกะคือ พระเจ้า  พระองค์เป็นเจ้าของลูกแกะ  ไม่ใช่เรา  ถึงเราจะเคยช่วยใคร  เราก็ต้องถวายให้พระเป็นเจ้า  เพราะแท้จริงแล้วเป็นพระองค์ที่ช่วย  ไม่ใช่เรา 
ชาวคริสตจักรเราก็เชื่อเช่นนั้นว่าทุกคนเป็นเครื่องมือของพระเจ้าเป็นภาชนะที่พระองค์ทรงปั้น บางคนก็เป็นภาชนะดินที่ไม่มีค่าบางคนก็เป็นภาชนะดินที่มีค่ามากมายเจ้าของจะใช้งานได้อย่างมากผ่านชีวิตของเรา เราจะให้ชีวิตเราเป็นภาชนะดินที่ไรค่าหรือครับ ในเมื่อเราได้รับความรอดแล้วพระองค์ไถ่เรามาด้วยราคาอันสูงลิ่วแล้ว เราควรจะประกาศเรื่องความรอดนี้ให้คนที่ไม่รู้จัก ถ้าวันสุดท้ายพระเยซูเสด็จกลับมาแล้วเราไม่ได้นำความรอดมาสู่ใครเลยพระองค์คงบอกเราไม่รู้จักเจ้าแน่นอน เมื่อพระองค์ให้ความรอดแก่เราเราก็ต้องให้ความรอดของพระองค์ต่อคนอื่นด้วยเช่นกัน และเป็นคำสั่งของพระองค์ ("เหตุ ฉะนั้น เจ้า ทั้งหลาย จง ออก ไป สั่งสอน ชน ทุก ชาติ ให้ เป็น สาวก ของ เรา ให้ รับ บัพติศมา ใน พระนาม แห่ง พระบิดา พระบุตร และ พระวิญญาณ บริสุทธิ์" มัทธิว 28:19)  

แล้วอีกเรื่องหนึ่งนะครับเราควรจะมีแนวรุกไม่ใช้มานั่งรับ ไม่ใช้มานั่งรอว่าเราทำบาปอย่างไร แต่เราบุกออกไปให้พระเจ้าใช้ แทนที่เราจะอยู่กับบาปเราก็ถวายตัวให้พระเจ้าใช้ การไม่ถวายตัวก็ทำบาป ถ้าเราถวายตัวเราก็ถวายทุกอย่าง คนที่ตั้งรับอย่างเดียวเราย่อมถูกทำร้ายได้ หัวใจเราถวายตัวมากๆ เราก็ไม่มีเวลาไปอยู่ใต้เนื้อหนัง

Re: ถ้า กทม ไม่มีหน้าหนาว พี่น้องจะทำยังไงครับ

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ม.ค. 04, 2007 5:08 pm
โดย Holy
Ezekiel เขียน:
Buddy เขียน:
Ezekiel เขียน: โลกมันดูใกล้ยุคสุดท้ายแล้ว เราก็ต้องรีบกันทำงานรับใช้พระเจ้า ร้อนรนประกาศข่าวประเสริฐ วันเวลาใกล้เข้ามาแล้วครับ ถ้าวันสุดท้ายขึ้นไปเข้าเฝ้าพระบิดา พระบิดาถามว่า ไหนละลูกแกะของเรา เราสร้างคนได้กี่คนแล้วเราดูแลวิญญาณคนได้กี่คนแล้ว เรามีลูกแกะกี่ตัว แต่เราไม่มีเลยพระเยซูอาจบอกว่าเราไม่รู้จักเจ้าก็ได้นะครับ ไม่รู้คาทอลิกสอนอย่างนี้หรือเปล่า ฮี ฮี ผมก็เสนอไปตามความคิดของผมนะครับ
เราเป็นเพียงเครื่องมือให้พระใช้งาน  คนดูแลลูกแกะคือ พระเจ้า  พระองค์เป็นเจ้าของลูกแกะ  ไม่ใช่เรา  ถึงเราจะเคยช่วยใคร  เราก็ต้องถวายให้พระเป็นเจ้า  เพราะแท้จริงแล้วเป็นพระองค์ที่ช่วย  ไม่ใช่เรา 
ชาวคริสตจักรเราก็เชื่อเช่นนั้นว่าทุกคนเป็นเครื่องมือของพระเจ้าเป็นภาชนะที่พระองค์ทรงปั้น บางคนก็เป็นภาชนะดินที่ไม่มีค่าบางคนก็เป็นภาชนะดินที่มีค่ามากมายเจ้าของจะใช้งานได้อย่างมากผ่านชีวิตของเรา เราจะให้ชีวิตเราเป็นภาชนะดินที่ไรค่าหรือครับ ในเมื่อเราได้รับความรอดแล้วพระองค์ไถ่เรามาด้วยราคาอันสูงลิ่วแล้ว เราควรจะประกาศเรื่องความรอดนี้ให้คนที่ไม่รู้จัก ถ้าวันสุดท้ายพระเยซูเสด็จกลับมาแล้วเราไม่ได้นำความรอดมาสู่ใครเลยพระองค์คงบอกเราไม่รู้จักเจ้าแน่นอน เมื่อพระองค์ให้ความรอดแก่เราเราก็ต้องให้ความรอดของพระองค์ต่อคนอื่นด้วยเช่นกัน และเป็นคำสั่งของพระองค์ ("เหตุ ฉะนั้น เจ้า ทั้งหลาย จง ออก ไป สั่งสอน ชน ทุก ชาติ ให้ เป็น สาวก ของ เรา ให้ รับ บัพติศมา ใน พระนาม แห่ง พระบิดา พระบุตร และ พระวิญญาณ บริสุทธิ์" มัทธิว 28:19)  

แล้วอีกเรื่องหนึ่งนะครับเราควรจะมีแนวรุกไม่ใช้มานั่งรับ ไม่ใช้มานั่งรอว่าเราทำบาปอย่างไร แต่เราบุกออกไปให้พระเจ้าใช้ แทนที่เราจะอยู่กับบาปเราก็ถวายตัวให้พระเจ้าใช้ การไม่ถวายตัวก็ทำบาป ถ้าเราถวายตัวเราก็ถวายทุกอย่าง คนที่ตั้งรับอย่างเดียวเราย่อมถูกทำร้ายได้ หัวใจเราถวายตัวมากๆ เราก็ไม่มีเวลาไปอยู่ใต้เนื้อหนัง
คุณบัดดี้เขาบอกคุณตามพระคัมภีร์ข้อนี้ครับ เคยอื่นเจอไหม

1คร 3:5
(5)อปอลโลเป็นใคร เปาโลเป็นใคร ทั้งสองคนเป็นผู้รับใช้ที่นำความเชื่อมาให้ท่าน ต่างก็ทำตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกำหนดให้ทำเท่านั้น  (6)ข้าพเจ้าเป็นผู้ปลูก อปอลโลเป็นผู้รดน้ำ แต่พระเจ้าทรงเป็นผู้บันดาลให้เติบโตขึ้น  (7)เพราะฉะนั้น ทั้งผู้ปลูกและผู้รดน้ำก็ไม่สำคัญ แต่ผู้มีความสำคัญแท้จริงคือพระเจ้าผู้ทรงบันดาลให้เติบโตขึ้น  (8)ผู้ปลูกและผู้รดน้ำมีความสำคัญเท่ากัน แต่ละคนจะได้รับค่าจ้างของตนตามส่วนของงานที่กระทำ

----------------------------------------------------------

เขาพยายามเตือนคุณให้สำนึกว่า เป็นพระเจ้าเองที่ประทานงานให้เรา ไม่ใช่ "ผลงานของเรา" เอาไปโอ้อวดพระเจ้าได้

1คร 1:29
ทั้งนี้ เพื่อมิให้มนุษย์โอ้อวดเฉพาะพระพักตร์ของพระเจ้าได้   เดชะพระองค์ ท่านจึงมีความเป็นอยู่ในพระคริสตเยซูผู้ที่พระเจ้าทรงตั้งให้เป็นปรีชาญาณสำหรับเรา ทั้งยังทรงเป็นผู้บันดาลความชอบธรรม ความศักดิ์สิทธิ์และการไถ่กู้อีกด้วย  เพื่อให้เป็นไปตามที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า

Re: ถ้า กทม ไม่มีหน้าหนาว พี่น้องจะทำยังไงครับ

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ม.ค. 05, 2007 7:57 pm
โดย Ezekiel
1 คธ. 3:6 กล่าวว่า "ข้าพเจ้าปลูก อปอลรดน้ำ แต่พระเจ้าทรงทำให้เติบโต" พระเจ้าไม่มีทางทำให้เติบโตได้หากเราไม่ลงทุนลงแรงในการปลูกในการหว่าน หากเราทำส่วนของเรา พระเจ้าจะทรงสัตย์ซื่อและทำส่วนของพระองค์แน่นอน ทุกขณะพระคัมภีร์ว่า ทุ่งนาเหลืองอร่ามพร้อมให้เกี่ยวเสมอ (ยน.4:35) เราเองต่างหากที่ไม่ยอมไปเกี่ยวทำให้ข้าวตกสู่ดินผุพังไปโดยไม่มีใครเกี่ยว เขาจะเชื่อได้อย่างไรหากไม่มีใครไปประกาศให้เขาฟัง(รม.10:13 -14) พระเจ้าทรงสั่งให้เราออกไปประกาศ(มธ.28:19 - 20) หากเรายอมลงทุนในชีวิตพระเจ้าจะทำให่เราเห็นผลเพราะผู้ที่หว่านมากก็จะเกี่ยวมากเป็นธรรมดา(กท.6:7-10) พระเจ้าทรงประทานทุกอย่างให้เราในการทำให้เกิดผลแล้วไม่ว่าจะเป็นฤทธิ์เดช(กจ.1:8) ความสามารถ เวลา เงินทอง(มธ.25:14 -15)และของประทานของพระเจ้า(1ปต.4:10) เราเพียงต้องมีความสัตย์ซื่อเท่านั้น(1คร.4:20)

Re: ถ้า กทม ไม่มีหน้าหนาว พี่น้องจะทำยังไงครับ

โพสต์แล้ว: เสาร์ ม.ค. 06, 2007 2:06 am
โดย Holy
Ezekiel เขียน: 1 คธ. 3:6 กล่าวว่า "ข้าพเจ้าปลูก อปอลรดน้ำ แต่พระเจ้าทรงทำให้เติบโต" พระเจ้าไม่มีทางทำให้เติบโตได้หากเราไม่ลงทุนลงแรงในการปลูกในการหว่าน
อย่าดูถูกพระเจ้าขนาดนั้นครับ

มธ 6:28
จงพิจารณาดอกไม้ในทุ่งนาเถิด มันเจริญงอกงามขึ้นได้อย่างไร มันไม่ทำงาน มันไม่ปั่นด้าย แต่เราบอกท่านทั้งหลายว่า กษัตริย์ซาโลมอนเมื่อทรงเครื่องอย่างหรูหรา ก็ยังไม่งดงามเท่าดอกไม้นี้ดอกหนึ่ง 
-----------------------------------------------------

การที่มีความคิดว่า ควรรับใช้พระเจ้า เป็นสิ่งดี แต่หากเมื่อไหร่เราคิดว่าพระเจ้าขาดเราแล้วพระองค์จะทรงทำอะไรไม่ได้เป็นความคิดที่ผิดมหันต์ครับ การที่พระเจ้าให้เราร่วมงานกับพระองค์ ไม่ใช่เพราะพระองค์ไม่มีปัญญาทำเอง แต่เพราะพระองค์ทรงเมตตาต่อความไร้ค่าของเรา และด้วยความรักทรงแบ่งปันพระสิริ และประทานพระพรให้เราได้รับเกียรติในการเป็นผู้รับใช้ ทรงต้องการให้เรามีส่วนร่วมเพราะทรงเมตตาต่อเรา แม้เราจะไร้ค่าและไร้ความสามารถ ไม่ใช่เพราะพระองค์ "ไม่มีทางทำได้ถ้าขาดเรา" เราต่างหากที่ไม่มีวันทำพันธกิจสำเร็จถ้าขาดพระองค์

ถ้าหว่านมากแล้วตกในพงหนาม กับตกลงบนถนนให้นกกาจิกกิน ก็อย่าหวังจะเก็บเกี่ยวได้มากเลย

มนุษย์เอ๋ย เจ้าเป็นใครกันจึงคิดว่าพระเจ้าต้องพึ่งเจ้า

ผู้ที่บันดาลให้เกิดผลร้อยเท่าบ้าง หกสิบเท่าบ้าง สามสิบเท่าบ้าง คือพระเจ้าไม่ใช่เจ้า!!! แม้เจ้าจะหว่านลงดินดี พระองค์ยังบันดาลให้เกิดผลไม่เท่ากันได้



1คร 2:4
วาจาและคำเทศน์ของข้าพเจ้ามิใช่คำพูดชวนเชื่ออย่างชาญฉลาด แต่เป็นถ้อยคำแสดงพระอานุภาพของพระจิตเจ้า เพื่อมิให้ความเชื่อของท่านเป็นผลจากปรีชาญาณของมนุษย์ แต่เป็นผลจากพระอานุภาพของพระเจ้า




ดังนั้นจงถ่อมใจ อย่าประกาศพระวาจาด้วยแข่งขันชิงดีชิงเด่น หรือคาดหวังจากความสามารถประสามนุษย์ว่าจะเป็นเหตุให้เกิดผลได้ แต่จงประกาศด้วยความรัก แล้วพระเจ้าจะประทานผลอันอุดมให้เป็นร้อยเท่า ใครมีหูก็จงฟังเถิด

Re: ถ้า กทม ไม่มีหน้าหนาว พี่น้องจะทำยังไงครับ

โพสต์แล้ว: เสาร์ ม.ค. 06, 2007 7:51 am
โดย Jeab Agape
ทำไมกระทู้ กทม.หนาว ไม่หนาว กลายเป็นกรณี เสวนาว่าใครเป็นคนดูแลฝูงแกะ ใครเป็นคนรดน้ำไปได๋ : xemo029 :

Re: ผู้ปลูกและผู้รดน้ำ

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ม.ค. 07, 2007 7:02 pm
โดย TENFLUTE
Jeab Agape เขียน:
ทำไมกระทู้ กทม.หนาว ไม่หนาว กลายเป็นกรณี เสวนาว่าใครเป็นคนดูแลฝูงแกะ ใครเป็นคนรดน้ำไปได๋ : xemo029 :
ใช่ค่ะงงค่ะ : emo073 : : xemo029 :

Re: ถ้า กทม ไม่มีหน้าหนาว พี่น้องจะทำยังไงครับ

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ม.ค. 07, 2007 8:25 pm
โดย warlock
Ezekiel เขียน: 1 คธ. 3:6 กล่าวว่า "ข้าพเจ้าปลูก อปอลรดน้ำ แต่พระเจ้าทรงทำให้เติบโต" พระเจ้าไม่มีทางทำให้เติบโตได้หากเราไม่ลงทุนลงแรงในการปลูกในการหว่าน หากเราทำส่วนของเรา พระเจ้าจะทรงสัตย์ซื่อและทำส่วนของพระองค์แน่นอน ทุกขณะพระคัมภีร์ว่า ทุ่งนาเหลืองอร่ามพร้อมให้เกี่ยวเสมอ (ยน.4:35) เราเองต่างหากที่ไม่ยอมไปเกี่ยวทำให้ข้าวตกสู่ดินผุพังไปโดยไม่มีใครเกี่ยว เขาจะเชื่อได้อย่างไรหากไม่มีใครไปประกาศให้เขาฟัง(รม.10:13 -14) พระเจ้าทรงสั่งให้เราออกไปประกาศ(มธ.28:19 - 20) หากเรายอมลงทุนในชีวิตพระเจ้าจะทำให่เราเห็นผลเพราะผู้ที่หว่านมากก็จะเกี่ยวมากเป็นธรรมดา(กท.6:7-10) พระเจ้าทรงประทานทุกอย่างให้เราในการทำให้เกิดผลแล้วไม่ว่าจะเป็นฤทธิ์เดช(กจ.1:8) ความสามารถ เวลา เงินทอง(มธ.25:14 -15)และของประทานของพระเจ้า(1ปต.4:10) เราเพียงต้องมีความสัตย์ซื่อเท่านั้น(1คร.4:20)
ถ้าเกิดขึ้นสวรรค์ไปก่อน  ยังไงรบกวนเหลียวแล มายังวิญญาณบาปของผมด้วยนะคร๊าบบบบบบบบบ  ::011:: ::011:: ::011::

Re: ผู้ปลูกและผู้รดน้ำ

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ม.ค. 07, 2007 10:33 pm
โดย Joseph
อ้าวกระทู้ " กทม.หนาว ไม่หนาว" กลายเป็น "ผู้ปลูกและผู้รดน้ำ" ออ แสดงว่าผู้ดุแลแยกออกมาตั้งใหม่ 

Re: ผู้ปลูกและผู้รดน้ำ

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ม.ค. 11, 2007 1:27 am
โดย Ezekiel
พระเจ้าจะให้ใครกลับใจก็ได้แต่ว่า พระทรงรักเราจึงให้โอกาสแก่เราในการสร้างผลงานสะท้องความรักของพระองค์ผ่านตัวเราออกไปซึงพระองค์ทรงเป็นแบบอย่างก่อนในการมาเยี่ยมของพระองค์ เมื่อพระองค์มาหาเรามาเรียกเรา เราก็ต้องไปเรียกคนอื่นไปหาคนอื่นให้กลับใจด้วยเช่นกัน แต่ที่พระองค์ใช้เราเพราะพระองค์รักเรา  ด้วยความรักที่พระองค์รักเราพระองค์จึงต้องใช้เราให้เราไปประกาศ  ไปเยี่ยมคนไม่เชื่อ เช่นเดียวกับพระองค์ทรงเรียกเรา

พระคัมภีร์บันทึกไว้ถึงความรักห่วงใยที่พระเจ้ามีต่อคนทั่วไป (ยน.3:16, รม.5:8, ทต.3:4)พระองค์ทรงรักและเมตตาแม้แก่คนที่ไม่ใช้พลไพร่ของพระองค์(มธ.5:45) ความปรารถนาดีสูงสุดคือพาเขามารู้จักและรับความรอดของพระองค์(1ทธ. 4:2)  เนื่องจากความรักและความห่วงใยของพระเจ้าที่มีต่อมนุษย์  พระองค์จึงทรงเอาใจใส่ในการเยี่ยมเยียนมนุษย์ ในขณะที่เรายังไม่รู้จักพระองค์ พระองค์ทรงเยี่ยมเยียนเขาเพื่อนเขามาเป็นพลไพร่ของพระองค์ กจ.15:14 กล่าวว่า

Re: ผู้ปลูกและผู้รดน้ำ

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ม.ค. 11, 2007 6:13 pm
โดย Joseph
จากคำพูดของน้องEzekiel ทำให้พี่เกิดความคิดขึ้นมา พระเจ้าทรงมาเยี่ยมเรา พระเจ้าเป็นใคร พระองค์ทรงสูงกว่าเรามากแต่มนุษย์เป็นใคร เป็นแค่ผงคลีดินที่ต่ำต้อย แต่พระองค์ก็ทรงถ่อมพระองค์ลงมาเกิดเป็นคนที่ต่ำที่สุดในสังคมมนุษย์ผู้ที่มีสภาพที่เล็กกว่าเทวดาเสียอีก เพราะมนุษย์เป็นแค่ดินไม่มีฤทธิ์อะไรถึงเหมือนเทวดา เพราะอะไรพระองค์จึงทรงทำเช่นนั้น เพราะว่าพระองค์ รักเรา ด้วยความรักนี้พระองค์จึงทรงเข้ามาในโลกเพื่อหาเรายอมทนลำบากยอมตายอย่างทรมานก็เพราะรักเรา

แต่เมื่อเราเป็นศิษย์ของพระองค์แล้ว เราก็ควรทำเช่นพระองค์ที่ทรงมาหาเรา เราก็ต้องไปหาคนที่ด่อยโอกาสในสังคมกว่าเรา เช่น ในสลัม คนพิการ คนจนขัดสน เด็กกำพร้า ถ่อมตัวเองไปพูดคุยไปสนิทกับเขา นี่สิถึงเป็นศิษย์ของพระองค์อย่างแท้จริง แต่ต้องไปด้วยความรักเพราะพระองค์ทรงมาหาเราด้วยความรัก(1ยน.4:8) แต่จะทำยังไงเราจึงจะรัก เราก็ต้องมีวิญญาณที่สนิทกับพระก่อน แล้ววิญญาณเราจะรักพระแล้วก็รักเพื่อนมนุษย์ ตรงกับพระคัมภีร์ที่บอกว่า เจ้าเห็นคนขัดสนก็ไม่ช่วย เห็นเราไม่มีเสื้อเจ้าก็ไม่ให้เราใส่(มธ.25:35 - 36)  พระเยซูถึงบอกไงว่าเราไม่รู้จักเจ้า เพราะเจ้าไม่ช่วยเหลือเราเมื่อเราขัดสน ไม่ยอมมาเยี่ยมเราเมื่อเราลำบาก ถือตัวไม่ยอมคุยกับพระองค์เพราะรังเกียจคนจน(มธ.25:40) ในวันสุดท้ายพระองค์ก็ต้องบอกเช่นนั้น แล้วในข้อเดียวกันพระองค์ทรงบอกอีกว่าพระองค์จะนำคนที่ไม่ยอมช่วยเหลือคน จน คนเจ็บ คนป่วย ไปทิ่งในไฟซึ่งเป็นที่อยู่ของพวกปีศาจเป็นนิตย์(มธ.25:41) คนเราบางทีฐานะในสังคมต่างกันแต่เราก็รังเกียจกัน แต่พระองค์ทรงเป็นแบบอย่างแก่เราในเรื่องนี้ด้วยตัวพระองค์เอง

แล้วก็ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งอย่างที่เคยพูดมาแล้วเช่น กลุ่มคนคล้ายต่างๆ เพื่อจับคนที่เหมาะสมไม่ควรและไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งผิดคำสอนพระเจ้าแน่ๆ ครับ เท่าที่ผมเคยอยู่ที่คริสตจักรนี้มาสอนสำหรับสอนสมาชิกก็ดูเข้าท่า แต่ลึกๆ แล้วทั้งหมดไปที่ดึงคนมาอย่างเดียว แล้วก็เลือกด้วย กลุ่มแบบไหนก็ต้องไปเลือกคนอย่างนั้น กลุ่มโปร์ไปประกาศกับพวกมอร์เตอร์ไซย์รับจ้างยังไม่ได้ด้วยเพราะมันไม่ใช้ ต้องจับคนระดับเดียวกัน

Re: ผู้ปลูกและผู้รดน้ำ

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ม.ค. 12, 2007 8:05 am
โดย อันตน
พี่แซปโหดวุ้ย ::011::

Re: ผู้ปลูกและผู้รดน้ำ

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ม.ค. 12, 2007 10:09 am
โดย warlock
[quote="Ezekiel"]
พระเจ้าจะให้ใครกลับใจก็ได้แต่ว่า พระทรงรักเราจึงให้โอกาสแก่เราในการสร้างผลงานสะท้องความรักของพระองค์ผ่านตัวเราออกไปซึงพระองค์ทรงเป็นแบบอย่างก่อนในการมาเยี่ยมของพระองค์ เมื่อพระองค์มาหาเรามาเรียกเรา เราก็ต้องไปเรียกคนอื่นไปหาคนอื่นให้กลับใจด้วยเช่นกัน แต่ที่พระองค์ใช้เราเพราะพระองค์รักเรา  ด้วยความรักที่พระองค์รักเราพระองค์จึงต้องใช้เราให้เราไปประกาศ  ไปเยี่ยมคนไม่เชื่อ เช่นเดียวกับพระองค์ทรงเรียกเรา

พระคัมภีร์บันทึกไว้ถึงความรักห่วงใยที่พระเจ้ามีต่อคนทั่วไป (ยน.3:16, รม.5:8, ทต.3:4)พระองค์ทรงรักและเมตตาแม้แก่คนที่ไม่ใช้พลไพร่ของพระองค์(มธ.5:45) ความปรารถนาดีสูงสุดคือพาเขามารู้จักและรับความรอดของพระองค์(1ทธ. 4:2)  เนื่องจากความรักและความห่วงใยของพระเจ้าที่มีต่อมนุษย์  พระองค์จึงทรงเอาใจใส่ในการเยี่ยมเยียนมนุษย์ ในขณะที่เรายังไม่รู้จักพระองค์ พระองค์ทรงเยี่ยมเยียนเขาเพื่อนเขามาเป็นพลไพร่ของพระองค์ กจ.15:14 กล่าวว่า

Re: ผู้ปลูกและผู้รดน้ำ

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ม.ค. 12, 2007 10:11 am
โดย :+: seraphim :+:
[quote="warlock"]
[quote="Ezekiel"]
พระเจ้าจะให้ใครกลับใจก็ได้แต่ว่า พระทรงรักเราจึงให้โอกาสแก่เราในการสร้างผลงานสะท้องความรักของพระองค์ผ่านตัวเราออกไปซึงพระองค์ทรงเป็นแบบอย่างก่อนในการมาเยี่ยมของพระองค์ เมื่อพระองค์มาหาเรามาเรียกเรา เราก็ต้องไปเรียกคนอื่นไปหาคนอื่นให้กลับใจด้วยเช่นกัน แต่ที่พระองค์ใช้เราเพราะพระองค์รักเรา  ด้วยความรักที่พระองค์รักเราพระองค์จึงต้องใช้เราให้เราไปประกาศ  ไปเยี่ยมคนไม่เชื่อ เช่นเดียวกับพระองค์ทรงเรียกเรา

พระคัมภีร์บันทึกไว้ถึงความรักห่วงใยที่พระเจ้ามีต่อคนทั่วไป (ยน.3:16, รม.5:8, ทต.3:4)พระองค์ทรงรักและเมตตาแม้แก่คนที่ไม่ใช้พลไพร่ของพระองค์(มธ.5:45) ความปรารถนาดีสูงสุดคือพาเขามารู้จักและรับความรอดของพระองค์(1ทธ. 4:2)  เนื่องจากความรักและความห่วงใยของพระเจ้าที่มีต่อมนุษย์  พระองค์จึงทรงเอาใจใส่ในการเยี่ยมเยียนมนุษย์ ในขณะที่เรายังไม่รู้จักพระองค์ พระองค์ทรงเยี่ยมเยียนเขาเพื่อนเขามาเป็นพลไพร่ของพระองค์ กจ.15:14 กล่าวว่า

Re: ผู้ปลูกและผู้รดน้ำ

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ม.ค. 12, 2007 10:19 am
โดย warlock
[quote=":+: seraphim :+:"]
[quote="warlock"]
[quote="Ezekiel"]
พระเจ้าจะให้ใครกลับใจก็ได้แต่ว่า พระทรงรักเราจึงให้โอกาสแก่เราในการสร้างผลงานสะท้องความรักของพระองค์ผ่านตัวเราออกไปซึงพระองค์ทรงเป็นแบบอย่างก่อนในการมาเยี่ยมของพระองค์ เมื่อพระองค์มาหาเรามาเรียกเรา เราก็ต้องไปเรียกคนอื่นไปหาคนอื่นให้กลับใจด้วยเช่นกัน แต่ที่พระองค์ใช้เราเพราะพระองค์รักเรา  ด้วยความรักที่พระองค์รักเราพระองค์จึงต้องใช้เราให้เราไปประกาศ  ไปเยี่ยมคนไม่เชื่อ เช่นเดียวกับพระองค์ทรงเรียกเรา

พระคัมภีร์บันทึกไว้ถึงความรักห่วงใยที่พระเจ้ามีต่อคนทั่วไป (ยน.3:16, รม.5:8, ทต.3:4)พระองค์ทรงรักและเมตตาแม้แก่คนที่ไม่ใช้พลไพร่ของพระองค์(มธ.5:45) ความปรารถนาดีสูงสุดคือพาเขามารู้จักและรับความรอดของพระองค์(1ทธ. 4:2)  เนื่องจากความรักและความห่วงใยของพระเจ้าที่มีต่อมนุษย์  พระองค์จึงทรงเอาใจใส่ในการเยี่ยมเยียนมนุษย์ ในขณะที่เรายังไม่รู้จักพระองค์ พระองค์ทรงเยี่ยมเยียนเขาเพื่อนเขามาเป็นพลไพร่ของพระองค์ กจ.15:14 กล่าวว่า

Re: ผู้ปลูกและผู้รดน้ำ

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ม.ค. 12, 2007 10:23 am
โดย :+: seraphim :+:
[quote="warlock"]
[quote=":+: seraphim :+:"]
[quote="warlock"]
[quote="Ezekiel"]
พระเจ้าจะให้ใครกลับใจก็ได้แต่ว่า พระทรงรักเราจึงให้โอกาสแก่เราในการสร้างผลงานสะท้องความรักของพระองค์ผ่านตัวเราออกไปซึงพระองค์ทรงเป็นแบบอย่างก่อนในการมาเยี่ยมของพระองค์ เมื่อพระองค์มาหาเรามาเรียกเรา เราก็ต้องไปเรียกคนอื่นไปหาคนอื่นให้กลับใจด้วยเช่นกัน แต่ที่พระองค์ใช้เราเพราะพระองค์รักเรา  ด้วยความรักที่พระองค์รักเราพระองค์จึงต้องใช้เราให้เราไปประกาศ  ไปเยี่ยมคนไม่เชื่อ เช่นเดียวกับพระองค์ทรงเรียกเรา

พระคัมภีร์บันทึกไว้ถึงความรักห่วงใยที่พระเจ้ามีต่อคนทั่วไป (ยน.3:16, รม.5:8, ทต.3:4)พระองค์ทรงรักและเมตตาแม้แก่คนที่ไม่ใช้พลไพร่ของพระองค์(มธ.5:45) ความปรารถนาดีสูงสุดคือพาเขามารู้จักและรับความรอดของพระองค์(1ทธ. 4:2)  เนื่องจากความรักและความห่วงใยของพระเจ้าที่มีต่อมนุษย์  พระองค์จึงทรงเอาใจใส่ในการเยี่ยมเยียนมนุษย์ ในขณะที่เรายังไม่รู้จักพระองค์ พระองค์ทรงเยี่ยมเยียนเขาเพื่อนเขามาเป็นพลไพร่ของพระองค์ กจ.15:14 กล่าวว่า

Re: ผู้ปลูกและผู้รดน้ำ

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ม.ค. 12, 2007 10:26 am
โดย warlock
เฮ่อ ๆ ๆ ๆ  คน ที่  คุณ  ก็  รู้  ว่า  ครายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย    เฮ่อ ๆ ๆ ๆ ๆ  ::011:: ::011:: ::011::

Re: ผู้ปลูกและผู้รดน้ำ

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ม.ค. 12, 2007 11:20 am
โดย Man of Macedonia
[1]ปรับตนเองให้เป็น"ผู้รับใช้" ผู้จำเริญในพระคริสต์,ผู้ที่ได้รับการหนุนนำจากพระจิต
[2]ปรับตนเองให้เป็นผู้มีความกรุณาอย่างมากที่สุด(เท่าที่จะพยายามขยายขอบเขตไปได้)
[3]ไม่ดึง"คนต่างศาสนา"มาโดยไม่สมัครใจ(และเราไม่ต้องโน้มน้าว) จงมอบ"พระสิริแห่งพระเจ้า,คือ ความดีงาม สันติสุข ให้จำเริญแก่เขา(มีมากมายในคำสอน)"โดยเขาไม่รู้ตัวดีกว่า(จะได้ไม่ต้องมานั่งเถียงว่าใครดีกว่าใคร)" เมื่อถึงวันพิพากษาก็รู้เอง(ไม่ใช่หน้าที่เราต้องคิด)
[4]หน้าที่ของเรา คือ เผยแผ่"ข่าวประเสริฐ" คือ "เนื้อข่าว" ไม่ใช่ "พาดหัวข่าว"
[5]การทำงานในเชิงรุก คือ การรบกับความอกุศลทั้งหลาย ที่มีผลให้คนรอบข้างเดือดร้อน(ถ้าใจตนเองเกิดบาปทำให้คนรอบข้างเดือดร้อนก็รุกใจตนเองก่อน) ความร้อนรนที่นำไปสู่การทำงานเชิงรุก คือ "การมอบสันติ"(ข้าแต่พระเจ้า,ขอพระองค์ทรงกระทำ ให้ข้าพระองค์เป็นเครื่องมือของพระองค์ เพื่อสร้างสันติ)
[6]การทำงานในเชิงรุก ต้องไม่บังคับ  ขู่(เอาพระคัมภีร์มาขู่-ทำแบบนี้น่าอายมาก) ไม่โน้มน้าว ไม่ใช้การหลอกล่อ เรารุกด้วยคุณธรรม คนที่เขาจำเริญด้วยคุณธรรมดูแล้วเขาเข้มแข็งพอจะเดินไปได้(ไม่ว่าศาสนาใด) ก็ปล่อยเขาไป คนที่ไร้คุณธรรมนั่นล่ะ ที่เราต้องรุกเขา
[7]ศึกษาศาสนาเปรียบเทียบ มีความเข้าใจในเชิงลึก ที่จะกล่าวพระวรสารอย่างลึกซึ้ง หรือชี้ให้เห็นแนวทางคำสอนของศาสนาต่างๆ ไม่ใช่"กำปั้นทุบดิน"ไร้เหตุไร้ผล "เถียงข้างๆคูๆ" แบบนี้ ก็ไม่ควรเลย(เห็นมามาก)
[8]ในยุคนี้,สิ่งที่เกิดขึ้นล้วนเป็นพระประสงค์ของพระเป็นเจ้า หลายสิ่งมีการเปลี่ยนแปลง รวมถึงการที่พระจิตดลพวกเราทุกคน แลพระศาสนจักรให้ยอมรับถึงการเปลี่ยนแปลง ยุคสมัยเปลี่ยนไปแล้ว การศึกษาที่ว่า"ล้ำลึก"ยิ่งต้องล้ำลึกมากเข้าไปอีก ต้องมีความเข้าใจถ่องแท้ เมื่องั้น แทนที่จะทำให้เขา"ศรัทธา"กลับทำให้"เขาเกลียดชัง" เพราะ พระจิตไม่หนุนนำเรา (แต่มารอาจหลอกเราว่าพระจิตหนุนนำเรา ทำให้การแพร่ธรรมลดน้อยลง)
[9]คำนึงถึงเรื่อง ไฟนรก และการประพฤติตนที่ไม่สมควรของตัวเองด้วย แม้นว่าจะเป็นการแพร่ธรรม หนทางการแพร่ธรรมมีหลายหนทางมาก เลือกให้เหมาะสม(ผ่านการขอคำปรึกษา,ภาวนา) เราอาจร้อนรนที่จะแพร่ธรรม แน่นอน เราอาจจะพลาดร้อนรนจนกระทั่ง ถูก ลงทัณฑ์ ด้วยในที่สุด(เพราะความเข้าใจผิด,เห็นผิด)
[10]จงมอบ"ความดีและสันติจากพระวาจาของพระเป็นเจ้า" ที่ไม่มี"นิกาย"ขวางกั้น ในเบื้องต้น และ มอบ"ความดีและสันติ" ที่ไม่มี"ศาสนา"ขวางกั้นในขั้นต่อไป

Re: ผู้ปลูกและผู้รดน้ำ

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ม.ค. 12, 2007 11:46 am
โดย warlock
Man of Macedonia เขียน: [1]ปรับตนเองให้เป็น"ผู้รับใช้" ผู้จำเริญในพระคริสต์,ผู้ที่ได้รับการหนุนนำจากพระจิต
[2]ปรับตนเองให้เป็นผู้มีความกรุณาอย่างมากที่สุด(เท่าที่จะพยายามขยายขอบเขตไปได้)
[3]ไม่ดึง"คนต่างศาสนา"มาโดยไม่สมัครใจ(และเราไม่ต้องโน้มน้าว) จงมอบ"พระสิริแห่งพระเจ้า,คือ ความดีงาม สันติสุข ให้จำเริญแก่เขา(มีมากมายในคำสอน)"โดยเขาไม่รู้ตัวดีกว่า(จะได้ไม่ต้องมานั่งเถียงว่าใครดีกว่าใคร)" เมื่อถึงวันพิพากษาก็รู้เอง(ไม่ใช่หน้าที่เราต้องคิด)
[4]หน้าที่ของเรา คือ เผยแผ่"ข่าวประเสริฐ" คือ "เนื้อข่าว" ไม่ใช่ "พาดหัวข่าว"
[5]การทำงานในเชิงรุก คือ การรบกับความอกุศลทั้งหลาย ที่มีผลให้คนรอบข้างเดือดร้อน(ถ้าใจตนเองเกิดบาปทำให้คนรอบข้างเดือดร้อนก็รุกใจตนเองก่อน) ความร้อนรนที่นำไปสู่การทำงานเชิงรุก คือ "การมอบสันติ"(ข้าแต่พระเจ้า,ขอพระองค์ทรงกระทำ ให้ข้าพระองค์เป็นเครื่องมือของพระองค์ เพื่อสร้างสันติ)
[6]การทำงานในเชิงรุก ต้องไม่บังคับ  ขู่(เอาพระคัมภีร์มาขู่-ทำแบบนี้น่าอายมาก) ไม่โน้มน้าว ไม่ใช้การหลอกล่อ เรารุกด้วยคุณธรรม คนที่เขาจำเริญด้วยคุณธรรมดูแล้วเขาเข้มแข็งพอจะเดินไปได้(ไม่ว่าศาสนาใด) ก็ปล่อยเขาไป คนที่ไร้คุณธรรมนั่นล่ะ ที่เราต้องรุกเขา
[7]ศึกษาศาสนาเปรียบเทียบ มีความเข้าใจในเชิงลึก ที่จะกล่าวพระวรสารอย่างลึกซึ้ง หรือชี้ให้เห็นแนวทางคำสอนของศาสนาต่างๆ ไม่ใช่"กำปั้นทุบดิน"ไร้เหตุไร้ผล "เถียงข้างๆคูๆ" แบบนี้ ก็ไม่ควรเลย(เห็นมามาก)
[8]ในยุคนี้,สิ่งที่เกิดขึ้นล้วนเป็นพระประสงค์ของพระเป็นเจ้า หลายสิ่งมีการเปลี่ยนแปลง รวมถึงการที่พระจิตดลพวกเราทุกคน แลพระศาสนจักรให้ยอมรับถึงการเปลี่ยนแปลง ยุคสมัยเปลี่ยนไปแล้ว การศึกษาที่ว่า"ล้ำลึก"ยิ่งต้องล้ำลึกมากเข้าไปอีก ต้องมีความเข้าใจถ่องแท้ เมื่องั้น แทนที่จะทำให้เขา"ศรัทธา"กลับทำให้"เขาเกลียดชัง" เพราะ พระจิตไม่หนุนนำเรา (แต่มารอาจหลอกเราว่าพระจิตหนุนนำเรา ทำให้การแพร่ธรรมลดน้อยลง)
[9]คำนึงถึงเรื่อง ไฟนรก และการประพฤติตนที่ไม่สมควรของตัวเองด้วย แม้นว่าจะเป็นการแพร่ธรรม หนทางการแพร่ธรรมมีหลายหนทางมาก เลือกให้เหมาะสม(ผ่านการขอคำปรึกษา,ภาวนา) เราอาจร้อนรนที่จะแพร่ธรรม แน่นอน เราอาจจะพลาดร้อนรนจนกระทั่ง ถูก ลงทัณฑ์ ด้วยในที่สุด(เพราะความเข้าใจผิด,เห็นผิด)
[10]จงมอบ"ความดีและสันติจากพระวาจาของพระเป็นเจ้า" ที่ไม่มี"นิกาย"ขวางกั้น ในเบื้องต้น และ มอบ"ความดีและสันติ" ที่ไม่มี"ศาสนา"ขวางกั้นในขั้นต่อไป

  เหมาะสม และ ชอบยิ่งนัก...........อาแมน  ::017:: ::017:: ::017::

Re: ผู้ปลูกและผู้รดน้ำ

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ม.ค. 12, 2007 12:03 pm
โดย Batholomew
ก็ดีนะครับ ออกไปทำให้ได้อย่างที่พูดดีกว่าเที่ยวว่าคนนั้น คนนี้ไปเรื่อย ::002::

Re: ผู้ปลูกและผู้รดน้ำ

โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.พ. 05, 2007 12:33 am
โดย :+:Regina Pacis:+:
ติดดาวค่ะพี่ชาย

::004::