ขอนอกเรื่อง..รบกวนพี่ ๆ ศิษย์เก่า มธก. และ มธ. อ่านแล้วแสดงความเห็นครับ
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ม.ค. 07, 2007 5:02 am
ทัวร์ธรรมศาสตร์ งาน"Open House 2006" วันอำลาท่าพระจันทร์>>>>สุชาฎา ประพันธ์วงศ์
หลังจากแสดงท่าทีและถกเถียงกันมานานจนเป็นข่าวมาหลายครั้ง ในเรื่องการย้ายมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.)
จากที่ตั้งดั้งเดิมตั้งแต่ยุคก่อตั้งที่ท่าพระจันทร์ เพื่อไปเปิดการเรียนการสอนยังสถานที่แห่งใหม่ คือ ศูนย์รังสิต จ.ปทุมธานี
วันนี้คณะผู้บริหารมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์นอกจากจะได้ข้อสรุปเป็นมติเอกฉันท์ของสภามหาวิทยาลัยแล้ว
ผู้บริหารยังได้ลงมือขนย้ายนักศึกษาทุกชั้นปีให้ไปเรียนที่ มธ.ศูนย์รังสิตแบบถาวรแล้ว
โดยเริ่มด้วยการจัดทัวร์เพื่อแนะนำและโน้มน้าวให้เห็นความเหมาะสมในการย้ายไปอยู่ที่แห่งใหม่เสียก่อน
ในงานที่มีชื่อว่า "ธรรมศาสตร์ Open House 2006 เปิดบ้านแม่โดมศูนย์รังสิต" ในวันที่ 15 ธันวาคม เวลาตั้งแต่ 08.00-17.00 น.
ป็นฤกษ์งามยามดีที่ได้เตรียมการไว้แล้ว ที่อาคารยิมเนเซียม 2
"สุรพล นิติไกรพจน์" อดีตคณบดีคณะนิติศาสตร์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ คนปัจจุบัน พูดถึงรายละเอียดของการจัดงานครั้งนี้
ก่อนจะมีการย้ายนักศึกษาไปเรียนที่ศูนย์รังสิตเป็นการถาวรทุกชั้นปีว่าเพื่อเปิดโอกาสให้เด็กนักเรียนมัธยมปลาย ผู้ปกครองและอาจารย์ที่สนใจได้เห็นการเรียนการสอนของคณะต่างๆ ในมหาวิทยาลัยโดยจะเปิดสถานที่ให้ชมกันทุกซอกทุกมุมในมหาวิทยาลัย ตั้งแต่ห้องเรียนไปจนถึงหอพักนักศึกษา เพื่อให้เห็นถึงความพร้อมของ มธ.ศูนย์รังสิต
"ผมขอบอกด้วยว่าที่จัดกิจกรรมนี้ไม่ได้ตั้งใจจะขยายจำนวนรับนักศึกษาปริญญาตรีเพราะมหาวิทยาลัยประกาศนโยบายแล้วว่าจะไม่รับนักศึกษาปริญญาตรีเพิ่มมากกว่าที่เคยอีกแล้ว แต่จะเพิ่มนักศึกษาปริญญาโทกับปริญญาเอก ให้เป็น 15,000 คน ในปีหน้า โดยเป้าหมายของ มธ.คือไปสู่การวิจัย
ซึ่งจะเพิ่มหลักสูตรของปริญญาโท-เอก อีกปีละ 10 หลักสูตร" การเปิดบ้าน "ธรรมศาสตร์ Open House 2006" ก็เพื่อให้ทุกคนได้เห็นว่า
มธ.ศูนย์รังสิต ไม่ได้ไกลอีกต่อไปเช่นที่เคยเข้าใจมาในอดีต "เราพร้อมทุกอย่าง พร้อมจะมีชีวิตมหาวิทยาลัยที่สมบูรณ์นักศึกษามีสถานที่ออกกำลังกาย มีสถานที่เตะฟุตบอลกว่า 20 สนาม พื้นที่ว่างต่างๆสามารถใช้เป็นสนามฟุตบอลได้หมด มีทั้งฟิตเนส สระว่ายน้ำให้นักศึกษาได้ใช้ชีวิตวัยรุ่นอย่างเต็มที่
ซึ่งวัยรุ่นควรได้ผ่านช่วงชีวิตแบบนี้ ไม่มีช่วงชีวิตไหนที่จะดีเท่ากับช่วงเรียนในมหาวิทยาลัย ที่อยู่ในแวดวงชีวิตหนุ่มสาวด้วยกัน เพราะได้คิดได้ทำอะไร เรียนรู้อะไร อย่างอิสระ"
เสียงย้ำหนักแน่นเกี่ยวกับ "จิตวิญญาณธรรมศาสตร์" ซึ่งเคยเป็นข้อถกเถียงของฝ่ายที่เห็นควรย้ายและไม่เห็นควรย้ายกันมาคราวที่แล้ว
โดยอาจารย์อธิการบดีบอกว่า จิตวิญญาณของธรรมศาสตร์ไม่ได้เปลี่ยนไปจากเดิม เพราะนักศึกษายังร่วมกันทำกิจกรรมทางการเมือง เขียนป้ายด่ารัฐบาลคัดค้านการนำมหาวิทยาลัยออกนอกระบบ ยังสามารถทำได้ ซึ่งที่ศูนย์รังสิตอาจมีอิสระมากกว่า เพราะมีพื้นที่กว้างกว่า
"ผมว่า...คนเหลืองแดงอยู่ที่ไหนก็เป็นแบบนั้น เพราะสิ่งแวดล้อมในมหาวิทยาลัยส่งเสริมตั้งแต่เข้ามาเป็นนักศึกษาแล้วไม่มีรุ่นพี่รุ่นน้องในความหมายที่รุ่นน้องจะต้องเชื่อฟังหรือยอมรุ่นพี่ระบบบริหารมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ก็ไม่เป็นแบบนั้นด้วย ผู้บริหาร นักศึกษา กับมหาวิทยาลัยใกล้ชิดกันมาก พูดคุยถกเถียงกันได้"
"...เด็กมัธยมปลายเข้ามาเรียนในธรรมศาสตร์ จะกลายเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาทันที ไม่มีใครบังคับให้ใครทำอะไรทุกคนต้องรับผิดชอบตัวเอง..."
"การเรียนการสอน อาจารย์จะไม่บังคับนักศึกษา ทำได้มากที่สุดก็แค่ให้คำแนะนำเท่านั้น จากนั้นนักศึกษาก็ไปตัดสินใจเองนีคือ...ธรรมศาสตร์"
อาจารย์สุรพลเว้นวรรคเรื่องของประชาธิปไตยการเรียนการสอน มาเท้าความถึงมติสภามหาวิทยาลัยว่า
สภามหาวิทยาลัยมีมติเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2548 ให้นักศึกษาระดับปริญญาตรีทุกชั้นปีเรียนที่ศูนย์รังสิต จ.ปทุมธานี ตลอดทั้ง 4 ชั้นปีซึ่งแนวคิดนี้มีมาตั้งแต่สมัย ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ เป็นอธิการบดี
เพราะเห็นว่าพื้นที่บริเวณท่าพระจันทร์ไม่สามารถขยายออกไปได้อีก ที่ดินที่ท่าพระจันทร์มีเพียง 49 ไร่ ทำให้การขยายตัวลำบาก
ทั้งในแง่การเปิดคณะใหม่ และการรับนักศึกษาเพิ่ม และมีความแออัดสูง ในขณะนั้นมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์มีที่ดินอยู่หนึ่งแปลงที่ อ.บางชัน
ตอนนี้เป็นที่ตั้งของนิคมอุตสหกรรมบางชัน จึงแลกเปลี่ยนที่ดินกับกระทรวงอุตสหากรรมซึ่งมีที่ดินอยู่ที่รังสิต"
อาจารย์ป๋วยคิดว่าพื้นที่ทางภาคเหนือของกรุงเทพฯน่าจะมีทิศทางการเจริญเติบโตได้มากกว่า ธรรมศาสตร์จึงฟื้นที่ตรงนี้มา
ระยะหลังแนวทางการขยายตัวของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เริ่มชัดเจนขึ้น จึงมีการซื้อและเวนคืนที่ดินเพิ่มขึ้นจนปัจจุบันนี้มีประมาณ 2,800 ไร่
ติดกับถนนพหลโยธิน ส่วนหนึ่งประมาณ 1,000 ไร่ แบ่งให้สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย (เอไอที) เช่า"
ประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของธรรมศาสตร์เดินต่อไป เมื่อ 10 ปีที่ผ่านมา
อาจารย์นรนิติ เศรษฐบุตร อดีตอธิการบดี ต้องการให้ฐานทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของมหาวิทยาลัยเข้มแข็ง จึงให้กระทรวงวิทยาศาสตร์ใช้พื้นที่ประมาณ 100 ไร่ เพื่อให้สร้างอุทยานวิทยาศาสตร์แห่งชาติ ทั้งหมดเป็นพื้นที่ผืนเดียวกันตลอด
บวกลบแล้วธรรมศาสตร์เหลือพื้นที่อีกประมาณ 1,700 ไร่ ที่มหาวิทยาลัยใช้อยู่ เมื่อการก่อสร้างศูนย์รังสิตเป็นรูปเป็นร่างในปี 2529 การเรียนการสอนของนักศึกษาชั้นปี 1 ก็เริ่มขึ้น โดยปี 1
ทั้งหมดเรียนที่ศูนย์รังสิต พอขึ้นปี 2 กลับไปเรียนที่ท่าพระจันทร์ช่วงแรกๆ นั้น มีคณะเปิดใหม่เพียงคณะเดียวคือ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีซึ่งมาตั้งฐานที่นี่
กระทั่งปี 2546 ก็ได้ให้นักศึกษาปี 2 ไปเรียนที่ศูนย์รังสิต เพิ่มจากชั้นปี 1 พอขึ้นปี 3-ปี 4 ให้กลับไปเรียนที่ท่าพระจันทร์
ขณะเดียวกันที่ศูนย์รังสิตคณะต่างๆ เริ่มขยายตัวมากขึ้น มีจำนวนถึง 10 คณะ ยังคงเหลืออยู่ที่ท่าพระจันทร์ 8 คณะ
กระทั่งปัจจุบันแต่ละคณะได้ขยับขยายย้ายไปที่ศูนย์รังสิตกันหมดแล้ว ซึ่งชุมชนก็เป็นชุมชนขนาดใหญ่มากขึ้น
ถึงวันนี้ อาจารย์สุรพลบอกว่า มธ.ศูนย์รังสิต มีความพร้อมในทุกด้าน ทั้งการบริการ สภาพแวดล้อมที่เวลานี้ต้นไม้เริ่มแตกยอดออกใบให้ความร่มรื่นกว่าเก่าและมีการปลูกต้นไม้เพิ่มขึ้นทุกปี
ธรรมศาสตร์แห่งใหม่ได้สร้างอาคารเรียนรวมขนาดใหญ่ เป็นอาคารเรียนรวมของกลุ่ม "สังคมศาสตร์" ที่รองรับ 8 คณะ จากท่าพระจันทร์ มีพื้นที่ 80 ไร่
เพื่อให้แต่ละคณะมีอาคารเรียนของตัวเอง "ในปี 2551 ที่ท่าพระจันทร์จะไม่มีนักศึกษาปริญญาตรีอีกแล้ว นอกจากนักศึกษาปริญญาตรีหลักสูตรที่ตั้งฐานที่ท่าพระจันทร์โดยความเห็นชอบของสภามหาวิทยาลัย เช่น หลักสูตรนานาชาติบางหลักสูตร
อย่างหลักสูตร บีบีเอ ของคณะพาณิชยศาสตร์ บริหารธุรกิจ
เศรษฐศาสตร์ภาษาอังกฤษ
หลักสูตร บีเอเอส หลักสูตรปริญญาตรีควบโท ของคณะพาณิชยศาสตร์และเศรษฐศาสตร์ เรียน 5 ปี จบปริญญาโท ซึ่งจะเปิดในปี 2550 เหล่านี้คือข้อยกเว้น
ท่าพระจันทร์จะเป็นศูนย์การเรียนปริญญาโทและปริญญาเอกและการบริการสังคม"ส่วนหอพักนักศึกษา อธิการบดีการันตีไม่ต้องห่วง เพราะมีหอพักเพิ่ม สามารถรองรับนักศึกษาได้ประมาณ 12,000 คน จากจำนวนนักศึกษาธรรมศาสตร์ที่มีมากกว่านั้นประมาณ 24,000 คน
แต่ก็ไม่ใช่นักศึกษาทุกคนที่จะอยู่หอพัก ธรรมศาสตร์เพิ่งจะเซ็นสัญญาให้บริษัทไอเอ็นจี ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวมไอเอ็นจีใช้ที่ดินฝั่งตรงข้ามมหาวิทยาลัยที่จะสร้างหอพักเพิ่มอีก 5,000 เตียง ในปีหน้าจะสามารถรับนักศึกษาได้ทั้งหมด 17,000 คน
ซึ่งทางมหาวิทยาลัยแน่ใจว่าเพียงพอกับจำนวนนักศึกษา
นอกจากนี้ มธ.มีห้องสมุดมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในประเทศไทย เป็นห้องสมุดขนาดใหญ่และมีระบบการยืม-คืนหนังสืออัตโนมัติ
มีสื่อมัลติมีเดียครบถ้วนไว้บริการ และยังมีสนามกีฬาในมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ให้เล่นกีฬาด้วย
"ผมเชื่อว่า มธ.เป็นมหาวิทยาลัยสมบูรณ์แบบเพียงไม่กี่แห่งในประเทศไทย คือมีคณะสังคมศาสตร์ มนุษยศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และคณะวิทยาศาสตร์สุขภาพ ซึ่งไม่ได้ด้อยกว่าใคร"
วันที่ 15 ธันวาคม หากอยากสัมผัสธรรมศาสตร์แห่งใหม่ ผู้บริหาร อาจารย์ และนักศึกษา มธ. เชิญชวนร่วมงาน "ธรรมศาสตร์ Open House 2006 เปิดบ้านแม่โดมศูนย์รังสิต"
นอกจากงานดังกล่าวแล้ว ยังมี "ธรรมศาสตร์บุ๊คเฟสติวัล" ที่โรงยิมเนเซียม 1 หน้ามหาวิทยาลัย ซึ่งอธิการบดีสุรพลรับประกันว่าจะมีหนังสือมากกว่า 2 ล้านเล่ม ขายในราคาถูก จากสำนักพิมพ์มากมาย
เป็นการเปิดตลาดหนังสือทางตอนเหนือของกรุงเทพฯ "ธรรมศาสตร์บุ๊คเฟสติวัล" จะจัดขึ้นในวันที่ 15-24 ธันวาคม เปิดตั้งแต่ 10.00-21.00 น. และจะจัดเป็นประจำทุกปี มีกิจกรรมพบนักเขียน เชลล์ชวนชิม และอื่นๆ อีกมากมายถือเป็นงานใหญ่ที่ไม่ควรพลาด
อยากรู้ อยากเห็นภาพ และความเป็นจริง ทั้งจิตวิญญาณ และความเจริญก้าวหน้า ทันสมัย ต้องไปพิสูจน์ด้วยตัวเอง
Charnvit Kasetsiri, Ph.D.
Senior Adviser and Lecturer Southeast Asian Studies Program
Thammasat University Bangkok 10200, Thailand
Secretary>>Social Sciences and Humanities Textbook Foundation
413/38 Arun-Amarin Road Bangkok 10700, Thailand
handphone 089-476-0505>>e-mail: charnvitkasetsiri@yahoo.com;
h-pages: http://textbooksproject.com/HOME.html,
http://www.tu.ac.th/org/arts/seas; 662-424-5768, fax. 662-433-8713
หลังจากแสดงท่าทีและถกเถียงกันมานานจนเป็นข่าวมาหลายครั้ง ในเรื่องการย้ายมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.)
จากที่ตั้งดั้งเดิมตั้งแต่ยุคก่อตั้งที่ท่าพระจันทร์ เพื่อไปเปิดการเรียนการสอนยังสถานที่แห่งใหม่ คือ ศูนย์รังสิต จ.ปทุมธานี
วันนี้คณะผู้บริหารมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์นอกจากจะได้ข้อสรุปเป็นมติเอกฉันท์ของสภามหาวิทยาลัยแล้ว
ผู้บริหารยังได้ลงมือขนย้ายนักศึกษาทุกชั้นปีให้ไปเรียนที่ มธ.ศูนย์รังสิตแบบถาวรแล้ว
โดยเริ่มด้วยการจัดทัวร์เพื่อแนะนำและโน้มน้าวให้เห็นความเหมาะสมในการย้ายไปอยู่ที่แห่งใหม่เสียก่อน
ในงานที่มีชื่อว่า "ธรรมศาสตร์ Open House 2006 เปิดบ้านแม่โดมศูนย์รังสิต" ในวันที่ 15 ธันวาคม เวลาตั้งแต่ 08.00-17.00 น.
ป็นฤกษ์งามยามดีที่ได้เตรียมการไว้แล้ว ที่อาคารยิมเนเซียม 2
"สุรพล นิติไกรพจน์" อดีตคณบดีคณะนิติศาสตร์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ คนปัจจุบัน พูดถึงรายละเอียดของการจัดงานครั้งนี้
ก่อนจะมีการย้ายนักศึกษาไปเรียนที่ศูนย์รังสิตเป็นการถาวรทุกชั้นปีว่าเพื่อเปิดโอกาสให้เด็กนักเรียนมัธยมปลาย ผู้ปกครองและอาจารย์ที่สนใจได้เห็นการเรียนการสอนของคณะต่างๆ ในมหาวิทยาลัยโดยจะเปิดสถานที่ให้ชมกันทุกซอกทุกมุมในมหาวิทยาลัย ตั้งแต่ห้องเรียนไปจนถึงหอพักนักศึกษา เพื่อให้เห็นถึงความพร้อมของ มธ.ศูนย์รังสิต
"ผมขอบอกด้วยว่าที่จัดกิจกรรมนี้ไม่ได้ตั้งใจจะขยายจำนวนรับนักศึกษาปริญญาตรีเพราะมหาวิทยาลัยประกาศนโยบายแล้วว่าจะไม่รับนักศึกษาปริญญาตรีเพิ่มมากกว่าที่เคยอีกแล้ว แต่จะเพิ่มนักศึกษาปริญญาโทกับปริญญาเอก ให้เป็น 15,000 คน ในปีหน้า โดยเป้าหมายของ มธ.คือไปสู่การวิจัย
ซึ่งจะเพิ่มหลักสูตรของปริญญาโท-เอก อีกปีละ 10 หลักสูตร" การเปิดบ้าน "ธรรมศาสตร์ Open House 2006" ก็เพื่อให้ทุกคนได้เห็นว่า
มธ.ศูนย์รังสิต ไม่ได้ไกลอีกต่อไปเช่นที่เคยเข้าใจมาในอดีต "เราพร้อมทุกอย่าง พร้อมจะมีชีวิตมหาวิทยาลัยที่สมบูรณ์นักศึกษามีสถานที่ออกกำลังกาย มีสถานที่เตะฟุตบอลกว่า 20 สนาม พื้นที่ว่างต่างๆสามารถใช้เป็นสนามฟุตบอลได้หมด มีทั้งฟิตเนส สระว่ายน้ำให้นักศึกษาได้ใช้ชีวิตวัยรุ่นอย่างเต็มที่
ซึ่งวัยรุ่นควรได้ผ่านช่วงชีวิตแบบนี้ ไม่มีช่วงชีวิตไหนที่จะดีเท่ากับช่วงเรียนในมหาวิทยาลัย ที่อยู่ในแวดวงชีวิตหนุ่มสาวด้วยกัน เพราะได้คิดได้ทำอะไร เรียนรู้อะไร อย่างอิสระ"
เสียงย้ำหนักแน่นเกี่ยวกับ "จิตวิญญาณธรรมศาสตร์" ซึ่งเคยเป็นข้อถกเถียงของฝ่ายที่เห็นควรย้ายและไม่เห็นควรย้ายกันมาคราวที่แล้ว
โดยอาจารย์อธิการบดีบอกว่า จิตวิญญาณของธรรมศาสตร์ไม่ได้เปลี่ยนไปจากเดิม เพราะนักศึกษายังร่วมกันทำกิจกรรมทางการเมือง เขียนป้ายด่ารัฐบาลคัดค้านการนำมหาวิทยาลัยออกนอกระบบ ยังสามารถทำได้ ซึ่งที่ศูนย์รังสิตอาจมีอิสระมากกว่า เพราะมีพื้นที่กว้างกว่า
"ผมว่า...คนเหลืองแดงอยู่ที่ไหนก็เป็นแบบนั้น เพราะสิ่งแวดล้อมในมหาวิทยาลัยส่งเสริมตั้งแต่เข้ามาเป็นนักศึกษาแล้วไม่มีรุ่นพี่รุ่นน้องในความหมายที่รุ่นน้องจะต้องเชื่อฟังหรือยอมรุ่นพี่ระบบบริหารมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ก็ไม่เป็นแบบนั้นด้วย ผู้บริหาร นักศึกษา กับมหาวิทยาลัยใกล้ชิดกันมาก พูดคุยถกเถียงกันได้"
"...เด็กมัธยมปลายเข้ามาเรียนในธรรมศาสตร์ จะกลายเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาทันที ไม่มีใครบังคับให้ใครทำอะไรทุกคนต้องรับผิดชอบตัวเอง..."
"การเรียนการสอน อาจารย์จะไม่บังคับนักศึกษา ทำได้มากที่สุดก็แค่ให้คำแนะนำเท่านั้น จากนั้นนักศึกษาก็ไปตัดสินใจเองนีคือ...ธรรมศาสตร์"
อาจารย์สุรพลเว้นวรรคเรื่องของประชาธิปไตยการเรียนการสอน มาเท้าความถึงมติสภามหาวิทยาลัยว่า
สภามหาวิทยาลัยมีมติเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2548 ให้นักศึกษาระดับปริญญาตรีทุกชั้นปีเรียนที่ศูนย์รังสิต จ.ปทุมธานี ตลอดทั้ง 4 ชั้นปีซึ่งแนวคิดนี้มีมาตั้งแต่สมัย ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ เป็นอธิการบดี
เพราะเห็นว่าพื้นที่บริเวณท่าพระจันทร์ไม่สามารถขยายออกไปได้อีก ที่ดินที่ท่าพระจันทร์มีเพียง 49 ไร่ ทำให้การขยายตัวลำบาก
ทั้งในแง่การเปิดคณะใหม่ และการรับนักศึกษาเพิ่ม และมีความแออัดสูง ในขณะนั้นมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์มีที่ดินอยู่หนึ่งแปลงที่ อ.บางชัน
ตอนนี้เป็นที่ตั้งของนิคมอุตสหกรรมบางชัน จึงแลกเปลี่ยนที่ดินกับกระทรวงอุตสหากรรมซึ่งมีที่ดินอยู่ที่รังสิต"
อาจารย์ป๋วยคิดว่าพื้นที่ทางภาคเหนือของกรุงเทพฯน่าจะมีทิศทางการเจริญเติบโตได้มากกว่า ธรรมศาสตร์จึงฟื้นที่ตรงนี้มา
ระยะหลังแนวทางการขยายตัวของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เริ่มชัดเจนขึ้น จึงมีการซื้อและเวนคืนที่ดินเพิ่มขึ้นจนปัจจุบันนี้มีประมาณ 2,800 ไร่
ติดกับถนนพหลโยธิน ส่วนหนึ่งประมาณ 1,000 ไร่ แบ่งให้สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย (เอไอที) เช่า"
ประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของธรรมศาสตร์เดินต่อไป เมื่อ 10 ปีที่ผ่านมา
อาจารย์นรนิติ เศรษฐบุตร อดีตอธิการบดี ต้องการให้ฐานทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของมหาวิทยาลัยเข้มแข็ง จึงให้กระทรวงวิทยาศาสตร์ใช้พื้นที่ประมาณ 100 ไร่ เพื่อให้สร้างอุทยานวิทยาศาสตร์แห่งชาติ ทั้งหมดเป็นพื้นที่ผืนเดียวกันตลอด
บวกลบแล้วธรรมศาสตร์เหลือพื้นที่อีกประมาณ 1,700 ไร่ ที่มหาวิทยาลัยใช้อยู่ เมื่อการก่อสร้างศูนย์รังสิตเป็นรูปเป็นร่างในปี 2529 การเรียนการสอนของนักศึกษาชั้นปี 1 ก็เริ่มขึ้น โดยปี 1
ทั้งหมดเรียนที่ศูนย์รังสิต พอขึ้นปี 2 กลับไปเรียนที่ท่าพระจันทร์ช่วงแรกๆ นั้น มีคณะเปิดใหม่เพียงคณะเดียวคือ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีซึ่งมาตั้งฐานที่นี่
กระทั่งปี 2546 ก็ได้ให้นักศึกษาปี 2 ไปเรียนที่ศูนย์รังสิต เพิ่มจากชั้นปี 1 พอขึ้นปี 3-ปี 4 ให้กลับไปเรียนที่ท่าพระจันทร์
ขณะเดียวกันที่ศูนย์รังสิตคณะต่างๆ เริ่มขยายตัวมากขึ้น มีจำนวนถึง 10 คณะ ยังคงเหลืออยู่ที่ท่าพระจันทร์ 8 คณะ
กระทั่งปัจจุบันแต่ละคณะได้ขยับขยายย้ายไปที่ศูนย์รังสิตกันหมดแล้ว ซึ่งชุมชนก็เป็นชุมชนขนาดใหญ่มากขึ้น
ถึงวันนี้ อาจารย์สุรพลบอกว่า มธ.ศูนย์รังสิต มีความพร้อมในทุกด้าน ทั้งการบริการ สภาพแวดล้อมที่เวลานี้ต้นไม้เริ่มแตกยอดออกใบให้ความร่มรื่นกว่าเก่าและมีการปลูกต้นไม้เพิ่มขึ้นทุกปี
ธรรมศาสตร์แห่งใหม่ได้สร้างอาคารเรียนรวมขนาดใหญ่ เป็นอาคารเรียนรวมของกลุ่ม "สังคมศาสตร์" ที่รองรับ 8 คณะ จากท่าพระจันทร์ มีพื้นที่ 80 ไร่
เพื่อให้แต่ละคณะมีอาคารเรียนของตัวเอง "ในปี 2551 ที่ท่าพระจันทร์จะไม่มีนักศึกษาปริญญาตรีอีกแล้ว นอกจากนักศึกษาปริญญาตรีหลักสูตรที่ตั้งฐานที่ท่าพระจันทร์โดยความเห็นชอบของสภามหาวิทยาลัย เช่น หลักสูตรนานาชาติบางหลักสูตร
อย่างหลักสูตร บีบีเอ ของคณะพาณิชยศาสตร์ บริหารธุรกิจ
เศรษฐศาสตร์ภาษาอังกฤษ
หลักสูตร บีเอเอส หลักสูตรปริญญาตรีควบโท ของคณะพาณิชยศาสตร์และเศรษฐศาสตร์ เรียน 5 ปี จบปริญญาโท ซึ่งจะเปิดในปี 2550 เหล่านี้คือข้อยกเว้น
ท่าพระจันทร์จะเป็นศูนย์การเรียนปริญญาโทและปริญญาเอกและการบริการสังคม"ส่วนหอพักนักศึกษา อธิการบดีการันตีไม่ต้องห่วง เพราะมีหอพักเพิ่ม สามารถรองรับนักศึกษาได้ประมาณ 12,000 คน จากจำนวนนักศึกษาธรรมศาสตร์ที่มีมากกว่านั้นประมาณ 24,000 คน
แต่ก็ไม่ใช่นักศึกษาทุกคนที่จะอยู่หอพัก ธรรมศาสตร์เพิ่งจะเซ็นสัญญาให้บริษัทไอเอ็นจี ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวมไอเอ็นจีใช้ที่ดินฝั่งตรงข้ามมหาวิทยาลัยที่จะสร้างหอพักเพิ่มอีก 5,000 เตียง ในปีหน้าจะสามารถรับนักศึกษาได้ทั้งหมด 17,000 คน
ซึ่งทางมหาวิทยาลัยแน่ใจว่าเพียงพอกับจำนวนนักศึกษา
นอกจากนี้ มธ.มีห้องสมุดมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในประเทศไทย เป็นห้องสมุดขนาดใหญ่และมีระบบการยืม-คืนหนังสืออัตโนมัติ
มีสื่อมัลติมีเดียครบถ้วนไว้บริการ และยังมีสนามกีฬาในมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ให้เล่นกีฬาด้วย
"ผมเชื่อว่า มธ.เป็นมหาวิทยาลัยสมบูรณ์แบบเพียงไม่กี่แห่งในประเทศไทย คือมีคณะสังคมศาสตร์ มนุษยศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และคณะวิทยาศาสตร์สุขภาพ ซึ่งไม่ได้ด้อยกว่าใคร"
วันที่ 15 ธันวาคม หากอยากสัมผัสธรรมศาสตร์แห่งใหม่ ผู้บริหาร อาจารย์ และนักศึกษา มธ. เชิญชวนร่วมงาน "ธรรมศาสตร์ Open House 2006 เปิดบ้านแม่โดมศูนย์รังสิต"
นอกจากงานดังกล่าวแล้ว ยังมี "ธรรมศาสตร์บุ๊คเฟสติวัล" ที่โรงยิมเนเซียม 1 หน้ามหาวิทยาลัย ซึ่งอธิการบดีสุรพลรับประกันว่าจะมีหนังสือมากกว่า 2 ล้านเล่ม ขายในราคาถูก จากสำนักพิมพ์มากมาย
เป็นการเปิดตลาดหนังสือทางตอนเหนือของกรุงเทพฯ "ธรรมศาสตร์บุ๊คเฟสติวัล" จะจัดขึ้นในวันที่ 15-24 ธันวาคม เปิดตั้งแต่ 10.00-21.00 น. และจะจัดเป็นประจำทุกปี มีกิจกรรมพบนักเขียน เชลล์ชวนชิม และอื่นๆ อีกมากมายถือเป็นงานใหญ่ที่ไม่ควรพลาด
อยากรู้ อยากเห็นภาพ และความเป็นจริง ทั้งจิตวิญญาณ และความเจริญก้าวหน้า ทันสมัย ต้องไปพิสูจน์ด้วยตัวเอง
Charnvit Kasetsiri, Ph.D.
Senior Adviser and Lecturer Southeast Asian Studies Program
Thammasat University Bangkok 10200, Thailand
Secretary>>Social Sciences and Humanities Textbook Foundation
413/38 Arun-Amarin Road Bangkok 10700, Thailand
handphone 089-476-0505>>e-mail: charnvitkasetsiri@yahoo.com;
h-pages: http://textbooksproject.com/HOME.html,
http://www.tu.ac.th/org/arts/seas; 662-424-5768, fax. 662-433-8713