ความรู้สึกเมื่อไปงานเฉลิมฉลอง
โพสต์แล้ว: อังคาร พ.ค. 08, 2007 10:17 am
งานหิรัญสมโภชคณะภคินีพระหฤทัยของพระเยซูเจ้าแห่งกรุงเทพ
ข้าพเจ้าได้ไปร่วมงานหิรัญสมโภชซิสเตอร์พระหฤทัยที่คลองเตยมาเมื่อเดือนเมษาฯ มีข้อแบ่งปันมาเล่าสู่กันฟัง ดังนี้
1. ข้าพเจ้าขอออกตัวก่อนว่า ตอนแรกก็ไม่ได้คิดสนใจจะไป แต่เนื่องจากเพื่อนของข้าพเจ้าพูดถึงอารามคลองเตยบ่อยๆ บ่อยเสียจนทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกอยากไป อีกอย่างหนึ่ง ข้าพเจ้าเคยเห็นตามปกเทปเพลงวัดที่ผลิตออกมาวางขาย เสียงผู้ชายมักจะให้เณรแสงธรรมร้อง ส่วนเสียงผู้หญิงก็มักจะเป็นซิสเตอร์พระหฤทัยฯ คิดว่าซิสเตอร์คณะนี้น่าจะร้องเพลงเพราะ งานใหญ่อย่างงานหิรัญสมโภชคงได้ฟังเสียงซิสเตอร์ขับเพลง คิดได้ดังนี้ ก็อดใจไม่ไหว ต้องลองไปสักหน่อย (บางท่านอาจเข้าใจว่าที่ข้าพเจ้ามาร่วมงานในครั้งนั้น ก็คงเป็นเพราะข้าพเจ้ารู้จักซิสเตอร์บางท่าน ข้าพเจ้าขอสารภาพว่า นอกจากคุณแม่มหาธิการิณีแล้ว ข้าพเจ้าไม่รู้จักใครอีกเลย วันนั้นก็กะจะเข้าไปทักทายท่าน แต่ท่านคงยุ่ง ก็เลยไม่ได้คุยกับคุณแม่)
2. ข้าพเจ้าไปถึงเช้ามากๆๆๆๆ มีเสียงครูและซิสเตอร์ประกาศผ่านไมโครโฟนแสดงการต้อนรับแขกผู้มาเยือน
3. เนื่องจากข้าพเจ้าไปถึงเช้ามากเช่นนั้น ข้าพเจ้าไม่รู้จะไปไหน นึกขึ้นมาได้ว่าเพื่อนข้าพเจ้าเคยเล่าถึงวัดน้อยในอาราม ข้าพเจ้าก็เลยดำริไปเยือนวัดน้อยสักหน่อย วัดน้อยอยู่สูงมากๆ ต้องตะกายขึ้นไป เพื่อนข้าพเจ้าเล่าให้ฟังว่าเวลาพี่แกไปฉลองอารามแทบจะต้อง"คลาน"ขึ้นไป(ทั้งๆที่พี่แกเป็นคนบ่ยั่นไม่หวั่นการขึ้นบันไดสูง)เพราะบันไดค่อนข้างชันและเวียนวนอยู่หลายรอบกว่าจะขึ้นไปถึงวัดได้ ขึ้นไปได้เห็นแล้วก็ชื่นอกชื่นใจ เพราะสวยงามตามสไตล์คาทอลิกไทย(แต่ขอเน้นว่าไม่ใช่ทรงไทยนะครับ) เรียบง่ายดี มีธรรมมาสน์ด้วย
4. พิธีมิสซาบูชาขอบพระคุณจัดในอาคารหนึ่งศตวรรษคณะพระหฤทัย ซึ่งเป็นครั้งแรกที่จัดพิธีหิรัญสมโภชในอาคารดังกล่าว เพราะแต่ก่อนจะจัดกันในวัดน้อย ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นก็คงต้องตะกายหรือคลานกันขึ้นไปอย่างที่เพื่อนข้าพเจ้าว่ามา คนที่ไปถึงทีหลังๆก็คงเกาะราวบันไดร่วมมิสซา หรือไม่ก็ไปนั่งชั้นอื่นโดยร่วมมิสซาผ่านระบบโทรทัศน์วงจรปิด
5. อาคารหนึ่งศตวรรษเป็นอาคารใหม่ มีรูปปูนปั้นประดับโดยรอบ เป็นภาพเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของคณะพระหฤทัยฯ ด้านหน้าตรงข้ามประตูทางเข้ามีรูปบุคคลสำคัญของคณะและมหาธิการิณีของคณะด้วยครับ
6. ซิสเตอร์ท่านหนึ่งประกาศเชิญชวนพี่น้องทั้งหลายให้เข้าไปเตรียมร่วมพิธีในอาคารดังกล่าว โดยกล่าวว่าในห้องประชุมที่ใช้ประกอบพิธีนั้น"แอร์เย็นฉ่ำ" ข้าพเจ้าเข้าไปเป็นคนแรกๆเพราะกลัวไม่มีที่นั่ง ผลปรากฏว่าแอร์เย็นฉ่ำจริงแฮะ ชื่นอกชื่นใจเหลือเกิน เนื่องจากวันที่จัดงานนั้น ฟ้าหลัวแต่เช้า อากาศอบอ้าว เก็กซิมมากๆ
7. ในพิธีนั้นที่น่าประทับใจก็คือคณะนักขับ ซึ่งก็คือเหล่าภคินีทั้งสาวและไม่ค่อยสาวนัก (ส่วนที่แก่ไปเลยนั้นไม่ปรากฎ) ขับเพลงไพเราะน่าประทับใจมาก เสียงเสนาะ หวาน อลังการ วาทยากรก็เป็นซิสเตอร์ท่านหนึ่ง ทำหน้าที่ได้อลังการมาก น่าประทับใจ เพลงในวันนั้นไพเราะถึงขนาดที่ว่าอยากเอาเทปอัดไว้ เก็บไปฟังที่บ้าน
8. หลังพิธี ยังไม่ทันเดินออกจากห้องประชุมดีเลย ก็ได้ยินเสียงดนตรีแว่วมาจากข้างนอก โอ ที่ไหนได้ เป็นวงดนตรีโรงเรียนพระหฤทัยคอนแวนต์ นักเรียนเล่นดนตรี ส่วนนักร้องก็เป็นพวกครูนั่นเอง เพลงที่ร้องนั้นเป็นเพลงลูกทุ่ง สัตบุรุษก็กินข้าวกลางวันกันไป ฟังเพลงไป ครื้นเครงใจยิ่ง ข้าพเจ้าไม่เข้าไปร่วมวงข้าว เพราะขี้เกียจไปแย่งกับชาวบ้านร้านช่อง จากประสบการณ์การไปฉลองวัดและงานนักบวช เจ้าภาพมักจะจัดอาหารกลางวันให้แขกเหรื่อผู้ให้เกียรติมาร่วมงาน แต่สัตบุรุษจำนวนไม่น้อยมีพฤติกรรมที่ไม่น่าพิสมัย เช่น แซงคิว ลัดคิว เขาให้ต่อคิวเป็นแถวตอนเรียงหนึ่ง พี่แกดันปรับเป็นแถวหน้ากระดานเรียงหนึ่ง แล้วรุมออกันอยู่หน้าแผงแจกอาหาร แหกปากกันเข้าไป " ... ผัดไทย ... หอยทอด ... ก๋วยจั๊บ ... กระเพาะปลา ..." กล่าวได้ว่าในบรรดาอาหารทั้งหลายที่นำมาจัดเลี้ยงกันนั้น พวกอาหารพิเศษที่ขายกันแพงๆข้างนอกมักจะได้รับความนิยมจากสัตบุรุษเป็นพิเศษ ใครที่ไม่อยากไปแย่งกับคนอื่นต้องกินข้าวแกง พวกข้าวราดกับน่ะ อันนี้คนน้อยหน่อย ถ้าเป็นพวกขาหมู คากิ หมูหัน อันนี้คงยิ่งกว่างานเทกระจาด ถ้าพูดให้เวอร์ๆหน่อย ก็อาจพอกล่าวได้ว่ามีสิทธิ์เหยียบกันตาย หุ หุ ฉะนั้นอาหารชั้นดีพวกนี้ ถ้าอยากกินแต่ไม่ต้องการไปเบียดกับใคร เก็บเงินไปซื้อกินเองที่อื่นดีกว่า สัตบุรุษบางคนมีพฤติกรรมประหลาด น่าเบื่อ เก็กซิม เช่น ยังไม่ทันถึงคิวของตัวเองเลย คว้าชามก๋วยเตี๋ยวที่ลวกเส้น เนื้อสัตว์ใส่ไว้เรียบร้อยแล้ว รอตักน้ำใส่ ยื่นเข้าไป แบบเร่งๆให้คนตักตักน้ำก๋วยเตี๋ยวใส่ให้ ข้าวหมูแดงก็เหมือนกัน คว้าจานข้าวที่ตักข้าวกับเนื้อหมูไว้เรียบร้อยแล้ว รีบๆยื่นเข้าไปให้คนตักน้ำหมูแดงราดน้ำให้ ทั้งๆที่ยังไม่ถึงคิวของตัวเองดีเลย บางคนยังไม่ทันถึงคิวตัวเองดีเลย พนักงานกำลังตักน้ำก๋วยเตี๋ยวให้คนข้างหน้าอยู่ ดันแหกปากตะโกนแซงออกมาละ "ของเจ๊ไม่เอาตับ ไม่ใส่ถั่วงอกนะ" ยังไม่ถึงคิวตัวเองสักหน่อย อะไรทำนองนี้ เวลาตักเครื่องปรุงก็เหมือนกัน แย่งกันตัก น้ำตาลกระจายเต็มโต๊ะ พริกป่นร่วงไปในชามน้ำปลา พวกอยากกินเค็มๆแต่ไม่อยากกินเผ็ดๆ ก็เลยไม่รู้จักตักน้ำปลาอย่างไร จะให้ช้อนพริกขึ้นมาก่อนแล้วค่อยตักน้ำปลาหรือ ก็ใช่ที่ น้ำส้มกระฉอก ดีไม่ดี พริกที่หั่นใส่น้ำส้มกระเด็นกระดอนลอยไปติดหัวคนใกล้ๆ โอย เหตุการณ์เช่นนี้ชวนให้ไม่น่าดู มางานบุญแทนที่จะได้ไปบุญไปเต็มๆ แบบว่าตอนร่วมพิธีนั้น ได้แก้บาปรับศีลแล้ว อันนี้ได้บุญ แต่ต้องมาสู้รบปรบมือกับพวกสัตบุรุษทำนองนี้ บางครั้งอดใจไม่อยู่ พ่ายแพ้การผจญล่อลวง ด่าไปยกหนึ่ง กระแทกกลับให้หายแค้นอันนี้เหมือนแถมบาปพกกลับบ้านไปด้วย สรุปมางานบุญ นอกจากได้บุญ อาจแถมพกบาปติดตัวกลับไปด้วยอีกโสตหนึ่ง เช่นนี้แล้ว ข้าพเจ้าจึงตัดสินใจไม่กินอะไรในวันนั้น แบกความหิวกลับไปกินข้าวยำปักษ์ใต้แถวบ้านดีกว่า
9. แม้จะไม่กินอะไร แต่ก็ยืนฟังเพลงลูกทุ่งอยู่หน่อยนึง ลมพัดเย็นๆเอื่อยๆ ฟังเพลงลูกทุ่งเย็นๆใจ สบายใจนักแล เพลงส่วนใหญ่ที่คัดมาร้องวันนั้นก็เป็นเพลงลูกทุ่งมันส์ๆ ร้องเร็วๆ เช่น สัญญาเมื่อสายัณห์ แต่มีอยู่เพลงหนึ่ง รับไม่ด้ายยยยยยยยยจริงๆ นั่นก็คือเพลง"ชวนน้องแต่งงาน"
10. ที่ว่าเพลง"ชวนน้องแต่งงาน" ข้าพเจ้ารับไม่ได้นั้น ก่อนอื่นดูเนื้อเพลงก่อน ดังนี้
ชวนน้องแต่งงาน
ทำไมน้องไม่แต่งงาน1จะอยู่อีกนานเท่าไร จะครองโสดความสาวให้หนาวใจ ไว้คอยใครเล่าหนา
ประเดี๋ยวก็แก่เกินกาล เหมือนเรือขึ้นคานเกยท่า ใครจะมาเมียงมองและหมายตา ในวัยชราหย่อนยาน2
แต่งงานเถิดน้อง อย่ามัวแต่มองข้ามผ่าน เดี๋ยวตายไปยมบาลไม่สงสาร3 อดขึ้นสวรรค์เลยหนอ4
ทำไมน้องไม่แต่งงาน หรือน้องต้องการคนหล่อ รูปร่างของพี่ก็ดีพอ มาเถิดน้องมาแต่งงานกัน
ข้อวิเคราะห์
10.1 วรรคแรกก็อึ้งแล้ววววว ร้องมาด้ายยยยยยยยยยยย "ทำไมน้องไม่แต่งงาน" ที่ไม่แต่งงานน่ะก็ที่คลุมผ้าสีขาวเดินไปเดินมาทั้งอารามนั่นแหละน้องงงงงงง ร้องมาได้งายยยยยยยยยยยยยยยยยยย เดี๋ยวเกิดคึกลุกขึ้นมาพากันไปแต่งงานแต่งการกันหมดจะทำงายยยยยยยยยยยยยยย นับได้ว่าเพลง"ชวนน้องแต่งงาน"นี้เป็นการผจญล่อลวงอย่างหนึ่งสำหรับซิสเตอร์ทั้งหลาย
10.2 "ในวัยชราหย่อนยาน" โอ๊ยยยยยยยยยยย ร้องมาด้ายยยยยยยยยยยย ในอารามเนี้ย ก็ยานหย่อนกันหลายรูปแล้วจ้ะ ร้องเช่นนี้นับเป็นการปรามาสผู้ชรานะจ๊ะ โอ้โห ร้องมาด้ายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย
10.3 เราเชื่อกันว่าในวันสุดท้ายพระคริสตเจ้าจะทรงเสด็จมาพิพากษาผู้เป็นและผู้ตาย แล้วร้องมาด้ายยยยยยยยงายยยยยยยยยว่า"เดี๋ยวตายไปยมบาลไม่สงสาร" ซูแปร์ติซังมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
10.4 "อดขึ้นสวรรค์เลยหนอ" ร้องออกมาอย่างนี้ก็แสดงว่า"เชื่อว่าไม่ได้แต่งงาน ยมบาลก็เลยไม่สงสาร เป็นเหตุให้อดขึ้นสวรรค์" สรุปคือ เหตุ=ไม่ได้แต่งงาน(อยู่เป็นโสด) -- ผล=อดขึ้นสวรรค์ อย่างนี้ไม่ตกนรกกันทั้งอารามดอกหรือเนี่ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย ร้องออกมาได้งายยยยยยยยยย เฮเรติ๊กกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก โอ๊ย จะเป็นลมมมมมมมมมม
สุดท้าย ข้าพเจ้าก็กลับบ้าน ก่อนเข้าบ้าน แวะกินข้าวยำปักษ์ใต้แถวบ้านให้เปรมปาก อิ่มท้อง ไม่ต้องไปแย่งกับใครให้วุ่นวาย กินเสร็จก็ขึ้นรถเมล์กลับเข้าบ้าน นอน สบายแฮ
ข้าพเจ้าได้ไปร่วมงานหิรัญสมโภชซิสเตอร์พระหฤทัยที่คลองเตยมาเมื่อเดือนเมษาฯ มีข้อแบ่งปันมาเล่าสู่กันฟัง ดังนี้
1. ข้าพเจ้าขอออกตัวก่อนว่า ตอนแรกก็ไม่ได้คิดสนใจจะไป แต่เนื่องจากเพื่อนของข้าพเจ้าพูดถึงอารามคลองเตยบ่อยๆ บ่อยเสียจนทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกอยากไป อีกอย่างหนึ่ง ข้าพเจ้าเคยเห็นตามปกเทปเพลงวัดที่ผลิตออกมาวางขาย เสียงผู้ชายมักจะให้เณรแสงธรรมร้อง ส่วนเสียงผู้หญิงก็มักจะเป็นซิสเตอร์พระหฤทัยฯ คิดว่าซิสเตอร์คณะนี้น่าจะร้องเพลงเพราะ งานใหญ่อย่างงานหิรัญสมโภชคงได้ฟังเสียงซิสเตอร์ขับเพลง คิดได้ดังนี้ ก็อดใจไม่ไหว ต้องลองไปสักหน่อย (บางท่านอาจเข้าใจว่าที่ข้าพเจ้ามาร่วมงานในครั้งนั้น ก็คงเป็นเพราะข้าพเจ้ารู้จักซิสเตอร์บางท่าน ข้าพเจ้าขอสารภาพว่า นอกจากคุณแม่มหาธิการิณีแล้ว ข้าพเจ้าไม่รู้จักใครอีกเลย วันนั้นก็กะจะเข้าไปทักทายท่าน แต่ท่านคงยุ่ง ก็เลยไม่ได้คุยกับคุณแม่)
2. ข้าพเจ้าไปถึงเช้ามากๆๆๆๆ มีเสียงครูและซิสเตอร์ประกาศผ่านไมโครโฟนแสดงการต้อนรับแขกผู้มาเยือน
3. เนื่องจากข้าพเจ้าไปถึงเช้ามากเช่นนั้น ข้าพเจ้าไม่รู้จะไปไหน นึกขึ้นมาได้ว่าเพื่อนข้าพเจ้าเคยเล่าถึงวัดน้อยในอาราม ข้าพเจ้าก็เลยดำริไปเยือนวัดน้อยสักหน่อย วัดน้อยอยู่สูงมากๆ ต้องตะกายขึ้นไป เพื่อนข้าพเจ้าเล่าให้ฟังว่าเวลาพี่แกไปฉลองอารามแทบจะต้อง"คลาน"ขึ้นไป(ทั้งๆที่พี่แกเป็นคนบ่ยั่นไม่หวั่นการขึ้นบันไดสูง)เพราะบันไดค่อนข้างชันและเวียนวนอยู่หลายรอบกว่าจะขึ้นไปถึงวัดได้ ขึ้นไปได้เห็นแล้วก็ชื่นอกชื่นใจ เพราะสวยงามตามสไตล์คาทอลิกไทย(แต่ขอเน้นว่าไม่ใช่ทรงไทยนะครับ) เรียบง่ายดี มีธรรมมาสน์ด้วย
4. พิธีมิสซาบูชาขอบพระคุณจัดในอาคารหนึ่งศตวรรษคณะพระหฤทัย ซึ่งเป็นครั้งแรกที่จัดพิธีหิรัญสมโภชในอาคารดังกล่าว เพราะแต่ก่อนจะจัดกันในวัดน้อย ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นก็คงต้องตะกายหรือคลานกันขึ้นไปอย่างที่เพื่อนข้าพเจ้าว่ามา คนที่ไปถึงทีหลังๆก็คงเกาะราวบันไดร่วมมิสซา หรือไม่ก็ไปนั่งชั้นอื่นโดยร่วมมิสซาผ่านระบบโทรทัศน์วงจรปิด
5. อาคารหนึ่งศตวรรษเป็นอาคารใหม่ มีรูปปูนปั้นประดับโดยรอบ เป็นภาพเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของคณะพระหฤทัยฯ ด้านหน้าตรงข้ามประตูทางเข้ามีรูปบุคคลสำคัญของคณะและมหาธิการิณีของคณะด้วยครับ
6. ซิสเตอร์ท่านหนึ่งประกาศเชิญชวนพี่น้องทั้งหลายให้เข้าไปเตรียมร่วมพิธีในอาคารดังกล่าว โดยกล่าวว่าในห้องประชุมที่ใช้ประกอบพิธีนั้น"แอร์เย็นฉ่ำ" ข้าพเจ้าเข้าไปเป็นคนแรกๆเพราะกลัวไม่มีที่นั่ง ผลปรากฏว่าแอร์เย็นฉ่ำจริงแฮะ ชื่นอกชื่นใจเหลือเกิน เนื่องจากวันที่จัดงานนั้น ฟ้าหลัวแต่เช้า อากาศอบอ้าว เก็กซิมมากๆ
7. ในพิธีนั้นที่น่าประทับใจก็คือคณะนักขับ ซึ่งก็คือเหล่าภคินีทั้งสาวและไม่ค่อยสาวนัก (ส่วนที่แก่ไปเลยนั้นไม่ปรากฎ) ขับเพลงไพเราะน่าประทับใจมาก เสียงเสนาะ หวาน อลังการ วาทยากรก็เป็นซิสเตอร์ท่านหนึ่ง ทำหน้าที่ได้อลังการมาก น่าประทับใจ เพลงในวันนั้นไพเราะถึงขนาดที่ว่าอยากเอาเทปอัดไว้ เก็บไปฟังที่บ้าน
8. หลังพิธี ยังไม่ทันเดินออกจากห้องประชุมดีเลย ก็ได้ยินเสียงดนตรีแว่วมาจากข้างนอก โอ ที่ไหนได้ เป็นวงดนตรีโรงเรียนพระหฤทัยคอนแวนต์ นักเรียนเล่นดนตรี ส่วนนักร้องก็เป็นพวกครูนั่นเอง เพลงที่ร้องนั้นเป็นเพลงลูกทุ่ง สัตบุรุษก็กินข้าวกลางวันกันไป ฟังเพลงไป ครื้นเครงใจยิ่ง ข้าพเจ้าไม่เข้าไปร่วมวงข้าว เพราะขี้เกียจไปแย่งกับชาวบ้านร้านช่อง จากประสบการณ์การไปฉลองวัดและงานนักบวช เจ้าภาพมักจะจัดอาหารกลางวันให้แขกเหรื่อผู้ให้เกียรติมาร่วมงาน แต่สัตบุรุษจำนวนไม่น้อยมีพฤติกรรมที่ไม่น่าพิสมัย เช่น แซงคิว ลัดคิว เขาให้ต่อคิวเป็นแถวตอนเรียงหนึ่ง พี่แกดันปรับเป็นแถวหน้ากระดานเรียงหนึ่ง แล้วรุมออกันอยู่หน้าแผงแจกอาหาร แหกปากกันเข้าไป " ... ผัดไทย ... หอยทอด ... ก๋วยจั๊บ ... กระเพาะปลา ..." กล่าวได้ว่าในบรรดาอาหารทั้งหลายที่นำมาจัดเลี้ยงกันนั้น พวกอาหารพิเศษที่ขายกันแพงๆข้างนอกมักจะได้รับความนิยมจากสัตบุรุษเป็นพิเศษ ใครที่ไม่อยากไปแย่งกับคนอื่นต้องกินข้าวแกง พวกข้าวราดกับน่ะ อันนี้คนน้อยหน่อย ถ้าเป็นพวกขาหมู คากิ หมูหัน อันนี้คงยิ่งกว่างานเทกระจาด ถ้าพูดให้เวอร์ๆหน่อย ก็อาจพอกล่าวได้ว่ามีสิทธิ์เหยียบกันตาย หุ หุ ฉะนั้นอาหารชั้นดีพวกนี้ ถ้าอยากกินแต่ไม่ต้องการไปเบียดกับใคร เก็บเงินไปซื้อกินเองที่อื่นดีกว่า สัตบุรุษบางคนมีพฤติกรรมประหลาด น่าเบื่อ เก็กซิม เช่น ยังไม่ทันถึงคิวของตัวเองเลย คว้าชามก๋วยเตี๋ยวที่ลวกเส้น เนื้อสัตว์ใส่ไว้เรียบร้อยแล้ว รอตักน้ำใส่ ยื่นเข้าไป แบบเร่งๆให้คนตักตักน้ำก๋วยเตี๋ยวใส่ให้ ข้าวหมูแดงก็เหมือนกัน คว้าจานข้าวที่ตักข้าวกับเนื้อหมูไว้เรียบร้อยแล้ว รีบๆยื่นเข้าไปให้คนตักน้ำหมูแดงราดน้ำให้ ทั้งๆที่ยังไม่ถึงคิวของตัวเองดีเลย บางคนยังไม่ทันถึงคิวตัวเองดีเลย พนักงานกำลังตักน้ำก๋วยเตี๋ยวให้คนข้างหน้าอยู่ ดันแหกปากตะโกนแซงออกมาละ "ของเจ๊ไม่เอาตับ ไม่ใส่ถั่วงอกนะ" ยังไม่ถึงคิวตัวเองสักหน่อย อะไรทำนองนี้ เวลาตักเครื่องปรุงก็เหมือนกัน แย่งกันตัก น้ำตาลกระจายเต็มโต๊ะ พริกป่นร่วงไปในชามน้ำปลา พวกอยากกินเค็มๆแต่ไม่อยากกินเผ็ดๆ ก็เลยไม่รู้จักตักน้ำปลาอย่างไร จะให้ช้อนพริกขึ้นมาก่อนแล้วค่อยตักน้ำปลาหรือ ก็ใช่ที่ น้ำส้มกระฉอก ดีไม่ดี พริกที่หั่นใส่น้ำส้มกระเด็นกระดอนลอยไปติดหัวคนใกล้ๆ โอย เหตุการณ์เช่นนี้ชวนให้ไม่น่าดู มางานบุญแทนที่จะได้ไปบุญไปเต็มๆ แบบว่าตอนร่วมพิธีนั้น ได้แก้บาปรับศีลแล้ว อันนี้ได้บุญ แต่ต้องมาสู้รบปรบมือกับพวกสัตบุรุษทำนองนี้ บางครั้งอดใจไม่อยู่ พ่ายแพ้การผจญล่อลวง ด่าไปยกหนึ่ง กระแทกกลับให้หายแค้นอันนี้เหมือนแถมบาปพกกลับบ้านไปด้วย สรุปมางานบุญ นอกจากได้บุญ อาจแถมพกบาปติดตัวกลับไปด้วยอีกโสตหนึ่ง เช่นนี้แล้ว ข้าพเจ้าจึงตัดสินใจไม่กินอะไรในวันนั้น แบกความหิวกลับไปกินข้าวยำปักษ์ใต้แถวบ้านดีกว่า
9. แม้จะไม่กินอะไร แต่ก็ยืนฟังเพลงลูกทุ่งอยู่หน่อยนึง ลมพัดเย็นๆเอื่อยๆ ฟังเพลงลูกทุ่งเย็นๆใจ สบายใจนักแล เพลงส่วนใหญ่ที่คัดมาร้องวันนั้นก็เป็นเพลงลูกทุ่งมันส์ๆ ร้องเร็วๆ เช่น สัญญาเมื่อสายัณห์ แต่มีอยู่เพลงหนึ่ง รับไม่ด้ายยยยยยยยยจริงๆ นั่นก็คือเพลง"ชวนน้องแต่งงาน"
10. ที่ว่าเพลง"ชวนน้องแต่งงาน" ข้าพเจ้ารับไม่ได้นั้น ก่อนอื่นดูเนื้อเพลงก่อน ดังนี้
ชวนน้องแต่งงาน
ทำไมน้องไม่แต่งงาน1จะอยู่อีกนานเท่าไร จะครองโสดความสาวให้หนาวใจ ไว้คอยใครเล่าหนา
ประเดี๋ยวก็แก่เกินกาล เหมือนเรือขึ้นคานเกยท่า ใครจะมาเมียงมองและหมายตา ในวัยชราหย่อนยาน2
แต่งงานเถิดน้อง อย่ามัวแต่มองข้ามผ่าน เดี๋ยวตายไปยมบาลไม่สงสาร3 อดขึ้นสวรรค์เลยหนอ4
ทำไมน้องไม่แต่งงาน หรือน้องต้องการคนหล่อ รูปร่างของพี่ก็ดีพอ มาเถิดน้องมาแต่งงานกัน
ข้อวิเคราะห์
10.1 วรรคแรกก็อึ้งแล้ววววว ร้องมาด้ายยยยยยยยยยยย "ทำไมน้องไม่แต่งงาน" ที่ไม่แต่งงานน่ะก็ที่คลุมผ้าสีขาวเดินไปเดินมาทั้งอารามนั่นแหละน้องงงงงงง ร้องมาได้งายยยยยยยยยยยยยยยยยยย เดี๋ยวเกิดคึกลุกขึ้นมาพากันไปแต่งงานแต่งการกันหมดจะทำงายยยยยยยยยยยยยยย นับได้ว่าเพลง"ชวนน้องแต่งงาน"นี้เป็นการผจญล่อลวงอย่างหนึ่งสำหรับซิสเตอร์ทั้งหลาย
10.2 "ในวัยชราหย่อนยาน" โอ๊ยยยยยยยยยยย ร้องมาด้ายยยยยยยยยยยย ในอารามเนี้ย ก็ยานหย่อนกันหลายรูปแล้วจ้ะ ร้องเช่นนี้นับเป็นการปรามาสผู้ชรานะจ๊ะ โอ้โห ร้องมาด้ายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย
10.3 เราเชื่อกันว่าในวันสุดท้ายพระคริสตเจ้าจะทรงเสด็จมาพิพากษาผู้เป็นและผู้ตาย แล้วร้องมาด้ายยยยยยยยงายยยยยยยยยว่า"เดี๋ยวตายไปยมบาลไม่สงสาร" ซูแปร์ติซังมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
10.4 "อดขึ้นสวรรค์เลยหนอ" ร้องออกมาอย่างนี้ก็แสดงว่า"เชื่อว่าไม่ได้แต่งงาน ยมบาลก็เลยไม่สงสาร เป็นเหตุให้อดขึ้นสวรรค์" สรุปคือ เหตุ=ไม่ได้แต่งงาน(อยู่เป็นโสด) -- ผล=อดขึ้นสวรรค์ อย่างนี้ไม่ตกนรกกันทั้งอารามดอกหรือเนี่ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย ร้องออกมาได้งายยยยยยยยยย เฮเรติ๊กกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก โอ๊ย จะเป็นลมมมมมมมมมม
สุดท้าย ข้าพเจ้าก็กลับบ้าน ก่อนเข้าบ้าน แวะกินข้าวยำปักษ์ใต้แถวบ้านให้เปรมปาก อิ่มท้อง ไม่ต้องไปแย่งกับใครให้วุ่นวาย กินเสร็จก็ขึ้นรถเมล์กลับเข้าบ้าน นอน สบายแฮ