Anti-Hazing Law : กฎหมายต่อต้านการรับน้อง
Anti-Hazing Law : กฎหมายต่อต้านการรับน้อง
.
Hazing คืออะไร ?
Hazing คือการกลั่นแกล้ง, ความพยายามที่จะทำให้อาย, น่าขบขัน ในกรณีนี้หมายถึงการรับน้องของสถาบันอุดมศึกษาในอเมริกา
ซึ่งมีกระบวนการรับน้องผ่านทางกลุ่มองค์กร แยกหญิงชาย ผ่านทางชมรมต่างๆ (ไม่ใช่ไปรับน้องเรื่อยเปื่อย ซ้ำซ้อนถึงตัวสาขาวิชา)
.
สถานภาพการใช้ Anti-Hazing Law ในปัจจุบัน
44 ใน 50 รัฐของอเมริกามีการบังคับใช้กฎหมายฉบับนี้และ 7 ใน 44 รัฐถือว่านี่เป็นความผิดอาญา (มูลความผิดที่ยอมความไม่ได้)
ข้อดีของกฎหมายฉบับนี้คือ ไม่ว่ารุ่นพี่จะแอบหลบผู้บริหารสถานศึกษาไปทำกิจกรรมรับน้องที่ไหน มันก็ถือเป็นคดีอาญาอยู่วันยังค่ำ
ข้อดีอีกประการหนึ่งคือ เวลามีใครตาย (ที่อเมริกามีผู้เสียชีวิตตลอดระหว่างปี 2513 - 2547) ก็จะมีผู้รับผิดชอบในความผิดชัดเจน
ไม่ใช่ออกมาบอกว่า เห็นแก่อนาคตรุ่นพี่บ้าง, เป็นอุบัติเหตุที่ไม่มีใครอยากให้เกิดบ้าง, ออกมาขอขมาแล้วก็จบๆ กันแบบบางประเทศ
แล้วอีตอนก่อนรับน้อง ทำไมมันไม่คิดกันมั่งว้า ?
.
เหตุผลของการออก Anti-Hazing Law
เพราะสถาบันการศึกษาในบ้านเขายอมรับว่า เขาไม่สามารถควบคุมสถานการณ์รับน้องที่มันเกินเหตุได้ ไม่หน้าบางแบบบางประเทศ
ครั้นบ้านเรา พอมีอาจารย์สักคนออกมาลุกขึ้นสวนกระแส ก็ถูกรุ่นพี่กรีดยางรถและข่มขู่ถึงที่พัก (ใครกล้าบอกว่ามันไม่เคยเกิดบ้าง ?)
Anti-Hazing Law จึงเกิดขึ้นเพื่อจัดการกับพฤติกรรมของนักศึกษาที่ไร้วุฒิภาวะของบ้านเขา ซึ่งจะประทศไหนๆ ก็เหมือนๆ กันทั้งนั้น
ถ้าคิดว่าแรงไป งั้นก็ช่วยบอกหน่อย นักศึกษาบ้านเรามีวุฒิภาวะขนาดไหน จากพฤติกรรม, กิจกรรม, การกระทำที่เห็นกันทุกวันนี้ !!??
อะไรก็ได้ครับ ไม่จำกัดแค่กิจกรรมรับน้องหรอก (แต่ไอ้ประเภทออกค่ายอาสาโดยมีหน่วยกิตมาล่อนี่ขอทีเถอะ เอาไปให้ไกลๆ เท้าเลย)
ยกตัวอย่างได้ก็เหลือคำถามสุดท้าย พฤติกรรมการกระทำที่แสดงถึงความมีวุฒิภาวะ คิดเป็นกี่เปอร์เซ็นต์ของนักศึกษาทั้งหมดครับ ?
.
การยืนหยัดของระบบรับน้อง
ไม่ว่าอเมริกาหรือไทย รุ่นพี่จะมีรูปแบบ (Pattern) ของคำพูดเหมือนกันเป๊ะ คือ 1) คุณไม่เคยรับน้อง 2) ต้องรับน้องเสร็จก่อนถึงจะรู้
พร้อมหยิบแผนงานขึ้นมาอธิบายถึงวิธีการที่พวกเขาใช้ (ว่าแต่คุณคิดว่านักศึกษา ป.ตรี บ้านเรา เขียนโครงการกันเป็นแล้วจริงๆ รึ ?)
ระบบ ไม่สามารถยกเลิกได้ง่ายๆ โดยความสมัครใจ เพราะความทรงจำด้านลบ (ในบางกิจกรรม) มันฝังแน่นลงไปในความรู้สึกแล้ว
กลไกการปกป้องตนเองทางจิตวิทยาอย่างหนึ่งคือ การยอมรับกิจกรรมนั้นๆ (เป็นทฤษฎีที่สุดแสนจะเบสิคของสาขาจิตวิทยาทั่วโลก)
ถ้ากิจกรรม "บางอย่าง" ถูกล้มเลิก ก็เท่ากับว่าหลักที่คนพวกนี้เคยเกาะอยู่ถูกทำลายไป สิ่งที่พวกเขาเคยโดนมาจะไร้ความหมายทันที
เมื่อวิธีการเลิกโดยสมัครใจไม่สามารถทำได้อย่างแน่นอน จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดกฎหมายขึ้นมาบังคับใช้นั่นเอง หลักการมันก็ง่ายๆ
.
ถ้าคุณทำคนตาย คุณก็ต้องรับผิดชอบ (ไม่ใช่ขอโทษแล้วก็จบ เฮ้อ ผมก็ไม่อยากจะพูดมาก แต่บ้านเราชีวิตมนุษย์มันมีราคาถูกจริงๆ)
ถ้าคุณคิดว่ากฎระเบียบของโรงเรียนมัธยมงี่เง่าไร้สาระ คุณก็ไม่มีสิทธิ์แม้สักกระผีกเดียวที่จะไปบังคับใครเข้าเข้าร่วมกิจกรรมของคุณ
ถ้าคุณยังบังคับให้รุ่นน้องทำตามกฎของคุณอย่างเผด็จการ คุณก็ไม่มีสิทธิ์แม้สักกระผีกเดียวที่จะไปด่ารัฐบาลที่กระทำตัวเหมือนคุณ
.
ส่งท้าย
ตราบเท่าที่คำว่า "ร่วมกิจกรรมโดยสมัครใจ" เป็นแค่ตัวหมึกที่เปื้อนบนกระดาษ แต่ทางปฎิบัติจริงมีการแอนตี้,บอยคอต, ตัดรุ่น ฯลฯ
ตราบเท่าที่ทุกกิจกรรม ทุกเพลงเชียร์ "ส่วนใหญ่" ล้วนมีแต่เนื้อหา "เพื่อตัวเอง", "เพื่อหมู่คณะ", ไม่มีเพื่อวิชาการ ความรู้ ชุมชน สังคม
ผมเองไม่คิดว่าบ้านเราจะเจริญก้าวหน้าไปได้มากกว่านี้หรอกครับ มันเดินทางมาจนถึงขีดสุดของการพัฒนาแล้ว (ยกเว้นเปลือกนอก)
ถึงแม้ว่าบ้านเราชอบรับอะไรต่อมิอะไรมาจากต่างประเทศ แม้กระทั่งกิจกรรมรับน้องก็ไม่เว้น
แต่ผมว่า ไม่มีทางที่คนพวกนี้จะรับเอา Anti-Hazing Law เข้ามาหรอกครับ เสียหน้าจะตาย
และฟันธงได้เลย ผมโดนด่าทั้งต่อหน้าและลับหลังจากพวกที่สนับสนุนการรับน้อง ชัวร์ป๊าบ
.
.
.
เรียบเรียงจาก มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับระหว่างเดือนมิถุนายน - กรกฎาคม 2548
รูปแบบหลัก จากบทความของ ศิริพงษ์ วิทยวิโรจน์
ความรู้สึก จากบทความของ ธเนศวร์ เจริญเมือง, นิธิ เอียวศรีวงศ์, วาณิช จรุงกิจอนันท์ ฯลฯ
หนึ่งในโครงการบล็อก "น้ำเชี่ยว อย่าพึ่งเอาเรือเข้าไปขวาง รอให้มันสงบก่อน"
http://chubby.exteen.com/20050717/anti-hazing-law
==================================================================
ใกล้เปิดเทอมแล้ว เอามาลงไว้หน่อยดีกว่า
ผมว่ากฏหมายแบบนี้น่าจะมีในไทยนะครับ และควรจะบังคับใช้อย่างเข้มงวดด้วย เพื่อไม่ให้เกิดเรื่องน่าเศร้าอีก
.
Hazing คืออะไร ?
Hazing คือการกลั่นแกล้ง, ความพยายามที่จะทำให้อาย, น่าขบขัน ในกรณีนี้หมายถึงการรับน้องของสถาบันอุดมศึกษาในอเมริกา
ซึ่งมีกระบวนการรับน้องผ่านทางกลุ่มองค์กร แยกหญิงชาย ผ่านทางชมรมต่างๆ (ไม่ใช่ไปรับน้องเรื่อยเปื่อย ซ้ำซ้อนถึงตัวสาขาวิชา)
.
สถานภาพการใช้ Anti-Hazing Law ในปัจจุบัน
44 ใน 50 รัฐของอเมริกามีการบังคับใช้กฎหมายฉบับนี้และ 7 ใน 44 รัฐถือว่านี่เป็นความผิดอาญา (มูลความผิดที่ยอมความไม่ได้)
ข้อดีของกฎหมายฉบับนี้คือ ไม่ว่ารุ่นพี่จะแอบหลบผู้บริหารสถานศึกษาไปทำกิจกรรมรับน้องที่ไหน มันก็ถือเป็นคดีอาญาอยู่วันยังค่ำ
ข้อดีอีกประการหนึ่งคือ เวลามีใครตาย (ที่อเมริกามีผู้เสียชีวิตตลอดระหว่างปี 2513 - 2547) ก็จะมีผู้รับผิดชอบในความผิดชัดเจน
ไม่ใช่ออกมาบอกว่า เห็นแก่อนาคตรุ่นพี่บ้าง, เป็นอุบัติเหตุที่ไม่มีใครอยากให้เกิดบ้าง, ออกมาขอขมาแล้วก็จบๆ กันแบบบางประเทศ
แล้วอีตอนก่อนรับน้อง ทำไมมันไม่คิดกันมั่งว้า ?
.
เหตุผลของการออก Anti-Hazing Law
เพราะสถาบันการศึกษาในบ้านเขายอมรับว่า เขาไม่สามารถควบคุมสถานการณ์รับน้องที่มันเกินเหตุได้ ไม่หน้าบางแบบบางประเทศ
ครั้นบ้านเรา พอมีอาจารย์สักคนออกมาลุกขึ้นสวนกระแส ก็ถูกรุ่นพี่กรีดยางรถและข่มขู่ถึงที่พัก (ใครกล้าบอกว่ามันไม่เคยเกิดบ้าง ?)
Anti-Hazing Law จึงเกิดขึ้นเพื่อจัดการกับพฤติกรรมของนักศึกษาที่ไร้วุฒิภาวะของบ้านเขา ซึ่งจะประทศไหนๆ ก็เหมือนๆ กันทั้งนั้น
ถ้าคิดว่าแรงไป งั้นก็ช่วยบอกหน่อย นักศึกษาบ้านเรามีวุฒิภาวะขนาดไหน จากพฤติกรรม, กิจกรรม, การกระทำที่เห็นกันทุกวันนี้ !!??
อะไรก็ได้ครับ ไม่จำกัดแค่กิจกรรมรับน้องหรอก (แต่ไอ้ประเภทออกค่ายอาสาโดยมีหน่วยกิตมาล่อนี่ขอทีเถอะ เอาไปให้ไกลๆ เท้าเลย)
ยกตัวอย่างได้ก็เหลือคำถามสุดท้าย พฤติกรรมการกระทำที่แสดงถึงความมีวุฒิภาวะ คิดเป็นกี่เปอร์เซ็นต์ของนักศึกษาทั้งหมดครับ ?
.
การยืนหยัดของระบบรับน้อง
ไม่ว่าอเมริกาหรือไทย รุ่นพี่จะมีรูปแบบ (Pattern) ของคำพูดเหมือนกันเป๊ะ คือ 1) คุณไม่เคยรับน้อง 2) ต้องรับน้องเสร็จก่อนถึงจะรู้
พร้อมหยิบแผนงานขึ้นมาอธิบายถึงวิธีการที่พวกเขาใช้ (ว่าแต่คุณคิดว่านักศึกษา ป.ตรี บ้านเรา เขียนโครงการกันเป็นแล้วจริงๆ รึ ?)
ระบบ ไม่สามารถยกเลิกได้ง่ายๆ โดยความสมัครใจ เพราะความทรงจำด้านลบ (ในบางกิจกรรม) มันฝังแน่นลงไปในความรู้สึกแล้ว
กลไกการปกป้องตนเองทางจิตวิทยาอย่างหนึ่งคือ การยอมรับกิจกรรมนั้นๆ (เป็นทฤษฎีที่สุดแสนจะเบสิคของสาขาจิตวิทยาทั่วโลก)
ถ้ากิจกรรม "บางอย่าง" ถูกล้มเลิก ก็เท่ากับว่าหลักที่คนพวกนี้เคยเกาะอยู่ถูกทำลายไป สิ่งที่พวกเขาเคยโดนมาจะไร้ความหมายทันที
เมื่อวิธีการเลิกโดยสมัครใจไม่สามารถทำได้อย่างแน่นอน จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดกฎหมายขึ้นมาบังคับใช้นั่นเอง หลักการมันก็ง่ายๆ
.
ถ้าคุณทำคนตาย คุณก็ต้องรับผิดชอบ (ไม่ใช่ขอโทษแล้วก็จบ เฮ้อ ผมก็ไม่อยากจะพูดมาก แต่บ้านเราชีวิตมนุษย์มันมีราคาถูกจริงๆ)
ถ้าคุณคิดว่ากฎระเบียบของโรงเรียนมัธยมงี่เง่าไร้สาระ คุณก็ไม่มีสิทธิ์แม้สักกระผีกเดียวที่จะไปบังคับใครเข้าเข้าร่วมกิจกรรมของคุณ
ถ้าคุณยังบังคับให้รุ่นน้องทำตามกฎของคุณอย่างเผด็จการ คุณก็ไม่มีสิทธิ์แม้สักกระผีกเดียวที่จะไปด่ารัฐบาลที่กระทำตัวเหมือนคุณ
.
ส่งท้าย
ตราบเท่าที่คำว่า "ร่วมกิจกรรมโดยสมัครใจ" เป็นแค่ตัวหมึกที่เปื้อนบนกระดาษ แต่ทางปฎิบัติจริงมีการแอนตี้,บอยคอต, ตัดรุ่น ฯลฯ
ตราบเท่าที่ทุกกิจกรรม ทุกเพลงเชียร์ "ส่วนใหญ่" ล้วนมีแต่เนื้อหา "เพื่อตัวเอง", "เพื่อหมู่คณะ", ไม่มีเพื่อวิชาการ ความรู้ ชุมชน สังคม
ผมเองไม่คิดว่าบ้านเราจะเจริญก้าวหน้าไปได้มากกว่านี้หรอกครับ มันเดินทางมาจนถึงขีดสุดของการพัฒนาแล้ว (ยกเว้นเปลือกนอก)
ถึงแม้ว่าบ้านเราชอบรับอะไรต่อมิอะไรมาจากต่างประเทศ แม้กระทั่งกิจกรรมรับน้องก็ไม่เว้น
แต่ผมว่า ไม่มีทางที่คนพวกนี้จะรับเอา Anti-Hazing Law เข้ามาหรอกครับ เสียหน้าจะตาย
และฟันธงได้เลย ผมโดนด่าทั้งต่อหน้าและลับหลังจากพวกที่สนับสนุนการรับน้อง ชัวร์ป๊าบ
.
.
.
เรียบเรียงจาก มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับระหว่างเดือนมิถุนายน - กรกฎาคม 2548
รูปแบบหลัก จากบทความของ ศิริพงษ์ วิทยวิโรจน์
ความรู้สึก จากบทความของ ธเนศวร์ เจริญเมือง, นิธิ เอียวศรีวงศ์, วาณิช จรุงกิจอนันท์ ฯลฯ
หนึ่งในโครงการบล็อก "น้ำเชี่ยว อย่าพึ่งเอาเรือเข้าไปขวาง รอให้มันสงบก่อน"
http://chubby.exteen.com/20050717/anti-hazing-law
==================================================================
ใกล้เปิดเทอมแล้ว เอามาลงไว้หน่อยดีกว่า
ผมว่ากฏหมายแบบนี้น่าจะมีในไทยนะครับ และควรจะบังคับใช้อย่างเข้มงวดด้วย เพื่อไม่ให้เกิดเรื่องน่าเศร้าอีก
-
- .
- โพสต์: 944
- ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ต.ค. 18, 2005 11:16 pm
เก๋ว่าต่อให้กฏหมายนี้จะมีในเมืองไทยแต่นักศึกษาก็ต้องรับน้องกันอยู่ดีอ่ะค่ะ
เพราะคงไม่มีตำรวจที่ไหนจะไปจับน้องปีหนึ่งกับพี่ ปีสองหากกระทำการรับน้องกันอยู่
แต่ ก็คงต้องอยู่บนพื้นฐานของความรัดกุมกันมากขึ้น
ไม่อันตรายจนเกิดไป ทำกันแค่พอเป็นพิธีไรงี้อ่ะค่ะ

เพราะคงไม่มีตำรวจที่ไหนจะไปจับน้องปีหนึ่งกับพี่ ปีสองหากกระทำการรับน้องกันอยู่
แต่ ก็คงต้องอยู่บนพื้นฐานของความรัดกุมกันมากขึ้น
ไม่อันตรายจนเกิดไป ทำกันแค่พอเป็นพิธีไรงี้อ่ะค่ะ

-
- ~@
- โพสต์: 12724
- ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 2:28 pm
- ที่อยู่: Thailand
มันก็น่ามีอ่ะครับ เพราะทุกวันนี้เท่าที่เห็นก็ออกนอกขอบเขตกันมากอยู่ 

ที่แน่ ๆ ผมเกลียดระบบ SOTUS ที่สุด
ถูกNihil เขียน: ที่แน่ ๆ ผมเกลียดระบบ SOTUS ที่สุด
ระบบแบ่งชนชั้น ชัดๆ
ไม่น่าถึงขั้นต่อต้านกิจกรรมเลยนะครับ น่าทำแค่ว่า ให้มันมีขอบเขตมากกว่า
เพราะว่าที่ทำทุกวันนี้มันไม่ได้มีอะไรที่มันเสียหายมากนัก
ที่เราเต้นแร้งเต้นกา เต้นไก่ย่าง เราก็ทำมากันแล้ว ในค่ายลูกเสือ หรือค่ายอื่นๆ
เพียงไม่มีอะไรมากำหนดไว้ว่า เส้นขอบมันอยู่ตรงไหน...
อะไรๆถ้าทำโดยแต่พอดีมันก็จะไม่ถึงกับเป็นผลเสียหรอกครับ
น่าจะเรียกว่า "การสันทนาการ" มากกว่า
เพราะว่าที่ทำทุกวันนี้มันไม่ได้มีอะไรที่มันเสียหายมากนัก
ที่เราเต้นแร้งเต้นกา เต้นไก่ย่าง เราก็ทำมากันแล้ว ในค่ายลูกเสือ หรือค่ายอื่นๆ
เพียงไม่มีอะไรมากำหนดไว้ว่า เส้นขอบมันอยู่ตรงไหน...
อะไรๆถ้าทำโดยแต่พอดีมันก็จะไม่ถึงกับเป็นผลเสียหรอกครับ
น่าจะเรียกว่า "การสันทนาการ" มากกว่า
- Deo Gratias
- โพสต์: 1100
- ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. มี.ค. 16, 2006 11:53 pm
นั่นสิ กำลังจะถามเหมือนกันแบกะดิน เขียน: ระบบ SOTUS คือไรอ่ะ :huh: :huh: :huh:

S = Senior อาวุโส ถูกเสมอและต้องเคารพ
O = Order คำสั่ง รับมาต้องปฏิบัติห้ามขัดขืน
T = Traditional ประเพณี ที่มีมาห้ามเปลี่ยนแปลง
U = Unity ความกลมเกลียว สามัคคีห้ามทิ้งกัน
S = Spirit จิตวิญญาณ ต้องกล้าแข็ง
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีเพลง เกียรติภูมิจุฬาฯ ซึ่งเป็นเพลงสรรเสริญ SOTUS กล่าวว่า
มาเถิดมาภารดาจุฬาฯ ทุกแหล่ง
มาร่วมแรงร่วมรักและสามัคคี
อาวุโสเทิดไว้ น้ำใจระเบียบเรานี้
พร้อมประเพณีเสริมให้มีแต่วัฒนา
ซึ่งระบบ SOTUS จะพบได้ชัดในโรงเรียนมัธยมชายล้วนทั่วไป
ส่วนในมหาวิทยาลัยนั้น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มีชื่อเสียงในด้านนี้มากที่สุด
ทั้งนี้มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ไม่ปรากฎระบบ SOTUS คือใช้เพียง S ตัวสุดท้าย คือ Spirit of Thammasat
(((วิธีการดูว่ามหาวิทยาลัยไหนมี SOTUS หรือไม่ ให้ดูว่ามหาวิทยาลัยนั้นมีห้องเชียร์
ซ้อมเชียร์ ซ้อมบูม กันเป็นบ้าเป็นหลัง ตอนเปิดเทอมใหม่ๆ แล้วให้น้องขึ้นซ้อมแบบไม่ได้พัก นั่นหล่ะครับคือ SOTUS
และโปรดสังเกตุว่ามีทุกมหาวิทยาลัยยกเว้น มธ...........เราไม่ศรัทธาใน SOTUS)))
...
สำหรับส่วนของกฎหมายการรับน้อง
เอชมีความเห็นว่า
"รับน้องมันก็ดีแล้วนี่"....((รับเพื่อนใหม่นั่นล่ะ))
ไม่รู้นะฮะ ว่ามหาวิทยาลัยอื่น คณะอื่นเป็นอย่างไร
แต่มหาวิทยาลัยเอช คณะเอช โต๊ะเอช
การรับเพื่อนใหม่คือการพาน้องไปสนุก
ให้รู้จักพี่ รู้จักพี่เทค พี่สายเทคที่จะมาตั้งแต่รหัสหลัก 252X
มันเป็นผลดีต่อน้องมาก ๆ ในการทำงานในอนาคต
คือ การรับน้องน่ะ ถ้าอยู่ในขอบเขต มันเป็นสิ่งที่ดีงาม
มันขึ้นกับพี่ล่ะครับ ว่าจะต้องการให้น้องมองภาพการรับน้องเป็นอย่างไร
ส่วนตัวของเอชเอง เห็นว่า "การรับน้องเป็นประเพณีที่ดีงาม"
ปล. วันนี้พึ่งไปวันแรกพบ ((รับเพื่อนใหม่เข้าคณะวันแรก))
น้องๆ น่ารักมากมาย
อ้อ ปีนี้ นิติ มธ. ไม่มีดารา มีแต่พระเอก MV เพื่อนกับแฟนแทนกันไม่ได้
แถมตัวผู้อีก เซ็ง
O = Order คำสั่ง รับมาต้องปฏิบัติห้ามขัดขืน
T = Traditional ประเพณี ที่มีมาห้ามเปลี่ยนแปลง
U = Unity ความกลมเกลียว สามัคคีห้ามทิ้งกัน
S = Spirit จิตวิญญาณ ต้องกล้าแข็ง
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีเพลง เกียรติภูมิจุฬาฯ ซึ่งเป็นเพลงสรรเสริญ SOTUS กล่าวว่า
มาเถิดมาภารดาจุฬาฯ ทุกแหล่ง
มาร่วมแรงร่วมรักและสามัคคี
อาวุโสเทิดไว้ น้ำใจระเบียบเรานี้
พร้อมประเพณีเสริมให้มีแต่วัฒนา
ซึ่งระบบ SOTUS จะพบได้ชัดในโรงเรียนมัธยมชายล้วนทั่วไป
ส่วนในมหาวิทยาลัยนั้น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มีชื่อเสียงในด้านนี้มากที่สุด
ทั้งนี้มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ไม่ปรากฎระบบ SOTUS คือใช้เพียง S ตัวสุดท้าย คือ Spirit of Thammasat
(((วิธีการดูว่ามหาวิทยาลัยไหนมี SOTUS หรือไม่ ให้ดูว่ามหาวิทยาลัยนั้นมีห้องเชียร์
ซ้อมเชียร์ ซ้อมบูม กันเป็นบ้าเป็นหลัง ตอนเปิดเทอมใหม่ๆ แล้วให้น้องขึ้นซ้อมแบบไม่ได้พัก นั่นหล่ะครับคือ SOTUS
และโปรดสังเกตุว่ามีทุกมหาวิทยาลัยยกเว้น มธ...........เราไม่ศรัทธาใน SOTUS)))
...
สำหรับส่วนของกฎหมายการรับน้อง
เอชมีความเห็นว่า
"รับน้องมันก็ดีแล้วนี่"....((รับเพื่อนใหม่นั่นล่ะ))
ไม่รู้นะฮะ ว่ามหาวิทยาลัยอื่น คณะอื่นเป็นอย่างไร
แต่มหาวิทยาลัยเอช คณะเอช โต๊ะเอช
การรับเพื่อนใหม่คือการพาน้องไปสนุก
ให้รู้จักพี่ รู้จักพี่เทค พี่สายเทคที่จะมาตั้งแต่รหัสหลัก 252X
มันเป็นผลดีต่อน้องมาก ๆ ในการทำงานในอนาคต
คือ การรับน้องน่ะ ถ้าอยู่ในขอบเขต มันเป็นสิ่งที่ดีงาม
มันขึ้นกับพี่ล่ะครับ ว่าจะต้องการให้น้องมองภาพการรับน้องเป็นอย่างไร
ส่วนตัวของเอชเอง เห็นว่า "การรับน้องเป็นประเพณีที่ดีงาม"
ปล. วันนี้พึ่งไปวันแรกพบ ((รับเพื่อนใหม่เข้าคณะวันแรก))
น้องๆ น่ารักมากมาย
อ้อ ปีนี้ นิติ มธ. ไม่มีดารา มีแต่พระเอก MV เพื่อนกับแฟนแทนกันไม่ได้
แถมตัวผู้อีก เซ็ง
- paper sculptuer
- โพสต์: 26
- ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. ก.ย. 21, 2006 10:16 pm
- ที่อยู่: Bkk. Thailand
- ติดต่อ:
S = Senior อาวุโส ถูกเสมอและต้องเคารพ
O = Order คำสั่ง รับมาต้องปฏิบัติห้ามขัดขืน
T = Traditional ประเพณี ที่มีมาห้ามเปลี่ยนแปลง
U = Unity ความกลมเกลียว สามัคคีห้ามทิ้งกัน
S = Spirit จิตวิญญาณ ต้องกล้าแข็ง
สังเกตตัว ยู กับ ตัว เอส ตัวสุดท้าย จริงๆ เป็นเรื่องที่ดีหากทำได้อย่างนั้นจริงๆ เพราะถ้ามีความกลมเกลียวกันและมีจิตวิญญาณที่กล้าแข็งในทางที่ถูกต้อง สังคมจะดีกว่านี้มาก เห็นด้วยกับ 2 ข้อนี้ค่ะ
แต่ โปรดสังเกตตัวอักษร 3 ตัวแรก...
.............................................
ไม่ใช่ว่าไม่เห็นด้วยกับการรับน้องนะคะ ที่ๆ รับน้องดีๆ และมีประโยชน์ก็มีมาก
เช่นของคุณ necromancer น่ารักมากๆ ค่ะ เห็นแล้วอิจฉาจัง อยากไปเอนท์ใหม่ แงๆ
แต่ระบบของบางที่ก็เข้าข่ายลิดรอนสิทธิมนุษยชนนะคะ...
จริงอยู่ที่รุ่นพี่ไม่ได้บังคับน้อง (บางที่มีเอกสารให้ปี 1 เซนยินยอมเข้ารับอีกต่างหาก)
แต่ใครล่ะ จะกล้าไม่เข้ารับน้อง
1. คนไม่เข้ารับน้อง เพื่อนฝูงรังเกียจ เพราะเป็นต้นเหตให้โดนรับหนัก (วันนี้ทำไมพวกคุณขึ้นกันมาแค่นี้ !!!!! ห่วย ไม่ได้เรื่อง!!!!!!
อ๊าก กัวๆๆๆ)
2. เมื่อเพื่อนฝูงรังเกียจ ใครเล่าจะทนอยู่แบบไม่มีเพื่อนได้ ทำให้หงอยเหงา รู้สึกแย่ พาลไม่อยากมาเรียน ยกเว้นบางคนที่มีความเป็นผู้ใหญ่มากหน่อยก็จะสามารถทนได้ (แต่น้อยมาก)
3. รุ่นพี่ไม่รัก แน่นอน ใครจะกล้าขึ้นตึกมาเรียนเพื่อเจอกับสายตาเพื่อนๆ แถมด้วยรังษีอัมหิตจากรุ่นพี่...
สรุปคือ ไม่ได้บังคับ แต่ใช้การกดดัน...
กิจกรรมดีๆ มากมายที่สามารถทำได้เพื่อความสามัคคี และสบายใจกันทุกฝ่าย เช่นของคุณ necromancer เป็นต้น นั่นนอกจากจะมีความสุขกันทุกฝ่ายแล้ว ยังทำให้เกิด ความรักความผูกพัน ที่แท้จริงด้วย...
ไม่เห็นต้องมาว๊าก มากดดันให้เข้ารับน้อง มาแบ่งรุ่นพี่กับปี 1 (ชั้นไม่รับเธอเป็นน้องหรอก เธอต้องเข้ารับก่อน
)
แต่พอเรามีปัญหา พวกที่เคยกดดันเราเค้าสามารถช่วยเราได้หรือไม่...
เป็นระบบแบ่งชนชั้นกันเปล่าๆ...
ไม่เหมือนกันสมัยก่อนที่ระบบ SOTUS เคยทำประโยชน์ คือ รุ่นพี่รุ่นน้องมีความสามัคคีกันจริงๆ และมความรักจริงใจแก่กัน และร่วมมือกันทำประโยชน์ให้สังคม...
คนเราเกิดมามีความเป็นมนุษย์เท่าเทียมกัน...
ทำไมไม่ใช้ความรักและจริงใจมาต้อนรับกัน...
แต่ใช้ความรุนแรงและความกดดันแทน...
ขออภัยถ้าความเห็นส่วนตัวอาจดูรุนแรง แต่ประสบการณ์ตรงค่ะ เจอมากับตัว เลยไม่อยากให้ระบบที่ควรจะสร้างความรักความสามัคคีกลายเป็นเรื่องของการยึดมั่นในสี ในรุ่น ที่ผิดๆ...
O = Order คำสั่ง รับมาต้องปฏิบัติห้ามขัดขืน
T = Traditional ประเพณี ที่มีมาห้ามเปลี่ยนแปลง
U = Unity ความกลมเกลียว สามัคคีห้ามทิ้งกัน
S = Spirit จิตวิญญาณ ต้องกล้าแข็ง
สังเกตตัว ยู กับ ตัว เอส ตัวสุดท้าย จริงๆ เป็นเรื่องที่ดีหากทำได้อย่างนั้นจริงๆ เพราะถ้ามีความกลมเกลียวกันและมีจิตวิญญาณที่กล้าแข็งในทางที่ถูกต้อง สังคมจะดีกว่านี้มาก เห็นด้วยกับ 2 ข้อนี้ค่ะ
แต่ โปรดสังเกตตัวอักษร 3 ตัวแรก...
.............................................
ไม่ใช่ว่าไม่เห็นด้วยกับการรับน้องนะคะ ที่ๆ รับน้องดีๆ และมีประโยชน์ก็มีมาก
เช่นของคุณ necromancer น่ารักมากๆ ค่ะ เห็นแล้วอิจฉาจัง อยากไปเอนท์ใหม่ แงๆ

แต่ระบบของบางที่ก็เข้าข่ายลิดรอนสิทธิมนุษยชนนะคะ...
จริงอยู่ที่รุ่นพี่ไม่ได้บังคับน้อง (บางที่มีเอกสารให้ปี 1 เซนยินยอมเข้ารับอีกต่างหาก)
แต่ใครล่ะ จะกล้าไม่เข้ารับน้อง
1. คนไม่เข้ารับน้อง เพื่อนฝูงรังเกียจ เพราะเป็นต้นเหตให้โดนรับหนัก (วันนี้ทำไมพวกคุณขึ้นกันมาแค่นี้ !!!!! ห่วย ไม่ได้เรื่อง!!!!!!

2. เมื่อเพื่อนฝูงรังเกียจ ใครเล่าจะทนอยู่แบบไม่มีเพื่อนได้ ทำให้หงอยเหงา รู้สึกแย่ พาลไม่อยากมาเรียน ยกเว้นบางคนที่มีความเป็นผู้ใหญ่มากหน่อยก็จะสามารถทนได้ (แต่น้อยมาก)
3. รุ่นพี่ไม่รัก แน่นอน ใครจะกล้าขึ้นตึกมาเรียนเพื่อเจอกับสายตาเพื่อนๆ แถมด้วยรังษีอัมหิตจากรุ่นพี่...
สรุปคือ ไม่ได้บังคับ แต่ใช้การกดดัน...

กิจกรรมดีๆ มากมายที่สามารถทำได้เพื่อความสามัคคี และสบายใจกันทุกฝ่าย เช่นของคุณ necromancer เป็นต้น นั่นนอกจากจะมีความสุขกันทุกฝ่ายแล้ว ยังทำให้เกิด ความรักความผูกพัน ที่แท้จริงด้วย...
ไม่เห็นต้องมาว๊าก มากดดันให้เข้ารับน้อง มาแบ่งรุ่นพี่กับปี 1 (ชั้นไม่รับเธอเป็นน้องหรอก เธอต้องเข้ารับก่อน

แต่พอเรามีปัญหา พวกที่เคยกดดันเราเค้าสามารถช่วยเราได้หรือไม่...
เป็นระบบแบ่งชนชั้นกันเปล่าๆ...
ไม่เหมือนกันสมัยก่อนที่ระบบ SOTUS เคยทำประโยชน์ คือ รุ่นพี่รุ่นน้องมีความสามัคคีกันจริงๆ และมความรักจริงใจแก่กัน และร่วมมือกันทำประโยชน์ให้สังคม...
คนเราเกิดมามีความเป็นมนุษย์เท่าเทียมกัน...
ทำไมไม่ใช้ความรักและจริงใจมาต้อนรับกัน...
แต่ใช้ความรุนแรงและความกดดันแทน...
ขออภัยถ้าความเห็นส่วนตัวอาจดูรุนแรง แต่ประสบการณ์ตรงค่ะ เจอมากับตัว เลยไม่อยากให้ระบบที่ควรจะสร้างความรักความสามัคคีกลายเป็นเรื่องของการยึดมั่นในสี ในรุ่น ที่ผิดๆ...
โทษนะน้อง นิติศาสตร์ ธรรมศาสตร์ เปิดให้animalสมัครเรียนด้วยเหรอnecromancer เขียน: S = Senior อาวุโส ถูกเสมอและต้องเคารพ
O = Order คำสั่ง รับมาต้องปฏิบัติห้ามขัดขืน
T = Traditional ประเพณี ที่มีมาห้ามเปลี่ยนแปลง
U = Unity ความกลมเกลียว สามัคคีห้ามทิ้งกัน
S = Spirit จิตวิญญาณ ต้องกล้าแข็ง
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีเพลง เกียรติภูมิจุฬาฯ ซึ่งเป็นเพลงสรรเสริญ SOTUS กล่าวว่า
มาเถิดมาภารดาจุฬาฯ ทุกแหล่ง
มาร่วมแรงร่วมรักและสามัคคี
อาวุโสเทิดไว้ น้ำใจระเบียบเรานี้
พร้อมประเพณีเสริมให้มีแต่วัฒนา
ซึ่งระบบ SOTUS จะพบได้ชัดในโรงเรียนมัธยมชายล้วนทั่วไป
ส่วนในมหาวิทยาลัยนั้น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มีชื่อเสียงในด้านนี้มากที่สุด
ทั้งนี้มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ไม่ปรากฎระบบ SOTUS คือใช้เพียง S ตัวสุดท้าย คือ Spirit of Thammasat
(((วิธีการดูว่ามหาวิทยาลัยไหนมี SOTUS หรือไม่ ให้ดูว่ามหาวิทยาลัยนั้นมีห้องเชียร์
ซ้อมเชียร์ ซ้อมบูม กันเป็นบ้าเป็นหลัง ตอนเปิดเทอมใหม่ๆ แล้วให้น้องขึ้นซ้อมแบบไม่ได้พัก นั่นหล่ะครับคือ SOTUS
และโปรดสังเกตุว่ามีทุกมหาวิทยาลัยยกเว้น มธ...........เราไม่ศรัทธาใน SOTUS)))
...
สำหรับส่วนของกฎหมายการรับน้อง
เอชมีความเห็นว่า
"รับน้องมันก็ดีแล้วนี่"....((รับเพื่อนใหม่นั่นล่ะ))
ไม่รู้นะฮะ ว่ามหาวิทยาลัยอื่น คณะอื่นเป็นอย่างไร
แต่มหาวิทยาลัยเอช คณะเอช โต๊ะเอช
การรับเพื่อนใหม่คือการพาน้องไปสนุก
ให้รู้จักพี่ รู้จักพี่เทค พี่สายเทคที่จะมาตั้งแต่รหัสหลัก 252X
มันเป็นผลดีต่อน้องมาก ๆ ในการทำงานในอนาคต
คือ การรับน้องน่ะ ถ้าอยู่ในขอบเขต มันเป็นสิ่งที่ดีงาม
มันขึ้นกับพี่ล่ะครับ ว่าจะต้องการให้น้องมองภาพการรับน้องเป็นอย่างไร
ส่วนตัวของเอชเอง เห็นว่า "การรับน้องเป็นประเพณีที่ดีงาม"
ปล. วันนี้พึ่งไปวันแรกพบ ((รับเพื่อนใหม่เข้าคณะวันแรก))
น้องๆ น่ารักมากมาย
อ้อ ปีนี้ นิติ มธ. ไม่มีดารา มีแต่พระเอก MV เพื่อนกับแฟนแทนกันไม่ได้
แถมตัวผู้อีก เซ็ง



อ่า.... -*-Florian เขียน:โทษนะน้อง นิติศาสตร์ ธรรมศาสตร์ เปิดให้animalสมัครเรียนด้วยเหรอnecromancer เขียน:![]()
![]()
![]()
พี่มาเจอมานนนน ดิ เด๋วก็เรียกเหมือนเอช
^^'
อีกอย่างการรับเพื่อนใหม่ของเรา (ทั้งคณะ และโต๊ะ)
ส่วนใหญ่เราจะเน้นไปในทางให้น้องได้รู้จักประวัติศาสตร์
ความภาคภูมิใจของคณะเรา มหาวิทยาลัยเรา
รู้จักผู้ประศาสน์การ รู้จักพี่ ๆ ที่จบออกไปทำงานแล้ว
ส่วนวิธีการทำให้น้องสามัคคีกัน และรักกัน ((รักคณะ+โต๊ะด้วย))
เรามีความเชื่อว่า การที่จะทำให้คนเรารักกันไม่จำเป็นต้องลำบากมาด้วยกัน
เขาอาจจะรักกันเพราะว่าเขาร่วมสุขกันมาก็ได้ ((เข้าทำนองซื้อใจด้วยความสุข -*- ))
นี่คือที่มาของคำว่า "รับเพื่อนใหม่"
เราไม่มีน้องใหม่ มีแต่เพื่อนใหม่
ก็ฝากไว้กับมหาวิทยาลัยอื่นให้คิดนะครับ
"สิทธิมนุษยชน"
คนเราจะรัก จะเคารพกันได้
ไม่จำเป็นต้องบังคับ ทำตัวให้เขาเคารพ เดี๋ยวเขาก็ยกมือไหว้เอง
ทำให้เขามีความสุขร่วมกัน ทั้งเราและเขา เดี๋ยวเราก็รักกันเอง
ps. น้องจาก สาธิต มก. inter program น่ารักมากๆ นะครับ -*-
((สำรวมใจ ห้ามม่อเด็ก ผิดจรรยาบรรณ))
- Deo Gratias
- โพสต์: 1100
- ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. มี.ค. 16, 2006 11:53 pm
เห็นด้วยอีกคนpaper sculptuer เขียน: สังเกตตัว ยู กับ ตัว เอส ตัวสุดท้าย จริงๆ เป็นเรื่องที่ดีหากทำได้อย่างนั้นจริงๆ เพราะถ้ามีความกลมเกลียวกันและมีจิตวิญญาณที่กล้าแข็งในทางที่ถูกต้อง สังคมจะดีกว่านี้มาก เห็นด้วยกับ 2 ข้อนี้ค่ะ
U+S = US แปลว่า "พวกเรา"
ใช่ ที่เราเคยเจอมาเค้าจะไม่เรียกว่ารับน้อง แต่ เรียกว่า กิจกรรมสานสัมพันธ์ฉันน้องพี่(ถ้าจำไม่ผิด) อะไรประมาณนี้paper sculptuer เขียน: กิจกรรมดีๆ มากมายที่สามารถทำได้เพื่อความสามัคคี และสบายใจกันทุกฝ่าย เช่นของคุณ necromancer เป็นต้น นั่นนอกจากจะมีความสุขกันทุกฝ่ายแล้ว ยังทำให้เกิด ความรักความผูกพัน ที่แท้จริงด้วย...
เราเรียนโรงเรียนพระคัมภีร์มา2ที่แล้ว ยังไม่เคยเจอรับน้องโหดสักครั้งเลย(อย่างดีก็แค่ปิดตาแล้วให้ลุยโคลนฉีดน้ำใส่,เอาสีผสมอาหารคลุกกับมะขามเปียกแล้วให้กิน,วาดหน้า,เอาใบไม้มาเสียบผม,แบกไม้กางเขน ฯลฯ) มีแต่ภาพของความรัก ความอบอุ่น และอีกไม่กี่วันกำลังจาเจอที่ๆ3ก็คงแบบเดิม

แก้ไขล่าสุดโดย Anonymous เมื่อ ศุกร์ พ.ค. 18, 2007 6:10 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.