ความสุขมวลรวมคนไทยลดลงตั้งแต่พ.ย.49-ปัจจุบัน
โพสต์แล้ว: พุธ พ.ค. 16, 2007 3:50 am
ความสุขมวลรวมคนไทยลดลงตั้งแต่พ.ย.49-ปัจจุบัน
13 พฤษภาคม 2550 19:19 น.
ดร.นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเอแบคนวัตกรรมทางสังคม มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เปิดเผยผลสำรวจเรื่อง รายงานดัชนีความสุขมวลรวม (Gross Domestic Happiness Index, GDHI) ของประชาชนภายในประเทศ ประจำเดือนเมษายน 2550 กรณีศึกษาประชาชนคนไทยใน 22 จังหวัดของประเทศ จำนวนทั้งสิ้น 4,363 คน ซึ่งดำเนินโครงการระหว่างวันที่ 20 เมษายน-12 พฤษภาคม 2550 ผลวิจัยพบว่า ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน ปี 2549 เป็นต้นมา ความสุขมวลรวมของคนไทยลดต่ำลงมาโดยตลอด จาก 5.74 มาอยู่ที่ 5.11 แต่ยังถือว่ามีความสุขอยู่ในระดับปานกลางค่อนข้างต่ำ โดยคนในภาคใต้มีความสุขต่ำสุดอยู่ที่ 4.99 คนกรุงเทพมหานคร อยู่ที่ 5.07 คนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อยู่ที่ 5.08 คนในภาคกลาง อยู่ที่ 5.15 และคนในภาคเหนือ อยู่ที่ 5.20
สำหรับปัจจัยที่ทำให้ประชาชนยังคงมีความสุขอยู่ได้นั้น ผลวิจัยพบว่า ความปลาบปลื้มต่อโครงการพระราชดำริต่าง ๆ เป็นสิ่งที่ทำให้คนไทยมีความสุขมากเป็นอันดับหนึ่ง มีค่าความสุขเฉลี่ยอยู่ที่ 7.19 รองลงมาคือ สุขภาพกาย ได้ 7.00 อันดับ 3 ได้แก่ วัฒนธรรมประเพณีไทย ความมีน้ำใจให้แก่กัน ความรักความสามัคคีของคนในชาติ ความเป็นเอกลักษณ์ของคนไทย ได้ 6.26 อันดับที่ 4 ได้แก่ สุขภาพใจ สุขภาพจิต ได้ 6.25 อันดับที่ 5 ได้แก่ การใช้ชีวิตตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง ได้ 5.99 อันดับที่ 6 ได้แก่ ครอบครัว และคุณภาพเด็กและเยาวชน ได้ 5.72 และอันดับที่ 7 ได้แก่ ความพึงพอใจในงาน ได้ 5.59
ดร.นพดล กล่าวด้วยว่า ที่น่าพิจารณาคือ สิ่งที่ทำให้คนไทยมีความสุขน้อยถึงไม่มีความสุขเลย (ค่าความสุขเฉลี่ยต่ำกว่า 5.00 จากคะแนนเต็ม 10 คะแนน) เรียงตามลำดับ ได้แก่ สถานการณ์ปัจจุบัน เกี่ยวกับความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ มีค่าความสุขต่ำสุดอยู่ที่ 2.72 ในขณะที่ด้านสภาพแวดล้อมและที่พักอาศัย เช่น ถนนหนทาง ไฟฟ้า โทรศัพท์ น้ำประปา ได้เพียง 3.51 หลักธรรมาภิบาล การเมือง รัฐบาล และองค์กรอิสระ ได้เพียง 3.68 ระบบการค้าเสรีในกระแสโลกาภิวัตน์ได้เพียง 3.77 กระบวนการยุติธรรมและความเป็นธรรมในสังคมได้เพียง 4.49 ด้านทรัพยากรธรรมชาติและการจัดสรรอย่างเป็นธรรมได้เพียง 4.74 ด้านการศึกษาได้เพียง 4.78 และด้านบรรยากาศภายในชุมชน เช่น การช่วยกันรักษาทรัพย์สินของชุมชน ช่วยกันแก้ปัญหาชุมชน ได้เพียง 4.82 เท่านั้น
ดร.นพดล กล่าวว่า ในวันรับตำแหน่งของนายกรัฐมนตรีที่เคยกล่าวว่าจะเน้นที่ความผาสุกของประชาชนเป็นหลักไม่ใช่ตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว และผลสำรวจในช่วงเวลานั้น ประชาชนในภาคใต้เป็นฐานสนับสนุนรัฐบาลชุดปัจจุบันมากเป็นอันดับต้น ๆ ของประเทศ แต่ผลวิจัยครั้งนี้พบว่า ความสุขของคนไทยโดยภาพรวมลดต่ำลงไปในทิศทางเดียวกับสภาวะเศรษฐกิจของประเทศ และคนในภาคใต้ คนกรุงเทพมหานคร และคนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีความสุขน้อยที่สุด
ผลวิจัยค้นพบเช่นนี้ชี้ให้เห็นว่า ฐานประชาชนที่เคยสนับสนุนรัฐบาลมีระดับความสุขต่ำที่สุด ในขณะเดียวกัน กลุ่มประชาชนที่เป็นฐานสนับสนุนกลุ่มอำนาจเก่าก็มีระดับความสุขน้อยเช่นกัน รัฐบาลจึงกำลังตกอยู่ในสภาพที่ต้องเร่งแก้ไขโดยด่วน ตามหลักการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนระบุไว้ว่า ถ้ารัฐบาลต้องการมีเสถียรภาพและขับเคลื่อนนโยบายต่าง ๆ ให้สำเร็จ รัฐบาลต้องมีวิธีการรักษาฐานสนับสนุนเดิมไว้ และขยายฐานที่เคยต่อต้านให้กลับมาสนับสนุนตน ดังนั้น รัฐบาล หน่วยงานต่าง ๆ ที่เป็นกลไกของรัฐ และประชาชนทุกคนน่าจะให้ความสำคัญช่วยกันทำให้ความสุขมวลรวมของคนไทยกลับคืนมาโดยเร็ว
สิ่งที่ต้องเร่งดำเนินการเป็นอย่างแรกคือ สถานการณ์ปัจจุบันภายในประเทศที่เกี่ยวกับความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ สถานการณ์การเมือง และสภาวะเศรษฐกิจของประเทศ โดยทำให้สถานการณ์ทั้งสามด้านเหล่านี้อยู่ในระดับที่สามารถควบคุมได้ มีสัญญาณเตือนภัยให้คนไทยรู้ล่วงหน้าว่าอะไรจะเกิดขึ้น ทำให้สภาพแวดล้อมที่พักอาศัยของประชาชนได้มาตรฐานสากลเท่าเทียมและทั่วถึง ต้องทำให้ประชาชนรับรู้ด้านความโปร่งใสของรัฐบาล ลดความเคลือบแคลงสงสัยของสาธารณชน
ด้านกระบวนการยุติธรรมและความเป็นธรรมในสังคม ผลวิจัยพบว่า ประชาชนมีความสุขต่อการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เป็นประตูสู่ความยุติธรรมต่ำที่สุด จึงจำเป็นต้องปฏิรูประบบงานตำรวจให้สำเร็จ การทำงานของกลไกด้านความยุติธรรมต้องทำให้เกิดความเสมอภาคเท่าเทียมโดยไม่เลือกปฏิบัติ และทำให้คนที่เคยผิดพลาดไปกลับเป็นคนดีคืนสู่สังคม สิ่งที่มีความสัมพันธ์กับกระบวนการยุติธรรมคือ การจัดสรรทรัพยากรธรรมชาติอย่างเป็นธรรม ซึ่งผลสำรวจพบว่า ประชาชนคนไทยมีความสุขน้อยมากกับเรื่องของทรัพยากรธรรมชาติและความเท่าเทียมเป็นธรรมในการเป็นเจ้าของครอบครองทรัพยากรทางธรรมชาติ
นอกจากนี้ สิ่งที่น่าเป็นห่วงสำหรับการพัฒนาที่ยั่งยืนของสังคมไทยคือ ระบบการศึกษา ผลวิจัยพบว่า ประชาชนยังมีความสุขน้อยกับเรื่องการส่งเสริมภูมิปัญญาท้องถิ่น การอบรมคุณธรรม ศีลธรรม จริยธรรมให้กับเยาวชน การสนับสนุนผู้ด้อยโอกาสทางการศึกษา การศึกษาที่มีมาตรฐานการทดสอบที่ยอมรับได้ และคุณภาพที่ดีของบุคลากรทางการศึกษา
http://www.komchadluek.net/2007/05/13/a ... _id=115799
13 พฤษภาคม 2550 19:19 น.
ดร.นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเอแบคนวัตกรรมทางสังคม มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เปิดเผยผลสำรวจเรื่อง รายงานดัชนีความสุขมวลรวม (Gross Domestic Happiness Index, GDHI) ของประชาชนภายในประเทศ ประจำเดือนเมษายน 2550 กรณีศึกษาประชาชนคนไทยใน 22 จังหวัดของประเทศ จำนวนทั้งสิ้น 4,363 คน ซึ่งดำเนินโครงการระหว่างวันที่ 20 เมษายน-12 พฤษภาคม 2550 ผลวิจัยพบว่า ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน ปี 2549 เป็นต้นมา ความสุขมวลรวมของคนไทยลดต่ำลงมาโดยตลอด จาก 5.74 มาอยู่ที่ 5.11 แต่ยังถือว่ามีความสุขอยู่ในระดับปานกลางค่อนข้างต่ำ โดยคนในภาคใต้มีความสุขต่ำสุดอยู่ที่ 4.99 คนกรุงเทพมหานคร อยู่ที่ 5.07 คนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อยู่ที่ 5.08 คนในภาคกลาง อยู่ที่ 5.15 และคนในภาคเหนือ อยู่ที่ 5.20
สำหรับปัจจัยที่ทำให้ประชาชนยังคงมีความสุขอยู่ได้นั้น ผลวิจัยพบว่า ความปลาบปลื้มต่อโครงการพระราชดำริต่าง ๆ เป็นสิ่งที่ทำให้คนไทยมีความสุขมากเป็นอันดับหนึ่ง มีค่าความสุขเฉลี่ยอยู่ที่ 7.19 รองลงมาคือ สุขภาพกาย ได้ 7.00 อันดับ 3 ได้แก่ วัฒนธรรมประเพณีไทย ความมีน้ำใจให้แก่กัน ความรักความสามัคคีของคนในชาติ ความเป็นเอกลักษณ์ของคนไทย ได้ 6.26 อันดับที่ 4 ได้แก่ สุขภาพใจ สุขภาพจิต ได้ 6.25 อันดับที่ 5 ได้แก่ การใช้ชีวิตตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง ได้ 5.99 อันดับที่ 6 ได้แก่ ครอบครัว และคุณภาพเด็กและเยาวชน ได้ 5.72 และอันดับที่ 7 ได้แก่ ความพึงพอใจในงาน ได้ 5.59
ดร.นพดล กล่าวด้วยว่า ที่น่าพิจารณาคือ สิ่งที่ทำให้คนไทยมีความสุขน้อยถึงไม่มีความสุขเลย (ค่าความสุขเฉลี่ยต่ำกว่า 5.00 จากคะแนนเต็ม 10 คะแนน) เรียงตามลำดับ ได้แก่ สถานการณ์ปัจจุบัน เกี่ยวกับความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ มีค่าความสุขต่ำสุดอยู่ที่ 2.72 ในขณะที่ด้านสภาพแวดล้อมและที่พักอาศัย เช่น ถนนหนทาง ไฟฟ้า โทรศัพท์ น้ำประปา ได้เพียง 3.51 หลักธรรมาภิบาล การเมือง รัฐบาล และองค์กรอิสระ ได้เพียง 3.68 ระบบการค้าเสรีในกระแสโลกาภิวัตน์ได้เพียง 3.77 กระบวนการยุติธรรมและความเป็นธรรมในสังคมได้เพียง 4.49 ด้านทรัพยากรธรรมชาติและการจัดสรรอย่างเป็นธรรมได้เพียง 4.74 ด้านการศึกษาได้เพียง 4.78 และด้านบรรยากาศภายในชุมชน เช่น การช่วยกันรักษาทรัพย์สินของชุมชน ช่วยกันแก้ปัญหาชุมชน ได้เพียง 4.82 เท่านั้น
ดร.นพดล กล่าวว่า ในวันรับตำแหน่งของนายกรัฐมนตรีที่เคยกล่าวว่าจะเน้นที่ความผาสุกของประชาชนเป็นหลักไม่ใช่ตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว และผลสำรวจในช่วงเวลานั้น ประชาชนในภาคใต้เป็นฐานสนับสนุนรัฐบาลชุดปัจจุบันมากเป็นอันดับต้น ๆ ของประเทศ แต่ผลวิจัยครั้งนี้พบว่า ความสุขของคนไทยโดยภาพรวมลดต่ำลงไปในทิศทางเดียวกับสภาวะเศรษฐกิจของประเทศ และคนในภาคใต้ คนกรุงเทพมหานคร และคนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีความสุขน้อยที่สุด
ผลวิจัยค้นพบเช่นนี้ชี้ให้เห็นว่า ฐานประชาชนที่เคยสนับสนุนรัฐบาลมีระดับความสุขต่ำที่สุด ในขณะเดียวกัน กลุ่มประชาชนที่เป็นฐานสนับสนุนกลุ่มอำนาจเก่าก็มีระดับความสุขน้อยเช่นกัน รัฐบาลจึงกำลังตกอยู่ในสภาพที่ต้องเร่งแก้ไขโดยด่วน ตามหลักการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนระบุไว้ว่า ถ้ารัฐบาลต้องการมีเสถียรภาพและขับเคลื่อนนโยบายต่าง ๆ ให้สำเร็จ รัฐบาลต้องมีวิธีการรักษาฐานสนับสนุนเดิมไว้ และขยายฐานที่เคยต่อต้านให้กลับมาสนับสนุนตน ดังนั้น รัฐบาล หน่วยงานต่าง ๆ ที่เป็นกลไกของรัฐ และประชาชนทุกคนน่าจะให้ความสำคัญช่วยกันทำให้ความสุขมวลรวมของคนไทยกลับคืนมาโดยเร็ว
สิ่งที่ต้องเร่งดำเนินการเป็นอย่างแรกคือ สถานการณ์ปัจจุบันภายในประเทศที่เกี่ยวกับความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ สถานการณ์การเมือง และสภาวะเศรษฐกิจของประเทศ โดยทำให้สถานการณ์ทั้งสามด้านเหล่านี้อยู่ในระดับที่สามารถควบคุมได้ มีสัญญาณเตือนภัยให้คนไทยรู้ล่วงหน้าว่าอะไรจะเกิดขึ้น ทำให้สภาพแวดล้อมที่พักอาศัยของประชาชนได้มาตรฐานสากลเท่าเทียมและทั่วถึง ต้องทำให้ประชาชนรับรู้ด้านความโปร่งใสของรัฐบาล ลดความเคลือบแคลงสงสัยของสาธารณชน
ด้านกระบวนการยุติธรรมและความเป็นธรรมในสังคม ผลวิจัยพบว่า ประชาชนมีความสุขต่อการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เป็นประตูสู่ความยุติธรรมต่ำที่สุด จึงจำเป็นต้องปฏิรูประบบงานตำรวจให้สำเร็จ การทำงานของกลไกด้านความยุติธรรมต้องทำให้เกิดความเสมอภาคเท่าเทียมโดยไม่เลือกปฏิบัติ และทำให้คนที่เคยผิดพลาดไปกลับเป็นคนดีคืนสู่สังคม สิ่งที่มีความสัมพันธ์กับกระบวนการยุติธรรมคือ การจัดสรรทรัพยากรธรรมชาติอย่างเป็นธรรม ซึ่งผลสำรวจพบว่า ประชาชนคนไทยมีความสุขน้อยมากกับเรื่องของทรัพยากรธรรมชาติและความเท่าเทียมเป็นธรรมในการเป็นเจ้าของครอบครองทรัพยากรทางธรรมชาติ
นอกจากนี้ สิ่งที่น่าเป็นห่วงสำหรับการพัฒนาที่ยั่งยืนของสังคมไทยคือ ระบบการศึกษา ผลวิจัยพบว่า ประชาชนยังมีความสุขน้อยกับเรื่องการส่งเสริมภูมิปัญญาท้องถิ่น การอบรมคุณธรรม ศีลธรรม จริยธรรมให้กับเยาวชน การสนับสนุนผู้ด้อยโอกาสทางการศึกษา การศึกษาที่มีมาตรฐานการทดสอบที่ยอมรับได้ และคุณภาพที่ดีของบุคลากรทางการศึกษา
http://www.komchadluek.net/2007/05/13/a ... _id=115799