ขอความรู้เกี่ยวกับพระเจ้าคือผู้สร้างโลก

ใครมาใหม่เชิญทางนี้ก่อน ทักทาย ทดลองโพส
ตอบกลับโพส
นักคิดอิสระ

จันทร์ เม.ย. 11, 2005 11:58 pm

คือเห็นเค้าพูดๆกันว่าพระเจ้าเป็นผู้สร้างโลกนั้นจริงหรือเปล่าครับ ???
ภาพประจำตัวสมาชิก
~@Little lamb@~
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 9396
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:00 pm
ติดต่อ:

อังคาร เม.ย. 12, 2005 12:23 am

ลองอ่านบทความนี้ดูนะคะ

เป็นบทความที่เกี่ยวกับ การทรงสร้าง และ วิวัฒนาการ
เมื่ออ่านแล้วคุณจะเข้าใจได้มากขึ้นว่า
สิ่งสร้างทั้งหลายไม่ได้เกิดขึ้นมาด้วยความบังเอิญของธรรมชาติ
และพระเจ้าเป็นผู้สร้างกฏเกณฑ์ทุกอย่างในโลกได้น่าอัศจรรย์อย่างไร

ก่อนอ่านขอให้ลืมภาพตาแก่มาเสกนู่นเสกนี่ในโลกไปก่อนนะคะ
พระเจ้าไม่ใช่ตาแก่ที่มีคทาวิเศษเสก ปิ๊งๆๆๆ *blushhappy


http://www.newmana.com/Science_and_God/Evolution01.htm
ภาพประจำตัวสมาชิก
~@Little lamb@~
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 9396
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:00 pm
ติดต่อ:

อังคาร เม.ย. 12, 2005 12:26 am

หลังจากอ่านเรื่องการวิวัฒนาการแล้ว

ก็มาอ่านความน่าอัศจรรย์ของพระเจ้าที่มีต่อกฏเกณฑ์ต่างๆ
ที่พระองค์ทรงตั้งขึ้น แล้วคุณจะได้เห็นว่า
มันอัศจรรย์เกินกว่าจะเป็นความบังเอิญ ของธรรมชาติ *no1

http://www.newmana.com/Science_and_God/Seven01.htm
peach_peach

อังคาร เม.ย. 12, 2005 7:43 pm

จริงค่ะ พระเจ้าเป็นผู้สร้างโลก สร้างพวกเรา
terasphere

พฤหัสฯ. เม.ย. 14, 2005 3:06 am

Missing Link สินะครับ ขอโต้ตอบทฤษฎีที่เขียนในบทความนี้นะครับ
ไม่ใช่จะลบหลู่หรือดูหมิ่น แต่บทความนี้ผมเคยเข้าร่วมสัมมนาที่ มหาวิทยาลัยแล้วก็พบว่า มีจุดบกพร่องไม่น่าเชื่อถือในทางวิทยาศาสตร์หลายประการ ไม่ควรนำออกไปสู่สาธารณชนที่มีความเห็นแตกต่าง และมีความเชี่ยวชาญเชิงวิทยาศาสตร์พอสมควร
ดังต่อไปนี้ครับ

"พระเจ้าไม่ทรงเล่นทอดลูกเต๋าในจักรวาล"

อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์

ถึงเรายังไม่พบรอยเชื่อมต่อที่หายไป ก็ไม่ใช่ว่ามันไม่มี
แล้วเราจะอธิบายว่า ทั่วจักรวาลโพ้นฟ้า ดารามหาศาล จะไม่มีสิ่งที่ถือกำเนิดมาแบบมนุษย์?
สิ่งมีชีวิตไม่ใช่แค่ พืช สัตว์ แมลง
แต่เหล่าจุลชีพ มหชีพล่ะ?
เห็ดรา สาหร่าย โพรติสต์ ไวรัส แบคเทริโอฟาจ ล้วนมีชีวิต
โลกใบนี้ก็ดูเหมือนมีชีวิต
สุริยจักรวาลที่เคลื่อนตัวไปเรื่อยๆพร้อมกับดวงดาราและแรงโน้มถ่วง ก้ดูเหมือนประกอบด้วยชีวิตย่อยๆนับไม่ถ้วน
ยังไม่นับรวมถึงเหล่าปัญญาประดิษฐ์ในโลกไซเบอร์ ที่ดูเหมือนจะคิดเอง ทำเอง และตัดสินใจเองได้ตามข้อมูลที่มีอยู่ หากจะเถียงว่ามันไม่มีชีวิต และการมีชีวิตของเราคืออะไร?
การตัดสินใจของมนุษย์ขึ้นอยู่กับข้อมูลพื้นฐานแรกกำเนิด (DNA) และการอบรมเลี้ยงดู ก็ไม่เห็นจะต่างกับการโปรแกรมข้อมูลปัญญาประดิษฐ์เลยนี่?

ไม่มีรอยต่อที่หายไป แล้วการกลายพันธุ์อย่างเฉียบพลันล่ะ?
มันอาจเป็นข้อพิสูจน์ที่ทำลายการค้นหามิสซิ่ง ลิงค์ได้
อารยธรรมของมนุษยชาติ อาจไม่ได้มีมาแค่ไม่กี่พันปี แต่อาจย้อนหลังเป็นวงวัฏมานับไม่ถ้วน

เราจะอธิบายรูปสลักหินโมอายอย่างไร?
เราจะให้คำจำกัดความของหัวกะโหลกคริสตัลอายุแสนๆปีแห่งมายาอย่างไร?
แล้วสโตนเฮนจ์ล่ะ?
คร็อปเซอร์เคิล? แชงกรีลาแห่งทากลามากัน? รูปจำลองเครื่องบินรบอินคา? รอยสลักนาซกา?
นั่นคือการกระทำแห่งพระเจ้าหรือปีศาจกันแน่? หรือเป็นมนุษยชาติของเราในอดีตกาล?

เราจะกล่าวถึงเหล่าหนอนทะเลที่ดำรงอยู่ใต้พื้นสมุทรอันเป็นกรดพิษ ด้วยอะไร?
ซากแบคทีเรียและราบนก้อนหินจากดาวอังคารว่าอย่างไร?
หมู่พรรณพฤกษาและสัตว์ที่เกินกว่าความเข้าใจของนักปรัชญา ยังมีให้ค้นพบทั่วทั้งโลกใบนี้และจักรวาลอันกว้างใหญ่

กฏแห่งเอ็นโธรปี ยังไม่ได้รับการพิสูจน์ในมหัพภาค และยังเป็นทฤษฎีที่ถกเถียงกันอยู่ว่าเป็นไปได้จริงหรือไม่ และกำลังถูกทดแทนและลบล้างด้วยทฤษฎีใหม่ๆที่เกิดจากการศึกษาลึกเข้าไปในห้วงอวกาศเชิงซ้อน ด้วยกล้องโทรทรรศน์อวกาศและความก้าวหน้าทางอวกาศวิทยา ที่รอการค้นคว้าของเราอยู่

โลกดำรงด้วยสนามแม่เหล็กและแรงต่างๆมานานกว่าล้านปี มิใช่มาวิวัฒนาการไม่นานมานี้ สิ่งมีชีวิตต่างๆก็เจริญสืบเผ่าพันธุ์มานานแสนนาน แต่มนุษยชาติที่ถือกำเนิดมาไม่กี่แสนปี กลับเจริญก้าวหน้าจนถึงขั้นยืนอยู่ต่อหน้าโลกทั้งใบในอวกาศ และตั้งคำถามต่อโลกทั้งมวลว่า "เราเกิดมาอย่างไร?"

ทุกสิ่งก้าวเข้าสู่ความเรียบง่าย ก้าวเข้าสู่หายนะ?
คิดว่าธรรมชาติเป็นเช่นนั้นเสมอ?
แล้วการเจริญวัฒนาเป็นพระประสงค์ของพระเป็นเจ้า?
หากเอาฟิสิกส์มาอธิบาย ก็ขออธิบายด้วยฟิสิกส์
เอ็นโธรปีถูกขัดขวางอยู่เสมอ
เพราะในจักรวาลที่เริ่มต้น มีทวิลักษณ์เกิดควบคู่
อนุภาคย่อมมีปฏิอนุภาคหักล้าง
มิติที่มองเห็น และจับสัมผัสได้ และสัมผัสไม่ได้
เอ็นโธรปีนั้น ย่อมเข้าสู่เอ็นโธรปีด้วยตัวเอง
คือความล่มสลายย่อมล่มสลายด้วยตัวเอง
และเข้าสู่การกำเนิดใหม่ในทุกวัฏจักร
การพัฒนาจากเซลเดียวเข้าสู่มนุษย์ อาจเป็นไปได้และเป็นไปไม่ได้พอๆกัน
เหมือนควอนตัม ที่มิอาจวัดมวลหากเคลื่อนที่ และไม่อาจวัดความเร็วหากหยุดนิ่ง

การพิสูจน์ด้วยแร่ธาตุและกัมมันตภาพรังสี ได้รับการทดลองซ้ำแล้ว ซ้ำเล่า ครั้งแล้วครั้งเล่า ทั้งในระยะเวลาสั้น และระยะยาวนาน จนเชื่อถือได้ แต่สิ่งที่บทความนี้กล่าวอ้าง มีเพียงความเชื่อ
ความเชื่อที่ไร้หลักฐานพิสูจน์ เอาแต่สิ่งบกพร่องของการทดลองอื่นมาชี้จุดผิดพลาดโดยไม่มีข้อสนับสนุนที่ควรยอมรับของตนเอง

การตีความจากตัวอักษร จะตีความอย่างไรก็ได
้จะตีความให้เป็นการปิดกั้น ตีความให้เป็นการยอมรับเปิดกว้างก็ได้ ตีความเข้าข้างตนเอง ดูหมิ่นเหยียดหยามทำลายผู้อื่นก็ได้ เพราะการตีความเช่นนี้ ทำให้ความโศกเศร้า การทำลายและลบล้างบังเกิดมาในประวัติศาสตร์มนุษย์ยาวนานนัก

วิทยาศาสตร์อาจไม่ใช่คำตอบที่ถูก แต่หนทางแห่งวิทยาศาสตร์ทำให้โลกเป็นโลกทุกวันนี้
โลกแห่งความเชื่อในการทดสอบ ทดลอง และเหตุผล
พร้อมโลกคู่ขนานแห่งความเชื่อ โดยไร้เหตุผลและข้อพิสูจน์ ใช้โวหารตีกระหน่ำจุดด้อยของฝ่ายตรงข้าม ยกตนเองขึ้นยิ่งใหญ่เหนือคนอื่น(เหมือนพรรคการเมืองหนึ่งก่อนพัฒนา)
ไม่ว่าจะทรุดโทรม เสียหาย เจริญวัฒนา งดงาม หรือสกปรกอย่างไร เราก็ยังเดินต่อไปพร้อมกับการหมุนของโลกและจักรวาล
ศาสนาเดินคู่ไปกับวิทยาศาสตร์ได้แน่นอน หากคนเขียนบทความนี้มองอีกมุมบ้าง

"มันคงไม่สนุก ที่รู้ว่าทุกอย่างถูกกำหนดไว้แล้ว"

มิลตัน "พาราไดซ์ ลอสต์"

---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ต่อจากนี้เป็นข้อคิดเห็นส่วนตัวครับ

แล้วเรารู้เรื่องโลกและผู้ที่สร้างโลกแล้วเราได้อะไร?
ไม่ทราบจนกว่าจะได้ทราบรู้ และพิสูจน์ให้เห็นด้วยตนเองเป็นแน่

ีแล้วลองเปิดตาดูโลกทั้งมวล
มหาจิตที่นับถือว่าเป็นพระผู้สร้างทรงรังสรรค์สิ่งทั้งปวงให้เกิดขึ้น จากความว่างเปล่า
แต่ก็เป็นไปตามครรลองของมันเอง
ที่งดงามก็งดงาม ที่เศร้าสลดก็เศร้าสลด
ที่สูญเสียก็สูญเสีย ที่กำเนิดก็กำเนิด

ปาฏิหาริย์เกิดขึ้นทั่วไปในประวัติศาสตร์ความเชื่อของมนุษย์
เป็นเรื่องหลอกลวงทั้งหมด? ไม่ใช่เป็นแน่
เป็นสิ่งเดียวกันทำให้เกิดทั้งหมด? ก็คงจะไม่ใช่
โลกของความเชื่อและความคิด อยู่นอกเหนือโลกแห่งกายภาพ
เราจะไม่รู้จนกว่าเราสิ้นชีวิต

เหล่าเทวทูตและผู้มาเตือน ประกาศกและศาสดาเป็นผู้ชี้นำหนทาง
หนทางอันสิ้นสุดลง ณ ความจริง
ความจริงเพียงสิ่งเดียวที่สิ้นสุดทุกหนทางนั้น
ถึงแม้ว่าหนทางจะเดินทางต่างกัน

สัตว์ชนิดหนึ่งที่มีโครโมโซม 22 คู่และโครโมโซมระบุเพศอีก 1 คู่
เดินทางผ่านกาลเวลามาโดยไม่รู้ว่านานเท่าไร
ทำลายตัวเองไม่รู้กี่หน
สร้างอารยธรรมใหม่ไม่รู้กี่ครั้ง
สิ่งนี้จะสิ้นสุดที่ไหน? วันพิพากษาแห่งยุคคงอีกไม่ไกล
วันนั้นคงจะทราบรู้กันเอง
ภาพประจำตัวสมาชิก
Zion
~@
โพสต์: 3777
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 8:37 pm
ติดต่อ:

พฤหัสฯ. เม.ย. 14, 2005 7:00 am

เห็นด้วยกับเทร่าในข้อสุดท้าย

....ใช่

และการรอวันสุดท้าย ก้คือ ความมุ่งหวังของคริสตชน :)
internazionale7

อาทิตย์ พ.ค. 29, 2005 1:15 am

ผมคิดว่าสมองของมนุษย์ไปไม่ถึงหรือไม่สามารถรับรู้อ่ะครับ
claustrophobia

อาทิตย์ พ.ค. 29, 2005 1:20 am

อ่านปฐมกาลสิอิๆ7วันที่พระเจ้าสร้างโลกเเต่มีอยู่วันที่พระองค์หยุดทำงาน
Jeab Agape
~@
โพสต์: 8259
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:56 pm
ที่อยู่: Bangkok

อาทิตย์ พ.ค. 29, 2005 5:38 am

claustrophobia เขียน: อ่านปฐมกาลสิอิๆ7วันที่พระเจ้าสร้างโลกเเต่มีอยู่วันที่พระองค์หยุดทำงาน

เห็นด้วยกับพี่ โฟเบี่ยฮะ

ปฐมกาล คือหนังสือพระคัมภีร์เล่มแรก ได้จารึก เกี่ยวกับการสร้างโลก ดังนี้ฮะ



1:1 ในปฐมกาลพระเจ้าทรงเนรมิตสร้าง {หรือ เมื่อพระเจ้าทรงเริ่มเนรมิตสร้าง} ฟ้าและแผ่นดิน
1:2 แผ่นดินก็ว่างเปล่า ความมืดอยู่เหนือน้ำ และพระวิญญาณของพระเจ้าปกอยู่เหนือน้ำนั้น
1:3 พระเจ้าตรัสว่า "จงเกิดความสว่าง" ความสว่างก็เกิดขึ้น
1:4 พระเจ้าทรงเห็นว่าความสว่างนั้นดี และทรงแยกความสว่างออกจากความมืด
1:5 พระเจ้าทรงเรียกความสว่างนั้นว่า วัน และความมืดนั้นว่า คืน มีเวลาเย็นและเวลาเช้าเป็นวันแรก
1:6 พระเจ้าตรัสว่า "จงมีภาคพื้นในระหว่างน้ำ แยกน้ำออกจากกัน"
1:7 พระเจ้าทรงสร้างภาคพื้นนั้นขึ้น แล้วทรงแยกน้ำที่อยู่ใต้ภาคพื้นออกจากน้ำที่อยู่เหนือภาคพื้น ก็เป็นดังนั้น
1:8 พระเจ้าจึงทรงเรียกภาคพื้นนั้นว่า ฟ้า มีเวลาเย็น และเวลาเช้า เป็นวันที่สอง
1:9 พระเจ้าตรัสว่า "น้ำที่อยู่ใต้ฟ้าจงรวมอยู่แห่งเดียวกันที่แห้งจงปรากฏขึ้น" ก็เป็นดังนั้น
1:10 พระเจ้าจึงทรงเรียกที่แห้งนั้นว่าแผ่นดิน และที่ซึ่งน้ำรวมกันนั้นว่า ทะเล พระเจ้าทรงเห็นว่าดี
1:11 พระเจ้าตรัสว่า "แผ่นดินจงเกิดพืช คือ ผักหญ้าที่มีเมล็ดและต้นไม้ที่ออกผล มีเมล็ดในผลตามชนิดของมันบนแผ่นดิน" ก็เป็นดังนั้น
1:12 แผ่นดินก็เกิดพืช คือผักหญ้าที่มีเมล็ดตามชนิดของมัน และต้นไม้ที่ออกผลมีเมล็ดในผลตามชนิดของมัน พระเจ้าทรงเห็นว่าดี
1:13 มีเวลาเย็นและเวลาเช้า เป็นวันที่สาม
1:14 พระเจ้าตรัสว่า "จงมีดวงสว่างบนฟ้า เพื่อแยกวันออกจากคืน ให้ดวงสว่างเป็นหมายกำหนดฤดู วัน ปี
1:15 และให้เป็นดวงสว่างบนฟ้า เพื่อส่องสว่างบนแผ่นดิน" ก็เป็นดังนั้น
1:16 พระเจ้าได้ทรงสร้างดวงสว่างขนาดใหญ่ไว้สองดวง ให้ดวงใหญ่ครองวัน ดวงเล็กครองคืน พระองค์ทรงสร้างดวงดาวต่างๆด้วย
1:17 พระเจ้าทรงตั้งดวงสว่างเหล่านี้ไว้บนฟ้า ให้ส่องสว่างบนแผ่นดิน
1:18 ให้ครองวันและคืน และแยกความสว่างออกจากความมืด พระเจ้าทรงเห็นว่าดี
1:19 มีเวลาเย็นและเวลาเช้า เป็นวันที่สี่
1:20 พระเจ้าตรัสว่า "น้ำจงอุดมด้วยฝูงสัตว์ที่มีชีวิต และนกจงบินไปมาข้ามฟ้าเหนือแผ่นดิน"
1:21 พระเจ้าทรงสร้างสัตว์ทะเลขนาดใหญ่ และสัตว์ที่มีชีวิตนานาชนิด ซึ่งแหวกว่ายอยู่ในน้ำ เป็นฝูงๆตามชนิดของมัน และนกต่างๆตามชนิดของมัน พระเจ้าทรงเห็นว่าดี
1:22 พระเจ้าจึงทรงอวยพระพรแก่สัตว์เหล่านั้นว่า "จงมีลูกดกทวีมากขึ้น จนเต็มน้ำในทะเล และให้นกทวีมากขึ้นบนแผ่นดิน"
1:23 มีเวลาเย็นและเวลาเช้า เป็นวันที่ห้า
1:24 พระเจ้าตรัสว่า "แผ่นดินจงเกิดสัตว์ที่มีชีวิตตามชนิดของมัน คือสัตว์ใช้งาน สัตว์เลื้อยคลานและสัตว์ป่าตามชนิดของมัน" ก็เป็นดังนั้น
1:25 พระเจ้าทรงสร้างสัตว์ป่าตามชนิดของมัน สัตว์ใช้งานตามชนิดของมัน และสัตว์ต่างๆที่เลื้อยคลานบนแผ่นดินตามชนิดของมัน แล้วพระเจ้าทรงเห็นว่าดี
1:26 แล้วพระเจ้าตรัสว่า "ให้เราสร้างมนุษย์ตามฉายาตามอย่างของเรา ให้ครอบครองฝูงปลาในทะเล ฝูงนกในอากาศและฝูงสัตว์ ให้ปกครองแผ่นดินทั่วไป และสัตว์ต่างๆที่เลื้อยคลานบนแผ่นดิน"
1:27 พระเจ้าจึงทรงสร้างมนุษย์ขึ้นตามพระฉายาของพระองค์ ตามพระฉายาของพระเจ้านั้น พระองค์ทรงสร้างมนุษย์ขึ้น และได้ทรงสร้างให้เป็นชายและหญิง
1:28 พระเจ้าทรงอวยพระพรแก่มนุษย์ ตรัสแก่เขาว่า "จงมีลูกดกทวีมากขึ้นจนเต็มแผ่นดิน จงมีอำนาจเหนือแผ่นดิน จงครอบครองฝูงปลาในทะเล และฝูงนกในอากาศ กับบรรดาสัตว์ที่เคลื่อนไหวบนแผ่นดิน"
1:29 พระเจ้าตรัสว่า "ดูเถิด เราให้พืชที่มีเมล็ดทั้งหมด ซึ่งมีอยู่ทั่วพื้นแผ่นดิน และต้นไม้ทุกชนิดที่มีเมล็ดในผลของมันแก่เจ้า เป็นอาหารของเจ้า
1:30 ฝ่ายสัตว์ทั้งหลายบนแผ่นดิน นกทั้งปวงในอากาศ และบรรดาสัตว์เลื้อยคลานบนแผ่นดินทุกสิ่งทุกอย่างที่มีลมปราณนั้น เราให้พืชเขียวสดทั้งปวงเป็นอาหาร" ก็เป็นดังนั้น
1:31 พระเจ้าทอดพระเนตรสิ่งทั้งปวงที่พระองค์ทรงสร้างไว้ ทรงเห็นว่าดีนัก มีเวลาเย็นและเวลาเช้า เป็นวันที่หก

บทที่ 2

2:1 ฟ้าและแผ่นดิน และบริวารทั้งสิ้น ที่มีอยู่ในนั้น พระเจ้าทรงสร้างสำเร็จดังนี้แหละ
2:2 วันที่เจ็ด พระเจ้าก็เสร็จงานของพระองค์ที่ทรงกระทำมานั้น ในวันที่เจ็ดนั้นก็ทรงพักการงานทั้งสิ้นของพระองค์ที่ได้ทรงกระทำ
2:3 พระเจ้าจึงทรงอวยพระพรแก่วันที่เจ็ด ทรงตั้งไว้เป็นวันบริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ เพราะในวันนั้นพระองค์ทรงหยุดพักจากการงานทั้งปวง ที่พระองค์ทรงกระทำในการเนรมิตสร้าง
2:4 เรื่องฟ้าสวรรค์และแผ่นดินที่พระเจ้าทรงสร้างมีดังนี้ ในวันที่พระเจ้าทรงสร้างแผ่นดินและฟ้าสวรรค์
2:5 ต้นไม้ตามทุ่งนายังไม่เกิดขึ้นบนแผ่นดิน และพืชตามทุ่งนาก็ยังไม่งอกขึ้นเลย เพราะพระเจ้ายังมิได้ทรงทำให้ฝนตกบนแผ่นดิน ทั้งยังไม่มีมนุษย์ที่จะทำไร่ไถนา
2:6 แต่มีน้ำพลุ่งขึ้นมาจากแผ่นดิน ทำให้พื้นดินเปียกทั่วไป
2:7 พระเจ้าทรงปั้นมนุษย์ด้วยผงคลีดิน ระบายลมปราณเข้าทางจมูก มนุษย์จึงเป็นผู้มีชีวิต
2:8 พระเจ้าทรงปลูกสวนแห่งหนึ่งไว้ที่เอเดน ทางทิศตะวันออก และให้มนุษย์ที่พระองค์ทรงปั้นมานั้นอยู่ที่นั่น
2:9 แล้วพระเจ้าทรงให้ต้นไม้ทุกชนิดที่งามน่าดูและที่น่ากิน เป็นอาหารงอกขึ้นจากดิน มีต้นไม้แห่งชีวิตต้นหนึ่งอยู่ท่ามกลางสวนนั้น กับต้นไม้แห่งความสำนึกในความดีและความชั่วต้นหนึ่งด้วย
2:10 มีแม่น้ำสายหนึ่งไหลจากเอเดนรดสวนนั้น จากที่นั่นก็แยกออกเป็นสี่สาย
2:11 ชื่อแม่น้ำสายที่หนึ่งคือปิโชน เป็นแม่น้ำที่ไหลรอบแผ่นดินฮาวิลาห์ที่นั่นมีแร่ทองคำ
2:12 ทองคำที่เมืองนั้นเป็นทองคำเนื้อดี และมียางไม้ตะคร้ำและโมรา
2:13 ชื่อแม่น้ำสายที่สองคือกิโฮน ไหลรอบแผ่นดินคูช
2:14 ชื่อแม่น้ำสายที่สามคือไทกริส ไหลไปทางทิศตะวันออกของเมืองอัสซีเรีย และแม่น้ำสายที่สี่ชื่อยูเฟรติส
2:15 พระเจ้าจึงทรงให้มนุษย์นั้นอยู่ในสวนเอเดน ให้ทำและรักษาสวน
2:16 พระเจ้าจึงทรงบัญชาแก่มนุษย์นั้นว่า "บรรดาผลไม้ทุกอย่างในสวนนี้ เจ้ากินได้ทั้งหมด
2:17 เว้นแต่ต้นไม้แห่งความสำนึกในความดีและความชั่ว ผลของต้นไม้นั้นอย่ากิน เพราะในวันใดที่เจ้าขืนกิน เจ้าจะต้องตายแน่"
2:18 พระเจ้าตรัสว่า "ไม่ควรที่ชายผู้นี้จะอยู่คนเดียวเราจะสร้างคู่อุปถัมภ์ที่สมกับเขาขึ้น"
2:19 พระเจ้าจึงทรงปั้นบรรดาสัตว์ในท้องทุ่งและนกในท้องฟ้าให้เกิดขึ้นจากดิน แล้วทรงนำมายังชายนั้น เพื่อดูว่าเขาจะเรียกชื่อมันว่าอะไร ชายนั้นตั้งชื่อสัตว์ทั้งปวงที่มีชีวิตว่าอย่างไร สัตว์นั้นก็มีชื่ออย่างนั้น
2:20 ชายนั้นจึงตั้งชื่อบรรดาสัตว์ใช้งานและนกในอากาศและบรรดาสัตว์ป่า แต่ชายนั้นยังหามีคู่อุปถัมภ์ที่สมกับตนไม่
2:21 แล้วพระเจ้าจึงทรงกระทำให้ชายนั้นหลับสนิท ขณะที่เขาหลับสนิทอยู่ พระองค์ทรงชักกระดูกซี่โครงอันหนึ่งของเขาออกมา แล้วทำให้เนื้อติดกันเข้าแทนกระดูกอย่างเดิม
2:22 ส่วนกระดูกซี่โครงที่พระเจ้าได้ทรงชักออกจากชายนั้น พระองค์ทรงสร้างให้เป็นหญิง แล้วทรงนำมาให้ชายนั้น
2:23 ชายจึงว่า "นี่แหละกระดูกจากกระดูกของเรา เนื้อจากเนื้อของเรา จะต้องเรียกว่าหญิง {ตรงนี้ฮีบรูเล่นคำ} ถ้าจะให้คงรูปจะแปลเป็นอย่างนี้ก็ได้ "จะต้องเรียกว่า ชายา เพราะชายานี้ออกมาจากชาย" เพราะหญิงนี้ออกมาจากชาย"
2:24 เพราะเหตุนั้นผู้ชายจึงจากบิดามารดาของตนไปผูกพันอยู่กับภรรยา และเขาทั้งสองจะเป็นเนื้อเดียวกัน
2:25 ทั้งผู้ชายและภรรยาของเขาเปลือยกายอยู่และไม่อายกัน
Jeab Agape
~@
โพสต์: 8259
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:56 pm
ที่อยู่: Bangkok

อาทิตย์ พ.ค. 29, 2005 5:56 am

ปฐมกาลบทที่ ๓ บอกถึงผลของการไม่เชื่อฟัง ของมนุษย์คู่แรก ที่ได้นำความบาป มาสู่มนุษยชาติ

3:1 ในบรรดาสัตว์ป่าที่พระเจ้าทรงสร้างนั้น งูฉลาดกว่าหมด มันถามหญิงนั้นว่า "จริงหรือที่พระเจ้าตรัสห้ามว่า 'อย่ากินผลจากต้นไม้ใดๆ ในสวนนี้'
3:2 หญิงนั้นจึงตอบงูว่า "ผลของต้นไม้ต่างๆ ในสวนนี้เรากินได้
3:3 เว้นแต่ผลของต้นไม้ที่อยู่กลางสวนนั้น พระเจ้าตรัสห้ามว่า 'อย่ากินหรือถูกต้องเลย มิฉะนั้นจะตาย'
3:4 งูจึงพูดกับหญิงนั้นว่า "เจ้าจะไม่ตายจริงดอก
3:5 เพราะพระเจ้าทรงทราบอยู่ว่า เจ้ากินผลไม้นั้นวันใด ตาของเจ้าจะสว่างขึ้นในวันนั้น แล้วเจ้าจะเป็นเหมือนพระเจ้า คือสำนึกในความดีและความชั่ว"
3:6 เมื่อหญิงนั้นเห็นว่า ต้นไม้นั้นน่ากิน และน่าดูด้วย ทั้งเป็นต้นไม้ที่มุ่งหมายจะให้เกิดปัญญา จึงเก็บผลไม้นั้นมากิน แล้วส่งให้สามีกินด้วย เขาก็กิน
3:7 ตาของเขาทั้งสองคนก็สว่างขึ้น จึงสำนึกว่าตนเปลือยกายอยู่ ก็เอาใบมะเดื่อมาเย็บเป็นเครื่องปกปิดร่างไว้
3:8 เวลาเย็นวันนั้น เขาทั้งสองได้ยินเสียงพระเจ้าเสด็จดำเนินอยู่ในสวน ชายนั้นกับภรรยาก็หลบไปซ่อนตัวอยู่ในหมู่ต้นไม้ในสวนนั้น ให้พ้นจากพระพักตร์พระเจ้า
3:9 พระเจ้าทรงเรียกชายนั้นและตรัสถามเขาว่า "เจ้าอยู่ที่ไหน"
3:10 ชายนั้นทูลว่า "ข้าพระองค์ได้ยินพระสุรเสียงของพระองค์ในสวนก็เกรงกลัว เพราะข้าพระองค์เปลือยกายอยู่ จึงได้ซ่อนตัวเสีย"
3:11 พระองค์จึงตรัสว่า "ใครเล่าบอกเจ้าว่าเจ้าเปลือยกาย เจ้ากินผลไม้ที่เราห้ามมิให้กินนั้นแล้วหรือ"
3:12 ชายนั้นทูลว่า "หญิงที่พระองค์ประทานให้อยู่กินกับข้าพระองค์นั้น ส่งผลไม้นั้นให้ข้าพระองค์ ข้าพระองค์จึงรับประทาน"
3:13 พระเจ้าตรัสถามหญิงว่า "เจ้าทำอะไรไป" หญิงนั้นทูลว่า "งูล่อลวงข้าพระองค์ ข้าพระองค์จึงได้รับประทาน"
3:14 พระเจ้าจึงตรัสแก่งูว่า "เพราะเหตุที่เจ้าทำเช่นนี้ เจ้าจะต้องถูกสาปแช่งมากกว่า สัตว์ใช้งานและสัตว์ป่าทั้งปวง จะต้องเลื้อยไปด้วยท้อง จะต้องกินผงคลีดินจนตลอดชีวิต
3:15 เราจะให้เจ้ากับหญิงนี้เป็นศัตรูกัน ทั้งพงศ์พันธุ์ของเจ้าและพงศ์พันธุ์ของเขาด้วย พงศ์พันธุ์ของหญิงจะทำให้หัวของเจ้าแหลก และเจ้าจะทำให้ส้นเท้าของเขาฟกช้ำ
3:16 พระองค์ตรัสแก่หญิงนั้นว่า "เราจะเพิ่มความทุกข์ลำบากขึ้นมากมาย ในเมื่อเจ้ามีครรภ์และคลอดบุตร ถึงกระนั้นเจ้ายังปรารถนาสามี และเขาจะปกครองตัวเจ้า"
3:17 พระองค์จึงตรัสแก่อาดัม {แปลว่า มนุษย์} ว่า"เพราะเหตุเจ้าเชื่อฟังคำพูดของภรรยา และกินผลไม้ที่เราห้าม แผ่นดินจึงต้องถูกสาปเพราะตัวเจ้า เจ้าจะต้องหากินบนแผ่นดินด้วยความทุกข์ลำบากจนตลอดชีวิต
3:18 แผ่นดินจะให้ต้นไม้และพืชที่มีหนามแก่เจ้าและเจ้าจะกินพืชต่างๆ ของทุ่งนา
3:19 เจ้าจะต้องหากินด้วยเหงื่ออาบหน้า จนเจ้ากลับเป็นดินไป เพราะเราสร้างเจ้ามาจากดิน เจ้าเป็นผงคลีดิน และจะต้องกลับเป็นผงคลีดินดังเดิม"
3:20 ชายนั้นเรียกภรรยาของตนว่าเอวา {ศัพท์นี้เหมือนคำที่แปลว่า มีชีวิตอยู่} เพราะนางเป็นมารดาของปวงชนที่มีชีวิต
3:21 พระเจ้าทรงทำเสื้อด้วยหนังสัตว์ให้อาดัมกับเอวาสวมปกปิดกาย
3:22 แล้วพระเจ้าตรัสว่า "ดูเถิดมนุษย์มาเป็นเหมือนผู้หนึ่งในพวกเราแล้ว โดยที่รู้สำนึกในความดีและความชั่ว บัดนี้ อย่าปล่อยให้เขายื่นมือไปหยิบผลต้นไม้แห่งชีวิตมากิน แล้วมีอายุยืนชั่วนิรันดร์"
3:23 เพราะเหตุนั้นพระเจ้าจึงทรงขับไล่เขาออกไปจากสวนเอเดน ให้ไปทำไร่ทำสวนในที่ดินที่ตัวถือกำเนิดมานั้น
3:24 พระองค์ทรงไล่ชายนั้นออกไป และทรงตั้งพวกเครูบ {หมายถึง ทูตสวรรค์ จำพวกหนึ่ง} ทางด้านทิศตะวันออกแห่งสวนเอเดน และตั้งกระบี่เพลิงอันหนึ่งที่หมุนได้รอบทิศไว้เฝ้าทางที่จะเข้าไปสู่ต้นไม้แห่งชีวิตนั้น

@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@

พระกิตติคุณยอห์น ( พระวรสาร ) ได้บอกถึง พระบุตร คือพระเยซูเจ้า ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ อยู่ท่ามกลาง มนุษย์ เพื่อจะนำมนุษย์ กลับบ้าน ไปหาพระบิดา เจ้า ดังนี้

3:16 เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จนได้ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์


เหตุผลที่เป็นเช่นนั้น ในยอห์น ก็บอกว่า"นามอื่นทั่วใต้ฟ้า ความรอดไม่มี " และพระเยซูเจ้า
ทรงยืนยันว่า พระองค์ เป็นทางเดียวที่จะนำมนุษย์ ไปหาพระเจ้าได้

14:6 พระเยซูตรัสกับเขาว่า "เราเป็นทางนั้น เป็นความจริงและเป็นชีวิต ไม่มีผู้ใดมาถึงพระบิดาได้นอกจากจะมาทางเรา
joorenger

จันทร์ พ.ค. 30, 2005 3:08 pm

พระเจ้าทรงสร้างโลกข้อมูลอยู่ในพระคัมภีร์เดิมค่ะ บทแรกๆตามที่มีคนแนะนำไปแล้วน่ะคะ
ส่วนสาเหตุที่คนไม่รู้จักพระเจ้าก็เพราะว่าคนตัดสินใจทำบาป แล้วถูกพรากจะพระเจ้า อาดัมกับเอวาอ่ะค่ะ
ถ้ามีข้อสงสัย สอบถามได้นะคะ
Batholomew
~@
โพสต์: 12724
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 2:28 pm
ที่อยู่: Thailand

อังคาร พ.ค. 31, 2005 11:56 am

ใช่ครับ พระเจ้าเป็นผู้สร้างโลก
ตอบกลับโพส