Signum Crucis
Sign of the Cross
สำคัญมหากางเขน
สำคัญ มหากางเขนมิได้เป็นเพียงแต่การกระทำเชิงสัญลักษณ์ แต่เป็นการแสดงออกถึงคามเชื่อด้วยตัวของมันเองในการแสดงอากัปกิริยาปกติ นั้นบุคคลไม่เพียงแสดงสัญลักษณ์แห่งการไถ่บาปของเรา หรือเพียงกางเขนแต่ยังเป็นการแดงออกถึงความเชื่อในพระตรีเอกภาพอีกด้วย
การทำสำคัญมหากางเขนเป็นพฤติกรรมปกติที่ผู้มีความศรัทธาในพระศาสนจักรสมัยแรกใช้ในการปกป้องพวกเขาเองผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบาก
จาก บันทึกของแตร์ตูเลียนในศตวรรษที่ 3 แสดงให้เราเห็นว่าคริสตชนทำสำคัญมหากางเขนเมื่อตื่นนอน ยามแต่งกาย เมื่อออก หรือเข้าที่พักอาศัย
เวลาอาบน้ำ ยามนั่งร่วมโต๊ะ ครั้นจุดตะเกียง หรือในความเป็นจริงแล้วก็ทุกๆ การเริ่มต้นของทุกการกระทำนักบุญออกัสตินบอกเราว่า “ด้วยสำคัญมหากางเขนทำให้พระกายของพระคริสตเจ้านั้นศักดิ์สิทธิ์
ทำ ให้อ่างน้ำสำหรับศีลล้างบาปบริสุทธิ์ ทำให้พระสังฆราช พระสงฆ์ และสังฆานุกรในพระศาสนจักรมีศักดิ์ และสิทธิตามฐานันดร และทุกสิ่งศักดิ์สิทธิ์ด้วยการอวยพระพรโดยสำคัญมหากางเขนของพระผู้เป็นเจ้า พร้อมกับการวิงวอนในพระนามของพระคริสตเจ้า (Serm. LXXXI).
ต้น แบบของสำคัญมหากางเขนมีลักษณะเป็น “สำคัญมหากางเขนเล็ก” กระทำโดยการทำสัญลักษณ์กางเขนบริเวณหน้าผาก ริมฝีปาก และทรวงอกด้วยนิ้วหัวแม่มือ ซึ่งได้กลายเป็นธรรมเนียมปฏิบัติของพระศาสนจักรในทุกวันนี้เมื่อจะเริ่ม อ่านพระวรสาร
เป็นการยากที่จะระบุอย่างจำเพาะเจาะจงว่า ธรรมเนียมในปัจจุบันของการทำสำคัญมหากางเขนใหญ่ด้วยการลากจากหน้าผากไปที่ ทรวงอกและจากไหล่ไหนถึงไหล่ไหน หลักฐานทางประวัติศาสตร์เกี่ยวเนื่องด้วยประเด็นนี้เหปิดโอกาสให้เกิดการตี ความมากมาย และนักประวัติศาสตร์พระศาสนจักรก็มีความเห็นที่หลากหลาย อันเนื่องมาจากความไม่ชัดเจนของบันทุกโบราณที่อาจแสดงให้เห็นว่า
ธรรมเนียมปฏิบัตินี้เริ่มจากการปฏิบัติก่อนการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร
เป็น ไปได้ว่า สำคัญมหากางเขนใหญ่ถูกให้เป็นครั้งแรกเพื่ออวยพรอย่างเป็นทางการโดนพวกพระ ซึ่งน่าจะเริ่มต้นในช่วงกรณีพิพาทอาเรียนในช่วงศตวรรษที่ 4
และ อาจถูกประยุกต์โดยพวกสัตบุรุษในภายหลัง บันทึกที่ชัดเจนเกี่ยวกับสำคัญมหากางเขนใหญ่ในการอวยพรตนเองปรากฏในราว ศตวรรษที่ 12-13 ซึ่งเป็นที่แน่ชัดว่าธรรมเนียมนี้น่าจะได้รับความนิยมมาเป็นเวลานานก่อนหน้า อาจเลยไปถึงศตวรรษที่ 8 ก็เป็นได้
ดังที่ได้ชี้แนะไว้โดยนัก เขียนยุคกลาง สำคัญมหากางเขนใหญ่นี้อุดมไปด้วยการแสดงนัยยะ เมื่อพระคริสตเจ้าทรงเสด็จมาเพื่อไถ่ผม้โลก พระองค์ทรงถ่อมพระเกียรติมาจากพระบิดา ปฏิสนธิในครรภ์ของพระนางมารีย์พรหมจารี ทรงสิ้นพระชนมชีพ ถูกฝังไว้ และทรงเสด็จไปยังผู้ตายแล้วพระองค์ทรงกลับคืนพระชนมชีพอีกครั้งหนึ่ง เสด็จขึ้นสู่สวรรค์ ประทับเบื้องขวาของพระบิดา
ดังนั้น ทุกครั้งที่กระทำสำคัญมหากางเขนด้วยมือขวา เป็นสัญลักษณ์ของการที่พระคริสตเจ้าทรงประทับเบื้องขวาของพระบิดา
การ เริ่มสำคัญมหากางเขนที่หน้าผากแสดงถึงพระบิดา พระผู้สร้างของสรรพสิ่ง เมื่อเลื่อนมือลงมาที่ทรวงอกก็แสดงถึงการจุติลงมาจากสวรรค์ จากพระบิดา และทรงรับสภาพมนุษย์ในครรภ์ของพระนางมารีย์พรหมจารีด้วยฤทธิ์อำนาจของพระ จิตเจ้า
ในพระศาสนจักรตะวันตก (พระศาสนจักรโรมันคาทอลิก—ผู้แปล) จะกระทำจากไหล่ซ้ายไปยังไหล่ขวาเป็นอันสิ้นสุดการทำสำคัญมหากางเขน ซึ่งด้านซ้ายมักหมายถึงความตาย และความชั่วร้าย ในขณะที่ด้านขวาหมายถึงความจริง และความสว่าง
ดังนั้นไหล่ซ้ายไป ยังไหล่ขวาหมายถึงการที่พระคริสต์เสด็จจากความตายรับคืนพระชนม์ชีพ และเสด็จจากใต้บาดาลกลับสู่สวรรค์ ดังที่พระคริสตเข้าทรงเป็นขึ้นจากความตาย และประทับเบื้องขวาของพระเป็นเจ้า เราอาจผ่านความตายไปสู่ชีวิตในพระคริสต์ได้ด้วยพระพรจากพระจิตเจ้า
ในขณะที่พระศาสนจักรตะวันออก (พระศาสนจักรออร์โธดอกซ์—ผู้แปล) จะกระทำในทิศทางตรงข้าม และย่อมมีนัยยะที่แตกต่างออกไปแน่นอน
เหตุฉะนั้น ท่านทั้งหลายจงออกไปสั่งสอนชนทุกชาติ ให้รับบัพติศมาในพระนามแห่งพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์
euntes ergo docete omnes gentes baptizantes eos in nomine Patris et Filii et Spiritus Sancti
เดชะพระนามพระบิดา และพระบุตร และพระจิต อาเมน
IN nomine Patris, et Filii, et Spiritus Sancti. Amen. ::
ที่มา
http://www.pramool.com:443/webboard/vie ... 513&page=7