สิ่งที่ได้จากชาวปากากะยอ
โพสต์แล้ว: อังคาร ต.ค. 30, 2007 7:28 pm
โอเมอชูเปอ!!(แปลว่าสวัสดีคับ)
เนื่องจากวันที่22-29ตุลา ได้ไปค่ายสัมผัสชีวิตกะบ้านเซเวียร์ ที่บ้านดินขาว โดยไปอยู่กะชาวเขาเผ่าปากากะยอ
เลยจะเอาข้อคิดที่ได้ทั้งจากที่สัมผัสด้วยตนเองเเละจากที่เพื่อนๆพี่ๆร่วมเเบ่งปัน มาเล่าให้ฟังอ่ะคับ
จะเล่าเเบบเปนไดอารี่ก็เเอบขี้เกียจอ่ะ เพราะต้องเรียบเรียงคำพูดเเล้วเขียนใส่กระดาษ เเล้วยังต้องมาพิมพ์อีก(แถมพิมพ์ช้าอีก)
สำหรับหัวข้อประสบการณืเข้าดังเเบบวัยรุ่น ขอติดไว้ก่อนน่ะคับ ถ้ามีคนอยากอ่านต่อก็ช่วยบอกหน่อยน่ะคับ เพราะถ้าไม่มีคนอ่านก็ขี้เกียจพิมพ์ต่ออ่ะ
ข้อคิดจ่ากค่ายน่ะคับ
1.ผมได้ถามเด็กๆในบ้านที่ผมไปอยู่ด้วย เเละเด็กคนอื่นๆในหมู่บ้าน ว่าโตขึ้นอยากเป็นอะไร ... คำตอบมีเเค่2อย่างคือ ครูกับมาเซอร์ เพราะอยากทำงานช่วยเหลือคนในหมู่บ้านต่อไป คำตอบนี้ทำให้ผมต้องคิดทบทวนมากๆ เพราะถ้าเราถามคนในเมือง คำตอบจะมีหลากหลายมากเเต่เหตุผลหลักๆก็คือ รวย ไม่ก็มีเกียรติ ผมจึงได้คิดว่าคนเราต้องทำงานเพื่ออะไรกันเเน่...เงิน หรือ ความสุข
2.ชาวเขาที่นั่นจะเก็บผักหรือผลไม้เพียงเเค่พอกินใน1วันเท่านั้น เพราะเค้าบอกว่าพืชผักที่เติบโตขึ้นมาเป็นของขวัญจากพระ เราควรเก็บมาเเค่พอกิน เพื่อคนที่เดินมาทีหลังจะได้กินด้วย เนื่องจากทุกสิ่งคือสิ่งที่พระให้ ดังนั้นเราจึงควร...แบ่งปันผู้อื่น
3.มาแมร์ได้สอนพวกเราก่อนกลับว่า ให้เราดูข้าวเป็นเเบบอย่าง "ข้าวที่มีเนื้อน้อยหรือฟีบนั้นมักจะชูตังตั้งเด่น เเต่ข้าวที่มีความสมบูรณ์นั้นจะน้อมตัวลง" ดังนั้นให้เราอย่าทำตัวเเบบข้าวลีบ ที่เเท้จริงไม่มีอะไรเเต่กลับอวดตัว เเต่ให้เราทำตัวเเบบข้าวที่สมบูรณ์ ให้เราทำตัวอ่อนน้อมสุภาพ ไม่โอ้อวดตนเอง
4.มาเซอร์ได้บอกว่า ให้เราพิจารณาว่าสิ่งใดคือสิ่งที่จำเป็นสำหรับชีวิตเราอย่างเเท้จริง โดยดูจากว่าถ้าเราขาดสิ่งนั้นเเล้วเรายังดำรงชีวิตอยู่ได้มั้ย ถ้าได้ เเสดงว่าสิ่งนั้นไม่ได้จำเป็นเลย หรือให้เราดูเสื้อในตู้ ว่ามีเสื้อตัวไหนที่เราไม่ได้ใส่เกิน2เดือนมั้ย ถ้ามี เเสดงว่าเราขโมยเสื้อมาจากคนที่เค้าขาดเเคลน ดังนั้นเราควรมีสิ่งต่างๆ อย่างพอเหมาะ
5.ตอนไปเเรกๆ เวลากินข้าวถ้าทำข้าวตกพื้นผมจะเก็บขึ้นมากินเพราะกลัวเค้าเสียใจเนื่องจากเค้าปลูกข้าวกันเอง เเต่พอเค้าเห็นเราทำข้าวตกเค้าบอกไม่ต้องเก็บหรอก เเต่ให้เขี่ยให้หมู,หมาหรือไก่กิน เค้าบอกว่า อย่านำอะไรไปทิ้งอย่างเสียเปล่า ให้เเบ่งปันให้กับชีวิตอื่นที่เค้าต้องการสิ่งนั้น
6.ชาวเขา เค้าจะเดินทางออกไปทำนาทำสวนตั้งเเต่ประมาณ8โมง โดยค่อยๆเดินไป พอไปถึงก็ทำงานไปเรื่อยๆ เหนื่อยก็พัก หิวก็กินข้าว เมื่อเห็นว่าพอเเล้วก็เดินกลับบ้าน เค้าไม่พกนาฬิกา เค้าไม่ต้องดูเวลาตลอดเวลา เเต่เค้ามีความสุข ผมจึงคิดว่าการที่คนในเมืองทำงานอย่างไม่มีความสุข เพราะเราเป็นทาสของเวลามากเกินไปรึเปล่า?? 6โมงต้องตื่น 7โมงต้องออกจากบ้าน 9โมงเข้างาน..ทำงานเพื่อรอเวลาพักเที่ยง...(เที่ยง พัก) บ่ายโมงทำงานไปเรื่อยๆเพื่อรอเวลาเลิกงาน 5โมงเลิกงาน 6โมงกินข้าว 4ทุ่ม นอน...เริ่มวันต่อไป....นี่คือวังวนชีวิตของพวกเรารึป่าว เราควรจะใส่ใจในกำลังที่เรามีอยู่ ว่าตอนนี้เรารู้สึกอย่างไร อยากทำอะไร เราไม่ควรนำเวลามาผูกติดกับชีวิตเรา...
7.มาเซอร์เล่าว่า ได้สอนเรื่องร้อยละกับเด็กชาวเขา โดยมาเซอร์ยกตัวอย่างว่าถ้าเก็บข้าวโพดได้100ฝัก เเบ่งให้มาเซอร์5% เด็กๆต้องเเบ่งให้มาเซอร์ 5ฝัก จากนั้นถามว่าถ้าเด็กๆเก็บข้าวโพดได้50ฝัก จะต้องเเบ่งให้มาเซอร์กี่ฝัก มาเซอร์คิดว่าเด็กจะตอบ2.5เเต่เด็กคนเเรกตอบ3 โดยบอกว่าอีกครึ่งฝักเเถมให้มาเซอร์ เด็กคนที่2ตอบ4 โดยบอกว่ามาเซอร์มี4คนเลยให้4ฝัก ส่วนเด็กคนที่3ตอบว่าให้หมดเลย มาเซอร์จะได้เก็บไว้กินได้ในวันต่อๆไป ผมจึงได้ทบทวนว่าเด็กในเมืองถูกผูกกับความถูกต้องมากไปมั้ย จนลืมคิดถึงความเป็นจริงในชีวิต
เด๋วถ้านึกไรออกอีกจะมาเล่าอีกน่ะคับ
เนื่องจากวันที่22-29ตุลา ได้ไปค่ายสัมผัสชีวิตกะบ้านเซเวียร์ ที่บ้านดินขาว โดยไปอยู่กะชาวเขาเผ่าปากากะยอ
เลยจะเอาข้อคิดที่ได้ทั้งจากที่สัมผัสด้วยตนเองเเละจากที่เพื่อนๆพี่ๆร่วมเเบ่งปัน มาเล่าให้ฟังอ่ะคับ
จะเล่าเเบบเปนไดอารี่ก็เเอบขี้เกียจอ่ะ เพราะต้องเรียบเรียงคำพูดเเล้วเขียนใส่กระดาษ เเล้วยังต้องมาพิมพ์อีก(แถมพิมพ์ช้าอีก)
สำหรับหัวข้อประสบการณืเข้าดังเเบบวัยรุ่น ขอติดไว้ก่อนน่ะคับ ถ้ามีคนอยากอ่านต่อก็ช่วยบอกหน่อยน่ะคับ เพราะถ้าไม่มีคนอ่านก็ขี้เกียจพิมพ์ต่ออ่ะ
ข้อคิดจ่ากค่ายน่ะคับ
1.ผมได้ถามเด็กๆในบ้านที่ผมไปอยู่ด้วย เเละเด็กคนอื่นๆในหมู่บ้าน ว่าโตขึ้นอยากเป็นอะไร ... คำตอบมีเเค่2อย่างคือ ครูกับมาเซอร์ เพราะอยากทำงานช่วยเหลือคนในหมู่บ้านต่อไป คำตอบนี้ทำให้ผมต้องคิดทบทวนมากๆ เพราะถ้าเราถามคนในเมือง คำตอบจะมีหลากหลายมากเเต่เหตุผลหลักๆก็คือ รวย ไม่ก็มีเกียรติ ผมจึงได้คิดว่าคนเราต้องทำงานเพื่ออะไรกันเเน่...เงิน หรือ ความสุข
2.ชาวเขาที่นั่นจะเก็บผักหรือผลไม้เพียงเเค่พอกินใน1วันเท่านั้น เพราะเค้าบอกว่าพืชผักที่เติบโตขึ้นมาเป็นของขวัญจากพระ เราควรเก็บมาเเค่พอกิน เพื่อคนที่เดินมาทีหลังจะได้กินด้วย เนื่องจากทุกสิ่งคือสิ่งที่พระให้ ดังนั้นเราจึงควร...แบ่งปันผู้อื่น
3.มาแมร์ได้สอนพวกเราก่อนกลับว่า ให้เราดูข้าวเป็นเเบบอย่าง "ข้าวที่มีเนื้อน้อยหรือฟีบนั้นมักจะชูตังตั้งเด่น เเต่ข้าวที่มีความสมบูรณ์นั้นจะน้อมตัวลง" ดังนั้นให้เราอย่าทำตัวเเบบข้าวลีบ ที่เเท้จริงไม่มีอะไรเเต่กลับอวดตัว เเต่ให้เราทำตัวเเบบข้าวที่สมบูรณ์ ให้เราทำตัวอ่อนน้อมสุภาพ ไม่โอ้อวดตนเอง
4.มาเซอร์ได้บอกว่า ให้เราพิจารณาว่าสิ่งใดคือสิ่งที่จำเป็นสำหรับชีวิตเราอย่างเเท้จริง โดยดูจากว่าถ้าเราขาดสิ่งนั้นเเล้วเรายังดำรงชีวิตอยู่ได้มั้ย ถ้าได้ เเสดงว่าสิ่งนั้นไม่ได้จำเป็นเลย หรือให้เราดูเสื้อในตู้ ว่ามีเสื้อตัวไหนที่เราไม่ได้ใส่เกิน2เดือนมั้ย ถ้ามี เเสดงว่าเราขโมยเสื้อมาจากคนที่เค้าขาดเเคลน ดังนั้นเราควรมีสิ่งต่างๆ อย่างพอเหมาะ
5.ตอนไปเเรกๆ เวลากินข้าวถ้าทำข้าวตกพื้นผมจะเก็บขึ้นมากินเพราะกลัวเค้าเสียใจเนื่องจากเค้าปลูกข้าวกันเอง เเต่พอเค้าเห็นเราทำข้าวตกเค้าบอกไม่ต้องเก็บหรอก เเต่ให้เขี่ยให้หมู,หมาหรือไก่กิน เค้าบอกว่า อย่านำอะไรไปทิ้งอย่างเสียเปล่า ให้เเบ่งปันให้กับชีวิตอื่นที่เค้าต้องการสิ่งนั้น
6.ชาวเขา เค้าจะเดินทางออกไปทำนาทำสวนตั้งเเต่ประมาณ8โมง โดยค่อยๆเดินไป พอไปถึงก็ทำงานไปเรื่อยๆ เหนื่อยก็พัก หิวก็กินข้าว เมื่อเห็นว่าพอเเล้วก็เดินกลับบ้าน เค้าไม่พกนาฬิกา เค้าไม่ต้องดูเวลาตลอดเวลา เเต่เค้ามีความสุข ผมจึงคิดว่าการที่คนในเมืองทำงานอย่างไม่มีความสุข เพราะเราเป็นทาสของเวลามากเกินไปรึเปล่า?? 6โมงต้องตื่น 7โมงต้องออกจากบ้าน 9โมงเข้างาน..ทำงานเพื่อรอเวลาพักเที่ยง...(เที่ยง พัก) บ่ายโมงทำงานไปเรื่อยๆเพื่อรอเวลาเลิกงาน 5โมงเลิกงาน 6โมงกินข้าว 4ทุ่ม นอน...เริ่มวันต่อไป....นี่คือวังวนชีวิตของพวกเรารึป่าว เราควรจะใส่ใจในกำลังที่เรามีอยู่ ว่าตอนนี้เรารู้สึกอย่างไร อยากทำอะไร เราไม่ควรนำเวลามาผูกติดกับชีวิตเรา...
7.มาเซอร์เล่าว่า ได้สอนเรื่องร้อยละกับเด็กชาวเขา โดยมาเซอร์ยกตัวอย่างว่าถ้าเก็บข้าวโพดได้100ฝัก เเบ่งให้มาเซอร์5% เด็กๆต้องเเบ่งให้มาเซอร์ 5ฝัก จากนั้นถามว่าถ้าเด็กๆเก็บข้าวโพดได้50ฝัก จะต้องเเบ่งให้มาเซอร์กี่ฝัก มาเซอร์คิดว่าเด็กจะตอบ2.5เเต่เด็กคนเเรกตอบ3 โดยบอกว่าอีกครึ่งฝักเเถมให้มาเซอร์ เด็กคนที่2ตอบ4 โดยบอกว่ามาเซอร์มี4คนเลยให้4ฝัก ส่วนเด็กคนที่3ตอบว่าให้หมดเลย มาเซอร์จะได้เก็บไว้กินได้ในวันต่อๆไป ผมจึงได้ทบทวนว่าเด็กในเมืองถูกผูกกับความถูกต้องมากไปมั้ย จนลืมคิดถึงความเป็นจริงในชีวิต
เด๋วถ้านึกไรออกอีกจะมาเล่าอีกน่ะคับ