คิดยังไงเกี่ยวกับบทความวิจารณ์หนังเรื่อง The Golden Compass (ยาวหน่อยครับ)
โพสต์แล้ว: อังคาร ธ.ค. 18, 2007 4:46 pm
The Golden Compass ขนมหวานเคลือบยาพิษ
ฟิลิป พูลแมน ผู้แต่งนิยายไตรภาคชุด"ธุลีปริศนา"(His Dark Materials)
แนะนำพ่อแม่ที่มีลูกไม่ชอบอ่านหนังสือ โดยให้พ่อแม่ชูนิยายที่เขาแต่ง
แล้วบอกลูกๆ ว่า "ห้ามอ่านหนังสือเรื่องนี้ นี่ไม่ใช่หนังสือสำหรับเด็ก ห้ามแตะต้องมัน
พ่อกับแม่จะเก็บมันไว้ชั้นบน และจะออกไปธุระข้างนอกสักสองสามชั่วโมง"
การทิ้งเด็กไว้กับหนังสือ"ต้องห้าม"ย่อมทำให้เด็กอยากรู้อยากเห็นเปิดอ่านดู
แล้วพลังอำนาจในหนังสือจะสะกดให้เด็กๆ ที่ไม่ชอบอ่านหนังสือ
พลิกอ่านหน้าต่อๆ ไป ด้วยความเพลิดเพลินในเนื้อเรื่อง
นี่คือคำแนะนำของพูลแมนที่ทำให้เด็กกลับมาอ่านหนังสือ
แต่จะมีพ่อแม่สักกี่คนที่รู้ว่านิยายของพูลแมนคือ ขนมหวานเคลือบยาพิษดีๆ นี่เอง
นิยายของพลูแมนมีบางอย่างคล้ายคลึงนิยายเรื่อง The Chronicles of Narnia
ของ ซี.เอส.ลูว์อิส ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ผู้พิทักษ์, ดินแดนหิมะที่ขาวโพลน
และการอ้างอิงถึงเด็กหญิงที่ทำให้คำพยากรณ์สำเร็จ
แต่ที่ต่างกันสุดขั้วคือนิยายของ ซี.เอส.ลูว์อิส ให้คนอ่านดูดซับภาพความเป็นคริสเตียน
การที่อัสลาน สิงห์โตวิเศษยอมตายเพื่อชดใช้ความผิดแทนเอ๊ดมันด์
ที่ทรยศต่อพี่น้องหันไปเชื่อแม่มดขาว อัสลานเดินขึ้นสู่หลักประหาร
เขาถูกแม่มดขาวและสมุนเยาะเย้ยด่าทอที่ยอมตายเพื่อคนอื่น
แทบจะเป็นภาพเดียวกับพระเยซูแบกไม้กางเขนไปที่กลโกธา เนินเขาหัวกระโหลก
ระหว่างทางพระองค์ถูกชาวบ้่านเยาะเย้ยด่าทอ ก่อนที่ทหารจะจับพระองค์ตรึงที่กางเขน
ในวันที่สามพระเยซูฟื้นจากความตาย นำความปลาบปลื้มใจให้ผู้เชื่อวางใจในพระองค์
เช่นเดียวกับอัสลานที่ฟื้นจากความตาย และนำชัยชนะมาสู่ดินแดนนาร์เนียในที่สุด
เพราะเป็นคนเขียนนิยายที่อ้างอิงจากพระคัมภีร์ ถ้าเข้าไปในเว็บหนังสือคริสเตียน
จะพบชื่อของลูว์อิส ปรากฏอยู่มากมาย
และไม่น่าแปลกใจที่ฟิลิป พูลแมน ซึ่งประกาศว่าตัวเขาไม่เชื่อพระเจ้า (atheist)
จะเป็นศัตรูกับซี.เอส.ลูว์อิส อย่างเปิดเผย
ในโอกาสครบรอบ 100 ปี ชาตกาลของลูว์อิสในปี 1998
พลูแมนวิจารณ์นิยายเรื่อง The Chronicles of Narnia อย่างเสียหายว่า
เป็นเรื่องน่าเกลียดและเจือยาพิษมากที่สุดที่เคยอ่านมา
จนนักเขียนคนอื่นตั้งฉายาให้พลูแมนว่า"ผู้ต่อต้านลูว์อิส"(The Anti-Lewis)
นิยายไตรภาคชุด"ธุลีปริศนา"ของพลูแมน ได้แก่
มหันภัยขั้วโลกเหนือ (Northern Lights), มีดนิรมิต (The Subtle Knife)
และเล่มสุดท้าย สู่เส้นทางมรณะ (The Amber Glass)
กลับให้เห็นภาพการตายของพระเจ้า ด้วยมีดนิรมิตมีชื่อผู้พยากรณ์ปรากฏอยู่
ซึ่งมีความหมายว่า"ผู้ฆ่าพระเจ้า"การสร้างสาธารณรัฐแห่งสรรค์ขึ้นมาใหม่
โดยไม่ต้องมีกษัตริย์ (พระเจ้า) อีกต่อไป แม้จะมีเนื้อหาที่ต่อต้านพระเจ้าอย่างสุดกู่
นิยายเล่มจบกลับได้รับรางวัล British Book Awards: Children's Book of the Year,
Whitbread Children's Book Award Winner และได้รับเลือกให้เป็น
หนังสือแห่งปีของ Whitbread เป็นหนังสือเด็กเล่มแรกที่ได้รับรางวัลนี้ในรอบ 30 ปี
และนิยายไตรภาคชุดนี้ทำให้พลูแมนกลายเป็นนักเขียนหนังสือเด็ก
ที่ได้รับความนิยมสูงสุดอันดับ 4 ในอังกฤษเมื่อปี 2000
และในปี 2002 พลูแมนได้รับรางวัลนักเขียนแห่งปีอีกด้วย
แม้กระแสต่อต้านจากคริสเตียนต่อหนัง The Golden Compass ที่สร้างจากนิยายเรื่องนี้
ไม่รุนแรงเท่าหนัง The Da Vinci Code (2006) ที่สร้างจากนิยายอื้อฉาวของ แดน บราวน์
แต่ผมสังเกตเห็นวิธีการเขียนนิยายของนักเขียนสองคนนี้
บราวน์ ผู้เขียน The Da Vinci Code รู้ว่าความลับเป็นเรื่องที่คนอ่านสนุกในการติดตาม
เขาจึงเลืือกประเด็นเรื่อง เป็นคำเล่าลือและตำนานที่มีมาหลายศตวรรษ
เริ่มจากความลึกลับที่ซ่อนในภาพวาดของดาวินชี ที่โยงใยไปถึงตัวของพระเยซู
คำเล่าลือที่พระองค์มีชู้รักเป็นหญิงโสเภณี และพระองค์ไม่ได้ถูกตรึงที่กางเขน ฯลฯ
ส่วนฟิลิป พูลแมน ใช้วิธีบิดเบือนพระคัมภีร์บวกจินตนาการสุดกู่ในการเขียนนิยาย
โดยเฉพาะในบทปฐมกาล (The Genesis) ในบทที่ 3 เมื่อมนุษย์คู่แรกคืออาดัมกับเอวา
ทำบาปไม่เชื่อฟัง กินผลไม้ต้องห้ามในสวนเอเดน
เมื่อกินแล้วทำให้ตาของคนทั้งสองสว่างขึ้น
มองเห็นรูปอันแท้จริงของภูต (daemons) ประจำตัวของพวกเขา
ความบาปเกิดขึ้นทันทีเมื่อภูตของมุนษย์มีรูปร่างถาวร
และประเด็นสำคัญที่มาของธุลีปริศนา มาจากการบิดเบือนพระคัมภีร์
ในบทปฐมกาล บทที่ 3 ข้อ 19 ที่กล่าวว่า
"...เพราะเราสร้างมาจากดิน เจ้าเป็นผงคลีดิน และจะต้องกลับไปเป็นผงคลีดินดังเดิม"
แต่พลูแมนเขียนในนิยายว่า บัณฑิตศาสนจักรไม่แน่ใจมาตลอด เมื่อต้องแปลวรรคนั้น
บ้างก็บอกว่าไม่ควรแปลว่า "และจะต้องกลับไปเป็นผงคลีดินดังเดิม"
แต่ควรแปลว่า "เจ้าจะต้องตกอยู่ภายใต้อำนาจของฝุ่นธุลี"
บัณฑิตอีกหลายคนบอกว่า วรรคนี้ทั้งวรรคเป็นการเล่นคำว่า"ดิน" และ"ผงธุลี"
จริงๆ แล้วหมายถึงพระเจ้าทรงยอมรับว่าธรรมชาติส่วนหนึ่งของพระองค์มีบาปแฝงอยู่
แต่คนในศาสนจักรไม่เห็นด้วย เพราะข้อความนั้นเป็นรอยด่างพร้อย
แต่คำนี้เป็นคำดีเกินกว่าจะปล่อยทื้งไปเฉยๆ
นั่นคือเหตุผลว่าทำไมอนุภาคนี้จึงเป็นที่รู้จักกันในชื่อฝุ่นธุลี
และแหล่งกำเนิดฝุ่นธุลีอยู่เลยโลกมนุษย์ออกไป โลกที่อยู่เลยแสงออร่า
ถ้ามนุษย์สามารถไปที่นั่นได้ ก็จะกำจัดฝุ่นธุลีของบาปทั้งปวงได้
คือการฆ่าพระเจ้าที่เป็นต้นตอของบาป เพราะแท้จริงแล้วพระเจ้าไม่ใช่พระผู้สร้าง
แต่ถือกำเนิดมาจากฝุ่นธุลี จินตนาการของพลูแมนไปไกลจนกู่ไม่กลับแล้ว
The Golden Compass ฉบับหนังเปิดเรื่องให้เห็นมนุษย์แต่ละคนเกิดมาพร้อมภูตประจำตัว
ภูตที่ติดตามเจ้านายไปตลอดชีวิต ภูตในตัวเด็กเปลี่ยนเป็นสัตว์อื่นๆ ได้หลากหลาย
แต่เมื่อเป็นผู้ใหญ่ตัวภูตจะมีรูปร่างคงที่ไม่เปลี่ยนแปลงอีก
ตัวละครสำคัญในเรื่องคือ ไลรา (ดาโกต้า บูล ริชาร์ดส์)
เด็กหญิงกำพร้าที่เติบโตมาในมหาวิทยาลัยอ๊อกฟอร์ด
ภายใต้การดูแลของลอร์ดแอสเรียล (แดเนียล เคร็ก) ลุงของเธอ
ลอร์ดแอสเรียลเป็นนักวิทยาศาสตร์ผู้ปราดเปรื่อง ผู้ค้นพบแหล่งที่มาของตัวฝุ่นธุลี
จากจักรวาลอื่นที่มองเห็นได้่โดยผ่านแสงออร่า ฝุ่นธุลีที่เกี่ยวข้องกับเด็กๆ
และผู้มีอำนาจในคริสตจักรต้องการกำจัดฝุ่นธุลีนั้น เพราะเชื่อว่ามันเป็นสิ่งที่ชั่วร้าย
ต่อมาเด็กหลายคนหายไปลึกลับ รวมทั้งโรเจอร์(เบน วอล์คเกอร์)เพื่อนสนิทของไลรา
ชาวเมืองเชื่อว่าเป็นฝีมือของตัวกินเด็ก ไลราพร้อมกับแพนภูติประจำตัวของเธอ
ตัดสินใจออกติดตามหาเพื่อช่วยชีวิตโรเจอร์และเด็กคนอื่นๆ
ก่อนจะออกจากอ๊อกซ์ฟอร์ด อธิการบดีมหาวิทยาลัยได้มอบของวิเศษให้ไลรา
อลิธีอามิเตอร์ เข็มทิศทองคำที่ใช้บอกความจริง
และไลร่ารู้ว่าเด็กที่หายไปนั้น ถูกลักพาตัวไปยังขั้วโลกเหนือ เพราะการทดลองชั่วร้าย
ไลราพร้อมครอบครัวยิปซีของโรเจอร์ จึงเดินทางไปที่นั่นเพื่อช่วยชีวิตเด็กทุกคน
แล้วการผจญภัยที่ตื่นเต้นไม่ว่าจะเป็นดินแดนแห่งเทพนิยาย ภูตประจำตัว
หมีสวมเกราะ แม่มด การต่อสู้กับเหล่าร้าย ฯลฯ ก็เริ่มต้นขึ้น
เพราะกลัวกระแสต่อต้านจากวงการคริสเตียน ซึ่งมีผลต่อรายได้มหาศาลของหนัง
The Golden Compass จึงจืดจาง (dilute) เนื้อหาของนิยายลง
เช่น ไม่เอ่ยถึงชื่อคริสตจักรแบบตรงๆ แต่ใช้คำว่า"คณะปกครอง"แทน
และถ้าอ่านเรื่องย่อหรือดูจากหนังแล้ว ประเด็นการต่อต้านพระเจ้ายังไม่เด่นชัด
เท่ากับอ่านจากนิยายซึ่งรุนแรงกว่ามาก คริสเตียนที่จะอ่านนิยายชุดนี้
คงต้องสำรวจความเชื่อของตนเองว่ายังเข้มแข็งและมั่นคงอยู่หรืออเปล่า
เพราะฟิลิป พลูแมน เป็นนักเล่าเรื่องที่มีพรสรรค์ มีพลังอำนาจคล้ายเวทมนตร์
ชักจูงคนให้อ่านนิยายของเขา แม้กระทั่งคนที่ไม่ชอบอ่านหนังสือ
บิล โดโนฮิว ประธานสหพันธ์คาธอลิก ได้ประณามหนังเรื่องนี้ว่าเป็นภัยอย่างร้ายแรง
ปลูกฝังให้เด็กต่อต้านพระเจ้า เขาเป็นห่วงว่าพ่อแม่คริสเตียนที่พาลูกไปดูหนังเรื่องนี้
เมื่อดูแล้วก็จะหานิยายมาอ่าน ซึ่งมีเนื้อหาโจมตีศาสนาอย่างล้ำลึก
และขณะเดียวกันก็ขาย atheism (ความเชื่อที่ว่าไม่มีพระเจ้า) อีกด้วย
และพลูแมนเจ้าของนิยายโต้ว่า เป็นเรื่องของคนอ่านและคนดูหนังจะตัดสินใจเอง
คริส ไวท์ซ ผู้กำกับหนัง เชื่อว่านี่ไม่ใช่ต่อต้านพระเจ้า แต่เป็นงานเขียนที่น่ายกย่อง
และนิโคล คิดแมน ที่รับบทเป็นมิสซิสโคลเตอร์
หัวหน้าคณะกรรมการว่าด้วยพลีกรรม ที่ทดลองจะแยกภูตออกจากคน
เพื่อที่คนจะไม่ต้องตกอยู่ภายใต้ฝุ่นธุลีของบาปกำเนิดอีกต่อไป
คิดแมนบอกว่าตัวเธอก็เป็นคาธอลิก และเธอคงไม่เล่นหนังเรื่องนี้
ถ้าเห็นว่าเป็นหนังที่ต่อต้านศาสนา
ไม่ว่าจะยังไงก็ตามทั้งเสียงเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย
จะทำให้หนังเรื่องนี้ทำเงินในบ็อกซ์ออฟฟิศถล่มทลาย
ดูหนังและอ่านนิยายเรื่องนี้แล้ว ทำให้ผมนึกถึงพระธรรม 1 ทิโมธี 4:7
ที่กล่าวไว้ว่า "อย่าใส่ใจกับเทพนิยายอันหาสาระมิได้ จงฝีกตนในทางธรรม"
เพราะเทพนิยายพวกนี้คือขนมหวานเคลือบยาพิษดีๆ นี่เอง
คัดลอกมาจากเวป www.weareimpact.com ครับ