สงสัย นักบุญพระเจ้าทซาร์นิโคลัส(ที่2)
โพสต์แล้ว: เสาร์ ม.ค. 05, 2008 2:26 am
สงสัยว่า ใช่พระองค์เดียวกันกับ พระเจ้านิโคลาสที่ 2 แห่งราชวงค์โรมานอฟ รึป่าวอะ
ขอเล่าประวัตินิดนึง
ซาเรวิตซ์ นิโคลาส เสด็จขึ้นเถลิงถวัลยราชสมบัติเป็นพระเจ้าซาร์นิโคลาสที่ ๒ แห่งรัสเซียในปี ค.ศ. ๑๘๙๔ ในปีเดียวกันก็ได้ทรงอภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงเยอรมัน พระนามเดิมว่าเจ้าหญิงอลิกซ์ (Princess Alix Von Hesse-Darmstadt) ผู้เป็นพระธิดาของเจ้าหญิงอลิซ (Princess Alice Maud Mary) ซึ่งเป็นพระธิดาองค์ที่ ๒ ของสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย (Queen Victoria) เจ้าหญิงอลิกซ์ได้รับสถาปนาเป็นซารีนา อเล็กซานดรา ฟีโอโดรอฟนา แห่งรัสเซีย (Czarina Alexandra Feodorovna) พระนางไม่ใช่คน "ป๊อปปูล่าร์" ในราชสำนักรัสเซีย โดยเฉพาะทรงขัดแย้งและเข้ากันไม่ได้กับสมเด็จพระพันปีหลวงอยู่เสมอ พระเจ้าซาร์และซารีนาจึงทรงย้ายที่ประทับจากกรุงเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ไปประทับ ณ พระราชวังลิเดียที่ซาร์สโกเอเซโล (Tsarskoe Selo) ตั้งอยู่นอกเมืองหลวงประมาณ ๒๗ กิโลเมตร ซึ่งมีส่วนทำให้รัชกาลใหม่ตัดขาดความสัมพันธ์กับราชสำนักอยู่เสมอ ความโดดเดี่ยวนี้ทำให้ซารีนาทรงใกล้ชิดกับพระเจ้าซาร์มากขึ้น แต่จะกลับเป็นเป้าหมายของการซุบซิบนินทาและความอิจฉาริษยาจากแวดวงชั้นสูงในเมืองหลวงตลอดเวลา
ซารีนา อเล็กซานดรา มีพระราชธิดากับพระเจ้าซาร์ ๔ องค์ คือ แกรนด์ดัชเชสออลกา (Grand Dutchess Olga) แกรนด์ดัชเชสตาเตียนา (Tatiana) แกรนด์ดัชเชสมารี (Marie) และแกรนด์ดัชเชสอนาสตาเซีย (Anastasia) แต่ตามกฎมณเฑียรบาลนั้น พระราชธิดาไม่มีสิทธิ์สืบราชบัลลังก์ ทั้งพระเจ้าซาร์และซารีนาจึงทรงกังวลพระทัยเกี่ยวกับปัญหาการไม่มีรัชทายาท ซารีนาทรงใช้เวลาส่วนใหญ่สวดมนต์อ้อนวอนพระผู้เป็นเจ้า ขอให้กำเนิดพระราชโอรส ต่อมาในปี ค.ศ. ๑๙๐๔ พระนางก็ประสูติพระราชโอรสสมปรารถนา แต่หลังจากประสูติได้ ๖ สัปดาห์ เจ้าชายอเล็กเซย์มีพระอาการโลหิตไหลไม่หยุดถึง ๓ วัน ด้วยโรคฮีโมฟิเลีย (Hemophilia) ซึ่งไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ โรคดังกล่าวเป็นพันธุกรรมที่ถ่ายทอดมาจากสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย ทั้งพระเจ้าซาร์และพระมเหสีทรงปิดข่าวเรื่องโรคร้ายประจำตัวเจ้าชายอเล็กเซย์เป็นความลับ โรคร้ายของเจ้าชายอเล็กเซย์ ทำให้พระเจ้าซาร์และพระมเหสีใกล้ชิดกันยิ่งขึ้น และมีส่วนทำให้พระเจ้าซาร์ทรงปรากฏพระองค์ในที่สาธารณะน้อยลง ทั้งซารีนาก็มีพระอากัปกิริยาเคร่งเครียดเย็นชา จนทำให้เกิดข่าวลือร้ายๆ ต่างๆ ที่ทำให้ราชวงศ์มัวหมองลง และเร่งให้พสกนิกรพากันเกลียดชังพระนางมากขึ้นด้วย การประชวรของเจ้าชายอเล็กเซย์ จะเป็นช่องทางที่ชักนำชายคนหนึ่งมาสู่ราชสำนักรัสเซีย บุคคลผู้นี้มีชื่อว่าเกรกอรี่ รัสปูติน เขาเป็นนักบวชจากไซบีเรีย มีประวัติที่กักขฬะและคลั่งไคล้ในกามราคะ แต่ความสามารถพิเศษของรัสปูตินในเรื่องการสะกดจิตทำให้มีผู้แนะนำราชสำนักว่า เขาอาจรักษาอาการประชวรของเจ้าชายอเล็กเซย์ได้ รัสปูตินก้าวเข้ามาในชีวิตของพระราชวงศ์ และได้สร้างความประหลาดใจให้ทุกคนเห็น จนอาการประชวรของเจ้าชายอเล็กเซย์ทุเลาลงและมีสุขภาพดีขึ้น ซารีนาทรงมอบบำเหน็จความชอบทุกอย่างที่รัสปูตินต้องการโดยเฉพาะสิทธิพิเศษในราชสำนัก ผลร้ายที่ตามมาคือ อิทธิพลของซารีนาต่อพระเจ้าซาร์พลอยทำให้องค์เหนือหัวตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของรัสปูตินไปด้วย พระเจ้าซาร์และซารีนาทรงเชื่อว่ารัสปูตินเป็นคนของพระเจ้าที่สามารถแสดงปาฏิหาริย์ให้เกิดขึ้น โดยเฉพาะอำนาจวิเศษในการรักษาโรคร้ายของเจ้าชายอเล็กเซย์ ทั้ง ๒ พระองค์จึงทรงปฏิเสธที่จะรับฟังการตักเตือนเรื่องพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของรัสปูตินในราชสำนัก ซารีนาทรงปกป้องรัสปูตินทุกเรื่อง และทรงขอให้พระเจ้าซาร์ลงโทษหรือปลดข้าราชการที่ต่อต้านรัสปูตินออกจากตำแหน่ง รัสปูตินมีอิทธิพลอย่างมากในราชสำนักเมื่อพระเจ้าซาร์เสด็จไปบัญชาการรบที่ชายแดนในสงครามโลกครั้งที่ ๑ ซารีนาโปรดให้รัสปูตินรับผิดชอบในการบริหารราชการแผ่นดินแทนพระนาง ซึ่งสร้างความไม่พอใจอย่างมากให้กับสภาดูมา (Duma) และนำไปสู่ความวุ่นวายทางการเมืองภายในประเทศ ข่าวลือที่แพร่กระจายทั่วประเทศว่ารัสปูตินเป็นชู้รักของซารีนาและข่มขืนพระราชธิดาทั้ง ๔ พระองค์ ทำให้เกียรติภูมิของราชวงศ์มัวหมองอย่างมาก จนสมาชิกสภาดูมาเริ่มรณรงค์ต่อต้านราชวงศ์อย่างเปิดเผย การโจมตีของสภาดูมาอย่างรุนแรงมีส่วนให้เจ้าชายเฟลิกซ์ ยุสซูปอฟ (Felix Youssoupov) และพระญาติวางแผนสังหารรัสปูตินในเวลาต่อมา
"อเล็กเซย์" เสวยราชย์เป็นพระเจ้าซาร์อเล็กเซย์ที่ ๒
เมื่อเกิดการปฏิวัติเดือนกุมภาพันธ์ ในปี ค.ศ. ๑๙๑๗ เพื่อต่อต้านสงครามและการขาดแคลนอาหาร พระเจ้าซาร์นิโคลาสที่ ๒ ทรงมีคำสั่งให้ใช้กำลังทหารปราบปรามกลุ่มผู้เดินขบวนอย่างเด็ดขาด และให้ประกาศปิดสมัยประชุมสภาดูมา ซึ่งกำลังแก้ไขสถานการณ์ นับแต่นั้นสภาเริ่มแสดงปฏิกิริยาเป็นปฏิปักษ์ต่อราชวงศ์ เหตุการณ์รุนแรงขึ้น เมื่อสภาดูมามีมติให้ประกาศการสิ้นสุดอำนาจของรัฐบาลพระเจ้าซาร์ในวันที่ ๑ มีนาคม ๑๙๑๗ และแต่งตั้งผู้แทนไปทูลให้พระเจ้าซาร์ทรงสละราชสมบัติ ความตึงเครียดผลักดันให้พระเจ้าซาร์ทรงยินยอมสละราชบัลลังก์ให้แก่พระราชโอรสคืออเล็กเซย์ ในวันที่ ๒ มีนาคม ๑๙๑๗ และในบ่ายวันเดียวกันก็มีประกาศพระบรมราชโองการเรื่องการเสด็จขึ้นครองราชย์ของมกุฎราชกุมารอเล็กเซย์ เป็นพระเจ้าซาร์อเล็กเซย์ที่ ๒ มีพระนามเต็มว่า "His Imperial Majesty Tsar Alexei II, Emperor and Autocrat of all the Russias" แต่ในช่วงเย็น พระเจ้าซาร์นิโคลาสที่ ๒ ก็ทรงเปลี่ยนพระทัยและทรงแก้ไขคำสั่ง โดยทรงประกาศมอบราชบัลลังก์ให้พระอนุชาคือแกรนด์ดุ๊กไมเคิล อเล็กซานโดรวิช (Grand Duke Michael Alexandrovich) แทน แต่แกรนด์ดุ๊กไมเคิลกลับทรงปฏิเสธราชบัลลังก์ การปฏิเสธครั้งนี้ทำให้ราชวงศ์โรมานอฟถึงกาลอวสาน
ราวเที่ยงคืน 16 กรกฎาคม 1918 ครอบครัวของพระเจ้าซาร์ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นกลางดึก มีคนมาแจ้งข่าวว่าเกิดการต่อสู้อย่างหนักในสงครามกลางเมือง เพื่อความปลอดภัยของแต่ละคน ทุกคนจะต้องปลอมแปลงตัวและหลบอยู่ในบ้านตรงจุดที่หาพบได้ยาก พระเจ้าซาร์อุ้มอเล็กลงไปชั้นล่างตามด้วยอเล็กซานดรพร้อมกับบุตรสาวอีก 4 คน และหมอประจำตัวของพระเจ้าซาร์ คนรับใช้อีก 3 คน อนาสตาเซียอุ้มจิ่มมี่น้อยตามมาด้วย จิมมี่หัวหน้าฝ่ายรักษาความปลอดภัยเป็นผู้นำทางให้พวกพระเจ้าซาร์ให้ไปหลบซ่อนในห้องเล็กๆ ในห้องนั้นไม่มีเก้าอี่เลย ทุกคนต้องนั่งบนพื้น จิมมี่หัวหน้าฝ่ายรักษาความปลอดภัยก็ออกไปจากบ้าน สักครู่ต่อมาเขากลับมาพร้อมทหารอีกจำนวนหนึ่ง จิมมี่หยิบกระดาษแผ่นเล็กขึ้นมาอ่าน ด้วยน้ำเสียงที่แข็งขัน
"ครอบครัวของท่านทุกคนต้องถูกประหารชีวิต"
"นี่! อะไรกันจิมมี่?" พระเจ้าซาร์ร้องถามขึ้นอย่างตระหนก
จิมมี่ไม่ตอบ กลับดึงปืนมาจากซองแล้วยิงที่เศียรของพระเจ้าซาร์ชนิดเผาขน เสียงปืนระเบิดดังกึกก้องในห้องนั้น ทุกคนไม่มีโอกาสแม้แต่วิงวอนขอร้องชีวิตกับพวกทหาร ลูกกระสุนของทหารต่างปลิวว่อนภายในห้อง อนาสตาเซียกับแมรี่ก้มหัวลงหลบกระสุนและซุกตัวอยู่ข้างผนัง พวกทหารยังระดมยิง จนกระทั้งเสียงหวีดร้องเงียบลง
ยูรอฟสกี้ ผู้ควบคุมประหารชีวิตก้าวเดินสำรวจ พบว่าเจ้าชายอเล็กยังไม่สิ้นพระชนม์ ยูรอฟสกี้ยกปืนพกขึ้นยิงหัวอีก 2-3 นัดเป็นอันเสร็จพิธี
ขอเล่าประวัตินิดนึง
ซาเรวิตซ์ นิโคลาส เสด็จขึ้นเถลิงถวัลยราชสมบัติเป็นพระเจ้าซาร์นิโคลาสที่ ๒ แห่งรัสเซียในปี ค.ศ. ๑๘๙๔ ในปีเดียวกันก็ได้ทรงอภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงเยอรมัน พระนามเดิมว่าเจ้าหญิงอลิกซ์ (Princess Alix Von Hesse-Darmstadt) ผู้เป็นพระธิดาของเจ้าหญิงอลิซ (Princess Alice Maud Mary) ซึ่งเป็นพระธิดาองค์ที่ ๒ ของสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย (Queen Victoria) เจ้าหญิงอลิกซ์ได้รับสถาปนาเป็นซารีนา อเล็กซานดรา ฟีโอโดรอฟนา แห่งรัสเซีย (Czarina Alexandra Feodorovna) พระนางไม่ใช่คน "ป๊อปปูล่าร์" ในราชสำนักรัสเซีย โดยเฉพาะทรงขัดแย้งและเข้ากันไม่ได้กับสมเด็จพระพันปีหลวงอยู่เสมอ พระเจ้าซาร์และซารีนาจึงทรงย้ายที่ประทับจากกรุงเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ไปประทับ ณ พระราชวังลิเดียที่ซาร์สโกเอเซโล (Tsarskoe Selo) ตั้งอยู่นอกเมืองหลวงประมาณ ๒๗ กิโลเมตร ซึ่งมีส่วนทำให้รัชกาลใหม่ตัดขาดความสัมพันธ์กับราชสำนักอยู่เสมอ ความโดดเดี่ยวนี้ทำให้ซารีนาทรงใกล้ชิดกับพระเจ้าซาร์มากขึ้น แต่จะกลับเป็นเป้าหมายของการซุบซิบนินทาและความอิจฉาริษยาจากแวดวงชั้นสูงในเมืองหลวงตลอดเวลา
ซารีนา อเล็กซานดรา มีพระราชธิดากับพระเจ้าซาร์ ๔ องค์ คือ แกรนด์ดัชเชสออลกา (Grand Dutchess Olga) แกรนด์ดัชเชสตาเตียนา (Tatiana) แกรนด์ดัชเชสมารี (Marie) และแกรนด์ดัชเชสอนาสตาเซีย (Anastasia) แต่ตามกฎมณเฑียรบาลนั้น พระราชธิดาไม่มีสิทธิ์สืบราชบัลลังก์ ทั้งพระเจ้าซาร์และซารีนาจึงทรงกังวลพระทัยเกี่ยวกับปัญหาการไม่มีรัชทายาท ซารีนาทรงใช้เวลาส่วนใหญ่สวดมนต์อ้อนวอนพระผู้เป็นเจ้า ขอให้กำเนิดพระราชโอรส ต่อมาในปี ค.ศ. ๑๙๐๔ พระนางก็ประสูติพระราชโอรสสมปรารถนา แต่หลังจากประสูติได้ ๖ สัปดาห์ เจ้าชายอเล็กเซย์มีพระอาการโลหิตไหลไม่หยุดถึง ๓ วัน ด้วยโรคฮีโมฟิเลีย (Hemophilia) ซึ่งไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ โรคดังกล่าวเป็นพันธุกรรมที่ถ่ายทอดมาจากสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย ทั้งพระเจ้าซาร์และพระมเหสีทรงปิดข่าวเรื่องโรคร้ายประจำตัวเจ้าชายอเล็กเซย์เป็นความลับ โรคร้ายของเจ้าชายอเล็กเซย์ ทำให้พระเจ้าซาร์และพระมเหสีใกล้ชิดกันยิ่งขึ้น และมีส่วนทำให้พระเจ้าซาร์ทรงปรากฏพระองค์ในที่สาธารณะน้อยลง ทั้งซารีนาก็มีพระอากัปกิริยาเคร่งเครียดเย็นชา จนทำให้เกิดข่าวลือร้ายๆ ต่างๆ ที่ทำให้ราชวงศ์มัวหมองลง และเร่งให้พสกนิกรพากันเกลียดชังพระนางมากขึ้นด้วย การประชวรของเจ้าชายอเล็กเซย์ จะเป็นช่องทางที่ชักนำชายคนหนึ่งมาสู่ราชสำนักรัสเซีย บุคคลผู้นี้มีชื่อว่าเกรกอรี่ รัสปูติน เขาเป็นนักบวชจากไซบีเรีย มีประวัติที่กักขฬะและคลั่งไคล้ในกามราคะ แต่ความสามารถพิเศษของรัสปูตินในเรื่องการสะกดจิตทำให้มีผู้แนะนำราชสำนักว่า เขาอาจรักษาอาการประชวรของเจ้าชายอเล็กเซย์ได้ รัสปูตินก้าวเข้ามาในชีวิตของพระราชวงศ์ และได้สร้างความประหลาดใจให้ทุกคนเห็น จนอาการประชวรของเจ้าชายอเล็กเซย์ทุเลาลงและมีสุขภาพดีขึ้น ซารีนาทรงมอบบำเหน็จความชอบทุกอย่างที่รัสปูตินต้องการโดยเฉพาะสิทธิพิเศษในราชสำนัก ผลร้ายที่ตามมาคือ อิทธิพลของซารีนาต่อพระเจ้าซาร์พลอยทำให้องค์เหนือหัวตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของรัสปูตินไปด้วย พระเจ้าซาร์และซารีนาทรงเชื่อว่ารัสปูตินเป็นคนของพระเจ้าที่สามารถแสดงปาฏิหาริย์ให้เกิดขึ้น โดยเฉพาะอำนาจวิเศษในการรักษาโรคร้ายของเจ้าชายอเล็กเซย์ ทั้ง ๒ พระองค์จึงทรงปฏิเสธที่จะรับฟังการตักเตือนเรื่องพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของรัสปูตินในราชสำนัก ซารีนาทรงปกป้องรัสปูตินทุกเรื่อง และทรงขอให้พระเจ้าซาร์ลงโทษหรือปลดข้าราชการที่ต่อต้านรัสปูตินออกจากตำแหน่ง รัสปูตินมีอิทธิพลอย่างมากในราชสำนักเมื่อพระเจ้าซาร์เสด็จไปบัญชาการรบที่ชายแดนในสงครามโลกครั้งที่ ๑ ซารีนาโปรดให้รัสปูตินรับผิดชอบในการบริหารราชการแผ่นดินแทนพระนาง ซึ่งสร้างความไม่พอใจอย่างมากให้กับสภาดูมา (Duma) และนำไปสู่ความวุ่นวายทางการเมืองภายในประเทศ ข่าวลือที่แพร่กระจายทั่วประเทศว่ารัสปูตินเป็นชู้รักของซารีนาและข่มขืนพระราชธิดาทั้ง ๔ พระองค์ ทำให้เกียรติภูมิของราชวงศ์มัวหมองอย่างมาก จนสมาชิกสภาดูมาเริ่มรณรงค์ต่อต้านราชวงศ์อย่างเปิดเผย การโจมตีของสภาดูมาอย่างรุนแรงมีส่วนให้เจ้าชายเฟลิกซ์ ยุสซูปอฟ (Felix Youssoupov) และพระญาติวางแผนสังหารรัสปูตินในเวลาต่อมา
"อเล็กเซย์" เสวยราชย์เป็นพระเจ้าซาร์อเล็กเซย์ที่ ๒
เมื่อเกิดการปฏิวัติเดือนกุมภาพันธ์ ในปี ค.ศ. ๑๙๑๗ เพื่อต่อต้านสงครามและการขาดแคลนอาหาร พระเจ้าซาร์นิโคลาสที่ ๒ ทรงมีคำสั่งให้ใช้กำลังทหารปราบปรามกลุ่มผู้เดินขบวนอย่างเด็ดขาด และให้ประกาศปิดสมัยประชุมสภาดูมา ซึ่งกำลังแก้ไขสถานการณ์ นับแต่นั้นสภาเริ่มแสดงปฏิกิริยาเป็นปฏิปักษ์ต่อราชวงศ์ เหตุการณ์รุนแรงขึ้น เมื่อสภาดูมามีมติให้ประกาศการสิ้นสุดอำนาจของรัฐบาลพระเจ้าซาร์ในวันที่ ๑ มีนาคม ๑๙๑๗ และแต่งตั้งผู้แทนไปทูลให้พระเจ้าซาร์ทรงสละราชสมบัติ ความตึงเครียดผลักดันให้พระเจ้าซาร์ทรงยินยอมสละราชบัลลังก์ให้แก่พระราชโอรสคืออเล็กเซย์ ในวันที่ ๒ มีนาคม ๑๙๑๗ และในบ่ายวันเดียวกันก็มีประกาศพระบรมราชโองการเรื่องการเสด็จขึ้นครองราชย์ของมกุฎราชกุมารอเล็กเซย์ เป็นพระเจ้าซาร์อเล็กเซย์ที่ ๒ มีพระนามเต็มว่า "His Imperial Majesty Tsar Alexei II, Emperor and Autocrat of all the Russias" แต่ในช่วงเย็น พระเจ้าซาร์นิโคลาสที่ ๒ ก็ทรงเปลี่ยนพระทัยและทรงแก้ไขคำสั่ง โดยทรงประกาศมอบราชบัลลังก์ให้พระอนุชาคือแกรนด์ดุ๊กไมเคิล อเล็กซานโดรวิช (Grand Duke Michael Alexandrovich) แทน แต่แกรนด์ดุ๊กไมเคิลกลับทรงปฏิเสธราชบัลลังก์ การปฏิเสธครั้งนี้ทำให้ราชวงศ์โรมานอฟถึงกาลอวสาน
ราวเที่ยงคืน 16 กรกฎาคม 1918 ครอบครัวของพระเจ้าซาร์ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นกลางดึก มีคนมาแจ้งข่าวว่าเกิดการต่อสู้อย่างหนักในสงครามกลางเมือง เพื่อความปลอดภัยของแต่ละคน ทุกคนจะต้องปลอมแปลงตัวและหลบอยู่ในบ้านตรงจุดที่หาพบได้ยาก พระเจ้าซาร์อุ้มอเล็กลงไปชั้นล่างตามด้วยอเล็กซานดรพร้อมกับบุตรสาวอีก 4 คน และหมอประจำตัวของพระเจ้าซาร์ คนรับใช้อีก 3 คน อนาสตาเซียอุ้มจิ่มมี่น้อยตามมาด้วย จิมมี่หัวหน้าฝ่ายรักษาความปลอดภัยเป็นผู้นำทางให้พวกพระเจ้าซาร์ให้ไปหลบซ่อนในห้องเล็กๆ ในห้องนั้นไม่มีเก้าอี่เลย ทุกคนต้องนั่งบนพื้น จิมมี่หัวหน้าฝ่ายรักษาความปลอดภัยก็ออกไปจากบ้าน สักครู่ต่อมาเขากลับมาพร้อมทหารอีกจำนวนหนึ่ง จิมมี่หยิบกระดาษแผ่นเล็กขึ้นมาอ่าน ด้วยน้ำเสียงที่แข็งขัน
"ครอบครัวของท่านทุกคนต้องถูกประหารชีวิต"
"นี่! อะไรกันจิมมี่?" พระเจ้าซาร์ร้องถามขึ้นอย่างตระหนก
จิมมี่ไม่ตอบ กลับดึงปืนมาจากซองแล้วยิงที่เศียรของพระเจ้าซาร์ชนิดเผาขน เสียงปืนระเบิดดังกึกก้องในห้องนั้น ทุกคนไม่มีโอกาสแม้แต่วิงวอนขอร้องชีวิตกับพวกทหาร ลูกกระสุนของทหารต่างปลิวว่อนภายในห้อง อนาสตาเซียกับแมรี่ก้มหัวลงหลบกระสุนและซุกตัวอยู่ข้างผนัง พวกทหารยังระดมยิง จนกระทั้งเสียงหวีดร้องเงียบลง
ยูรอฟสกี้ ผู้ควบคุมประหารชีวิตก้าวเดินสำรวจ พบว่าเจ้าชายอเล็กยังไม่สิ้นพระชนม์ ยูรอฟสกี้ยกปืนพกขึ้นยิงหัวอีก 2-3 นัดเป็นอันเสร็จพิธี