เรื่องขนลุกสดๆ เมื่อคืนนี้ค่ะ
โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ก.พ. 21, 2008 12:43 am
เพิ่งกลับจากอ.ปายค่ะ ไปทำงานของบริษัทกับเพื่อนๆ และน้องๆ ในแผนก
เจออะไรแปลกๆ มานิดหน่อย เลยอยากเล่าให้ฟัง
ออกเดินทางจากสนามบินดอนเมืองโดยสารการบินนกแอร์ ตีปีกพึ่บพั่บไปถึงเชียงใหม่ตอน 7 โมงเช้า
หลังจากทานข้าวเช้าเสร็จเราก็เดินทางไปสัมมนา จบการสัมมนาก็โดดขึ้นรถตู้ ขับผ่าน 763 โค้ง อ้วกไปหลับไป หลับแล้วยังตื่นมาอ้วกกันต่อได้
เส้นทางสุดยอดจริงๆ นับถือพี่คนขับรถตู้มากๆ ทางมันเซียนกว่าเขาอากินะของหนุ่มเจย์โชว์ในเรื่อง Initial D เสียอีกแน่ะ
โค้งแบบหักศอก หักเข่า หัก 25 องศาก็ยังอุตส่าห์จะมีได้ลงคอ ออกจากเชียงใหม่เกือบบ่าย 2 ไปถึงอ.ปาย 6 โมงครึ่งพอดี อากาศเริ่มจะเย็นแล้ว
ไปทานข้าวกันที่ร้านบ้านเบญจรงค์ อาหารอร่อยมากๆ และได้ข่าวว่ามีชื่อเสียงด้านการไม่ง้อลูกค้า
เริ่มจากป้ายหน้าร้านที่ติดไว้ตัวเบ่อเริ่มว่า "งดบริการลูกค้าที่ใจร้อน" "การปรุงอาหารคือศิลปะ กรุณาอย่าเร่ง"
ใครที่กะไปนั่งชิลล์ๆ ก็ไป ส่วนใครที่หิวจัดๆ แนะนำให้กินร้านอื่นค่ะ ไปเร่งเค้าไม่ได้จริงๆ อาจถูกเชิญออกนอกร้าน
แต่อาหารก็อร่อยสมคำรำ่ลือค่ะ สั่งได้เลย อร่อยทุกอย่าง คนไม่กินข้าวเย็นอย่างเรายังอดไม่ได้เลยนะเนี่ย
อิ่มหมีพีมันกันแล้วก็ไปเดินเล่นที่ถนนคนเดิน ที่ปายจะเป็นอารมณ์ถนนข้าวสาร
อุดมไปด้วยร้านเก๋ๆ และข้าวของแนวๆ สไตล์อินดี้ ไม่เหมือนไนท์บาซาร์ที่เชียงใหม่แต่อย่างใด
ค็อกเทลบ้างร้านถูกมากๆ 75 บาทเท่านั้น และใจดีใส่ให้แบบไม่ยั้งมือ แก้วเดียวเที่ยวรอบโลกได้เลย
เดินไปถึงริมน้ำปาย อากาศเย็นลงเรื่อยๆ เข้าใจว่ายิ่งใกล้แม่น้ำ ยิ่งหนาว แต่พอเดินขึ้นมาอีกทางมันก็หายหนาวซะอย่างนั้น
ซื้อผ้าพันคอ cotton กันมาคนละหลายผืนในราคาผืนละ 49 บาท ใครคิดจะซื้อแพงกว่านั้นกรุณาอย่าเิ่พิ่งซื้อ แต่ถ้าเป็นแบบอื่นก็ว่าไปค่ะ
ค่ำหน่อยก็จะมีโชว์เปิดหมวก ทั้งเล่นดนตรี ควงกระบองไฟ เป็นที่ตื่นตาตื่นใจ และเค้าก็เล่นได้ดีจริงๆ จนอดไม่ได้ที่จะเดินเอาตังค์ไปหยอด 20 บาท
โถ..คุณขา ไปกันตั้งสิบกว่าคน ฟังคนละ 3 สลึงก็คุ้มแล้ว ^^
อิ่ม หนาว หนุกหนาน และได้ของติดมือมาเพียบ ก็ถึงเวลาเข้าที่พัก ตอนบอกชื่อที่พักคนขับรถตู้ก็หัวเราะหึๆ แบบแปลกๆ
สอบถามได้ความว่า ที่ๆ เราจะไปพักน่ะ ยิ่งกว่าที่พวกเืพื่อนไปพักคืนแรกเสียอีก
เราก็ได้แต่เก็บความสงสัยไว้ในใจว่า "ยิ่งกว่า" ของพี่แก หมายถึงยังไงหว่า ไม่กล้าถามมากกลัวนอนไม่หลับ
ไปถึงที่พักก็ อ๋อ... ยิ่งกว่าจริงๆ แฮะ คราวนี้ไม่ใช่แค่ตกแต่งสไตล์ไทยอย่างเดียวค่ะ อันนี้ไทยแท้แต่โบราณเลยล่ะ
บ้านหลังของน้องๆ เป็นยังไงม่รู้ เราไม่ได้ขึ้นไปดู แต่บ้านที่เราได้น่ะ เป็นเรือนไทยมี 2 ห้องนอน พื้นยกสูง
ตั้งอยู่ริมน้ำปาย แอร์ไม่มี (คงไม่จำเ็ป็นเพราะมันหนาวชะมัดยาด) ถามว่าสวยมั๊ย? สวยค่ะ
หรูแบบไทยเดิม บ้านท่านเจ้าคุณประมาณนั้น แต่ว่านะคะ พื้นไม้มันต่อกันไม่สนิทนะคะ ระหว่างไม้แต่ละแผ่นบนพื้นมันมีร่อง
ซึ่งเราสามารถจะมองลงไปเห็นใต้ถุนบ้านรำไร แล้วคนขี้กลัวอย่างดิชั้นจะเหลือเหรอคะ
เดินไปก็จ้องพื้นไป กลัวจะมีมือที่มองไม่เห็นยื่นขึ้นมาตามร่องไม้จากใต้ถุนน่ะ
แล้วร่องที่ว่านั่นก็เป็นที่มาของลมเย็นๆ จากแม่น้ำค่ะ พื้นงี้เย็นเฉียบจนปวดเท้าเลยค่ะ เวลาเดินน่ะ ได้ฟีลดีจริงๆ
สิ่งอำนวยความสะดวกครบนะคะ ทั้งเครื่องทำน้ำอุ่น ตู้เย็น (มีทำไมเนี่ย) โทรทัศน์
ห้องน้ำยังใจดีทำเป็น open air ให้นอนแช่น้ำร้อนในอ่างนับดาวและใบกล้วยที่ระหน้าต่างห้องน้ำเข้ามาไปพลางๆ
นึกสภาพอาบน้ำในบ้านเรือนไทย ห้องน้ำไม่มีหลังคา และมีป่ากล้วยเป็นฉากหลัง จะปี่แก้วหรือเปิงมางดีละคะ
ห้องนอน 2 ห้อง ห้องของเพื่อนเราดันล็อคประตูไม่ได้ เดือดร้อนต้องช่วยกันลากเก้าอี้ ลากโต๊ะทีวีมาบังประตูกันยกใหญ่
กะว่าถ้ามีคนย่องเข้าหาเพื่อนเรา จะได้ลุกขึ้นไปช่วยกันได้ทัน เตียงนอนเป็นเตียงไทยโบราณ ประมาณเดียวกับคืนแรก
คือเป็นเตียงไม้มี 4 เสา ใ้ต้เตียงเป็นช่องว่างๆ มีมุ้งสีขาวทิ้งตัวลงมาระที่นอน ถ้าเอาผ้าขาวม้าไปผูกกับขื่อของเตียงก็ใช้็คลอดลูกได้เลยค่ะ
แต่ฟูกแข็งโป๊กเลยค่ะหนำซ้ำยังเป็นแอ่งขนาดเท่าตัวคน นึกถึงที่นอนเก่าที่มีคนนอนมากๆๆ มันก็จะเป็นแอ่งลงไปนะคะ
นอนไปก็นึกไปว่า ที่ตูมานอนทับที่ใครป่าวนะ แล้วคนที่นอนก่อนเราจนมันเป็นแอ่งนี่ เพราะนอนหลายคน
หรือคนเดียวนอนนานๆ โอย.. คิดเข้าไปสิคะ
ก่อนนอนน้องที่มาด้วยกันแต่นอนอีกบ้านวิ่งมาบอกว่าที่บ้านเค้าเตียงหักค่ะ น้องผู้หญิงขึ้นไปนอนแล้วมันหักกร๊อบบบลงมาต่อหน้าต่อตาเลย
เก่าขนาดผู้หญิงหนัก 45 กิโลขึ้นไปนอนแล้วเตียงหักได้ ไม่ธรรมดาจริงๆ (เตียงนั้นถ้าเราขึ้นไปนอนคงป่นเพราะเราหนักกว่าน้องเค้าเยอะ)
เค้าเล่าว่าตอนแรกเปิดมุ้งจะขึ้นไปนอน แต่เปิดไม่ออก ก็เปิดมุ้งอยู่นานมากจนเปิดออกได้
ก็ขึ้นไปนอนแผ่อย่างสบายอารมณ์แ้ล้วอยู่ก็รู้สึกจุกๆ จากนั้นเตียงก็ลั่นเอี๊ยดอ๊าด ทั้งๆที่น้องเค้่าไม่ได้ขยับ หรือขย่มเลย
ก่อนจะหักกร๊อบบบ พังลงไปต่อหน้าต่อตาโดยที่น้องเค้าก็ยังนอนตัวแข็งอยู่บนเตียงด้วยความช็อคสุดๆ
ตกดึกเพื่อนที่มาด้วยกันก็หลับสนิท เข้าใจว่าเพราะเมื่อคืนนอนไม่หลับมาก่อน ส่วนเราที่เมื่อคืนหลับสบายอยู่กทม.ก็นอนไม่หลับอยู่คนเดียวสิคะ
ยิ่งดึกอากาศยิ่งเย็นก็เริ่มได้ยินเสียงคนเดินค่ะ เสียงไม้ลั่นเอี๊ยดอ๊าดเหมือนมีคนมาเดินบนบ้าน
ตามหลักวิทยาศาสตร์คือไม้มันหดตัวยืดตัวเพราะอุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลง ตามประสาบ้านไม้เก่าๆ นะคะ
ส่วนตามหลักไสยศาสตร์ขอให้ท่านไปคิดกันเอาเองเถอะค่ะ ไม่ขอคิดดีกว่า บ้านก็ดังเอี๊ยดอ๊าดๆๆ ทั้งคืน เราก็ท่องไว้ว่า ไม้มันหดตัวๆๆๆๆ
แต่ที่ดังแบบจังๆ จนสะดุ้งตื่นเลยประมาณ 3 ครั้งได้ค่ะ รู้สึกว่าเสียงมันใกล้ตัวเหมือนมีคนมากระทืบพื้น
เราก็ตื่น เฮ้ย ใครปีนบ้านจะมาทำไรเพื่อนตูป่าววะ ใจก็ห่วงเพื่อนห้องตรงข้ามที่เพิ่งช่วยมันลากเก้าอี้ไปบังประตูเมื่อตอนหัวค่ำ (ห้องนอนล็อคไม่ได้)
เปิดออกไปดูก็ไม่มีใคร กลับมานอนสักชั่วโมง ได้ยินอีกแล้ว กลัวผีก็กลัว ห่วงเพื่อนก็ห่วง เฟร้ย นอนไม่หลับซะงั้น
ตื่นเช้าขึ้นมาพร้อมกับรอยช้ำใต้ตา ก็แพคกระเป๋าตามคำบอกเล่าของน้องๆ แก๊งค์เตีียงหักเมื่อคืนที่ว่าเช้านี้จะย้ายที่พักกัน
แบกกระเป๋าไปขึ้นรถ อ้าว มีเราแพคของกันแค่ 3 คน คนอื่นไม่แพคกันละเนี่ย ไหนเมื่อคืนบอกเช้านี้จะย้ายกันไง
สอบถามได้ความมาว่าเปลี่ยนใจไม่ย้ายแล้วเพราะที่พักแห่งนี้ผู้ใหญ่จองให้ ถ้าเกิดเราย้ายไปนอนที่อื่นอาจจะทำให้เสียผู้ใหญ่ได้
ก็เลยเกรงใจกะว่าจะทนกันต่อไปซึ่งอันนี้ถูกต้องตามหลักการบริหารแบบไทยๆ แต่ถ้าเลือกได้โดยส่วนตัวเราก็อยากจะขอย้ายมากกว่านะ
ไม่ใช่ว่าที่พักไม่ดี หรือว่าไม่สวยนะคะ แต่ัมันไม่สบายกายและไม่สบายใจจริงๆ
สอบถามจากหลายๆ คนก็บอกตรงกันว่าถ้าเลือกได้ก็อยากจะย้าย แต่ติดตรงที่เกรงใจผู้ใหญ่ ก็เลยคิดจะอยู่กันต่อ
เราก็เลยต้องอาสาว่า เอางี้ เราจะโทรไปถามนายก่อน ถ้านายโอเคค่อยย้าย แต่ถ้านายลำบากใจเราก็จะอยู่
เราเชื่อมั่นว่านายเรามีเหตุผล ถ้าอธิบายตามหลักวิทยาศาสตร์(ปนไสยศาสตร์) นายก็น่าจะเข้าใจ
รวมทั้งเรายังเชื่อว่านายเราระดับนี้แล้ว ต้องมีวิธีการพูดที่จะบัวไม่ให้ช้ำ น้ำไม่ให้ขุ่น
เราอย่าไปคิดแทนนายว่า ถ้าเราอยู่ไม่สบายแล้วเราควรจะทนเพื่อไม่ให้นายลำบากใจที่จะต้องตอบผู้ใหญ่ว่าทำไมเราถึงย้ายที่พัก
่เราเชื่อว่านายเราจะยินดีอธิบายมากกว่าที่จะให้เราทนลำบาก ซึ่งเราก็โทรไปแล้วเจ้านายที่น่ารักของเราก็ไฟเขียวเรื่องย้ายที่พักน่ะนะ ท่านนายอำเภอก็กรุณาหาที่พักให้เราใหม่เป็นสไตล์โมเดิร์น ขอบคุณมากๆ ค่ะ
วันที่สองเราเดินทางไปสำรวจเรื่องสาธารณสุขโรงเรียน ตกเย็นก็เข้าที่พักที่ใหม่ไปพักผ้อนก่อนทานข้าวเย็น
เพื่อนๆ ก็ไปเล่นไพ่กัน ส่วนเราง่วงมาก เลยขอตัวไปหลับ ขณะที่นอนๆ อยู่ก็่็ได้ยินแอร์ดังแกรกๆๆๆ ก็ลุกขึ้นจะไปดูว่ามันเป็นอะไร
พอลุกปุ๊บ มันเงียบค่ะ นอนต่อมันก็ดังอีก ลุกมันก็เงียบอีก เล่นลิงชิงบอลกันอยู่หลายรอบจนทนไม่ได้
เลยออกปากไล่ไปดังๆ ว่า ถ้ามีอะไรตามมาจากที่พักเก่าขอให้ไปซะ (สั่งในพระนามพระเยซูแห่งนาซาเร็ธ)
พอไล่ดังๆ เท่านั้นแหละค่ะ เสียงดังโครม!!! จากในห้องน้ำที่ไม่มีคนอยู่ คอนเฟิร์มว่าไม่ได้คิดไปเองค่ะ
เราก็สะดุ้ง แต่ไม่กล้าไปเปิดดูหรอกนะคะ ก็มุดเข้าไปนอนต่อ (มันยังมีกะใจนอน) เสียงแอร์เมื่อกี้เงียบไป เราก็หลับสบายน่ะนะ
นอนน้ำลายห้อยหลับเป็นตายเลยว่างั้น แล้วมารู้ทีหลังว่าเมื่อตอนเ็ย็นน่ะ มีน้องอีกห้องที่เค้านอนเหมืือนเราแล้วถูกผีอำด้วยล่ะ
ตอนค่ำจะออกจากบ้านไปทานข้าวเย็น เราเปิดประตูห้องน้ำเข้าไป ฝักบัวอาบน้ำมันหล่นจากที่แขวนลงมาค่ะ
ห้องน้ำที่บ้านใหม่เป็นแบบปิด ไม่มีลม ไม่มีจิ้งจก ไม่มีคน แล้วฝักบัวมันหล่นลงมาได้ยังไงหนอ
แล้วจำเพาะต้องมาหล่นตอนที่เราสั่งให้"ไป" ด้วยนะ เหมือนจะทิ้งท้ายยังไงชอบกล ขนลุกเลยค่ะ ขอบคุณพระเจ้า...
คืนนั้นนอนหลับสบาย ไม่มีอะไรรบกวนค่ะ
เราไปถามพี่คนขับรถ ที่เค้าหัวเราะหึๆ เมื่อวันก่อนตอนที่เราจะไปเข้าพักที่บ้านเรือนไทยริมแม่น้ำ
ได้ความว่า มันสร้างจากไม้เก่าจากเรือนไทยหลายๆ หลังที่รื้อแล้วเอามาสร้างใหม่เป็นรีสอร์ทค่ะ
ไม้มาจากบ้านไหนบ้างก็ไม่รู้ มีประวัติยังไงก็ไม่รู้ค่ะ เห็นเค้าบอกว่าผู้โดยสารที่ไปพักก็เจออะไรแปลกๆ อยู่หลายคน
นี่คือเราประสบมากับตัวเองนะคะ เตียงของน้องที่หักก็มีภาพถ่ายเป็นหลักฐานด้วย เป็นเรื่องแปลกแต่จริงค่ะ
ไม่ขอเอ่ยชื่อสถานที่นะคะ เดี๋ยวคนอื่นไม่กล้าไปพัก ของแบบนี้มันอยู่ที่ว่าใครจะเจอหรือไม่เจอ
ไม่แน่ว่าคนอื่นอาจจะไม่เจออะไรก็ได้ค่ะ /ok
เฮ่อ...เล่าไปขนลุกไป ไปนอนดีกว่า
เจออะไรแปลกๆ มานิดหน่อย เลยอยากเล่าให้ฟัง
ออกเดินทางจากสนามบินดอนเมืองโดยสารการบินนกแอร์ ตีปีกพึ่บพั่บไปถึงเชียงใหม่ตอน 7 โมงเช้า
หลังจากทานข้าวเช้าเสร็จเราก็เดินทางไปสัมมนา จบการสัมมนาก็โดดขึ้นรถตู้ ขับผ่าน 763 โค้ง อ้วกไปหลับไป หลับแล้วยังตื่นมาอ้วกกันต่อได้
เส้นทางสุดยอดจริงๆ นับถือพี่คนขับรถตู้มากๆ ทางมันเซียนกว่าเขาอากินะของหนุ่มเจย์โชว์ในเรื่อง Initial D เสียอีกแน่ะ
โค้งแบบหักศอก หักเข่า หัก 25 องศาก็ยังอุตส่าห์จะมีได้ลงคอ ออกจากเชียงใหม่เกือบบ่าย 2 ไปถึงอ.ปาย 6 โมงครึ่งพอดี อากาศเริ่มจะเย็นแล้ว
ไปทานข้าวกันที่ร้านบ้านเบญจรงค์ อาหารอร่อยมากๆ และได้ข่าวว่ามีชื่อเสียงด้านการไม่ง้อลูกค้า
เริ่มจากป้ายหน้าร้านที่ติดไว้ตัวเบ่อเริ่มว่า "งดบริการลูกค้าที่ใจร้อน" "การปรุงอาหารคือศิลปะ กรุณาอย่าเร่ง"
ใครที่กะไปนั่งชิลล์ๆ ก็ไป ส่วนใครที่หิวจัดๆ แนะนำให้กินร้านอื่นค่ะ ไปเร่งเค้าไม่ได้จริงๆ อาจถูกเชิญออกนอกร้าน
แต่อาหารก็อร่อยสมคำรำ่ลือค่ะ สั่งได้เลย อร่อยทุกอย่าง คนไม่กินข้าวเย็นอย่างเรายังอดไม่ได้เลยนะเนี่ย
อิ่มหมีพีมันกันแล้วก็ไปเดินเล่นที่ถนนคนเดิน ที่ปายจะเป็นอารมณ์ถนนข้าวสาร
อุดมไปด้วยร้านเก๋ๆ และข้าวของแนวๆ สไตล์อินดี้ ไม่เหมือนไนท์บาซาร์ที่เชียงใหม่แต่อย่างใด
ค็อกเทลบ้างร้านถูกมากๆ 75 บาทเท่านั้น และใจดีใส่ให้แบบไม่ยั้งมือ แก้วเดียวเที่ยวรอบโลกได้เลย
เดินไปถึงริมน้ำปาย อากาศเย็นลงเรื่อยๆ เข้าใจว่ายิ่งใกล้แม่น้ำ ยิ่งหนาว แต่พอเดินขึ้นมาอีกทางมันก็หายหนาวซะอย่างนั้น
ซื้อผ้าพันคอ cotton กันมาคนละหลายผืนในราคาผืนละ 49 บาท ใครคิดจะซื้อแพงกว่านั้นกรุณาอย่าเิ่พิ่งซื้อ แต่ถ้าเป็นแบบอื่นก็ว่าไปค่ะ
ค่ำหน่อยก็จะมีโชว์เปิดหมวก ทั้งเล่นดนตรี ควงกระบองไฟ เป็นที่ตื่นตาตื่นใจ และเค้าก็เล่นได้ดีจริงๆ จนอดไม่ได้ที่จะเดินเอาตังค์ไปหยอด 20 บาท
โถ..คุณขา ไปกันตั้งสิบกว่าคน ฟังคนละ 3 สลึงก็คุ้มแล้ว ^^
อิ่ม หนาว หนุกหนาน และได้ของติดมือมาเพียบ ก็ถึงเวลาเข้าที่พัก ตอนบอกชื่อที่พักคนขับรถตู้ก็หัวเราะหึๆ แบบแปลกๆ
สอบถามได้ความว่า ที่ๆ เราจะไปพักน่ะ ยิ่งกว่าที่พวกเืพื่อนไปพักคืนแรกเสียอีก
เราก็ได้แต่เก็บความสงสัยไว้ในใจว่า "ยิ่งกว่า" ของพี่แก หมายถึงยังไงหว่า ไม่กล้าถามมากกลัวนอนไม่หลับ
ไปถึงที่พักก็ อ๋อ... ยิ่งกว่าจริงๆ แฮะ คราวนี้ไม่ใช่แค่ตกแต่งสไตล์ไทยอย่างเดียวค่ะ อันนี้ไทยแท้แต่โบราณเลยล่ะ
บ้านหลังของน้องๆ เป็นยังไงม่รู้ เราไม่ได้ขึ้นไปดู แต่บ้านที่เราได้น่ะ เป็นเรือนไทยมี 2 ห้องนอน พื้นยกสูง
ตั้งอยู่ริมน้ำปาย แอร์ไม่มี (คงไม่จำเ็ป็นเพราะมันหนาวชะมัดยาด) ถามว่าสวยมั๊ย? สวยค่ะ
หรูแบบไทยเดิม บ้านท่านเจ้าคุณประมาณนั้น แต่ว่านะคะ พื้นไม้มันต่อกันไม่สนิทนะคะ ระหว่างไม้แต่ละแผ่นบนพื้นมันมีร่อง
ซึ่งเราสามารถจะมองลงไปเห็นใต้ถุนบ้านรำไร แล้วคนขี้กลัวอย่างดิชั้นจะเหลือเหรอคะ
เดินไปก็จ้องพื้นไป กลัวจะมีมือที่มองไม่เห็นยื่นขึ้นมาตามร่องไม้จากใต้ถุนน่ะ
แล้วร่องที่ว่านั่นก็เป็นที่มาของลมเย็นๆ จากแม่น้ำค่ะ พื้นงี้เย็นเฉียบจนปวดเท้าเลยค่ะ เวลาเดินน่ะ ได้ฟีลดีจริงๆ
สิ่งอำนวยความสะดวกครบนะคะ ทั้งเครื่องทำน้ำอุ่น ตู้เย็น (มีทำไมเนี่ย) โทรทัศน์
ห้องน้ำยังใจดีทำเป็น open air ให้นอนแช่น้ำร้อนในอ่างนับดาวและใบกล้วยที่ระหน้าต่างห้องน้ำเข้ามาไปพลางๆ
นึกสภาพอาบน้ำในบ้านเรือนไทย ห้องน้ำไม่มีหลังคา และมีป่ากล้วยเป็นฉากหลัง จะปี่แก้วหรือเปิงมางดีละคะ
ห้องนอน 2 ห้อง ห้องของเพื่อนเราดันล็อคประตูไม่ได้ เดือดร้อนต้องช่วยกันลากเก้าอี้ ลากโต๊ะทีวีมาบังประตูกันยกใหญ่
กะว่าถ้ามีคนย่องเข้าหาเพื่อนเรา จะได้ลุกขึ้นไปช่วยกันได้ทัน เตียงนอนเป็นเตียงไทยโบราณ ประมาณเดียวกับคืนแรก
คือเป็นเตียงไม้มี 4 เสา ใ้ต้เตียงเป็นช่องว่างๆ มีมุ้งสีขาวทิ้งตัวลงมาระที่นอน ถ้าเอาผ้าขาวม้าไปผูกกับขื่อของเตียงก็ใช้็คลอดลูกได้เลยค่ะ
แต่ฟูกแข็งโป๊กเลยค่ะหนำซ้ำยังเป็นแอ่งขนาดเท่าตัวคน นึกถึงที่นอนเก่าที่มีคนนอนมากๆๆ มันก็จะเป็นแอ่งลงไปนะคะ
นอนไปก็นึกไปว่า ที่ตูมานอนทับที่ใครป่าวนะ แล้วคนที่นอนก่อนเราจนมันเป็นแอ่งนี่ เพราะนอนหลายคน
หรือคนเดียวนอนนานๆ โอย.. คิดเข้าไปสิคะ
ก่อนนอนน้องที่มาด้วยกันแต่นอนอีกบ้านวิ่งมาบอกว่าที่บ้านเค้าเตียงหักค่ะ น้องผู้หญิงขึ้นไปนอนแล้วมันหักกร๊อบบบลงมาต่อหน้าต่อตาเลย
เก่าขนาดผู้หญิงหนัก 45 กิโลขึ้นไปนอนแล้วเตียงหักได้ ไม่ธรรมดาจริงๆ (เตียงนั้นถ้าเราขึ้นไปนอนคงป่นเพราะเราหนักกว่าน้องเค้าเยอะ)
เค้าเล่าว่าตอนแรกเปิดมุ้งจะขึ้นไปนอน แต่เปิดไม่ออก ก็เปิดมุ้งอยู่นานมากจนเปิดออกได้
ก็ขึ้นไปนอนแผ่อย่างสบายอารมณ์แ้ล้วอยู่ก็รู้สึกจุกๆ จากนั้นเตียงก็ลั่นเอี๊ยดอ๊าด ทั้งๆที่น้องเค้่าไม่ได้ขยับ หรือขย่มเลย
ก่อนจะหักกร๊อบบบ พังลงไปต่อหน้าต่อตาโดยที่น้องเค้าก็ยังนอนตัวแข็งอยู่บนเตียงด้วยความช็อคสุดๆ
ตกดึกเพื่อนที่มาด้วยกันก็หลับสนิท เข้าใจว่าเพราะเมื่อคืนนอนไม่หลับมาก่อน ส่วนเราที่เมื่อคืนหลับสบายอยู่กทม.ก็นอนไม่หลับอยู่คนเดียวสิคะ
ยิ่งดึกอากาศยิ่งเย็นก็เริ่มได้ยินเสียงคนเดินค่ะ เสียงไม้ลั่นเอี๊ยดอ๊าดเหมือนมีคนมาเดินบนบ้าน
ตามหลักวิทยาศาสตร์คือไม้มันหดตัวยืดตัวเพราะอุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลง ตามประสาบ้านไม้เก่าๆ นะคะ
ส่วนตามหลักไสยศาสตร์ขอให้ท่านไปคิดกันเอาเองเถอะค่ะ ไม่ขอคิดดีกว่า บ้านก็ดังเอี๊ยดอ๊าดๆๆ ทั้งคืน เราก็ท่องไว้ว่า ไม้มันหดตัวๆๆๆๆ
แต่ที่ดังแบบจังๆ จนสะดุ้งตื่นเลยประมาณ 3 ครั้งได้ค่ะ รู้สึกว่าเสียงมันใกล้ตัวเหมือนมีคนมากระทืบพื้น
เราก็ตื่น เฮ้ย ใครปีนบ้านจะมาทำไรเพื่อนตูป่าววะ ใจก็ห่วงเพื่อนห้องตรงข้ามที่เพิ่งช่วยมันลากเก้าอี้ไปบังประตูเมื่อตอนหัวค่ำ (ห้องนอนล็อคไม่ได้)
เปิดออกไปดูก็ไม่มีใคร กลับมานอนสักชั่วโมง ได้ยินอีกแล้ว กลัวผีก็กลัว ห่วงเพื่อนก็ห่วง เฟร้ย นอนไม่หลับซะงั้น
ตื่นเช้าขึ้นมาพร้อมกับรอยช้ำใต้ตา ก็แพคกระเป๋าตามคำบอกเล่าของน้องๆ แก๊งค์เตีียงหักเมื่อคืนที่ว่าเช้านี้จะย้ายที่พักกัน
แบกกระเป๋าไปขึ้นรถ อ้าว มีเราแพคของกันแค่ 3 คน คนอื่นไม่แพคกันละเนี่ย ไหนเมื่อคืนบอกเช้านี้จะย้ายกันไง
สอบถามได้ความมาว่าเปลี่ยนใจไม่ย้ายแล้วเพราะที่พักแห่งนี้ผู้ใหญ่จองให้ ถ้าเกิดเราย้ายไปนอนที่อื่นอาจจะทำให้เสียผู้ใหญ่ได้
ก็เลยเกรงใจกะว่าจะทนกันต่อไปซึ่งอันนี้ถูกต้องตามหลักการบริหารแบบไทยๆ แต่ถ้าเลือกได้โดยส่วนตัวเราก็อยากจะขอย้ายมากกว่านะ
ไม่ใช่ว่าที่พักไม่ดี หรือว่าไม่สวยนะคะ แต่ัมันไม่สบายกายและไม่สบายใจจริงๆ
สอบถามจากหลายๆ คนก็บอกตรงกันว่าถ้าเลือกได้ก็อยากจะย้าย แต่ติดตรงที่เกรงใจผู้ใหญ่ ก็เลยคิดจะอยู่กันต่อ
เราก็เลยต้องอาสาว่า เอางี้ เราจะโทรไปถามนายก่อน ถ้านายโอเคค่อยย้าย แต่ถ้านายลำบากใจเราก็จะอยู่
เราเชื่อมั่นว่านายเรามีเหตุผล ถ้าอธิบายตามหลักวิทยาศาสตร์(ปนไสยศาสตร์) นายก็น่าจะเข้าใจ
รวมทั้งเรายังเชื่อว่านายเราระดับนี้แล้ว ต้องมีวิธีการพูดที่จะบัวไม่ให้ช้ำ น้ำไม่ให้ขุ่น
เราอย่าไปคิดแทนนายว่า ถ้าเราอยู่ไม่สบายแล้วเราควรจะทนเพื่อไม่ให้นายลำบากใจที่จะต้องตอบผู้ใหญ่ว่าทำไมเราถึงย้ายที่พัก
่เราเชื่อว่านายเราจะยินดีอธิบายมากกว่าที่จะให้เราทนลำบาก ซึ่งเราก็โทรไปแล้วเจ้านายที่น่ารักของเราก็ไฟเขียวเรื่องย้ายที่พักน่ะนะ ท่านนายอำเภอก็กรุณาหาที่พักให้เราใหม่เป็นสไตล์โมเดิร์น ขอบคุณมากๆ ค่ะ
วันที่สองเราเดินทางไปสำรวจเรื่องสาธารณสุขโรงเรียน ตกเย็นก็เข้าที่พักที่ใหม่ไปพักผ้อนก่อนทานข้าวเย็น
เพื่อนๆ ก็ไปเล่นไพ่กัน ส่วนเราง่วงมาก เลยขอตัวไปหลับ ขณะที่นอนๆ อยู่ก็่็ได้ยินแอร์ดังแกรกๆๆๆ ก็ลุกขึ้นจะไปดูว่ามันเป็นอะไร
พอลุกปุ๊บ มันเงียบค่ะ นอนต่อมันก็ดังอีก ลุกมันก็เงียบอีก เล่นลิงชิงบอลกันอยู่หลายรอบจนทนไม่ได้
เลยออกปากไล่ไปดังๆ ว่า ถ้ามีอะไรตามมาจากที่พักเก่าขอให้ไปซะ (สั่งในพระนามพระเยซูแห่งนาซาเร็ธ)
พอไล่ดังๆ เท่านั้นแหละค่ะ เสียงดังโครม!!! จากในห้องน้ำที่ไม่มีคนอยู่ คอนเฟิร์มว่าไม่ได้คิดไปเองค่ะ
เราก็สะดุ้ง แต่ไม่กล้าไปเปิดดูหรอกนะคะ ก็มุดเข้าไปนอนต่อ (มันยังมีกะใจนอน) เสียงแอร์เมื่อกี้เงียบไป เราก็หลับสบายน่ะนะ
นอนน้ำลายห้อยหลับเป็นตายเลยว่างั้น แล้วมารู้ทีหลังว่าเมื่อตอนเ็ย็นน่ะ มีน้องอีกห้องที่เค้านอนเหมืือนเราแล้วถูกผีอำด้วยล่ะ
ตอนค่ำจะออกจากบ้านไปทานข้าวเย็น เราเปิดประตูห้องน้ำเข้าไป ฝักบัวอาบน้ำมันหล่นจากที่แขวนลงมาค่ะ
ห้องน้ำที่บ้านใหม่เป็นแบบปิด ไม่มีลม ไม่มีจิ้งจก ไม่มีคน แล้วฝักบัวมันหล่นลงมาได้ยังไงหนอ
แล้วจำเพาะต้องมาหล่นตอนที่เราสั่งให้"ไป" ด้วยนะ เหมือนจะทิ้งท้ายยังไงชอบกล ขนลุกเลยค่ะ ขอบคุณพระเจ้า...
คืนนั้นนอนหลับสบาย ไม่มีอะไรรบกวนค่ะ
เราไปถามพี่คนขับรถ ที่เค้าหัวเราะหึๆ เมื่อวันก่อนตอนที่เราจะไปเข้าพักที่บ้านเรือนไทยริมแม่น้ำ
ได้ความว่า มันสร้างจากไม้เก่าจากเรือนไทยหลายๆ หลังที่รื้อแล้วเอามาสร้างใหม่เป็นรีสอร์ทค่ะ
ไม้มาจากบ้านไหนบ้างก็ไม่รู้ มีประวัติยังไงก็ไม่รู้ค่ะ เห็นเค้าบอกว่าผู้โดยสารที่ไปพักก็เจออะไรแปลกๆ อยู่หลายคน
นี่คือเราประสบมากับตัวเองนะคะ เตียงของน้องที่หักก็มีภาพถ่ายเป็นหลักฐานด้วย เป็นเรื่องแปลกแต่จริงค่ะ
ไม่ขอเอ่ยชื่อสถานที่นะคะ เดี๋ยวคนอื่นไม่กล้าไปพัก ของแบบนี้มันอยู่ที่ว่าใครจะเจอหรือไม่เจอ
ไม่แน่ว่าคนอื่นอาจจะไม่เจออะไรก็ได้ค่ะ /ok
เฮ่อ...เล่าไปขนลุกไป ไปนอนดีกว่า