วิปริตโลกร้อน มะกันตับแลบ อาร์เจนตินาหิมะตก
อากาศแปรปรวนหนัก หิมะตกใหญ่ในนครหลวงอาร์เจนตินาเป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 100 ปี ชาวเมืองแตกตื่น พบหนาวตาย 2 ศพแล้ว ส่วนที่นิวยอร์ก-วอชิงตันโดนคลื่นความร้อนถล่ม ชาวมะกันร้อนตับแลบ ด้านไฟป่ายังผลาญหลายรัฐในอเมริกา ขณะที่แพทย์ไทยเตือนโลกร้อนทำให้โรคที่เกิดจากแมลงเป็นพาหะเพิ่มขึ้น อุณหภูมิสูงก่อเกิดโรคภูมิแพ้มากขึ้นอีก
ปัญหาภาวะโลกร้อนยังส่งผลกระทบสร้างความผันผวนต่อระบบนิเวศวิทยา และความแปรปรวนของสภาพอากาศไปทั่วทุกหนแห่ง ทั้งนี้ แม้ว่าหลายหน่วยงานทั่วโลกเริ่มตะหนักถึงปัญหาที่เกิดขึ้น โดยเริ่มวางมาตรการแก้ไขทั้งในระยะสั้นและระยะยาวอย่างต่อเนื่อง แต่ความแปรปรวนต่อสภาพอากาศที่เกิดจากภาวะโลกร้อนเริ่มส่งผลกระทบอย่างหนักไปทั่วโลก ล่าสุดที่ประเทศอาร์เจนตินาเกิดหิมะตก ซึ่งปรากฏการณ์ครั้งนี้เป็นครั้งแรกในรอบเกือบร้อยปีอย่างไม่เคยมีมาก่อน
อาร์เจนตินาหิมะตกในรอบ 100 ปี
เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม กรมอุตุนิยมวิทยาของอาร์เจนตินา เปิดเผยว่า เกิดปรากฏการณ์ประหลาดขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบเกือบร้อยปี เมื่อหิมะตกหนักติดต่อกันหลายชั่วโมงหลายพื้นที่ในกรุงบูเอโนสไอเรส เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม ที่ผ่านมา บางแห่งมีหิมะตกหนักจนมองเห็นเป็นสีขาวโพลนที่ปกคลุมอยู่ทั่วไป ท่ามกลางสภาพอากาศที่หนาวเหน็บดังกล่าว ทำให้ชาวกรุงบูเอโนสไอเรสต่างตกตะลึงไปตามๆ กัน เพราะเป็นครั้งแรกที่มีหิมะตกในนครหลวงแห่งนี้นับตั้งแต่วันที่ 22 มิถุนายน 2461 เป็นต้นมา หลังจากนั้นมา 89 ปีต่อมาก็ไม่เคยมีหิมะตกอีกเลย อย่างมากที่สุดมีแค่ลูกเห็บตกเป็นครั้งคราว
กรมอุตุนิยมวิทยาของอาร์เจนตินา เปิดเผยต่อว่า ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นจากมวลอากาศเย็นจากมหาสมุทรแอนตาร์กติกที่ขั้วโลกพัดเข้าปะทะกับความกดอากาศต่ำที่มีความชื้นสูงในแถบตะวันตกและภาคกลางของอาร์เจนตินา ส่งผลให้พื้นที่หลายแห่ง รวมทั้งกรุงบูเอโนสไอเรสมีหิมะและน้ำแข็งปกคลุม โดยเฉพาะที่จังหวัดริโอ เนโกร ซึ่งมีอุณหภูมิต่ำสุดถึงติดลบ 22 องศาเซลเซียส ต่างไปจากหิมะที่ตกพร้อมกับฝน และหายไปอย่างรวดเร็วช่วงที่ผ่านมา
รายงานข่าวเผยว่า ประชาชนหลายพันคนพากันตื่นเต้นกับหิมะที่ตกลงมา หลายคนต่างพากันออกไปถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึก ส่วนเด็กๆ ก็เล่นหิมะกันอย่างสนุกสนาน ขณะที่มีรายงานว่า เกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนหลายจุด เนื่องจากถนนลื่น นอกจากนี้ มีรายงานว่าผู้เสียชีวิตจากสภาพอากาศที่หนาวเหน็บแล้วถึง 2 คน
ทั้งนี้ กรุงบูเอโนสไอเรสเพิ่งเผชิญกับสภาพอากาศเย็นจัดที่อุณหภูมิลดต่ำลงมากกว่าจุดเยือกแข็ง เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา อันเป็นอุณหภูมิต่ำที่สุดในรอบเวลากว่า 40 ปี ส่งผลให้เกิดภาวะวิกฤติด้านพลังงานและมีผู้เสียชีวิตไป 23 คน ส่วนหิมะที่ตกเมื่อวันจันทร์มีรายงานผู้เสียชีวิต 2 คน
สหรัฐเปิดศูนย์ทำความเย็นดับร้อน
ขณะเดียวกัน ในส่วนของประเทศสหรัฐอเมริกาซึ่งอยู่ในทวีปเดียวกันแต่อยู่ทางตอนเหนือ กลับประสบปัญหาสภาพอากาศร้อนจัดจากคลื่นความร้อนแผ่ปกคลุมทั้งที่นครนิวยอร์กและที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ประชาชนต้องหาวิธีต่างๆเพื่อดับร้อน ขณะที่ไฟป่าในพื้นที่ทางตะวันตกยังคงเผาผลาญสร้างความเสียหายหลายรัฐ ทั้งที่แคลิฟอร์เนีย เนวาดา ยูทาห์ วอชิงตัน โคโลราโด โอเรกอน และมอนแทนา โดยอุณหภูมิสูงสุดอาจเพิ่มขึ้นถึง 38 องศาเซลเซียส คาดว่าคลื่นความร้อนอาจแผ่กระจายไปยังพื้นที่ทางตะวันออกของประเทศภายในสัปดาห์นี้
สำนักข่าวเอพีรายงานว่า เทศบาลนครนิวยอร์กได้เปิดศูนย์ทำความเย็นขึ้น 290 แห่งขึ้น เพื่อเปิดโอกาสให้คนที่ไม่มีเครื่องปรับอากาศติดบ้านมานั่งพักผ่อนคลายร้อน ศูนย์เหล่านี้จะตั้งอยู่ตามอาคารที่ทำการสาธารณะ หรือศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ
ด้านนายไมเคิล บลูมเบิร์ก นายกเทศมนตรีนิวยอร์กได้สั่งให้เจ้าหน้าที่ประจำการตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อแก้ปัญหากรณีที่เกิดไฟฟ้าดับ พร้อมทั้งกระตุ้นเตือนประชาชนให้ช่วยกันป้องกันการเกิดไฟฟ้าดับทั่วเมืองด้วยการประหยัดพลังงาน เพราะไม่ต้องการให้เกิดประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเหตุไฟฟ้าดับในย่านควีนส์ และเวสต์เชสเตอร์ในเดือนเดียวกันของปีที่แล้ว ที่ทำให้คน 174,000 คน ต้องทุกข์ทรมานเพราะไม่มีไฟฟ้าใช้ในช่วงหน้าร้อน
ข้ามทวีปมาที่ออสเตรเลีย โฆษกการท่าอากาศยานเมลเบิร์น แถลงว่า เกิดหมอกลงจัดเป็นอุปสรรคต่อเที่ยวบินทั้งภายในและระหว่างประเทศ ทำให้มีผู้โดยสารตกค้างอยู่ที่สนามบินเมลเบิร์นหลายพันคน โดยหมอกที่หนาทึบทำให้เที่ยวบินระหว่างประเทศ 14 เที่ยว ต้องเปลี่ยนเส้นทางไปลงจอดยังสนามบินที่อื่นแทน ส่วนใหญ่จะเป็นที่นครซิดนีย์ ขณะที่เที่ยวบินในประเทศต้องเลื่อนเวลาออกไปหรือยกเลิก
ตั้งทีมติดตามทะเลแปรปรวน
ส่วนการแก้ไขปัญหาภาวะโลกร้อนในประเทศไทย หลังจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีความห่วงใยและสนพระราชหฤทัยต่อปัญหาภาวะโลกร้อนที่ส่งผลกระทบไปทั่วโลกนั้น พร้อมรับสั่งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรายงานสถานการณ์ที่เกิดขึ้นทุกวัน
วันเดียวกัน นางนิศากร โฆษิตรัตน์ อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวถึงกรณีที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงห่วงใยถึงภาวะโลกร้อนที่จะส่งให้เกิดความแปรปรวนของอากาศและระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นว่า ขณะนี้ ทช.เตรียมตั้งคณะทำงานเพื่อติดตามความเปลี่ยนแปลงทางด้านสมุทรศาสตร์ในภาพรวมทั้งหมด โดยเชิญนักวิทยาศาสตร์จากศูนย์เครือข่ายงานวิเคราะห์วิจัยและฝึกอบรมการเปลี่ยนแปลงของโลกแห่งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (START) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กองทัพเรือ กรมทรัพยากรธรณี กรมอุตุนิยมวิทยา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหารือและตั้ง คณะทำงานเพื่อติดตามเรื่องนี้ขึ้น
"เราเริ่มพบปรากฏการณ์ที่ยืนยันถึงอิทธิพลจากการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศที่ชัดเจนแล้ว คือกรณีเหตุการณ์คลื่นลมแรงผิดปกติที่พัดเข้ามา สร้างความเสียหายและทำให้เกิดการกัดเซาะอย่างรุนแรงในเขตพื้นที่ภาคใต้ตอนล่างหลายจังหวัด เมื่อปลายปี 2549 ซึ่งครั้งนั้นพระบาทสมเด็จพระอยู่หัวทรงมีพระราชดำรัสเป็นห่วง และ ทช.ได้สนองพระราชดำรัส จนกระทั่งมีการจัดทำแผนยุทธศาสตร์แก้ปัญหากัดเซาะ และได้เสนอต่อคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติแล้ว" นางนิศากร กล่าว
ชี้น้ำทะเลสูงกระทบชายฝั่งกัดเซาะ
ด้าน ดร.อานนท์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา ผู้อำนวยการศูนย์เครือข่ายงานวิเคราะห์วิจัยและฝึกอบรมการเปลี่ยนแปลงของโลกแห่งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าวว่า การที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเล็งเห็นความสำคัญของการช่วยกันแก้ปัญหาและรับมือกับภาวะโลกร้อน โดยให้ทุกภาคส่วนร่วมมือประสานงานกันนั้น ถือว่าพระองค์ทรงมีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลมาก เพราะการรับมือและแก้ปัญหาโลกร้อนนั้นไม่เฉพาะนักวิทยาศาสตร์เท่านั้นที่ช่วยอธิบายแก้ไข และจัดการกับภาวะนี้ได้ แต่ทุกภาคส่วนต้องร่วมกัน
อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลที่นำมาวิเคราะห์ค่อนข้างชัดเจนว่ามีการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเลจริง แต่ยังถือว่าอยู่ในอัตราที่ยังไม่สูงมากผิดปกติ ซึ่งระดับน้ำทะเลในอ่าวไทยเพิ่มขึ้น 1-2 มิลลิเมตรต่อปี แต่ที่น่าสนใจคือระดับน้ำทะเลในฝั่งอันดามันสูงขึ้นถึง 8-12 มิลลิเมตรต่อปี แต่สิ่งที่น่าห่วงจากภาวะน้ำทะเลสูงขึ้นคือจะเป็นตัวเร่งให้เกิดการกัดเซาะชายฝั่งมากขึ้นถึง 2 เท่า จากเดิมอัตราการกัดเซาะชายฝั่งเฉลี่ย 1-5 เมตรต่อปี แต่บางจุดอาจแรงถึง 12 เมตรต่อปี แต่ถ้ามีอัตราเร่งของน้ำทะเลเพิ่มเป็น 10 มิลลิเมตร พื้นที่อาจถูกน้ำกัดเซาะไปปีละ 10 เมตร ซึ่งภาพเฉลี่ยแล้วแต่ลักษณะของหาดที่แบนไม่ลาดชันมาก อย่างพื้นที่ จ.จันทบุรี ลุ่มน้ำปากพนัง จะเกิดปัญหามาก ส่วนอากาศที่อุณหภูมิสูงขึ้น 1 องศาเซลเซียส จะส่งผลให้น้ำทะเลอุ่นขึ้น 0.1-0.2 องศาเซลเซียส
"นักวิทยาศาสตร์ยังเป็นห่วงเรื่องความเป็นกรดของน้ำทะเลและน้ำจืดเนื่องจากมีคาร์บอนไดออกไซด์เยอะมาก ทำให้สิ่งมีชีวิตหลายอย่างสร้างเปลือกไม่ได้ เช่น ปลาดาว หอยเม่น ซึ่งสิ่งมีชีวิตพวกนี้มีบทบาทในระบบนิเวศมาก ถ้าพวกนี้หายไปนิเวศวิทยาจะถูกตัดตอนไป" ดร.อานนท์ กล่าว
ส่วนนายเฉลิมศักดิ์ วานิชสมบัติ อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช กล่าวว่า กรมอุทยานฯ ให้ความสำคัญต่อการแก้ปัญหาโลกร้อนมานานแล้ว และดำเนินการทุกอย่างมาสม่ำเสมอ แต่เมื่อมีกระแสพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเกี่ยวกับเรื่องนี้ จะเร่งรัดดำเนินการมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการฟื้นฟูป่าเพิ่มพื้นที่อนุรักษ์ เพื่อเพิ่มตัวดูดซับปริมาณก๊าซเรือนกระจกให้มากขึ้น
โลกร้อนทำโรคแมลงเป็นพาหะเพิ่ม
ทั้งนี้จากปัญหาโลกร้อน กระทรวงสาธารณสุขได้ออกมาแสดงความเป็นห่วง โดยระบุว่าสภาพอากาศที่ร้อนขึ้นอาจส่งผลให้โรคที่เกิดจากแมลงเป็นพาหะสูงขึ้นด้วย
วันเดียวกัน ผศ.น.พ.เฉลิมชัย บุญยะลีพรรณ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคภูมิแพ้ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) กล่าวว่า เนื่องจากประเทศไทยอยู่แถบภูมิอากาศร้อนอยู่แล้ว ภาวะโลกที่จะร้อนขึ้นอาจยังไม่ชัดเจนสำหรับโรคใหม่ๆ มากนัก แต่จำนวนความถี่ของโรคที่มีอยู่เก่าอาจจะเพิ่มขึ้น ไม่ว่าเรื่องยุง แมลงวัน หรือแมลงต่างๆ อาจจะมีการเคลื่อนย้ายเปลี่ยนแปลงในเขตจังหวัดหรือภูมิภาคได้ ดังนั้น ประเทศไทยคงต้องเตรียมการเปลี่ยนแปลงจากโรคที่มีแมลงเป็นพาหะเพิ่มมากขึ้น และติดต่อได้ง่ายขึ้น รวมทั้งโรคภูมิแพ้ ซึ่งไรฝุ่นเป็นสารก่อภูมิแพ้มากที่สุด เพราะไรฝุ่นชอบอยู่ในที่ร้อนและชื้น
ผศ.น.พ.เฉลิมชัย กล่าวต่อว่า สภาพภูมิอากาศปัจจุบันโรคภูมิแพ้มีมากอยู่แล้ว โดยเด็กและเยาวชนเป็นภูมิแพ้ในจมูกร้อยละ 20-40 หอบหืดร้อยละ 4-13 ถ้ามีไรฝุ่นมาก สิ่งแวดล้อมกระตุ้นให้เกิดภูมิแพ้มากขึ้น คงมีตัวเลขคนเป็นภูมิแพ้มากขึ้น แต่การเปลี่ยนแปลงยังต้องการการวิจัยว่าถ้าร้อนขึ้น 1-3 องศาเซลเซียส จะเป็นอย่างไร ส่วนที่ชัดเจนคือ ภูมิแพ้ผิวหนัง
"สิ่งที่จะต้องช่วยกันกระตุ้นความคิดคือ การทำงานวิจัยที่จะต้องไปร่วมมือกับด้านกีฏวิทยาและนิเวศวิทยา คงจะไม่ใช่เรื่องของสาธารณสุขอย่างเดียว จะต้องร่วมมือกับสัตวแพทย์ กรมปศุสัตว์ด้วยซ้ำว่าในวงจรชีวิตของแมลง ของสัตว์ที่เป็นแหล่งพาหะของโรคที่เรารู้จักกันดีอยู่แล้วจะมีการเปลี่ยนแปลงด้วยภาวะอุณหภูมิอย่างไร และจะเป็นไปในทางโรครุนแรงมากขึ้นหรือน้อยลง ถ้างานวิจัยบูรณาการร่วมกัน จะทำให้เราวางแผนได้ถูกต้องว่าโรคอะไรที่จะเป็นปัญหาและป้องกันไว้ก่อน" แพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคภูมิแพ้ กล่าว
แนะดูแลสุขภาพให้แข็งแรง
ด้าน ศ.น.พ.สันต์ หัตถีรัตน์ หัวหน้าภาควิชาเวชศาสตร์ฉุกเฉิน คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี กล่าวว่า สภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงทำให้ประชาชนในพื้นที่ซึ่งไม่คุ้นเคยกับสภาพอากาศแบบนี้เกิดการเจ็บป่วยขึ้น และมักเกิดจากปัญหา 2 ประการ คือ 1.ภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงไป จากความร้อนความแห้งแล้ง และเกิดไฟไหม้ป่า ทำให้เกิดควัน เหมือนที่เกิดขึ้นในภาคเหนือของไทย เมื่อคนสูดดมไปจะทำให้เกิดโรคระบบทางเดินหายใจ ไอ หอบ เหนื่อย หายใจไม่ค่อยออก และเมื่อความแห้งแล้งเกิดขึ้นภาวะทุพโภชนาการก็จะเกิดขึ้น คนจะขาดอาหาร ขาดน้ำ จะทำให้เกิดโรคที่เกิดจากการขาดอาหารและน้ำ 2.ถ้าอากาศทำให้พื้นที่เกิดมีน้ำท่วมใหญ่ จะมีภัยจากโรคที่เกิดจากน้ำท่วมใหญ่ เช่น โรคฉี่หนู โรคน้ำกัดเท้า โรคที่มากับน้ำ ท้องเดิน ท้องเสีย
ศ.น.พ.สันต์ กล่าวด้วยว่า วิธีที่ดีที่สุดเพื่อรับมือกับโรคภัยไข้เจ็บที่จะมากับโลกร้อนคือ การดูแลสุขภาพของตนเองให้มีร่างกายแข็งแรง รับประทานอาหารให้ครบทั้ง 5 หมู่ ออกกำลังกายให้สม่ำเสมอพอควร ลดความเครียดจากภาวะการดำรงชีพ เพราะไม่แน่ใจว่าภูมิอากาศจะเกี่ยวข้องกับการเป็นโรคจิตมากขึ้นหรือไม่ แต่อาจเป็นได้ เนื่องจากเมื่ออากาศร้อนจะทำให้เกิดอารมณ์ฉุนเฉียวได้ง่าย
http://www.komchadluek.net/2007/07/10/a ... _id=126498