ไบเบิ้ล ไล่ผี ได้จริงหรือ
ที่แน่นอนคือใช้ไล่ผีในตัวเราเองได้แน่นอนครับ
กร๊ากก ตอนแรกคิดว่าพูดจริง ตกใจเลย โหยดุจังอันตน เขียน: คำถามพวกนี้ไม่น่าจะมาถามความเห็น ควรเอาไว้ให้คนที่เพิ่งล้างบาปเพิ่งรับเชื่อถามเพื่อเสริมความเชื่อมากกว่า สำหรับคริสตังหรือคริสเตียนกะลาหนาแล้วนี่จะมาถามความเห็นทำไม อีกอย่างเล่นบอร์ดนี้ก็ไม่น้อย ไม่เคยผ่านตามั่งเหรอ เรื่องพวกนี้หาความเห็นเอาไปทำอะไร ถ้าเกิดพี่น้องท่านใดบอกว่าไม่จริง หรือไม่เชื่อ หรือว่าโทรทัศน์มันโกหกก็จะเป็นที่สะดุดกับอีกหลายๆคน ทั้งๆที่เขาพูดไปตามประสาซื่อ ถ้าเกิดมีพี่น้องทีบอกว่าจริง ใช่เลย ก็อาจมีพี่น้องบางส่วนหรือคนที่เขาไม่เชื่อที่บังเอิญผ่านเข้ามาอ่านบอร์ดก็จะบอกว่าโอ้อวด เชอะ เพ้อเจ้ออะไรก็ว่าไป และก็จะกลายเป็นประเด็นที่เถียงกันไปเถียงกันมาที่หาประโยชน์ต่อจิตวิญญาณไม่ค่อยได้ ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงคนจุดประกายก็น่าสมควรโดนไบเบิ้ลไล่ผีนัก
จะไปสนอะไรมันกันนักกันหนาเรื่องผีเรื่องสาง สนพระดีกว่าแล้วเรื่องผีมันก็จะหายไปจากกะปาลา(ภาษามลายูแปลว่าศีรษะ)เองแหละ
ขอโทษ ที่ติดนิสัยการให้สัมภาษณ์แบบนายกของบางประเทศไปหน่อย
พอมาดูประโยคสุดท้าย แล้วลองอ่านอีกรอบ
.....
5555555555+ ฮามากกกกกกกกกก เหมือนจริงๆด้วย คิดนานมั้ยครับ
- Deo Gratias
- โพสต์: 1100
- ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. มี.ค. 16, 2006 11:53 pm
สิ่งที่มีอำนาจไล่ผีคือ พระวจนะของพระเจ้าในพระคัมภีร์+ความเชื่อ+พระนามพระเยซู+พระวิญญาณบริสุทธิ์(พระจิต)
ไม่ใช่เล่มหนังสือ และการที่เขาใช้พระคัมภีร์วาง(หรืออย่างอื่นที่เกี่ยวกับพระ)
ก็เป็นเพียงเพื่อเป็นสัญลักษณ์สื่อว่าเราเชื่อในเนื้อหาของสิ่งนั้น
ฤทธิ์อำนาจไม่ได้ออกมาจากวัตถุแต่ออกจากสาระของวัตถุ(ความเชื่อ)ค่ะ
ไม่ใช่เล่มหนังสือ และการที่เขาใช้พระคัมภีร์วาง(หรืออย่างอื่นที่เกี่ยวกับพระ)
ก็เป็นเพียงเพื่อเป็นสัญลักษณ์สื่อว่าเราเชื่อในเนื้อหาของสิ่งนั้น
ฤทธิ์อำนาจไม่ได้ออกมาจากวัตถุแต่ออกจากสาระของวัตถุ(ความเชื่อ)ค่ะ
-
- .
- โพสต์: 1739
- ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ ต.ค. 28, 2007 5:58 pm
- ที่อยู่: In the Christ
ไม่ต้องพระคัมภีร์ก้อได้
คนมีพระย่อมไม่กลัวอะไร
^ ^
คนมีพระย่อมไม่กลัวอะไร
^ ^
ดูทางอิสลามแล้วมาเปรียบเทียบ
หากรู้สึกว่าผีสิง(ที่ทางเค้าจะพเรียกญิน ไม่ก็ชัยฏอน) คำถามแรกจากผู้ใหญ่คือ
"ทำนมาซครบหรือเปล่า"
หากไม่ครบให้ใช้ชีวิตปกติโดยดำรงนมาซ5เวลา หากมันไม่หายก็กรรมวิธีต่อไป
กลับมาที่คริสตชน
ลองถามตัวเองว่า
"เว้นการสวดภาวนาหรือปล่า หรือเราสวดอย่างขอผ่านไปทีบ่อยใหม่"
เพราะผีที่น่ากลัวที่สุดไม่ใช่ผีปีศาจภายนอก แต่เป้นความพยศชั่วในใจของตนเอง
ที่สำคัญ
"จงมีความเชื่อในพระเยซูคริสตเจ้า ก็ไม่เห็นต้องกลัวอะไร เพราะผใครเล่าจะมาใหญ่กว่าพระเจ้า"
หากรู้สึกว่าผีสิง(ที่ทางเค้าจะพเรียกญิน ไม่ก็ชัยฏอน) คำถามแรกจากผู้ใหญ่คือ
"ทำนมาซครบหรือเปล่า"
หากไม่ครบให้ใช้ชีวิตปกติโดยดำรงนมาซ5เวลา หากมันไม่หายก็กรรมวิธีต่อไป
กลับมาที่คริสตชน
ลองถามตัวเองว่า
"เว้นการสวดภาวนาหรือปล่า หรือเราสวดอย่างขอผ่านไปทีบ่อยใหม่"
เพราะผีที่น่ากลัวที่สุดไม่ใช่ผีปีศาจภายนอก แต่เป้นความพยศชั่วในใจของตนเอง
ที่สำคัญ
"จงมีความเชื่อในพระเยซูคริสตเจ้า ก็ไม่เห็นต้องกลัวอะไร เพราะผใครเล่าจะมาใหญ่กว่าพระเจ้า"
เพ้อเจ้อ ไร้สาระ ไม่มีหลักความเป็นจริง ไม่มีหลักฐานที่พิสูจน์ได้ ไม่มีความเป็นวิทยาศาสตร์ มีแต่คำบอกเล่าจากคนนั้นคนนี้ต่อๆๆๆๆๆๆๆ มา แล้วเรื่องราวก็พิสดารเรื่อยเปื่อย
ธรรมชาติเท่านั้นที่สร้างทุกสิ่ง
ธรรมชาติเท่านั้นที่สร้างทุกสิ่ง
แล้วการดำเนินชีวิตของมนุษย์โลกทุกๆวันนี้มิได้เพ้อเจ้อ ไร้สาระ หรือยุติธรรมหรอกหรือ ?candy เขียน: เพ้อเจ้อ ไร้สาระ ไม่มีหลักความเป็นจริง ไม่มีหลักฐานที่พิสูจน์ได้ ไม่มีความเป็นวิทยาศาสตร์ มีแต่คำบอกเล่าจากคนนั้นคนนี้ต่อๆๆๆๆๆๆๆ มา แล้วเรื่องราวก็พิสดารเรื่อยเปื่อย
ธรรมชาติเท่านั้นที่สร้างทุกสิ่ง
(และบางทีทั้งที่มีหลักฐานที่พิสูจน์ได้ แต่ก็ยังไม่สามารถเอาความผิดต่อผู้ที่มีอิทธิพลตั้งแต่ในสังคมยุคเก่าก่อนจนถึงปัจจุบันได้)
แล้วมนุษย์โลกทุกวันนี้มิได้หลงเชื่อในนวนิยายพิสดาร แปลกประหลาดที่มีสาระน้อยกว่าเรื่องราวความรักที่แสนเรียบง่าย
แต่เต็มไปด้วยความมหัศจรรย์อย่างพระคัมภีร์นั้นเหรอ?
แล้ววิทยาศาสตร์ในยุคปัจจุบันนี้นั้นดีจริงๆ มีทฤษฎีที่ถูกต้อง และสร้างขึ้นมาเพราะความรักนั้นหรอกหรือ?
- วิทยาศาสตร์ส่วนมากในยุคหลังๆนี้สร้างขึ้นมาจากความเห็นแก่ตัว จึงให้ผลลัพธ์ที่เป็นพิษเป็นภัยกับสังคมอย่างมากอย่างที่เห็นได้ใน
ปัจจุบันอย่างที่ท่านกำลังเห็นนี้ และวิทยาศาสตร์ก็เต็มไปด้วยทฤษฎีที่มีการทบล้างกันอยู่ตลอดเวลา ทฤษฎีเก่าไปทฤษฎีใหม่มา
เต็มไปด้วยความผิดพลาด Bug Error ต้องคอยสรรหาวิธีมาอุดอยู่ตลอด เพราะว่าเราอยู่ในจุดยืนแห่งการเรียนรู้ไปข้างหน้า
แต่เป็นการเรียนรู้ไปข้างหน้าอย่างเดียวเท่านั้นเราไม่ได้รู้อะไรหมดทุกอย่าง จึงเรียนรู้เท่าที่คว้าได้ ...และไม่ได้เป็นองค์ความรู้ของคนๆเดียว
แต่เป็นองค์ความรู้ที่ผสมผสานระหว่างหลายๆบุคคล หลายๆความคิด หลายๆยุคสมัย .... จึงเป็นองค์ความรู้ผสมผสานที่มีผิดบ้าง ถูกบ้าง
การทำอะไรที่รุดหน้าเกินกำลังจึงเต็มไปด้วยความผิดพลาดที่นำภัยอันตรายกลับมาสู่ตนเอง
... อย่างที่ท่านเห็นนี้ ถ้าวิทยาศาสตร์ปราศจากความรักแล้ว ก็ไม่มีประโยชน์อันใดเลยในทางฝ่ายวิญญาณ และความรัก
แต่ถ้ามีความรักในวิทยาศาสตร์แล้ว ชีวิตมนุษย์ทุกวันนี้คงดียิ่งขึ้นเป็นอีกหลายเท่าตัวเลยทีเดียว (ไม่ใช่ความสะดวกสบาย แต่เป็นความสุขทั้งใจและกาย
และการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกันอย่างแท้จริง)
พระเจ้าเป็นความรัก และพระองค์ก็ทรงรักเรา เพราะเป็นความรักพระองค์จึงเป็นผู้สร้างด้วยในเวลาเดียวกัน.....
ธรรมชาตินั้นยิ่งใหญ่ งดงาม เต็มไปด้วยสิ่งสร้าง และก็เป็นส่วนหนึ่งของพระองค์ด้วย... ธรรมชาติเป็นการประกาศความรักของพระองค์อย่างเป็นรูปธรรม
ลองดูพฤติกรรมของผู้ที่มีความรักในจิตใจดูสิ คนที่มีความรักในจิตใจนั้น ทุกคนเลยมักจะเป็นผู้ให้ ผู้สร้าง ผู้มอบ ผู้เสียสละ...
ลองดูพฤติกรรมของคู่สามีภรรยาที่ดีสิ เขาเหล่านั้นอยากที่จะมีบุตรเพราะบุตรนั้นเป็นความรักที่เกิดขึ้นจากความรักในจิตใจของเขาเป็นพื้นฐาน
เขาอุทิศชีวิตของตนเพื่อรักลูก ดูแลเขา เอาใจใส่เขา ห่วงใยเขา เสียสละเวลาเพื่อเขา เพราะมีพื้นฐานในจิตใจมาจากความรัก
ถ้าไม่มีความรักแล้ว ก็ไม่ค่อยอยากจะมีลูกกัน เพราะไม่อยากเสียสละ ไม่อยากสร้าง ไม่อยากมอบ ไม่อยากให้
.... อยากใช้ชีวิตแบบอิสระ และสนุกสนาน สิ่งเหล่านี้ก็เพราะมี พื้นฐานมาจากความเห็นแก่ตัวในจิตใจทั้งนั้น
(แต่ก็ไม่ใช่ว่าคนโสด และคนที่มีลูกไม่ได้จะเห็นแก่ตัวเสมอไป กรุณาแยกแยะด้วยเน้อ)
พระคัมภีร์เป็นหนังสือ หรือกระดาษที่บันทึกเรื่องราวที่เป็นภารกิจความรักของพระองค์ที่ทรงริเริ่มมาตั้งแต่ก่อนกาลเวลา
พระคัมภีร์นั้นจะไม่มีคุณค่าอะไรเลย ถ้าหากผู้ที่ใช้มันไม่ได้ใช้ด้วยความรักและความเชื่อในความรักอย่างแท้จริง
พระคัมภีร์เห็นหนังสือที่เป็นตัวแทนให้เราระลึกถึงพระเจ้าอย่างง่ายที่สุด
ลองเปรียบเทียบกันเมื่อเรามองพระคัมภีร์ปุ๊บเรานึกถึงอะไร? ... เมื่อเรามองหนังสือไม่ดี(โป๊)ปุ๊บ เรานึกถึงอะไร?พระคัมภีร์เป็นวัตถุตัวแทนที่ใช้เราให้นึกถึงความรัก ความดี และพระเจ้า และนำพาเราสู่แสงสว่างอย่างเป็นรูปธรรม
หนังสือไม่ดีเป็นวัตถุตัวแทนที่ใช้เราให้นึกถึง ความบาป ความเห็นแก่ตัว ความสนุกสนานฝ่ายตน และนำพาเราสู่ความมืดทีละเล็กละน้อย
(คนที่มีข่าวข่มขืนในหน้าหนังสือพิมพ์ก็มีพฤติกรรมมาจากความบาปเล็กๆน้อยๆนี้กันทั้งนั้น)
*** สำหรับผู้ที่อ่านบทความความคิดเห็นข้างต้นของผมนี้
1. ถ้าคุณเป็นคนมีความรักแล้วคุณจะรู้สึกสุขใจในความรักของพระเจ้าอย่างยิ่ง... เพราะเป็นคนที่อยู่ในจุดยืนที่มองเห็นแสงสว่างและอยู่ในแสงสว่างแล้ว
2. แต่ถ้าเป็นคนที่ไม่มีความรักแล้ว(ที่บริสุทธิ์ไม่เกี่ยวกับเพศ) ก็จะรู้สึกอึดอัดกับบทความที่เต็มไปด้วยคำว่า
"ความรัก" "ความเสียสละ" "และความสว่าง" ...เพราะเป็นคนที่ยังไม่อยากจะมีความรักที่แท้จริงนั่นเอง (แต่สามารถกลับหัวใจได้นะ พวกเรารออยู่)
ถ้างั้นชีวิตคุณก็ไม่มีความหมาย ไม่มีอะไรซักอย่าง และคุณเองก็เพ้อเจ้อไปวันๆด้วย เพราะไม่มีอะไรที่เป็นจริงcandy เขียน: เพ้อเจ้อ ไร้สาระ ไม่มีหลักความเป็นจริง ไม่มีหลักฐานที่พิสูจน์ได้ ไม่มีความเป็นวิทยาศาสตร์ มีแต่คำบอกเล่าจากคนนั้นคนนี้ต่อๆๆๆๆๆๆๆ มา แล้วเรื่องราวก็พิสดารเรื่อยเปื่อย
ธรรมชาติเท่านั้นที่สร้างทุกสิ่ง
-
- โพสต์: 719
- ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 08, 2008 5:47 am
- ที่อยู่: กาญจนบุรี
เกรียน
เห็นมั้ยครับทุกท่าน เราเห็นจากลักษณะคำพูดได้เลยว่าพวกไม่มีพระเจ้าเนี่ยเป็นอย่างไร พวกเราในบอร์ดพูดกันอย่างสุภาพ(มีหลุดคิวบ้างนานๆที) แต่ประเภทมากจากข้างนอก พวกที่บอกว่าตัวเองมีเหตุผล คำพูดและประโยคจะหยาบคายและชวนให้รู้สึกไม่ดีเวลาอ่าน
อาเมน
เห็นมั้ยครับทุกท่าน เราเห็นจากลักษณะคำพูดได้เลยว่าพวกไม่มีพระเจ้าเนี่ยเป็นอย่างไร พวกเราในบอร์ดพูดกันอย่างสุภาพ(มีหลุดคิวบ้างนานๆที) แต่ประเภทมากจากข้างนอก พวกที่บอกว่าตัวเองมีเหตุผล คำพูดและประโยคจะหยาบคายและชวนให้รู้สึกไม่ดีเวลาอ่าน
อาเมน
-
- ~@
- โพสต์: 7624
- ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ มี.ค. 23, 2005 9:49 pm
- ที่อยู่: Pattaya Chonburi
In the name of father เขียน: เกรียน
เห็นมั้ยครับทุกท่าน เราเห็นจากลักษณะคำพูดได้เลยว่าพวกไม่มีพระเจ้าเนี่ยเป็นอย่างไร พวกเราในบอร์ดพูดกันอย่างสุภาพ(มีหลุดคิวบ้างนานๆที) แต่ประเภทมากจากข้างนอก พวกที่บอกว่าตัวเองมีเหตุผล คำพูดและประโยคจะหยาบคายและชวนให้รู้สึกไม่ดีเวลาอ่าน
อาเมน
เห็นครับ อ่านแล้วเอียน อาแมน........
-
- .
- โพสต์: 1739
- ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ ต.ค. 28, 2007 5:58 pm
- ที่อยู่: In the Christ
candy เขียน: เพ้อเจ้อ ไร้สาระ ไม่มีหลักความเป็นจริง ไม่มีหลักฐานที่พิสูจน์ได้ ไม่มีความเป็นวิทยาศาสตร์ มีแต่คำบอกเล่าจากคนนั้นคนนี้ต่อๆๆๆๆๆๆๆ มา แล้วเรื่องราวก็พิสดารเรื่อยเปื่อย
ธรรมชาติเท่านั้นที่สร้างทุกสิ่ง
ไม่ไหวเลยคนพวกนี้....คนมีพระเปนเจ้ากับคนไม่มีพระเปนเจ้าเนี่ย
"มาตรฐานมันต่างกัน" จริงๆ
- Jack Sparrow
- โพสต์: 353
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ก.พ. 26, 2007 3:06 am
ผีไม่กลัวพระคัมภีร์ แต่ผีกลัวพระเจ้าพระนามพระเจ้าทำให้ผีกลัว ผีกลัวคนทีอ่านพระคัมภีร์แล้วนำไปดำเนินชีวิตแล้วยอมให้พระเจ้าเข้ามาในชีวิตให้พระคัมภีร์เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตยึดมั่นพระคัมภีร์เป็นหลักในการดำเนินชีวิต ผีชอบใช้พระวาจาในการลวงมนุษย์ให้ติดกับของมัน ผีมักหลอกลวงมนุษย์ด้วยพระคัมภีร์พระคัมภีร์เป็นเครื่องมือหลอกลวงของซาตานได้ดีที่สุด ดังนั้นต้องยึดมั่นในการภาวนาและใกล้ชิดพระเจ้าให้มากๆ ให้พระนำชีวิตอยากให้ความคิดความรู้สึกในการตัดสิน
ข้อความจากพี่โจแซฟผมถามแล้วเขาตอบมาทีละประโยคก็ก๊อบปี้มาวางทีละประโยค ผมถามทำไมไม่ตอนเองเขาบอกให้ผมตอบให้ที ที่จริงให้คุณพี่โจแซฟมาตอบเองจะดีกว่านี้รู้สึกเขาจะเบื่อนิวมานาไม่ยอมเข้ามาตอบ สวดให้คุณโจแซฟเยอะๆ ด้วยครับให้คุณโจแซฟมีสติปัญญาเข้าใจอะไรหลายอย่าง เขายังขากประสบการณ์และทักษะในการดำเนินชีวิตหลายเรื่องทั้งชีวิตกับพระและสิ่งที่จะต้องนำไปดำเนินชีวิตบนโลกนี้ ขอให้พระเจ้าอวยพรทุกๆ ท่านครับ อาแมน
ข้อความจากพี่โจแซฟผมถามแล้วเขาตอบมาทีละประโยคก็ก๊อบปี้มาวางทีละประโยค ผมถามทำไมไม่ตอนเองเขาบอกให้ผมตอบให้ที ที่จริงให้คุณพี่โจแซฟมาตอบเองจะดีกว่านี้รู้สึกเขาจะเบื่อนิวมานาไม่ยอมเข้ามาตอบ สวดให้คุณโจแซฟเยอะๆ ด้วยครับให้คุณโจแซฟมีสติปัญญาเข้าใจอะไรหลายอย่าง เขายังขากประสบการณ์และทักษะในการดำเนินชีวิตหลายเรื่องทั้งชีวิตกับพระและสิ่งที่จะต้องนำไปดำเนินชีวิตบนโลกนี้ ขอให้พระเจ้าอวยพรทุกๆ ท่านครับ อาแมน
การใช้พระคัมภีร์ บท สดุดี เป็นบทสรรเสริญพระเจ้า คริสเตียนเชื่อว่า ปีศาจ กลัวเพลง สดุดี เพลง สรรเสริญ เพราะทุกครั้งที่ร้องเพลงสรรเสริญ พระจิต หรือพระวิญญาณบริสุทธิ์เสด็จจะลงมาประทับอยู่กับเรา
พระคัมภีร์นั้นเป็นเครื่องมือของปีศาจได้ดีที่สุดเลยครับ ไม่ว่าจะเป็นการฟ้องผิดตัวเอง และกล่าวโทษผู้อื่น การคิดไม่ดีกับพระเจ้า หลายครั้งปีศาจก็ใช้พระคัมภีร์เป็นเครื่องมือในการผจัญผู้รับใช้พระเจ้า ถ้าเราฉลาดไม่ทันก็จะคิดว่าพระคัมภีร์พูดอย่างนั้นจริงๆ แม่แต่พระเยซูคริสตเองปีศาจก็ใช้พระคัมภีร์มามาผจัญ
มธ 4:2-11
(2) และพระองค์ทรงอดพระกระยาหาร(อดอาหาร)สี่สิบวันสี่สิบคืน ภายหลังพระองค์ทรงอยากพระกระยาหาร(ทรงหิว)
(3) ส่วนผู้ผจัญ(ปีศาจ) มาหาพระองค์ทูนว่า "ถ้าท่านเป็นบุตรของพระเจ้า จงสั่งก้องหินเหล่านี้ ให้กายเป็นพระกระยาหาร(อาหาร)
(4) ฝ่ายพระองค์ตรัสตอบว่า “มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า มนุษย์จะบำรุงชีวิตด้วยอาหารสิ่งเดียวก็หามิได้ แต่บำรุงด้วยพระวจนะ(พระวาจา)ทุกคำ ซึ่งออกจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า”
(5) แล้วมาร(ปีศาจ)ก็นำพระองค์ไปยังนครบริสุทธิ์(นครศักดิ์สิทธิ์) และให้พระองค์ประทับที่บยอดหลังคาพระวิหาร(วางพระองค์ลงที่ปลายหลังคาพระวิหาร)
(6) แล้วทูลพระองค์ว่า ”ถ้าท่านเป็นบุตรของพระเจ้า จงโจน(กระโดด)ลงไปเถิด เพราะพระคัมภีร์มีเขียนไว้ว่า พระเจ้าจะรับสั่งให้เหล่าทูตสวรรค์ของพระองค์รักษาท่าน และทูตสวรรค์จะเอามือประคองชูท่านไว้ มิให้เท้าของท่านกระทบหิน"(สดด.21:12)
(7) พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “พระคัมภีร์มีเขียนไว้อีกว่่า อย่าทดลองพระองค์ผู้เป็นเจ้าของท่าน(ฉธบ 6 :16)
(8) อีกครั้งหนึ่งมาร(ปีศาจ) ได้นำพระองค์ขึ้นไปบนภูเขาอันสูงยิ่งนัก และได้แสดงบรรดาราชอาณาจักรในโลก ทั้งความรุ่งเรืองของราชอาณาจักรเหล่านั้น ให้พระองค์ทอดพระเนตร
(9) แล้วได้ทูลพระองค์ว่า "ถ้าท่านจะกราบลงนมัสการเรา เราจะให้สิ่งทั้งปวงเหล่านี้แก่ท่าน"
(10) พระเยซูจึงตรัสตอบว่า "อ้ายซาตาน จงไปเสียให้พ้น เพราะพระคัมภีร์มีเขียนไว้ว่า จงกราบนมัสการพระองค์ผู้เป็นพระเจ้าของท่าน และปรนนิบัติพระองค์แต่ผู้เดียว
(11) แล้วมาร(ปีศาจ) จึงละพระองค์ไป และมีเหล่าทูตสวรรค์มาปรนนิบัติพระองค์
พระคัมภีร์นั้นเป็นเครื่องมือของปีศาจได้ดีที่สุดเลยครับ ไม่ว่าจะเป็นการฟ้องผิดตัวเอง และกล่าวโทษผู้อื่น การคิดไม่ดีกับพระเจ้า หลายครั้งปีศาจก็ใช้พระคัมภีร์เป็นเครื่องมือในการผจัญผู้รับใช้พระเจ้า ถ้าเราฉลาดไม่ทันก็จะคิดว่าพระคัมภีร์พูดอย่างนั้นจริงๆ แม่แต่พระเยซูคริสตเองปีศาจก็ใช้พระคัมภีร์มามาผจัญ
มธ 4:2-11
(2) และพระองค์ทรงอดพระกระยาหาร(อดอาหาร)สี่สิบวันสี่สิบคืน ภายหลังพระองค์ทรงอยากพระกระยาหาร(ทรงหิว)
(3) ส่วนผู้ผจัญ(ปีศาจ) มาหาพระองค์ทูนว่า "ถ้าท่านเป็นบุตรของพระเจ้า จงสั่งก้องหินเหล่านี้ ให้กายเป็นพระกระยาหาร(อาหาร)
(4) ฝ่ายพระองค์ตรัสตอบว่า “มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า มนุษย์จะบำรุงชีวิตด้วยอาหารสิ่งเดียวก็หามิได้ แต่บำรุงด้วยพระวจนะ(พระวาจา)ทุกคำ ซึ่งออกจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า”
(5) แล้วมาร(ปีศาจ)ก็นำพระองค์ไปยังนครบริสุทธิ์(นครศักดิ์สิทธิ์) และให้พระองค์ประทับที่บยอดหลังคาพระวิหาร(วางพระองค์ลงที่ปลายหลังคาพระวิหาร)
(6) แล้วทูลพระองค์ว่า ”ถ้าท่านเป็นบุตรของพระเจ้า จงโจน(กระโดด)ลงไปเถิด เพราะพระคัมภีร์มีเขียนไว้ว่า พระเจ้าจะรับสั่งให้เหล่าทูตสวรรค์ของพระองค์รักษาท่าน และทูตสวรรค์จะเอามือประคองชูท่านไว้ มิให้เท้าของท่านกระทบหิน"(สดด.21:12)
(7) พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “พระคัมภีร์มีเขียนไว้อีกว่่า อย่าทดลองพระองค์ผู้เป็นเจ้าของท่าน(ฉธบ 6 :16)
(8) อีกครั้งหนึ่งมาร(ปีศาจ) ได้นำพระองค์ขึ้นไปบนภูเขาอันสูงยิ่งนัก และได้แสดงบรรดาราชอาณาจักรในโลก ทั้งความรุ่งเรืองของราชอาณาจักรเหล่านั้น ให้พระองค์ทอดพระเนตร
(9) แล้วได้ทูลพระองค์ว่า "ถ้าท่านจะกราบลงนมัสการเรา เราจะให้สิ่งทั้งปวงเหล่านี้แก่ท่าน"
(10) พระเยซูจึงตรัสตอบว่า "อ้ายซาตาน จงไปเสียให้พ้น เพราะพระคัมภีร์มีเขียนไว้ว่า จงกราบนมัสการพระองค์ผู้เป็นพระเจ้าของท่าน และปรนนิบัติพระองค์แต่ผู้เดียว
(11) แล้วมาร(ปีศาจ) จึงละพระองค์ไป และมีเหล่าทูตสวรรค์มาปรนนิบัติพระองค์
แก้ไขล่าสุดโดย Joseph เมื่อ อาทิตย์ ก.ย. 14, 2008 4:10 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
-
- ~@
- โพสต์: 12724
- ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 2:28 pm
- ที่อยู่: Thailand
ใช่ครับ แต่ต้องเชื่อในพระเจ้าพระองค์เดียวนะครับmalee เขียน: เราไม่เห็นต้องใช้ไบเบิลเลยแต่เราสามารถเอาชนะผีได้ด้วยความเชื่อต่างหากล่ะใช่ป่ะ?? :shocked: :police: