ลาออกจากงานดีไหมคะ
โพสต์แล้ว: ศุกร์ ก.ค. 25, 2008 9:13 pm
เริ่มเรื่องก่อนนะ ยาวหน่อย แต่อยากจะเล่าจริงๆ
ก่อนหน้านี้เราเป็นครูของโรงเรียนแห่งหนึ่ง ซึ่งรุ่นพี่ที่จุฬาเป็นผู้บริหาร เรารู้จักกันตั้งแต่สมัยเรียน ไม่ได้สนิทอะไรมากมายแต่ก็ไว้ใจกันได้ พี่เขาจ้างให้เราเขียนคู่มือการเรียนการสอนวิชาหนึ่งกับเพื่อนอีกคนรับเงินคนละ 2000 บาท
และคู่มือเล่มนั้นก็กลายเป็นไบเบิ้ลสำหรับครูรุ่นหลังๆ อีกมากมายที่สอนวิชานั้น ถามว่าคุ้มมั๊ย ก็โอเคนะ
เราก็ไม่ได้คิดอะไร พี่ๆ น้องๆกันทั้งนั้น เราเองก็สอนวิชานั้นอยู่ และพี่เขาก็ให้เกียรติเราประมาณนึง
เช่นเวลามีอบรมครูใหม่ ก็จะเชิญเราไปเป็นวิทยากรและบอกใครๆว่า คู่มือที่ใช้อยู่เราเป็นคนเขียน
ต่อมาอีกได้มีการเปลี่ยนผู้บริหารชุดใหม่ รุ่นพี่เราออกไป
ผู้บริหารชุดใหม่ได้จ้างครูจบใหม่จากต่างประเทศมา 1 คน ให้มารับผิดชอบดูแลวิชานั้น
และครูคนนั้นก็ได้เอาคู่มือการเรียนการสอนที่เรากับเพื่อนทำขึ้นไปเติมข้อความให้ละเอียดขึ้น
และ"แก้ชื่อผู้เขียนเป็นชื่อตัวเอง" โดยไม่กล่าวถึงเราเลยสักคำเดียว ทั้งๆที่กว่า 90% ของเอกสารชุดนั้น ก็คือผลงานของเรากับเพื่อน
เพื่อนเราซึ่งแต่งงานช่วงนั้นพอดี ก็ลาออกไปเลี้ยงลูก ส่วนเราก็ยังอดทน ทั้งที่ตะหงิดๆเหมือนกันว่านี่มันขโมยผลงานหรือเปล่า
มาเติม 10% ให้หนาขึ้นไม่กี่หน้า แล้วลบชื่อเรากับเพื่อนออก ใส่ชื่อตัวเองคนเดียวเนี่ยนะ
แต่อย่างที่บอก ตอนที่เขียนครั้งแรก คนรู้จักเป็นคนจ้างให้เขียนและเขาก็ให้เครดิตเรามาตลอด
ตอนนั้นก็ไม่ได้คิดหรอกว่าพอเปลี่ยนผู้บริหารโรงเรียน ทุกอย่างจะเปลี่ยนไป...
การอบรมครูครั้งแรกได้เชิญเราเข้าร่วมด้วยในฐานะผู้บุกเบิกการสอนหลักสูตรนี้ในประเทศไทย
แต่การอบรมครั้งต่อๆ มา ไม่มีการเชิญและไม่เอ่ยถึงเราเลยแม้แต่คำเดียว
และต่อมาเราก็ได้รู้ว่าคู่มือเล่มนั้นได้รับการพิมพ์เป็นเล่มอย่างสวยงาม โดยไม่มีชื่อเรากับเพื่อนอีกเช่นกัน
2 ปีผ่านไป ครูคนนั้นลาออก ทางโรงเรียนก็มาตามตัวเรา โดยบอกว่าจะมีการปรับหลักสูตร
ให้เราช่วยหน่อยแล้วจะจ่ายเงินให้ ด้วยความว่าง่ายเราก็รับทำนะ (แอบคิดในใจเล็กน้อยว่า แล้วครูจบนอกคนนั้นไปไหนล่ะ)
เราขอเอกสารเป็น Soft file เพื่อจะเอามาแก้ไข แต่ทางโรงเรียนไม่ให้เรา เพราะเป็นเอกสารสำคัญ ถ้าตกถึงมือโรงเรียนอื่นจะลำบาก
เราขอกำหนดการว่าจะต้องให้เรียนกี่ครั้ง ครั้งละกี่ชั่วโมง มีอุปกรณ์อะไร นักเรียนกี่คน ก็ไม่เคยได้คำตอบอะไรเลย
ดังนั้น...เราก็เลยทำเฉยๆ ในเมื่อผู้ว่าจ้างไม่ให้อะไรมา แล้วเราจะต้องดิ้นรนทำไมเนี่ย
ไม่ให้ข้อมูล ก็ยังไม่เขียนนะ จะเขียนได้ไง ไม่รู้อะไรสักอย่าง
จริงๆ แกล้งไม่รู้ไปงั้นแหละ 90% ของเอกสารฉบับนั้นเราเป็นคนทำ เราย่อมมี Soft file อยู่แล้ว
ก็ในเมื่อเค้าแกล้งลืมว่าเราเป็นคนทำแถมยังจะให้เราไปลอกจาก hard copy มันต่างกันตรงไหน
เราเป็นคนเขียนเอกสารฉบับนั้นตั้งแต่ต้น และปัจจุบันจะให้เราเป็นคนแก้ไข แต่ไม่ไว้ใจเราเพียงพอที่จะให้ Soft file กับเรานะ
เราไม่ได้ติดเรื่อง Soft file เพราะจริงๆ เรามี แต่ที่เราติดคือ "ความไว้วางใจ"
ถ้าเราจะเอาไปให้โรงเรียนอื่นน่ะ ป่านนี้ 90% ของเอกสารที่อยู่ในเครื่องคอมบ้านเราน่ะ มันไปนานแล้ว
แต่ทำไมล่ะ ทำไมเราไม่เคยเอาหลักสูตรนี้ไปสอนที่อื่น เราไม่เคยดึงเด็กจากโรงเรียนมาสอนที่บ้าน
แม้้่ผู้ปกครองจะร้องขอให้เราไปสอนที่บ้าน (ซึ่งอยู่้ข้างโรงเรียน) โดยเราได้เงินเพิ่มขึ้น 65% เราก็ไม่เคยทำ... ไม่เคยสักครั้ง
เราซื่อสัตย์กับโรงเรียนนี้มาตลอด 10 กว่าปี แล้วดูสิว่าผู้บริหารโรงเรียนคิดยังไงกับเรา
ต่ออีกหน่อยนะ จะจบแล้ว วันนี้ผู้จัดการโรงเรียนโทรหาเรา บอกว่ามีครูมาใหม่จะขอคำปรึกษาเรานิดหน่อยนะ แล้วก็วางไป
จากนั้นก็มีคนโทรมาหาเราว่า จะสอนหลักสูตรนี้ ให้เราช่วยแนะนำหน่อยว่าจะสอนยังไง
เราก็งงๆ อ้าว เราเป็นอะไรกับโรงเรียน เราถึงต้องมาดูแลให้คำปรึกษา ในเมื่อโรงเรียนไม่เคยให้เครดิตเราสักอย่าง
จ่ายเงินค่าสอนเราเป็นชั่วโมง การให้ครูคนอื่นมาถามเราว่าสอนยังไง อะไรเนี่ย คือเราทำให้ฟรีๆ นะ
เราก็ไม่ได้ติดเรื่องเงินหรอก วันนี้เราก็นั่งคุยกับครูใหม่ให้เป็นชั่วโมงโดยไม่ได้คิดเงินสักบาทเดียว
แต่เรามาคิดว่า เราโง่หรือเปล่าเนี่ย ให้เขาหลอกใช้อยู่ได้
มีมั๊ย งานที่ทำแล้วไม่ได้ชื่อเสียง ไม่ได้เงิน ไม่ใช่งานการกุศล แต่ก็ทำ คนที่ยอมทำงานแบบนี้เรียกว่าอะไรเนี่ย?
ไม่ใช่แค่นี้นะสิ ถ้ามีคนแรก มันจะมีคนต่อไปโทรมาอีกมั๊ย แล้วต่อไปเราก็กลายเป็นที่ปรึกษาด้านการสอน ทั้งที่ไม่ได้อะไรเลยเนี่ยนะ?
สงสารตัวเอง... พอแล้วดีไหม
ด้วยเงินค่าสอนน้อยนิดแค่นี้ เราไปสอนที่อื่นได้อีกมากมาย ประสบการณ์สอน 10 กว่าปี
ลูกศิษย์ ลูกหามากมาย เราทำเงินได้มากว่านี้อย่างน้อย 2 - 3 เท่า ถ้าไปทำที่อื่น
ทำไมเราต้องยอมทำอะไรให้คนที่เห็นคุณค่าของเราก็ต่อเมื่อจะใช้งาน
จริงๆ ช่วงนี้เป็นช่วงลา 2 เดือน (ซึ่งแน่นอนว่าไม่ได้เงินแม้แต่บาทเดียว)
ตอนแรกคิดว่าครบช่วงลา 2 เดือนจะกลับไปสอน เพราะคิดถึงเด็กๆ
แต่พอแล้วดีไหม... ไปเขียนใบลาออกเลยดีไหม
เราควรจะลาออกไปเงียบๆ หรือแอบล้างแค้นด้วยการดึงนักเรียนไปที่ใหม่สักหลายๆคน
หรือแย่กว่านั้นคือ เอาหลักสูตรที่หวงนักหวงหนาไปให้โรงเรียนอื่นไปเลย
แต่ก็นั่นแหละ... เราไม่นิยมทำร้ายคนอื่น เราแค่ปล่อยให้คนอื่นทำร้ายเราจนพอใจ
เราคงจะไปเงียบๆ แล้วให้เขาไปหาคนอื่นที่เขาจะหลอกใช้ได้ง่ายๆ ต่อไปเถอะ
่
เราไม่ผิดใช่ไหม ถ้าเราคิดจะหันหลังให้โรงเรียนนี้ เดินออกมาเงียบๆ แล้วไม่ต้องกลับไปอีกเลย
เราผูกพันกับโรงเรียน เรารักเด็กๆ เรามีเพื่อนมากมาย นั่นคือสาเหตุที่ทำให้เราอยู่มาได้เป็นสิบปี
แค่คิดจะลาออก เราก็อยากร้องไห้ เรามีความทรงจำดีๆกับที่นี่มากมาย แต่ช่วงที่ดีที่สุดของเราผ่านไปแล้ว
แต่ในเมื่อมันเป็นแบบนี้ เราก็ควรจะจบสักที ดีไหม?
ก่อนหน้านี้เราเป็นครูของโรงเรียนแห่งหนึ่ง ซึ่งรุ่นพี่ที่จุฬาเป็นผู้บริหาร เรารู้จักกันตั้งแต่สมัยเรียน ไม่ได้สนิทอะไรมากมายแต่ก็ไว้ใจกันได้ พี่เขาจ้างให้เราเขียนคู่มือการเรียนการสอนวิชาหนึ่งกับเพื่อนอีกคนรับเงินคนละ 2000 บาท
และคู่มือเล่มนั้นก็กลายเป็นไบเบิ้ลสำหรับครูรุ่นหลังๆ อีกมากมายที่สอนวิชานั้น ถามว่าคุ้มมั๊ย ก็โอเคนะ
เราก็ไม่ได้คิดอะไร พี่ๆ น้องๆกันทั้งนั้น เราเองก็สอนวิชานั้นอยู่ และพี่เขาก็ให้เกียรติเราประมาณนึง
เช่นเวลามีอบรมครูใหม่ ก็จะเชิญเราไปเป็นวิทยากรและบอกใครๆว่า คู่มือที่ใช้อยู่เราเป็นคนเขียน
ต่อมาอีกได้มีการเปลี่ยนผู้บริหารชุดใหม่ รุ่นพี่เราออกไป
ผู้บริหารชุดใหม่ได้จ้างครูจบใหม่จากต่างประเทศมา 1 คน ให้มารับผิดชอบดูแลวิชานั้น
และครูคนนั้นก็ได้เอาคู่มือการเรียนการสอนที่เรากับเพื่อนทำขึ้นไปเติมข้อความให้ละเอียดขึ้น
และ"แก้ชื่อผู้เขียนเป็นชื่อตัวเอง" โดยไม่กล่าวถึงเราเลยสักคำเดียว ทั้งๆที่กว่า 90% ของเอกสารชุดนั้น ก็คือผลงานของเรากับเพื่อน
เพื่อนเราซึ่งแต่งงานช่วงนั้นพอดี ก็ลาออกไปเลี้ยงลูก ส่วนเราก็ยังอดทน ทั้งที่ตะหงิดๆเหมือนกันว่านี่มันขโมยผลงานหรือเปล่า
มาเติม 10% ให้หนาขึ้นไม่กี่หน้า แล้วลบชื่อเรากับเพื่อนออก ใส่ชื่อตัวเองคนเดียวเนี่ยนะ
แต่อย่างที่บอก ตอนที่เขียนครั้งแรก คนรู้จักเป็นคนจ้างให้เขียนและเขาก็ให้เครดิตเรามาตลอด
ตอนนั้นก็ไม่ได้คิดหรอกว่าพอเปลี่ยนผู้บริหารโรงเรียน ทุกอย่างจะเปลี่ยนไป...
การอบรมครูครั้งแรกได้เชิญเราเข้าร่วมด้วยในฐานะผู้บุกเบิกการสอนหลักสูตรนี้ในประเทศไทย
แต่การอบรมครั้งต่อๆ มา ไม่มีการเชิญและไม่เอ่ยถึงเราเลยแม้แต่คำเดียว
และต่อมาเราก็ได้รู้ว่าคู่มือเล่มนั้นได้รับการพิมพ์เป็นเล่มอย่างสวยงาม โดยไม่มีชื่อเรากับเพื่อนอีกเช่นกัน
2 ปีผ่านไป ครูคนนั้นลาออก ทางโรงเรียนก็มาตามตัวเรา โดยบอกว่าจะมีการปรับหลักสูตร
ให้เราช่วยหน่อยแล้วจะจ่ายเงินให้ ด้วยความว่าง่ายเราก็รับทำนะ (แอบคิดในใจเล็กน้อยว่า แล้วครูจบนอกคนนั้นไปไหนล่ะ)
เราขอเอกสารเป็น Soft file เพื่อจะเอามาแก้ไข แต่ทางโรงเรียนไม่ให้เรา เพราะเป็นเอกสารสำคัญ ถ้าตกถึงมือโรงเรียนอื่นจะลำบาก
เราขอกำหนดการว่าจะต้องให้เรียนกี่ครั้ง ครั้งละกี่ชั่วโมง มีอุปกรณ์อะไร นักเรียนกี่คน ก็ไม่เคยได้คำตอบอะไรเลย
ดังนั้น...เราก็เลยทำเฉยๆ ในเมื่อผู้ว่าจ้างไม่ให้อะไรมา แล้วเราจะต้องดิ้นรนทำไมเนี่ย
ไม่ให้ข้อมูล ก็ยังไม่เขียนนะ จะเขียนได้ไง ไม่รู้อะไรสักอย่าง
จริงๆ แกล้งไม่รู้ไปงั้นแหละ 90% ของเอกสารฉบับนั้นเราเป็นคนทำ เราย่อมมี Soft file อยู่แล้ว
ก็ในเมื่อเค้าแกล้งลืมว่าเราเป็นคนทำแถมยังจะให้เราไปลอกจาก hard copy มันต่างกันตรงไหน
เราเป็นคนเขียนเอกสารฉบับนั้นตั้งแต่ต้น และปัจจุบันจะให้เราเป็นคนแก้ไข แต่ไม่ไว้ใจเราเพียงพอที่จะให้ Soft file กับเรานะ
เราไม่ได้ติดเรื่อง Soft file เพราะจริงๆ เรามี แต่ที่เราติดคือ "ความไว้วางใจ"
ถ้าเราจะเอาไปให้โรงเรียนอื่นน่ะ ป่านนี้ 90% ของเอกสารที่อยู่ในเครื่องคอมบ้านเราน่ะ มันไปนานแล้ว
แต่ทำไมล่ะ ทำไมเราไม่เคยเอาหลักสูตรนี้ไปสอนที่อื่น เราไม่เคยดึงเด็กจากโรงเรียนมาสอนที่บ้าน
แม้้่ผู้ปกครองจะร้องขอให้เราไปสอนที่บ้าน (ซึ่งอยู่้ข้างโรงเรียน) โดยเราได้เงินเพิ่มขึ้น 65% เราก็ไม่เคยทำ... ไม่เคยสักครั้ง
เราซื่อสัตย์กับโรงเรียนนี้มาตลอด 10 กว่าปี แล้วดูสิว่าผู้บริหารโรงเรียนคิดยังไงกับเรา
ต่ออีกหน่อยนะ จะจบแล้ว วันนี้ผู้จัดการโรงเรียนโทรหาเรา บอกว่ามีครูมาใหม่จะขอคำปรึกษาเรานิดหน่อยนะ แล้วก็วางไป
จากนั้นก็มีคนโทรมาหาเราว่า จะสอนหลักสูตรนี้ ให้เราช่วยแนะนำหน่อยว่าจะสอนยังไง
เราก็งงๆ อ้าว เราเป็นอะไรกับโรงเรียน เราถึงต้องมาดูแลให้คำปรึกษา ในเมื่อโรงเรียนไม่เคยให้เครดิตเราสักอย่าง
จ่ายเงินค่าสอนเราเป็นชั่วโมง การให้ครูคนอื่นมาถามเราว่าสอนยังไง อะไรเนี่ย คือเราทำให้ฟรีๆ นะ
เราก็ไม่ได้ติดเรื่องเงินหรอก วันนี้เราก็นั่งคุยกับครูใหม่ให้เป็นชั่วโมงโดยไม่ได้คิดเงินสักบาทเดียว
แต่เรามาคิดว่า เราโง่หรือเปล่าเนี่ย ให้เขาหลอกใช้อยู่ได้
มีมั๊ย งานที่ทำแล้วไม่ได้ชื่อเสียง ไม่ได้เงิน ไม่ใช่งานการกุศล แต่ก็ทำ คนที่ยอมทำงานแบบนี้เรียกว่าอะไรเนี่ย?
ไม่ใช่แค่นี้นะสิ ถ้ามีคนแรก มันจะมีคนต่อไปโทรมาอีกมั๊ย แล้วต่อไปเราก็กลายเป็นที่ปรึกษาด้านการสอน ทั้งที่ไม่ได้อะไรเลยเนี่ยนะ?
สงสารตัวเอง... พอแล้วดีไหม
ด้วยเงินค่าสอนน้อยนิดแค่นี้ เราไปสอนที่อื่นได้อีกมากมาย ประสบการณ์สอน 10 กว่าปี
ลูกศิษย์ ลูกหามากมาย เราทำเงินได้มากว่านี้อย่างน้อย 2 - 3 เท่า ถ้าไปทำที่อื่น
ทำไมเราต้องยอมทำอะไรให้คนที่เห็นคุณค่าของเราก็ต่อเมื่อจะใช้งาน
จริงๆ ช่วงนี้เป็นช่วงลา 2 เดือน (ซึ่งแน่นอนว่าไม่ได้เงินแม้แต่บาทเดียว)
ตอนแรกคิดว่าครบช่วงลา 2 เดือนจะกลับไปสอน เพราะคิดถึงเด็กๆ
แต่พอแล้วดีไหม... ไปเขียนใบลาออกเลยดีไหม
เราควรจะลาออกไปเงียบๆ หรือแอบล้างแค้นด้วยการดึงนักเรียนไปที่ใหม่สักหลายๆคน
หรือแย่กว่านั้นคือ เอาหลักสูตรที่หวงนักหวงหนาไปให้โรงเรียนอื่นไปเลย
แต่ก็นั่นแหละ... เราไม่นิยมทำร้ายคนอื่น เราแค่ปล่อยให้คนอื่นทำร้ายเราจนพอใจ
เราคงจะไปเงียบๆ แล้วให้เขาไปหาคนอื่นที่เขาจะหลอกใช้ได้ง่ายๆ ต่อไปเถอะ
่
เราไม่ผิดใช่ไหม ถ้าเราคิดจะหันหลังให้โรงเรียนนี้ เดินออกมาเงียบๆ แล้วไม่ต้องกลับไปอีกเลย
เราผูกพันกับโรงเรียน เรารักเด็กๆ เรามีเพื่อนมากมาย นั่นคือสาเหตุที่ทำให้เราอยู่มาได้เป็นสิบปี
แค่คิดจะลาออก เราก็อยากร้องไห้ เรามีความทรงจำดีๆกับที่นี่มากมาย แต่ช่วงที่ดีที่สุดของเราผ่านไปแล้ว
แต่ในเมื่อมันเป็นแบบนี้ เราก็ควรจะจบสักที ดีไหม?