สารวันสิทธิมนุษยชนของพระศาสนจักรคาทอลิกแห่งประเทศไทย
โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. พ.ย. 20, 2008 6:31 pm
สารวันสิทธิมนุษยชนของพระศาสนจักรคาทอลิกแห่งประเทศไทย
วันอาทิตย์ที่ 16 พฤศจิกายน 2551
พึงปฏิบัติสทิธิมนุษยชน ด้วยการลดอคติและเคารพความแตกต่าง
พี่น้องคริสตชนที่รักทั้งหลาย
เป็นที่ทราบกันดีว่า สังคมไทยในช่วงที่ผ่านมานี้ เรากำลังก้าวเข้าสู่บทเรียนบทใหม่ในเรื่องการเมืองและประชาธิปไตย แต่อย่งไรก็ดี การเปลี่ยนผ่านครั้งนี้ ทำให้สังคมไทยกำลังประสบกับความขัดแย้งทางความคิดอย่างรุนแรง จนพัฒนาไปเป็นวิกฤติทางการเมืองอันส่งผลต่อเสถียรภาพทางสังคม โดยเฉพาะปรากฏการณ์ของการเผชิญหน้ากันของกลุ่มคนที่แตกต่างกันทางความคิด จนกลายเป็นอคติ และความเกลียดชัง มีการล่วงละเมิดกันทางวาจา และร่างกาย และนำไปสู่การแบ่งแยกเป็นฝ่าย เป็นพรรเป็นพวกทั้งในระดับบุคคล ไปจนถึงระดับสังคมใหญ่
หากพิจารณาความขัดแย้งที่เกิดขึ้น เราไม่อาจปฏิเสธได้ว่ามาจากสาเหตุที่สำคัญ คือ การที่ทุกคนในสังคมไม่ยอมรับและไม่เคารพในความแตกต่างที่มนุษย์แต่ละคนมี ทั้งด้านความคิดสติปัญญา และองค์ประกอบทางกายภาพ ขณะเดียวกันก็ใช้เหตุผลของตนเองเป็นที่ตั้ง ร่วมกับการใช้อารมณ์และความรู้สึก ปลุกเร้าให้เกิดความฮึกเหิม เห็นกลุ่มของตนดีกว่าอีกกลุ่มหนึ่ง หรือเห็นว่าการกระทำของตนเท่านั้นที่ถูกต้อง และปฏิเสธอีกฝ่ายหนึ่ง เกิดการแบ่งเขาแบ่งเรา และทั้งสองฝ่ายต่างใช้อาวุธแห่งความเกลียดชังทำร้ายกัน หรือมองว่าอีกฝ่ายคือศัตรู ซึ่งการที่มนุษย์ไม่รักและเคารพในความเป็นพี่น้อง ในฐานะที่ต่างก็เป็นลูกของพระเป็นเจ้า ถือเป็นความรุนแรงที่น่ากังวลใจยิ่งกว่าความรุนแรงใด ๆ ในสังคม
วิกฤติด้านเอกภาพในสังคมนี้ เป็นสิ่งที่พระศาสนจักรคาทอลิกถือเป็นพันธกิจที่จะต้องช่วยกันเยียวยาสังคม พระวาจาของนักบุญเปาโลเป็นคำสอนที่มีค่ายิ่งยวดต่อการไตร่ตรองของคริสตชน หากสังคมของเราเปรียบได้กับร่างกาย เอกภาพของชีวิต ก็มาจากอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกายที่มีบทบาทหน้าที่ต่างกัน สังคมก็เช่นเดียวกัน สังคมจะดำรงอยู่ได้ก็ด้วยพลเมืองที่อยู่ในสังคม ใช้ความสามารถ สติปัญญา ความคิดเห็น และความสนใจที่แต่ละคนมีในระดับที่ต่างกัน มาร่วมมือกัน และก่อประโยชน์แก่สังคม อาศัยคุณธรรมแห่งการยอมรับการเคารพ การผ่อนหนักผ่อนเบา การประนีประนอม เป็นรากฐานสำคัญในการปฏิบัติ โดยพระหรรษทานของพระจิตเจ้าองค์เดียวกัน (๑ คร ๑๒ : ๑๒-๑๓)
พระศาสนจักรและสมาชิกทุกฝ่ายผู้มีความเชื่อในพระเจ้า ต้องช่วยสังคม ในการทำหน้าที่ทูตแห่งการสร้างการคืนดี (๒ คร ๕ : ๑๙-๒๐) เราต้องฟื้นคืนสำนึกแก่สังคมว่า วาทกรรมและการต่อสู้ทางอุดมการณ์การเมืองในปัจจุบัน แม้ยังไม่สามารถหาบทสรุปได้ภายในเวลาอันรวดเร็ว เพื่อให้การเมืองบรรลุจุดมุ่งหมายในการบริการรับใช้ “เมือง” อันได้แก่กลุ่มชนที่รวมกันเป็นประชาคมพลเมือง ตามระบอบประชาธิปไตย ซึ่งถือเป็นความดีส่วนรวมสูงสุด แต่พระเป็นเจ้า ผู้เป็นองค์แห่งการคืนดี พระองค์ทรงมอบหมายให้ทุกคนใช้ความรักเป็นมาตรการสำคัญ ในการก้าวพ้นอคติต่าง ๆ โดยเฉพาะอคติที่เกิดขึ้นในใจของเรา ที่มีต่อบุคคล กลุ่ม หรือฝ่าย ที่เราคิดว่าเป็นคนอื่น กลุ่มอื่น เพราะเหตุผลและอารมณ์ทางการเมือง ทั้งนี้การรู้จักพระเจ้าอย่างแท้จริง ก็ต้องมาจากการรู้จักพระเจ้าในบุคคลผู้มีความคิดเห็นแตกต่างไปจากเราด้วย
ดังนี้ โอกาสวันสิทธิมนุษยชนของพระศาสนจักรคาทอลิกแห่งประเทศไทย วันอาทิตย์ที่ ๑๖ พฤศจิกายนศกนี้ ขอเชิญชวนพี่น้องคริสตชนร่วมกันสำรวจจิตใจของตนเอง และไตร่ตรองว่าเราต่างหลงติดกับมายาคติแห่งความรุนแรงอันเป็นปรากฏการณ์ร่วมสมัยหรือไม่ ถ้าเรายังมีความรัก หรือไม่เกลียดชังเพื่อนพี่น้องที่มีความคิดเห็นทางการเมืองแตกต่างกันไป ขอให้เราขอบคุณพระเป็นเจ้า ที่ให้เราดำเนินอยู่ในแนวทางแห่งความรักของพระองค์ แต่ถ้ามีความหวาดระแวง และเกลียดชังเกิดขึ้นในใจ ขอให้เรากลับใจ ปรับเปลี่ยนแนวทางมาอยู่กับพระองค์ ไว้วางใจในองค์พระผู้เป็นเจ้า และพยายามเข้าถึงปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยสายตาแห่งความรัก เมตตา ใจกว้าง ลดอคติ และใช้ขันติธรรมเพื่อเข้าใจถึงความจริงแท้
สังคมไทยเป็นสังคมแห่งความรักสมานฉันท์ สังคมแห่งความยุติธรรมและสันติ ที่ทุกคนปรารถนานี่จะสำเร็จได้ด้วยดี นอกจากต้องอาศัยความช่วยเหลือและพระพรของพระเป็นเจ้าเป็นพิเศษแล้ว ความจริงใจ ความกล้าหาญ ความอดทน เเละให้อภัยต่อกัน เป็นการปฎิบัติในฐานะประจักษ์พยานที่คริสตชนหลีกเลี่ยงหรือละเลยไม่ได้อย่างยิ่ง ในห้วงเวลาแห่งความยุ่งยากขณะนี้
อาศัยคำเสนอวิงวอนของพระนางมารีย์พระมารดาขององค์ผู้นำแห่งสันติ โปรดช่วยให้ทุกคนโดยเฉพาะคริสชน ได้รับแสงสว่างแห่งการปฏิบัติในหนทางแห่งสันติ เพื่อฟื้นฟูสังคมที่ปลอดภัยและสงบสุขให้เกิดขึ้นอย่างถาวร
อวยพรมาด้วยความรักในพระคริสตเจ้า
(พระสังฆราชฟิลิป บรรจง ไชยรา)
ประธานกรรมาธิการฝ่ายสังคม
แผนกความยุติธรรมและสันติ
สภาพระสังฆราชคาทอลิกแห่งประเทศไทย
วันอาทิตย์ที่ 16 พฤศจิกายน 2551
พึงปฏิบัติสทิธิมนุษยชน ด้วยการลดอคติและเคารพความแตกต่าง
พี่น้องคริสตชนที่รักทั้งหลาย
เป็นที่ทราบกันดีว่า สังคมไทยในช่วงที่ผ่านมานี้ เรากำลังก้าวเข้าสู่บทเรียนบทใหม่ในเรื่องการเมืองและประชาธิปไตย แต่อย่งไรก็ดี การเปลี่ยนผ่านครั้งนี้ ทำให้สังคมไทยกำลังประสบกับความขัดแย้งทางความคิดอย่างรุนแรง จนพัฒนาไปเป็นวิกฤติทางการเมืองอันส่งผลต่อเสถียรภาพทางสังคม โดยเฉพาะปรากฏการณ์ของการเผชิญหน้ากันของกลุ่มคนที่แตกต่างกันทางความคิด จนกลายเป็นอคติ และความเกลียดชัง มีการล่วงละเมิดกันทางวาจา และร่างกาย และนำไปสู่การแบ่งแยกเป็นฝ่าย เป็นพรรเป็นพวกทั้งในระดับบุคคล ไปจนถึงระดับสังคมใหญ่
หากพิจารณาความขัดแย้งที่เกิดขึ้น เราไม่อาจปฏิเสธได้ว่ามาจากสาเหตุที่สำคัญ คือ การที่ทุกคนในสังคมไม่ยอมรับและไม่เคารพในความแตกต่างที่มนุษย์แต่ละคนมี ทั้งด้านความคิดสติปัญญา และองค์ประกอบทางกายภาพ ขณะเดียวกันก็ใช้เหตุผลของตนเองเป็นที่ตั้ง ร่วมกับการใช้อารมณ์และความรู้สึก ปลุกเร้าให้เกิดความฮึกเหิม เห็นกลุ่มของตนดีกว่าอีกกลุ่มหนึ่ง หรือเห็นว่าการกระทำของตนเท่านั้นที่ถูกต้อง และปฏิเสธอีกฝ่ายหนึ่ง เกิดการแบ่งเขาแบ่งเรา และทั้งสองฝ่ายต่างใช้อาวุธแห่งความเกลียดชังทำร้ายกัน หรือมองว่าอีกฝ่ายคือศัตรู ซึ่งการที่มนุษย์ไม่รักและเคารพในความเป็นพี่น้อง ในฐานะที่ต่างก็เป็นลูกของพระเป็นเจ้า ถือเป็นความรุนแรงที่น่ากังวลใจยิ่งกว่าความรุนแรงใด ๆ ในสังคม
วิกฤติด้านเอกภาพในสังคมนี้ เป็นสิ่งที่พระศาสนจักรคาทอลิกถือเป็นพันธกิจที่จะต้องช่วยกันเยียวยาสังคม พระวาจาของนักบุญเปาโลเป็นคำสอนที่มีค่ายิ่งยวดต่อการไตร่ตรองของคริสตชน หากสังคมของเราเปรียบได้กับร่างกาย เอกภาพของชีวิต ก็มาจากอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกายที่มีบทบาทหน้าที่ต่างกัน สังคมก็เช่นเดียวกัน สังคมจะดำรงอยู่ได้ก็ด้วยพลเมืองที่อยู่ในสังคม ใช้ความสามารถ สติปัญญา ความคิดเห็น และความสนใจที่แต่ละคนมีในระดับที่ต่างกัน มาร่วมมือกัน และก่อประโยชน์แก่สังคม อาศัยคุณธรรมแห่งการยอมรับการเคารพ การผ่อนหนักผ่อนเบา การประนีประนอม เป็นรากฐานสำคัญในการปฏิบัติ โดยพระหรรษทานของพระจิตเจ้าองค์เดียวกัน (๑ คร ๑๒ : ๑๒-๑๓)
พระศาสนจักรและสมาชิกทุกฝ่ายผู้มีความเชื่อในพระเจ้า ต้องช่วยสังคม ในการทำหน้าที่ทูตแห่งการสร้างการคืนดี (๒ คร ๕ : ๑๙-๒๐) เราต้องฟื้นคืนสำนึกแก่สังคมว่า วาทกรรมและการต่อสู้ทางอุดมการณ์การเมืองในปัจจุบัน แม้ยังไม่สามารถหาบทสรุปได้ภายในเวลาอันรวดเร็ว เพื่อให้การเมืองบรรลุจุดมุ่งหมายในการบริการรับใช้ “เมือง” อันได้แก่กลุ่มชนที่รวมกันเป็นประชาคมพลเมือง ตามระบอบประชาธิปไตย ซึ่งถือเป็นความดีส่วนรวมสูงสุด แต่พระเป็นเจ้า ผู้เป็นองค์แห่งการคืนดี พระองค์ทรงมอบหมายให้ทุกคนใช้ความรักเป็นมาตรการสำคัญ ในการก้าวพ้นอคติต่าง ๆ โดยเฉพาะอคติที่เกิดขึ้นในใจของเรา ที่มีต่อบุคคล กลุ่ม หรือฝ่าย ที่เราคิดว่าเป็นคนอื่น กลุ่มอื่น เพราะเหตุผลและอารมณ์ทางการเมือง ทั้งนี้การรู้จักพระเจ้าอย่างแท้จริง ก็ต้องมาจากการรู้จักพระเจ้าในบุคคลผู้มีความคิดเห็นแตกต่างไปจากเราด้วย
ดังนี้ โอกาสวันสิทธิมนุษยชนของพระศาสนจักรคาทอลิกแห่งประเทศไทย วันอาทิตย์ที่ ๑๖ พฤศจิกายนศกนี้ ขอเชิญชวนพี่น้องคริสตชนร่วมกันสำรวจจิตใจของตนเอง และไตร่ตรองว่าเราต่างหลงติดกับมายาคติแห่งความรุนแรงอันเป็นปรากฏการณ์ร่วมสมัยหรือไม่ ถ้าเรายังมีความรัก หรือไม่เกลียดชังเพื่อนพี่น้องที่มีความคิดเห็นทางการเมืองแตกต่างกันไป ขอให้เราขอบคุณพระเป็นเจ้า ที่ให้เราดำเนินอยู่ในแนวทางแห่งความรักของพระองค์ แต่ถ้ามีความหวาดระแวง และเกลียดชังเกิดขึ้นในใจ ขอให้เรากลับใจ ปรับเปลี่ยนแนวทางมาอยู่กับพระองค์ ไว้วางใจในองค์พระผู้เป็นเจ้า และพยายามเข้าถึงปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยสายตาแห่งความรัก เมตตา ใจกว้าง ลดอคติ และใช้ขันติธรรมเพื่อเข้าใจถึงความจริงแท้
สังคมไทยเป็นสังคมแห่งความรักสมานฉันท์ สังคมแห่งความยุติธรรมและสันติ ที่ทุกคนปรารถนานี่จะสำเร็จได้ด้วยดี นอกจากต้องอาศัยความช่วยเหลือและพระพรของพระเป็นเจ้าเป็นพิเศษแล้ว ความจริงใจ ความกล้าหาญ ความอดทน เเละให้อภัยต่อกัน เป็นการปฎิบัติในฐานะประจักษ์พยานที่คริสตชนหลีกเลี่ยงหรือละเลยไม่ได้อย่างยิ่ง ในห้วงเวลาแห่งความยุ่งยากขณะนี้
อาศัยคำเสนอวิงวอนของพระนางมารีย์พระมารดาขององค์ผู้นำแห่งสันติ โปรดช่วยให้ทุกคนโดยเฉพาะคริสชน ได้รับแสงสว่างแห่งการปฏิบัติในหนทางแห่งสันติ เพื่อฟื้นฟูสังคมที่ปลอดภัยและสงบสุขให้เกิดขึ้นอย่างถาวร
อวยพรมาด้วยความรักในพระคริสตเจ้า
(พระสังฆราชฟิลิป บรรจง ไชยรา)
ประธานกรรมาธิการฝ่ายสังคม
แผนกความยุติธรรมและสันติ
สภาพระสังฆราชคาทอลิกแห่งประเทศไทย
