วิจัยพบผู้ปกครองแก้ปัญหา"เด็กเบี่ยงเบนทางเพศ"ไม่เหมาะสม
โพสต์แล้ว: อังคาร ธ.ค. 30, 2008 5:32 pm
วิจัยพบผู้ปกครองแก้ปัญหา"เด็กเบี่ยงเบนทางเพศ"ไม่เหมาะสม
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 29 ธันวาคม 2551 17:30 น.

วิจัยพบพฤติกรรมทางลบของผู้ปกครองต่อปัญหา "การเบี่ยงเบนทางเพศของบุตรหลาน" ในช่วงวัยรุ่น อาจส่งผลเสียมากกว่าที่คาด โดยมีเด็กจำนวนหนึ่งพยายามฆ่าตัวตาย ขณะที่เด็กบางส่วนระบุว่า ฟีดแบ็กในแง่ลบของผู้ปกครองกลายเป็นสิ่งที่ทำให้พวกเขาเศร้าสะเทือนใจ และเด็กบางคนหันไปใช้ยาเสพติด แต่ครอบครัวที่ผู้ปกครองยอมรับพฤติกรรมเบี่ยงเบนของบุตรหลาน เด็กกลับมีความเสี่ยงต่อสิ่งเหล่านี้น้อยกว่า
Caitlin Ryan นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยแห่งซานฟรานซิสโก หัวหน้าทีมวิจัย ผู้ดูแลโครงการ Family Acceptance เผยผลการสำรวจเกี่ยวกับการเบี่ยงเบนทางเพศในช่วงวัยรุ่น และผลกระทบจากผู้ปกครองที่ปฏิเสธพฤติกรรมดังกล่าวของเด็ก ๆ โดยเธอระบุว่า "ผู้ปกครองย่อมรักและหวังว่าบุตรหลานของพวกเขาจะได้รับสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิต แต่จากการประเมินของเราเกี่ยวกับพฤติกรรมต่าง ๆ ที่ผู้ปกครองกระทำเพื่อต่อต้านพฤติกรรมการเบี่ยงเบนทางเพศของกลุ่มวัยรุ่น พบว่ามีพฤติกรรมบางอย่างของผู้ปกครองเป็นพฤติกรรมเสี่ยงและอาจส่งผลถึงชีวิตของเด็ก ๆ ด้วย"
เมื่อผู้ปกครองทราบความจริง และแสดงอาการรังเกียจ การปฏิเสธ หรือการใช้คำพูดในแง่ลบต่าง ๆ กับบุตรหลาน ทีมวิจัยระบุว่า สิ่งเหล่านั้น จะผลักดันให้บุตรหลานต้องเผชิญหน้ากับความเสี่ยงหลายประการ ตั้งแต่ การหันไปใช้ยาเสพติด การแยกตัวโดดเดี่ยวเป็นโรคซึมเศร้า หรือการฆ่าตัวตาย ขณะที่ผู้ปกครองที่เผชิญหน้ากับความจริงด้วยจิตใจที่มั่นคง จะสามารถช่วยเยียวยาจิตใจของเด็กวัยรุ่นได้
งานวิจัยของไรอันพบว่า เด็กที่ได้รับผลตอบรับจากผู้ปกครองในทางลบตั้งแต่ 3 ครั้งขึ้นไปมีความเสี่ยงที่จะหันไปหายาเสพติด และถ้าถูกปฏิเสธหรือได้รับการปฏิบัติในทางลบ 6 ครั้งขึ้นไปอาจกลายเป็นบาดแผลในใจที่ยากจะลืมเลือน ส่วนถ้าเด็กคนไหนเจอความผิดหวังมากถึง 8 ครั้งขึ้นไปจากผู้ปกครองมีความพยายามที่จะฆ่าตัวตาย
ทั้งนี้ ไรอันระบุว่า การปฏิเสธ หรือการปฏิบัติต่อบุตรหลานในแง่ลบนั้น เปรียบได้กับการทำร้ายร่างกายโดยการตีเลยทีเดียว
โดยทีมงานวิจัยดังกล่าวยังได้ลงไปสัมภาษณ์แบบเจาะลึกกับ 53 ครอบครัวที่มีลูกเบี่ยงเบนทางเพศ การสัมภาษณ์ครั้งนี้ทำให้ทีมงานสามารถจำแนกแยกแยะ และวิเคราะห์พฤติกรรมของผู้ปกครองที่มีต่อเด็กว่าพฤติกรรมแบบไหนเป็นแง่ลบบ้าง ยกตัวอย่างเช่น การใช้ถ้อยคำดูถูกเหยียดหยามที่ลูก ๆ ประพฤติตนแตกต่างจากเด็กคนอื่น ๆ ในสังคม
จากนั้น ทีมงานได้สัมภาษณ์ชาวเกย์ผิวขาวและละตินอีก 224 ชีวิตที่มีอายุระหว่าง 21 - 25 ปี เกี่ยวกับพฤติกรรมต่าง ๆ ที่พวกเขาได้ประสบมาในช่วงวัยรุ่น ซึ่งผลที่ได้สอดคล้องกับงานวิจัยของเด็กวัยรุ่น เมื่อเกย์เหล่านั้นก็ต้องผ่านช่วงชีวิตที่หดหู่ โศกเศร้า ผิดหวัง เก็บตัว ใช้ยาเสพติด ฆ่าตัวตาย ตลอดจนการมีพฤติกรรมทางเพศอย่างไม่ถูกสุขลักษณะมาเช่นกัน
ไรอันกล่าวว่า งานวิจัยชิ้นนี้ถือเป็นครั้งแรกที่มีการเชื่อมโยงปัญหาด้านสุขภาพของเด็กที่มีพฤติกรรมทางเพศเบี่ยงเบน เข้ากับสิ่งแวดล้อมในบ้านของเด็กเองด้วย
พร้อมกันนี้ เธอจึงได้นำข้อมูลจากงานวิจัยไปใช้ร่วมกับการให้คำแนะนำของนักจิตวิทยา หรือนักบำบัดต่าง ๆ ในการให้ความรู้แก่ผู้ปกครองเพื่อปรับความสัมพันธ์ระหว่างผู้ปกครองและลูก โดยได้ยกตัวอย่างของคุณแม่ท่านหนึ่งที่ไม่ยอมรับว่าลูกสาวตนเองเป็นเลสเบี้ยน และพยายามจะให้ลูกไปเดทกับเพื่อนผู้ชาย สุดท้ายต้องมาพบแพทย์ด้วยความวิตกกังวล เนื่องจากลูกสาวเปลี่ยนไปกลายเป็นเด็กเก็บกด และแยกตัวอยู่โดยลำพัง และได้นำวิธีพูดคุยในเชิงบวกไปใช้กับลูกสาว รวมถึงเลิกบีบบังคับลูก หันมาใส่ใจกับเพื่อนสนิทของลูกมากขึ้น
"กรณีนี้ผู้เป็นแม่มีความวิตกกังวลมาก เธอสังเกตได้ว่าลูกสาวของเธอนั้นแยกตัวออกไปอยู่ตามลำพังมากขึ้น และกลายเป็นเด็กอมทุกข์มากขึ้น"
ไรอันยังได้แนะนำให้ผู้เชี่ยวชาญด้านการบำบัดถามกลุ่มวัยรุ่นเกี่ยวกับ ฟีดแบ็กของครอบครัวเมื่อทราบถึงพฤติกรรมเบี่ยงเบนทางเพศของลูก ๆ เพื่อจะให้ผู้เชี่ยวชาญให้คำแนะนำในการปฏิบัติตัวแก่ผู้ปกครองด้วย แทนที่จะมาเพื่อรักษาปัญหาของเด็กวัยรุ่นแต่เพียงอย่างเดียว
จากงานวิจัยชิ้นนี้พบว่า อายุเฉลี่ยที่เด็กวัยรุ่นจะมีความสนใจในเพศเดียวกันเริ่มตั้งแต่ 11 ปี และอาจต้องมีอายุมากกว่า 14 ปีขึ้นไปจึงจะสามารถเข้าใจได้ว่าตนเองเป็นเกย์ หรือเลสเบี้ยนหรือไม่
"เมื่อคนเป็นพ่อแม่ หรือสมาชิกคนอื่น ๆ ในครอบครัวคิดถึงการเป็นเกย์ สิ่งแรกที่คิดคือเรื่องเพศสัมพันธ์ แต่ในความเป็นจริงยังมีอีกหลายอย่างที่ต้องให้ความสำคัญ เช่น ด้านอารมณ์ความรู้สึก การมีปฏิสัมพันธ์ในสังคม รวมถึงเรื่องของจิตใจด้วย"
Sten Vermund กุมารแพทย์จากมหาวิทยาลัย Vanderbilt เป็นอีกคนหนึ่งที่สนใจงานวิจัยชิ้นนี้และเห็นด้วยที่แพทย์จะมีส่วนช่วยเหลือ หรือแนะเทคนิคการพูดคุยกับเด็กในเชิงบวกให้ผู้ปกครองทราบ
"ครอบครัวจำนวนมากที่มีลูกเป็นเกย์ หรือมีพฤติกรรมเบี่ยงเบนทางเพศ คิดว่า หากพวกเขาใจแข็งกับเด็ก ๆ รวมถึงบอกเด็กว่าพ่อแม่ไม่ยอมรับพฤติกรรมเหล่านี้ จะทำให้เด็กเลิกเป็นไปได้เอง แต่จริง ๆ แล้วเด็กควรได้รับการปฏิบัติที่ทำให้พวกเขามีความสุข และเชื่อมั่นในตัวเองมากขึ้น รวมถึงเพิ่มโอกาสในการที่จะมีความสุขในสังคมอนาคตด้วย"
สำหรับงานวิจัยชิ้นนี้ได้รับการตีพิมพ์ลงในวารสารของ สถาบันกุมารแพทย์ แห่งสหรัฐอเมริกา http://www.aap.org/
http://www.manager.co.th/Family/ViewNew ... 0000153020
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 29 ธันวาคม 2551 17:30 น.

วิจัยพบพฤติกรรมทางลบของผู้ปกครองต่อปัญหา "การเบี่ยงเบนทางเพศของบุตรหลาน" ในช่วงวัยรุ่น อาจส่งผลเสียมากกว่าที่คาด โดยมีเด็กจำนวนหนึ่งพยายามฆ่าตัวตาย ขณะที่เด็กบางส่วนระบุว่า ฟีดแบ็กในแง่ลบของผู้ปกครองกลายเป็นสิ่งที่ทำให้พวกเขาเศร้าสะเทือนใจ และเด็กบางคนหันไปใช้ยาเสพติด แต่ครอบครัวที่ผู้ปกครองยอมรับพฤติกรรมเบี่ยงเบนของบุตรหลาน เด็กกลับมีความเสี่ยงต่อสิ่งเหล่านี้น้อยกว่า
Caitlin Ryan นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยแห่งซานฟรานซิสโก หัวหน้าทีมวิจัย ผู้ดูแลโครงการ Family Acceptance เผยผลการสำรวจเกี่ยวกับการเบี่ยงเบนทางเพศในช่วงวัยรุ่น และผลกระทบจากผู้ปกครองที่ปฏิเสธพฤติกรรมดังกล่าวของเด็ก ๆ โดยเธอระบุว่า "ผู้ปกครองย่อมรักและหวังว่าบุตรหลานของพวกเขาจะได้รับสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิต แต่จากการประเมินของเราเกี่ยวกับพฤติกรรมต่าง ๆ ที่ผู้ปกครองกระทำเพื่อต่อต้านพฤติกรรมการเบี่ยงเบนทางเพศของกลุ่มวัยรุ่น พบว่ามีพฤติกรรมบางอย่างของผู้ปกครองเป็นพฤติกรรมเสี่ยงและอาจส่งผลถึงชีวิตของเด็ก ๆ ด้วย"
เมื่อผู้ปกครองทราบความจริง และแสดงอาการรังเกียจ การปฏิเสธ หรือการใช้คำพูดในแง่ลบต่าง ๆ กับบุตรหลาน ทีมวิจัยระบุว่า สิ่งเหล่านั้น จะผลักดันให้บุตรหลานต้องเผชิญหน้ากับความเสี่ยงหลายประการ ตั้งแต่ การหันไปใช้ยาเสพติด การแยกตัวโดดเดี่ยวเป็นโรคซึมเศร้า หรือการฆ่าตัวตาย ขณะที่ผู้ปกครองที่เผชิญหน้ากับความจริงด้วยจิตใจที่มั่นคง จะสามารถช่วยเยียวยาจิตใจของเด็กวัยรุ่นได้
งานวิจัยของไรอันพบว่า เด็กที่ได้รับผลตอบรับจากผู้ปกครองในทางลบตั้งแต่ 3 ครั้งขึ้นไปมีความเสี่ยงที่จะหันไปหายาเสพติด และถ้าถูกปฏิเสธหรือได้รับการปฏิบัติในทางลบ 6 ครั้งขึ้นไปอาจกลายเป็นบาดแผลในใจที่ยากจะลืมเลือน ส่วนถ้าเด็กคนไหนเจอความผิดหวังมากถึง 8 ครั้งขึ้นไปจากผู้ปกครองมีความพยายามที่จะฆ่าตัวตาย
ทั้งนี้ ไรอันระบุว่า การปฏิเสธ หรือการปฏิบัติต่อบุตรหลานในแง่ลบนั้น เปรียบได้กับการทำร้ายร่างกายโดยการตีเลยทีเดียว
โดยทีมงานวิจัยดังกล่าวยังได้ลงไปสัมภาษณ์แบบเจาะลึกกับ 53 ครอบครัวที่มีลูกเบี่ยงเบนทางเพศ การสัมภาษณ์ครั้งนี้ทำให้ทีมงานสามารถจำแนกแยกแยะ และวิเคราะห์พฤติกรรมของผู้ปกครองที่มีต่อเด็กว่าพฤติกรรมแบบไหนเป็นแง่ลบบ้าง ยกตัวอย่างเช่น การใช้ถ้อยคำดูถูกเหยียดหยามที่ลูก ๆ ประพฤติตนแตกต่างจากเด็กคนอื่น ๆ ในสังคม
จากนั้น ทีมงานได้สัมภาษณ์ชาวเกย์ผิวขาวและละตินอีก 224 ชีวิตที่มีอายุระหว่าง 21 - 25 ปี เกี่ยวกับพฤติกรรมต่าง ๆ ที่พวกเขาได้ประสบมาในช่วงวัยรุ่น ซึ่งผลที่ได้สอดคล้องกับงานวิจัยของเด็กวัยรุ่น เมื่อเกย์เหล่านั้นก็ต้องผ่านช่วงชีวิตที่หดหู่ โศกเศร้า ผิดหวัง เก็บตัว ใช้ยาเสพติด ฆ่าตัวตาย ตลอดจนการมีพฤติกรรมทางเพศอย่างไม่ถูกสุขลักษณะมาเช่นกัน
ไรอันกล่าวว่า งานวิจัยชิ้นนี้ถือเป็นครั้งแรกที่มีการเชื่อมโยงปัญหาด้านสุขภาพของเด็กที่มีพฤติกรรมทางเพศเบี่ยงเบน เข้ากับสิ่งแวดล้อมในบ้านของเด็กเองด้วย
พร้อมกันนี้ เธอจึงได้นำข้อมูลจากงานวิจัยไปใช้ร่วมกับการให้คำแนะนำของนักจิตวิทยา หรือนักบำบัดต่าง ๆ ในการให้ความรู้แก่ผู้ปกครองเพื่อปรับความสัมพันธ์ระหว่างผู้ปกครองและลูก โดยได้ยกตัวอย่างของคุณแม่ท่านหนึ่งที่ไม่ยอมรับว่าลูกสาวตนเองเป็นเลสเบี้ยน และพยายามจะให้ลูกไปเดทกับเพื่อนผู้ชาย สุดท้ายต้องมาพบแพทย์ด้วยความวิตกกังวล เนื่องจากลูกสาวเปลี่ยนไปกลายเป็นเด็กเก็บกด และแยกตัวอยู่โดยลำพัง และได้นำวิธีพูดคุยในเชิงบวกไปใช้กับลูกสาว รวมถึงเลิกบีบบังคับลูก หันมาใส่ใจกับเพื่อนสนิทของลูกมากขึ้น
"กรณีนี้ผู้เป็นแม่มีความวิตกกังวลมาก เธอสังเกตได้ว่าลูกสาวของเธอนั้นแยกตัวออกไปอยู่ตามลำพังมากขึ้น และกลายเป็นเด็กอมทุกข์มากขึ้น"
ไรอันยังได้แนะนำให้ผู้เชี่ยวชาญด้านการบำบัดถามกลุ่มวัยรุ่นเกี่ยวกับ ฟีดแบ็กของครอบครัวเมื่อทราบถึงพฤติกรรมเบี่ยงเบนทางเพศของลูก ๆ เพื่อจะให้ผู้เชี่ยวชาญให้คำแนะนำในการปฏิบัติตัวแก่ผู้ปกครองด้วย แทนที่จะมาเพื่อรักษาปัญหาของเด็กวัยรุ่นแต่เพียงอย่างเดียว
จากงานวิจัยชิ้นนี้พบว่า อายุเฉลี่ยที่เด็กวัยรุ่นจะมีความสนใจในเพศเดียวกันเริ่มตั้งแต่ 11 ปี และอาจต้องมีอายุมากกว่า 14 ปีขึ้นไปจึงจะสามารถเข้าใจได้ว่าตนเองเป็นเกย์ หรือเลสเบี้ยนหรือไม่
"เมื่อคนเป็นพ่อแม่ หรือสมาชิกคนอื่น ๆ ในครอบครัวคิดถึงการเป็นเกย์ สิ่งแรกที่คิดคือเรื่องเพศสัมพันธ์ แต่ในความเป็นจริงยังมีอีกหลายอย่างที่ต้องให้ความสำคัญ เช่น ด้านอารมณ์ความรู้สึก การมีปฏิสัมพันธ์ในสังคม รวมถึงเรื่องของจิตใจด้วย"
Sten Vermund กุมารแพทย์จากมหาวิทยาลัย Vanderbilt เป็นอีกคนหนึ่งที่สนใจงานวิจัยชิ้นนี้และเห็นด้วยที่แพทย์จะมีส่วนช่วยเหลือ หรือแนะเทคนิคการพูดคุยกับเด็กในเชิงบวกให้ผู้ปกครองทราบ
"ครอบครัวจำนวนมากที่มีลูกเป็นเกย์ หรือมีพฤติกรรมเบี่ยงเบนทางเพศ คิดว่า หากพวกเขาใจแข็งกับเด็ก ๆ รวมถึงบอกเด็กว่าพ่อแม่ไม่ยอมรับพฤติกรรมเหล่านี้ จะทำให้เด็กเลิกเป็นไปได้เอง แต่จริง ๆ แล้วเด็กควรได้รับการปฏิบัติที่ทำให้พวกเขามีความสุข และเชื่อมั่นในตัวเองมากขึ้น รวมถึงเพิ่มโอกาสในการที่จะมีความสุขในสังคมอนาคตด้วย"
สำหรับงานวิจัยชิ้นนี้ได้รับการตีพิมพ์ลงในวารสารของ สถาบันกุมารแพทย์ แห่งสหรัฐอเมริกา http://www.aap.org/
http://www.manager.co.th/Family/ViewNew ... 0000153020