อันที่จริง ทางตะวันออกและตะวันตกยอมรับกาีรสถาปนาสมณศักดิ์จริงครับเจนจิรา เขียน: พระศาสนจักร ตะวันออกก็ไม่เห็น จะมีแนวคิด ที่ แวกแนว ในเรื่องความเชื่อ และคำสอน ทั้งๆ ที่ ตำแหน่งทางพระศาสนจักร จะมี สูงสุด เพียง พระอัครสังฆราช เรายังเหมือนเดิม และยึดมั่นธรรมเนียมเดิม ทุกอย่าง โดยไม่ยอม รับ การพัฒนา ทาง ศาสนศาตร์ ไม่ว่าเหตุผลใดๆ ทั้งสิ้น โดยถือว่า หาก ก้่าว ล่วงไปกว่า ที่ เรา มีมาแต่ก่อน สิ่ง นั้นเกรงว่า เป็น คำสอนที่ นอกรีต
โดย การประชุมการใช้คำสอนร่วมกัน นั้น ต้องยึดหมั่น ในคำสอนของ พระศาสนจักร ที่พระเยซู ทรงตั้ง ขึ้น เมื่อ 2000 ปี ทีแล้ว โดยการประชุมร่วมกัน และ ร่วมกันลงประชามติ เอกฉันท์ จาก สังฆราชจาก ทุกประเทศ โดยไม่ต้อง มีตำแหน่ง ที่ สูงกว่า นี้ อนุมัติ เพราะ เรา ( orthodox และ Roman cathlic เคย ทำแบบนี้มาก่อน )
การสังคายนาครั้งที่ 1 แห่ง ไนเซีย (325) ได้ยอมรับหลักข้อเชื่อไนเซีย และ "รับทราบ/ยอมรับ" (recognized) เอกสภาพ (สภาพความเป็นที่หนึ่งในความเท่าเทียม) ของสันตสำนักแห่งโรม อเลกซานเดรีย และ อันติโอค ทั้งนี้ ยังยกย่องให้เกียรติสถานภาพของสันตสำนักแห่งเยรูซาเลมด้วย
อีก 100 กว่าปีถัดมา ในสมัยของ การสังคายนาแห่งคาลเชโดน (451) ก็ได้ยกระดับสถานภาพของสังฆราช (Bishopric) เยรูซาเลม และคอนสแตนติโนเปิล ขึ้นเป็น สังฆอัยกภาพ (Patriarchates)
ส่วนเรื่องที่ว่า ตะวันออกไม่ยุ่งกับตะวันตก เพราะ "เราเตือนแล้วไม่ฟัง" เนี่ย ผมไม่เห็นด้วยครับ
ตั้งแต่จบการสังคายนาครั้งที่ 7 พระศาสนจักรตะวันออกและตะวันตกก็มีปัญหาเรื่อยมา โดยเฉพาะการแต่งตั้งผู้มีอำนาจที่ว่างลง
ส่วนเรื่องเตือนแล้วไม่ฟัง วิํธีแก้ปัญหาก็คือ การเปิดสภาสังคายนาเพื่อชำระความ แต่ปัญหาของการเปิดสภาใหม่มีมาก เช่น
1. ภาวะสงคราม และการขยายตัวของโลกมุสลิม
2. ขนาดของสังฆราชที่จะเข้่าประชุมเริ่มไม่ลงตัว เพราะ สังตะสำนักบางแห่งไม่เข้าร่วม และ สังฆราชที่ฝักใฝ่โรมมีมากด้วยปัจจัยทางภูมิศาสตร์ทำให้เปิดไปก็ชำระไม่ได้
3. ความบาดหมางในทางการเมืองพระศาสนจักรเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากพอไม่ได้ประชุมนาน แต่ละสายก็ไำปตัดสินปัญหากันเองเรียบร้อย เหมือนสร้างบรรทัดฐานใหม่ที่ต่างกันไปแล้ว
ในที่สุด แต่ละฟากที่กั้นด้วยอุปสรรคทางภูมิศาสตร์ และการเมืองก็เปิดประชุมสภาฯ กันเอง และยอมรับกันเอง นับฝั่งตะวันออกได้ 7+1 และตะวันตกได้ 7+14
ที่สุดแล้ว พี่น้องฝั่งตะวันออกโชคร้ายกว่า (มั๊ง) ที่ถูกกลืนเข้าโลกมุสลิมมากขึ้น การขยายตัวของสันตสำนักแห่งคอนสแตนติโนเปิลจึงลดลง และเงียบหายไปจากโลกส่วนที่เหลือ
เอาเถอะ ประเด็นของผมก็คือ ไม่ใช่ว่า "เตือนแล้วไม่ฟังเราเลยไม่คุยด้วย" แต่เป็น "ปัญหารุมเร้าเลยอดคุยกัน" มากกว่า
ส่วนฝั่งตะวันตก ปัญหาเชิงการเมืองในแบบ โดนรุกราน โดนรบ โดนกลืน มันน้อยกว่า หรือจริงๆ ก็คือ แทบจะไม่โดนทำลายไปไหนเลย อย่างมากก็กักกันไป แย่งกันมาระหว่างขั้วอำนาจ
ทำให้พัฒนาการของพระศาสนจักรค่อนข้างจะต่อเนื่อง ในเชิงเทววิทยาเองก็ได้รับการสนับสนุนจากการเมืองทางโลก ที่เอื้อให้เกิดการติดต่อกัน
เพราะแต่ละแห่งก็ไม่อยากขัดใจสันตะสำนัก เพราะสันตะสำนักคือ "ตัวแทนสวรรค์" ที่มอบอำนาจให้ปกครองพลเมืองได้ (ยืมกรณี ซามูเอลตั้งซาอูล-ดาวิดเป็นกษัตริย์)
ดังนั้น พระสงฆ์และสังฆราชท้องถิ่นอยากทำอะไร การเมืองไม่ค่อยจะห้าม แต่จะพยายามเอาใจ หรือหนักกว่าก็คือ ส่งคนของตัวเองเข้่าไปเป็น
การประชุมสังคายนาของฝ่ายตะวันตกถึงมีตั้ง 21 ครั้ง หรือ 14 ครั้งที่เพิ่มเข้ามาหลังไม่ได้ประชุมกับฝ่ายตะวันออก
อย่าเพิ่งเอาเรื่อง Infallibility ของพระสันตะปาปามาเกี่ยวนะครับ เรื่องนั้นโผล่มาจริงๆ สมัยสภาสังคายนาวาติกันที่ 1 (1870-1960) โน่น