++ คนไทยรุ่นใหม่ในสายเลือดเก่า ++
โพสต์แล้ว: เสาร์ ก.ย. 17, 2005 8:44 am
คนไทยรุ่นใหม่ในสายเลือดเก่า
โดย โปรดปราน ( พีพี )
เราเพิ่งก้าวสู่ศตวรรษที่ ๒๑ ณ เวลานี้ พวกผู้ใหญ่เป็นมนุษย์ข้ามศตวรรษ เมื่อเหลียวกลับไปดูข้างหลังที่ผ่านมา ส่วนใหญ่เราจะเห็นความเปลี่ยนแปลงด้านวัตถุและจิตใจของคนอย่างชัดเจน แล้วเรามักจะบ่นกันว่าสังคมไทยวิ่งเร็วเกินไป เราพัฒนาแต่วัตถุ แต่ไม่ได้พัฒนาด้านจิตใจ ปัญหาสาระพัดที่รุมเร้า ทุกวี่ทุกวัน แล้วเมืองไทยจะไปรอดหรือ คนยุคใหม่เป็นอย่างนี้พวกเขาจะดูแลสังคมและบ้านเมืองกันอย่างไร
ผู้เขียนเคยได้รับคำถามว่า “ เราจะสร้างคนรุ่นใหม่ให้เป็นคนที่รักชาติ เสียสละ และมีวินัย ได้ไหม” เพื่อจะยกระดับคุณภาพของสังคมไทย พูดตรงๆฉันไม่กล้ารับรองว่า พวกเราจะสร้าง เด็กรุ่นใหม่ให้มีเลือดรักชาติ เสียสละเพื่อส่วนรวม และมีวินัยได้ ทั้งๆที่รัฐบาลทักษิณทั้งสองสมัย ได้ประกาศ การปฏิรูป ระบบราชการ ปราบปรามคอมรัปชั่น ทำสงครามกับยาเสพติด นำหวยใต้ดินมาอยู่บนดิน ทำสงครามกับความยากจน โดยมีโครงการเอื้ออาทรหลากรูปแบบ เป็นต้น คำตอบของฉันคือ “กลัวพวกเราจะเป็น แม่ปูกับลูกปูหรือเปล่า” แล้วเราจะเริ่มต้นกันตรงไหน
เริ่มต้นที่บ้าน: เพราะหน่วยเล็กที่สุดของสังคมคือครอบครัว สำหรับคริสตชน “ครอบครัว” คือสถาบันแรก ที่พระเจ้าทรงสถาปนา มีคำถามว่าปัจจุบันพ่อ แม่เป็นแบบที่ดีไหม เราคงไม่ปฏิเสธ ถ้าหากผู้เขียนจะบอกว่า ขณะนี้สถาบันครอบครัวไทยค่อนข้างล้มเหลว พ่อ-แม่จำนวนมากขาดความรับผิดชอบต่อลูกๆ ส่วน พ่อ แม่ที่มีความรับผิดชอบต่อลูกๆ ก็ขาดแบบอย่างที่ดี เพราะชีวิตเขาต้องมุ่งทำแต่งาน หาสินทรัพย์ ไม่มีเวลาให้ความอบอุ่นและอบรมสั่งสอนลูก ส่วนลูกๆ ก็อยู่ในกำมือของพี่เลี้ยง ในอดีตนั้นพี่เลี้ยง คือ ย่า ยาย ป้า น้า อา แต่ปัจจุบัน พี่เลี้ยงน้องส่วนมากคือแรงงานต่างด้าว
ถ้าเรามีโอกาสศึกษาจิตวิทยาเด็ก จะพบว่าช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดของเด็ก คือ อายุ ๑-๕ขวบ เป็นช่วงเวลาที่สร้างชีวิต และบุคลิกภาพของเด็ก ยิ่งในครอบครัวคริสตชน มีพระวาจาของพระเจ้า และฤทธิ์เดชของพระจิต ที่สามารถช่วยได้ น่าเสียดายเพราะปัจจุบันคริสตชนจำนวนมากไม่กล้าดำเนินชีวิตที่ทวนกระแสโลก ตามแบบที่พระเยซูคริสต์เจ้าวางไว้ แต่คริสตชนเองยอมให้สังคมกลืนเรา อย่างง่ายดาย ทั้งๆที่รู้ว่าไม่ถูกต้อง
สถานศึกษา: ครู/อาจารย์ ได้รับการยกย่องให้เป็น พ่อ แม่คนที่สองของเด็ก เราจึงมีคำพิเศษกว่าชาติอื่นๆใช้นั่นคือ “ลูกศิษย์” ความหมายง่ายๆคือศิษย์เปรียบเสมือนลูก ดังนั้นจึงไม่แปลกอีกปัจจุบัน พ่อ แม่รีบโยนลูกไปให้ พ่อแม่คนที่สองของเด็กตั้งแต่เล็กๆ ซึ่งทารกบางคนต้องเข้าโรงเรียนก่อนอายุครบสองขวบ หรือเริ่มอนุบาลตั้งแต่ อายุ ๓ ขวบ สำหรับชีวิตเด็กบางคนกว่าจะจบปริญญาตรีใช้เวลาเกือบ ๒๐ ปีในสถาบันการการศึกษา เวลาเกือบ ๒๐ ปีของการศึกษา ช่วยให้คนๆนั้นมีคุณภาพ หรือศักยภาพที่จะนำประเทศให้ก้าวหน้าได้จริงหรือไม่ ผู้เขียนตอบได้ว่า “ไม่มั่นใจ” เพราะระบบการศึกษาของไทย ทุกๆแผน ที่ผ่านมาการศึกษาของประเทศไทยยังไม่ค่อยได้ผล หรือกำลังถดถอยก็ว่าได้ เพราะเราลอก ระบบการศึกษาของต่างประเทศ แล้วเอามาป้อนให้เด็กท่องอย่างนกแก้ว เรานำการศึกษาเข้าสู่ระบบการแข่งขันในเชิงพาณิชย์ ดังนั้น ธุรกิจการศึกษา ตลาดกวดวิชาจึงเบ่งบานดั่งดอกเห็ดหลังฝน ฝ่ายพ่อ แม่ต้องทำงานหามรุ่งหามค่ำเพื่อจ่ายค่าเทอม/ค่าแป๊ะเจี๊ยะแก่โรงเรียนดังๆ และเพื่อค่าเรียนพิเศษของลูกๆ
เราไม่ได้พัฒนาเด็กให้รับผิดชอบต่อสังคม หรือเห็นประโยชน์ของส่วนรวมก่อน เราสร้างเด็กให้ฉวยโอกาส ที่เรียกว่า “มือใครยาวสาวได้สาวเอา” ใครสามารถกอบโกยได้มากคนนั้นเก่ง พ่อ แม่หลายๆคนรู้ปัญหาเหล่านี้ดี แต่ไม่ได้พยายามแก้ไข มิหนำซ้ำยังคล้อยตามค่านิยมที่ผิดๆนี้อย่างหน้าชื่นอกตรม
ค่านิยมที่ผิด: สังคมไทยไม่ค่อยยกย่องหรือชื่นชมคนดี แต่เรากลับยกย่อง คนร่ำรวย คนเด่นคนดัง คนมีอิทธิพล จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่พ่อ แม่ ขายลูกสาวให้ซ่องโสเภณี หรือหนุ่ม-สาวจะขายตัวในธุรกิจเพศพาณิชย์ หรือคนที่เป็นปูชณียบุคคล อย่างครูบาอาจารย์จะขายยาเสพติด หรือผู้พิทักษ์สันติราช จะทำผิดกฏหมายเสียเอง เพราะมีธุรกิจ “ทุจริต”นาๆชนิดทำเม็ดเงินมหาศาล เพราะสังคมไทยยกย่องคนที่วัตถุ มากกว่าคนที่ทำคุณงามความดี จนกลายเป็นเรื่องธรรมดาที่ข้าราชการไทยบางคนจะมีอาชีพเสริม เป็นพ่อค้าไปด้วย เช่น ค้าเนื้อสด ทั้งในประเทศ และข้ามชาติ ค้ายาเสพติดระดับโลก ค้าอาวุธสงคราม ค้าไม้เถื่อน ค้าน้ำมันเถื่อน พิทักษ์บ่อนพนัน หรือแม้แต่ส่งส่วย ไม่ใช่เรื่องหัวเมืองขึ้นส่งส่วยเพื่อแสดงการสวามิภักดิ์ต่อประเทศไทย ดังปรากฏในประวัติศาสตร์ แต่เป็นการส่งค่าคุ้มครองให้ผู้มีอิทธิพล เพื่อแลกกับการทำผิดกฏหมาย เป็นต้น
เห็นแต่ตัวอย่างไม่ดี: เด็กๆต้องการแบบอย่างในการดำเนินชีวิต ผู้เขียนกล้าพูดว่า “คนไทยไม่ขาดคำสอนที่ดี แต่เราขาดแบบอย่างที่ดี” เด็กเติบโตขึ้นมาเขาไม่ได้รู้จักว่าสิ่งไหนผิดหรือถูก พวกเขาต้องการแบบจากพวกผู้ใหญ่เริ่มตั้งแต่ครอบครัว ซึ่งพ่อ แม่ควรสวมบทบาทในการเป็นแบบที่ดีให้ลูกๆ ส่วนที่โรงเรียน ครู/อาจารย์ ก็พร่ำสอนเด็กให้ทำแต่สิ่งที่ดี ดังนั้น ครู/อาจารย์ควรใช้ชีวิตให้สอดคล้องกับสิ่งที่สอนด้วย ต่อมา สังคม คำว่าสังคมครอบคลุมไปถึงหลายๆสถาบันด้วยกัน สถาบันการเมืองการปกครอง ก็เป็นสถาบันหนึ่งที่จะหล่อหลอมประชากรของประเทศ ถ้าเรามีรัฐบาลที่ สัตย์ซื่อ มือสะอาด อย่างแท้จริง พอจะทำให้เด็กๆเลียนแบบนักการเมืองหรือ บุคคลชั้นปกครองได้ ...น่าเสียดายที่ผ่านมา เรามีนักการเมือง ที่สัตย์ ซื่อมือสะอาด ไม่มากนัก เราเจอแต่นักปกครองแบบ “พวกปากว่าตาขยิบ”เสียส่วนใหญ่ แล้วเยาวชนจะพึ่งพาผู้ใดล่ะ สถาบันศาสนา ซึ่งนักบวช หรือผู้นำศาสนาเอง เป็นผู้สร้างปัญหา มากมาย และเป็นผู้ ชักนำผู้ศรัทธาให้ออกห่างจากสัจธรรมคำสอนขององค์ศาสดา ก็มีมาก ....
แล้ว พวกเราที่เป็นคริสตชน ทั้ง“คริสตัง และคริสเตียน” เรามีบาทหลวง และศิษยาภิบาล เราเข้าร่วมมิสซาหรือนมัสการ เรามีพระคัมภีร์เป็นบรรทัดฐานในการสอน ซึ่งเป็นพระวาจาของพระเจ้า พระคัมภีร์เป็นแหล่งของปัญญา เป็นคลังของคำสอน เป็นแบบของชีวิต คงยอมรับกันว่า พระศาสนจักร และคริสตจักร ไม่ขาดคำสอนที่ดี แต่เราขาดการนำพระวาจา ไปใช้ในชีวิตประจำวันให้เป็นรูปธรรมและเชื่อว่าคริสตชนเอง ก็มองแบบของผู้สอนของเขา นั่นคือมองไปที่ นักบวชเช่นบาทหลวง และ ศิษยาภิบาล ศิษยาภิบาลของคริสเตียนเรียกสมาชิกในคริสตจักรของเขาว่า “ลูกแกะ” ผู้เขียนหวั่นว่าจะเป็นนิทานชุดเดียวกัน กับ “แม่ปูกับลูกปู” แต่ฉบับของคริสตชนเป็น “พ่อแกะกับลูกแกะ” !!!
โดย โปรดปราน ( พีพี )
เราเพิ่งก้าวสู่ศตวรรษที่ ๒๑ ณ เวลานี้ พวกผู้ใหญ่เป็นมนุษย์ข้ามศตวรรษ เมื่อเหลียวกลับไปดูข้างหลังที่ผ่านมา ส่วนใหญ่เราจะเห็นความเปลี่ยนแปลงด้านวัตถุและจิตใจของคนอย่างชัดเจน แล้วเรามักจะบ่นกันว่าสังคมไทยวิ่งเร็วเกินไป เราพัฒนาแต่วัตถุ แต่ไม่ได้พัฒนาด้านจิตใจ ปัญหาสาระพัดที่รุมเร้า ทุกวี่ทุกวัน แล้วเมืองไทยจะไปรอดหรือ คนยุคใหม่เป็นอย่างนี้พวกเขาจะดูแลสังคมและบ้านเมืองกันอย่างไร
ผู้เขียนเคยได้รับคำถามว่า “ เราจะสร้างคนรุ่นใหม่ให้เป็นคนที่รักชาติ เสียสละ และมีวินัย ได้ไหม” เพื่อจะยกระดับคุณภาพของสังคมไทย พูดตรงๆฉันไม่กล้ารับรองว่า พวกเราจะสร้าง เด็กรุ่นใหม่ให้มีเลือดรักชาติ เสียสละเพื่อส่วนรวม และมีวินัยได้ ทั้งๆที่รัฐบาลทักษิณทั้งสองสมัย ได้ประกาศ การปฏิรูป ระบบราชการ ปราบปรามคอมรัปชั่น ทำสงครามกับยาเสพติด นำหวยใต้ดินมาอยู่บนดิน ทำสงครามกับความยากจน โดยมีโครงการเอื้ออาทรหลากรูปแบบ เป็นต้น คำตอบของฉันคือ “กลัวพวกเราจะเป็น แม่ปูกับลูกปูหรือเปล่า” แล้วเราจะเริ่มต้นกันตรงไหน
เริ่มต้นที่บ้าน: เพราะหน่วยเล็กที่สุดของสังคมคือครอบครัว สำหรับคริสตชน “ครอบครัว” คือสถาบันแรก ที่พระเจ้าทรงสถาปนา มีคำถามว่าปัจจุบันพ่อ แม่เป็นแบบที่ดีไหม เราคงไม่ปฏิเสธ ถ้าหากผู้เขียนจะบอกว่า ขณะนี้สถาบันครอบครัวไทยค่อนข้างล้มเหลว พ่อ-แม่จำนวนมากขาดความรับผิดชอบต่อลูกๆ ส่วน พ่อ แม่ที่มีความรับผิดชอบต่อลูกๆ ก็ขาดแบบอย่างที่ดี เพราะชีวิตเขาต้องมุ่งทำแต่งาน หาสินทรัพย์ ไม่มีเวลาให้ความอบอุ่นและอบรมสั่งสอนลูก ส่วนลูกๆ ก็อยู่ในกำมือของพี่เลี้ยง ในอดีตนั้นพี่เลี้ยง คือ ย่า ยาย ป้า น้า อา แต่ปัจจุบัน พี่เลี้ยงน้องส่วนมากคือแรงงานต่างด้าว
ถ้าเรามีโอกาสศึกษาจิตวิทยาเด็ก จะพบว่าช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดของเด็ก คือ อายุ ๑-๕ขวบ เป็นช่วงเวลาที่สร้างชีวิต และบุคลิกภาพของเด็ก ยิ่งในครอบครัวคริสตชน มีพระวาจาของพระเจ้า และฤทธิ์เดชของพระจิต ที่สามารถช่วยได้ น่าเสียดายเพราะปัจจุบันคริสตชนจำนวนมากไม่กล้าดำเนินชีวิตที่ทวนกระแสโลก ตามแบบที่พระเยซูคริสต์เจ้าวางไว้ แต่คริสตชนเองยอมให้สังคมกลืนเรา อย่างง่ายดาย ทั้งๆที่รู้ว่าไม่ถูกต้อง
สถานศึกษา: ครู/อาจารย์ ได้รับการยกย่องให้เป็น พ่อ แม่คนที่สองของเด็ก เราจึงมีคำพิเศษกว่าชาติอื่นๆใช้นั่นคือ “ลูกศิษย์” ความหมายง่ายๆคือศิษย์เปรียบเสมือนลูก ดังนั้นจึงไม่แปลกอีกปัจจุบัน พ่อ แม่รีบโยนลูกไปให้ พ่อแม่คนที่สองของเด็กตั้งแต่เล็กๆ ซึ่งทารกบางคนต้องเข้าโรงเรียนก่อนอายุครบสองขวบ หรือเริ่มอนุบาลตั้งแต่ อายุ ๓ ขวบ สำหรับชีวิตเด็กบางคนกว่าจะจบปริญญาตรีใช้เวลาเกือบ ๒๐ ปีในสถาบันการการศึกษา เวลาเกือบ ๒๐ ปีของการศึกษา ช่วยให้คนๆนั้นมีคุณภาพ หรือศักยภาพที่จะนำประเทศให้ก้าวหน้าได้จริงหรือไม่ ผู้เขียนตอบได้ว่า “ไม่มั่นใจ” เพราะระบบการศึกษาของไทย ทุกๆแผน ที่ผ่านมาการศึกษาของประเทศไทยยังไม่ค่อยได้ผล หรือกำลังถดถอยก็ว่าได้ เพราะเราลอก ระบบการศึกษาของต่างประเทศ แล้วเอามาป้อนให้เด็กท่องอย่างนกแก้ว เรานำการศึกษาเข้าสู่ระบบการแข่งขันในเชิงพาณิชย์ ดังนั้น ธุรกิจการศึกษา ตลาดกวดวิชาจึงเบ่งบานดั่งดอกเห็ดหลังฝน ฝ่ายพ่อ แม่ต้องทำงานหามรุ่งหามค่ำเพื่อจ่ายค่าเทอม/ค่าแป๊ะเจี๊ยะแก่โรงเรียนดังๆ และเพื่อค่าเรียนพิเศษของลูกๆ
เราไม่ได้พัฒนาเด็กให้รับผิดชอบต่อสังคม หรือเห็นประโยชน์ของส่วนรวมก่อน เราสร้างเด็กให้ฉวยโอกาส ที่เรียกว่า “มือใครยาวสาวได้สาวเอา” ใครสามารถกอบโกยได้มากคนนั้นเก่ง พ่อ แม่หลายๆคนรู้ปัญหาเหล่านี้ดี แต่ไม่ได้พยายามแก้ไข มิหนำซ้ำยังคล้อยตามค่านิยมที่ผิดๆนี้อย่างหน้าชื่นอกตรม
ค่านิยมที่ผิด: สังคมไทยไม่ค่อยยกย่องหรือชื่นชมคนดี แต่เรากลับยกย่อง คนร่ำรวย คนเด่นคนดัง คนมีอิทธิพล จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่พ่อ แม่ ขายลูกสาวให้ซ่องโสเภณี หรือหนุ่ม-สาวจะขายตัวในธุรกิจเพศพาณิชย์ หรือคนที่เป็นปูชณียบุคคล อย่างครูบาอาจารย์จะขายยาเสพติด หรือผู้พิทักษ์สันติราช จะทำผิดกฏหมายเสียเอง เพราะมีธุรกิจ “ทุจริต”นาๆชนิดทำเม็ดเงินมหาศาล เพราะสังคมไทยยกย่องคนที่วัตถุ มากกว่าคนที่ทำคุณงามความดี จนกลายเป็นเรื่องธรรมดาที่ข้าราชการไทยบางคนจะมีอาชีพเสริม เป็นพ่อค้าไปด้วย เช่น ค้าเนื้อสด ทั้งในประเทศ และข้ามชาติ ค้ายาเสพติดระดับโลก ค้าอาวุธสงคราม ค้าไม้เถื่อน ค้าน้ำมันเถื่อน พิทักษ์บ่อนพนัน หรือแม้แต่ส่งส่วย ไม่ใช่เรื่องหัวเมืองขึ้นส่งส่วยเพื่อแสดงการสวามิภักดิ์ต่อประเทศไทย ดังปรากฏในประวัติศาสตร์ แต่เป็นการส่งค่าคุ้มครองให้ผู้มีอิทธิพล เพื่อแลกกับการทำผิดกฏหมาย เป็นต้น
เห็นแต่ตัวอย่างไม่ดี: เด็กๆต้องการแบบอย่างในการดำเนินชีวิต ผู้เขียนกล้าพูดว่า “คนไทยไม่ขาดคำสอนที่ดี แต่เราขาดแบบอย่างที่ดี” เด็กเติบโตขึ้นมาเขาไม่ได้รู้จักว่าสิ่งไหนผิดหรือถูก พวกเขาต้องการแบบจากพวกผู้ใหญ่เริ่มตั้งแต่ครอบครัว ซึ่งพ่อ แม่ควรสวมบทบาทในการเป็นแบบที่ดีให้ลูกๆ ส่วนที่โรงเรียน ครู/อาจารย์ ก็พร่ำสอนเด็กให้ทำแต่สิ่งที่ดี ดังนั้น ครู/อาจารย์ควรใช้ชีวิตให้สอดคล้องกับสิ่งที่สอนด้วย ต่อมา สังคม คำว่าสังคมครอบคลุมไปถึงหลายๆสถาบันด้วยกัน สถาบันการเมืองการปกครอง ก็เป็นสถาบันหนึ่งที่จะหล่อหลอมประชากรของประเทศ ถ้าเรามีรัฐบาลที่ สัตย์ซื่อ มือสะอาด อย่างแท้จริง พอจะทำให้เด็กๆเลียนแบบนักการเมืองหรือ บุคคลชั้นปกครองได้ ...น่าเสียดายที่ผ่านมา เรามีนักการเมือง ที่สัตย์ ซื่อมือสะอาด ไม่มากนัก เราเจอแต่นักปกครองแบบ “พวกปากว่าตาขยิบ”เสียส่วนใหญ่ แล้วเยาวชนจะพึ่งพาผู้ใดล่ะ สถาบันศาสนา ซึ่งนักบวช หรือผู้นำศาสนาเอง เป็นผู้สร้างปัญหา มากมาย และเป็นผู้ ชักนำผู้ศรัทธาให้ออกห่างจากสัจธรรมคำสอนขององค์ศาสดา ก็มีมาก ....
แล้ว พวกเราที่เป็นคริสตชน ทั้ง“คริสตัง และคริสเตียน” เรามีบาทหลวง และศิษยาภิบาล เราเข้าร่วมมิสซาหรือนมัสการ เรามีพระคัมภีร์เป็นบรรทัดฐานในการสอน ซึ่งเป็นพระวาจาของพระเจ้า พระคัมภีร์เป็นแหล่งของปัญญา เป็นคลังของคำสอน เป็นแบบของชีวิต คงยอมรับกันว่า พระศาสนจักร และคริสตจักร ไม่ขาดคำสอนที่ดี แต่เราขาดการนำพระวาจา ไปใช้ในชีวิตประจำวันให้เป็นรูปธรรมและเชื่อว่าคริสตชนเอง ก็มองแบบของผู้สอนของเขา นั่นคือมองไปที่ นักบวชเช่นบาทหลวง และ ศิษยาภิบาล ศิษยาภิบาลของคริสเตียนเรียกสมาชิกในคริสตจักรของเขาว่า “ลูกแกะ” ผู้เขียนหวั่นว่าจะเป็นนิทานชุดเดียวกัน กับ “แม่ปูกับลูกปู” แต่ฉบับของคริสตชนเป็น “พ่อแกะกับลูกแกะ” !!!