คาทอลิกและโปรเตสแตนต์ ศึกษาข้อความเชื่อร่วมกันเพื่อสร้างเสริมคริสต์สัมพันธ์
กรุงเทพฯ
คุณพ่อซิกมูนด์ แลสเช็นสกี กรรมการบริหารของคณะกรรมการคาทอลิกเพื่อคริสตศาสนสัมพันธ์ เป็นประธานวจนพิธีกรรมเปิดสัมมนา ศึกษาข้อความเชื่อของศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก และโปรเตสแตนต์ ซึ่งคณะกรรมการคาทอลิกเพื่อคริสตศาสนสัมพันธ์ ในสภาพระสังฆราชคาทอลิกแห่งประเทศไทย คณะกรรมการเอกภาพคริสต์สัมพันธ์ของสภาคริสตจักรในประเทศไทยได้จัดขึ้น โดยมีผู้เข้าร่วม 119 คน ดังนี้
คณาจารย์และนักศึกษาปีสุดท้ายของวิทยาลัยแสงธรรมสามพรานจำนวน 48 คน
สถาบันศาสนศาสตร์ลูเธอร์แรนในประเทศไทยจำนวน 4 คน
และโรงเรียนคริสต์ศาสตร์ แบ๊บติสต์ (ผู้สังเกตการณ์) จำนวน 2 คน
ที่บ้านผู้หว่าน
เมื่อวันที่ 13 – 15 มกราคม 2006
คุณพ่อไพศาล อานามวัฒน์ เลขาธิการคณะกรรมการคาทอลิกเพื่อคริสตศาสนสัมพันธ์กล่าวถึงวัตถุประสงค์ว่า สืบเนื่องมาจากข้อความเชื่อของคาทอลิกและโปรเตสแตนต์ มีเนื้อหาหลายประการที่มีมุมมองแตกต่างกัน ซึ่งในแต่ละส่วนล้วนแต่เป็นเนื้อหาที่เหมาะแก่การศึกษาเพื่อสร้างความเข้าใจซึ่งกันและกัน และในขณะนี้มีความเป็นไปได้ถึงเหตุผลและแรงจูงใจแล้ว 2 ประการคือ
1) การที่จะระบุว่า มีเนื้อหาข้อความเชื่อที่ต้องทำความกระจ่าง ระหว่างคาทอลิกและโปรเตสแตนต์ 4 ข้อสำคัญคือ
1.เกี่ยวกับพระคัมภีร์
2.เกี่ยวกับพิธีมิสซาบูชาขอบพระคุณ
3.เกี่ยวกับการปกครอง
4.เกี่ยวกับข้อความเชื่อเรื่องพระนางพรหมจารี
การสัมมนาในครั้งนั้นได้เพิ่มเนื้อหา แนวทางสร้างคริสต์สัมพันธ์ กระบวนการเสริมสร้างเอกภาพของคริสตชนระหว่างนิกายโรมันคาทอลิกและโปรเตสแตนต์
2) การส่งเสริมและผลักดันวิชาเกี่ยวกับหลักข้อความเชื่อของคาทอลิกและโปรเตสแตนต์ในสถาบันของทั้งสองฝ่าย และเป็นโอกาสให้มีการแลกเปลี่ยนบุคลากรระดับอาจารย์ระหว่างสถาบันในการสอนตามหลักสูตรวิชานั้น เพื่อที่นักศึกษาและสามเณรที่ศึกษาอยู่ในสถาบันศาสนศาสตร์ของทั้งสองฝ่ายมีความเข้าใจอันดีในหลักข้อความเชื่อที่มีความแตกต่างกันนั้นอย่างถูกต้อง และเมื่อสำเร็จการศึกษาแล้วจะได้เป็นกำลังในการสร้างสันติสุข และเอกภาพคริสตศาสนสัมพันธ์ในประเทศไทยต่อไป
นอกจากนี้มีการจัดกิจกรรมนอกสถานที่ การเยี่ยมชมงานสังคมสงเคราะห์ของคาทอลิก เยี่ยมบ้านนักบวช โรงเรียนฝึกอาชีพคนตาบอด บ้านผู้สูงอายุ อารามกลาริส กาปูชิน และสักการสถานบุญราศีนิโคลาสบุญเกิด กฤษบำรุง ช่วงเย็นมีการแข่งกีฬาเชื่อมความสัมพันธ์ วันสุดท้ายมีการแบ่งปันเนื้อหาความรู้และข้อคิดจากการสัมมนา ก่อนปิดสัมมนามีพิธีนมัสการและพิธีมหาสนิทแบบโปรเตสแตนต์
นางสาวเบญจมาศ ผายพรมนึก นักศึกษาจากโรงเรียนกรุงเทพคริสตศาสนศาสตร์ กล่าวว่า “ขอบคุณพระเจ้าที่ได้มีโอกาสมาร่วมเอกสัมพันธ์ในครั้งนี้อาจจะมาด้วยความไม่เข้าใจและด้วยความสงสัยแต่ว่าเมื่อมีโอกาสสัมผัสกับความจริงที่นี่ ถึงแม้ว่าไม่กี่วัน แต่ก็ได้รับความเข้าใจมากและได้แง่คิดว่าการที่เราจะเป็นหนึ่งไม่จำเป็นต้องเริ่มพรุ่งนี้ แต่ให้เริ่มที่ตัวเอง วันนี้ ตอนนี้ เราไม่ได้แตกต่างกันมากอย่างที่คิดไว้ ขอบคุณพระเจ้าที่พระองค์ให้ความหลากหลายเกิดขึ้น เพื่อจะขยายงานของพระเจ้ามากยิ่งขึ้น”
นางสาวอรอนงค์ ทรัพย์มูล นักศึกษาจากสถาบันศาสนศาสตร์ลูเธอร์แรน กล่าวว่า “ก่อนมารู้สึกเครียดมาก ไม่รู้ว่าต้องเตรียมตัวอย่างไร แต่พอมาถึงที่นี่แล้วสิ่งแรกก็คือรู้สึกสงบเหมือนกับพระเจ้าให้ฟังเสียงอะไรบางอย่าง และการสัมมนาครั้งนี้เปิดโอกาสให้แต่ละนิกายแบ่งปันและแสดงความคิดเห็น ซึ่งช่วยให้แต่ละฝ่ายมีความเข้าใจกันมากขึ้น เป็นแนวทางที่ดีที่จะช่วยให้เกิดความเป็นเอกภาพมากขึ้น บรรยากาศเป็นกันเอง ไม่ว่าจะเป็นบรรดาคุณพ่อ คณาจารย์ ที่มาจากแต่ละสถาบันและสามเณรแสงธรรม รวมถึงพี่น้องที่มาทุกคนก็เป็นเหมือนพี่น้อง แสดงถึงความเป็นหนึ่งเดียวกันในองค์พระเยซูคริสตเจ้า เชื่อว่าเราจะสร้างความเป็นเอกภาพและรักษาสิ่งนี้ไว้ตลอดไป”
นางสาวอัจฉราณี อัจฉริยศิลป์ จากสถาบันศาสนศาสตร์ลูเธอร์แรน กล่าวว่า “ขอบคุณพระเจ้าอย่างมากมายที่ทรงเปิดโอกาสให้ได้มาสัมมนาครั้งนี้ เป็นประสบการณ์ที่มีค่ามาก ทำให้เข้าใจพี่น้องคริสตชนคณะอื่นๆ และเข้าใจตนเองมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งได้รู้จักกับพี่น้องคาทอลิก ซึ่งเป็นประสบการณ์ใหม่เป็นครั้งแรกที่ได้มีโอกาสร่วมมิสซาบูชาขอบพระคุณแบบคาทอลิก ได้ไปเยี่ยมชมวิทยาลัยแสงธรรม และอารามกลาริส กาปูชิน ประทับใจในความมุ่งมั่น ในการถวายตัวรับใช้ของสามเณร บาทหลวง และซิสเตอร์ ซึ่งเป็นแบบอย่างในการรับใช้ ในการอธิษฐาน และการดำเนินชีวิต”
นางสาวสุภัทรา พงศ์พีรภัทร จากโรงเรียนกรุงเทพคริสตศาสนศาสตร์ กล่าวว่า “ประทับใจอย่างมาก ซึ่งไม่ใช่อย่างที่คิดเอาไว้แต่แรกก่อนมา เพราะได้รับมิตรภาพที่ดีๆ จากนิกายที่ต่างออกไป ในความแตกต่างนั้นเราสามารถที่จะเสริมสร้างกันได้ การสัมมนานี้สร้างความเข้าใจใหม่ที่ถูกต้องมากขึ้นเมื่อก่อนอาจจะเข้าใจอะไรผิดในหลายๆ อย่างของต่างนิกายกัน ขอบคุณพระเจ้าอย่างมากและมีความหวังว่าจะได้มีโอกาสกลับมาร่วมและพบปะกันอีกครั้งหนึ่ง”