เรื่องชีวิตหลังความตายของโปรแตสแตนท์ค่ะ

คริสตสัมพันธ์ เอกภาพในคริสตศาสนา
ตอบกลับโพส
minnie

เสาร์ พ.ค. 06, 2006 9:32 am

เรียน พี่ PP โปรดปราณค่ะ

คือว่า เป็นคาทอลิก มีความสงสัยดังต่อไปนี้ค่ะ

1. ชีวิตหลังความตาย คาทอลิกจะมี สวรรค์ ไฟชำระ hell

2. ได้ทราบมาว่า ของเพื่อนคริสเตียน ไม่มีไฟชำระ

3. เมื่อไม่มีไฟชำระ เพื่อนคริสเตียนมีอะไรบ้างค่ะ

4. เรื่องความรอด และการใช้โทษบาป ของเพื่อนคริสเตียนเป็นอย่างไรค่ะ

ขอโทษนะค่ะ พี่ PP โปรดปราณ ที่ถามตรงๆๆค่ะ
คิดอยู่นานเหมือนกันว่าจะโพสถามดีมั๊ย
เพราะเป็นคำถามที่ละเอียดอ่อน
ไม่อยากให้เกิดความขัดแย้ง เพราะ มีพ่อคนเดียวกัน พ่อรักลูกทุกๆๆคนเหมือนกัน ค่ะ

ขอพระอวยพรค่ะ :D
Prod Pran
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 3324
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:54 pm
ที่อยู่: Bangkok

เสาร์ พ.ค. 06, 2006 5:52 pm

-โปรเตสแตนต์มี สวรรค์ และ นรก


-ถูกต้องค่ะ เดี๋ยวอ่านคำอธิบายข้างล่างค่ะ


-เมื่ออ่านคำตอบจะเห็นว่า พวกเรา เชื่อว่า มีสวรรค์ และบึงไฟ (hell )
แต่ขณะรอเวลาการพิพากษา เราจะไม่ได้สนใจว่าอยู่ที่ไหนจริงๆ แต่เชื่อว่าอยู่ในที่ๆมีพระเจ้า ได้สัมผัสความประเสริฐของพระองค์ และรอคอยอย่างมีความสุขค่ะ

-ความรอด นี้ ทางตรงทางเดียว คือทางพระเยซูคริสต์ เรายึดมั่นพระวาจาของพระเยซูคริสต์ บอกว่า “เราเป็นทางนั้น เป็นความจริงและเป็นชีวิต ไม่มีผู้ใดมาหาพระบิดาได้นอกจากมาทางเรา” (ยน.๑๔.๖ ) และยอห์น ๓.๑๓-๑๘ เราถือว่า ข้อที่ ๑๖ คือหัวใจของกิตติคุณ/พระวรสาร ค่ะ

ยอห์น ๑๓

13 ไม่มีผู้ใดได้ขึ้นไปสู่สวรรค์ นอกจากท่านที่ลงมาจากสวรรค์คือบุตรมนุษย์

15 เพื่อทุกคนที่วางใจในพระองค์จะได้ชีวิตนิรันดร์"
16 เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จนได้ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์
เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์
17 เพราะว่าพระเจ้าทรงให้พระบุตรเข้ามาในโลก มิใช่เพื่อพิพากษาลงโทษโลก แต่เพื่อช่วยกู้โลกให้รอดโดยพระบุตรนั้น
18 ผู้ที่วางใจในพระบุตรก็ไม่ต้องถูกพิพากษาลงโทษ ส่วนผู้ที่มิได้วางใจก็ต้องถูกพิพากษาลงโทษอยู่แล้ว เพราะเขามิได้วางใจในพระนามพระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า


-คริสเตียน ไม่มีการใช้กิจโทษบาป ไม่มีการพลีกรรม ฯลฯ แต่ไม่ได้หมายความว่าเราจะทำชั่วได้นะคะ เพราะเราจะยึดพระวจนะ หรือคำสอนของพระเยซูคริสต์ เราต้องเติบโตฝ่ายจิตวิญญาณ และสำแดงชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณ ละทิ้งการงานของเนื้อหนัง

ผลของพระวิญญาณ และการงานของเนื้อหนัง

กาลาเทียบทที่ ๔

16 แต่ข้าพเจ้าขอบอกว่า จงดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณ อย่าสนองความต้องการของเนื้อหนัง
17 เพราะว่าความต้องการของเนื้อหนังต่อสู้พระวิญญาณ และพระวิญญาณก็ต่อสู้เนื้อหนัง เพราะทั้งสองฝ่ายเป็นศัตรูกัน
ดังนั้นสิ่งที่ท่านทั้งหลายปรารถนาทำจึงกระทำไม่ได้*
รม. 7:15-23
18 แต่ถ้าพระวิญญาณทรงนำท่าน ท่านก็จะไม่อยู่ใต้ธรรมบัญญัติ
19 การงานของเนื้อหนังนั้นเห็นได้ชัด คือการล่วงประเวณี การโสโครก การลามก
20 การนับถือรูปเคารพ การถือวิทยาคม การเป็นศัตรูกัน การวิวาทกัน การริษยากัน การโกรธกัน การใฝ่สูง การทุ่มเถียงกัน
การแตกก๊กกัน
21 การอิจฉากัน การเมาเหล้า การเล่นเป็นพาลเกเร และการอื่นๆในทำนองนี้อีกเหมือนที่ข้าพเจ้าได้เตือนท่านมาก่อน
บัดนี้ข้าพเจ้าขอเตือนท่านเหมือนกับที่เคยเตือนมาแล้วว่า คนที่ประพฤติเช่นนั้นจะไม่มีส่วนในแผ่นดินของพระเจ้า

22 ฝ่ายผลของพระวิญญาณนั้น คือความรัก ความปลาบปลื้มใจ สันติสุข ความอดกลั้นใจ ความปรานี ความดี ความสัตย์ซื่อ

23 ความสุภาพอ่อนน้อม การรู้จักบังคับตน เรื่องอย่างนี้ไม่มีธรรมบัญญัติห้ามไว้เลย

24 ผู้ที่อยู่ฝ่ายพระเยซูคริสต์ได้เอาเนื้อหนังกับความอยาก และตัณหาของเนื้อหนังตรึงไว้ที่กางเขนแล้ว

25 ถ้าเรามีชีวิตอยู่โดยพระวิญญาณ ก็จงดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณด้วย

26 เราอย่าถือตัว อย่ายั่วโทสะกัน และอย่าอิจฉาริษยากันเลย
Prod Pran
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 3324
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:54 pm
ที่อยู่: Bangkok

เสาร์ พ.ค. 06, 2006 5:54 pm

ขอบคุณคุณมินนี่ที่ถามค่ะ ขอตอบดังนี้

๑.ชีวิตหลังความตายของโปรเตสแตนต์สายหลัก เราเชื่อว่ามนุษย์ทุกคนจะ

-การตายฝ่ายกาย ตายแน่นอนเมื่อถึงอายุไข หรือหมดเวลา ที่พระลิขิต

-การตายฝ่ายจิตวิญญาณ เราทุกคนก่อนพบความรอดในพระคริสต์ ก็เป็นคนที่ “ตายแล้วโดยการละเมิด และการบาป” (เอเฟซัส ๒.๑,๕ ) และพระเยซูคริสต์ตรัสว่า "เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า เวลาที่กำหนดนั้นใกล้จะถึงแล้ว และบัดนี้ก็ถึงแล้ว คือเมื่อผู้ที่ตายแล้วจะได้ยินพระสุรเสียงแห่งพระบุตรของพระเจ้า และบรรดาผู้ที่ได้ยินจะมีชีวิต ( ยอห์น ๕.๒๕ ) จึงเห็นว่าก่อนพบพระเยซูคริสต์ ทุกคนอยู่ในสภาพตายฝ่ายวิญญาณ เป็นความตายนิรันดร์ ซึ่งความตายนี้เป็นการพิพากษาของพระเจ้ามาถึงมนุษย์ทุกคน ที่ไม่เคยมีชีวิตฝ่ายวิญญาณตอนอยู่ในโลก คือคนที่ไม่เคย “ผ่านพ้นความตายไปสู่ชีวิต” (ยน.๕.๒๔ , ดูวว.๒๐.๑๐) ความตายชั่วนิรันดร์นี้ เรียกว่า “ความตายครั้งที่ ๒” หรือ “บึงไฟ” ( วว.๒๐.๑๔ )

พระคัมภีร์กล่าวถึงตายฝ่ายการว่า เป็นการแยกกาย และจิตวิญญาณออกจากกัน ( ปญจ.๑๒.๗,กจ.๗.๕๙,ยก.๒.๒๖) เป็นการสละชีวิต ( มธ.๒.๒๐,มก.๓.๔,ยน.๑๓.๓๗ ) และเป็นการจากไป (ลก.๙.๓๑,๒ปต.๑.๑๕ ) เราจะไม่ถือว่าการตายฝ่ายกายคือการดับสูญ หรือสิ้นสุดของชีวิต แต่ความตาย เป็นการเปลี่ยนสถานภาพ ร่างกายจะกลับไปเป็นธุลี (ปฐก.๓.๑๙ ) ส่วนวิญญาณยังต้องอยู่ต่อไป การอยู่ต่อไป เราเรียกว่า นิรันดร์ (ตลอดไป ) ดังนั้นความตายไม่ใช่เรื่องน่ากลัวสำหรับผู้เชื่อ เพราะโดยทางพระเยซูคริสต์ จะผ่านเข้าสู่เบื้องพระพักตร์ จากกายนี้ไปอยู่ร่วมกับพระองค์ ( ๒ คร.๕.๘,ฟป.๑.๒๓ ) เหล็กไนของความตายถูกถอน ( ๑ คร.๑๕.๕๕-๕๗ ) สำหรับคริสเตียนเราเชื่อว่าความตายเป็นการล่วงหลับ ในพระคริสต์ ( ๑ ธส.๔.๑๔ ) ผู้ไม่เชื่อ จะพ้นพระพักตร์ จากพระองค์ไปตลอดกาล ( ยน.๓.๓๖,๒ ธส.๑.๙,วว.๒๐.๑๐ )

๒ .ช่วงเวลาขณะที่ตายไป ( Intermediate State )

ประเด็นที่ถกเถียงกันว่าตายไปแล้ว วิญญาณจิตเราไปไหน/อยู่ที่ไหน ก่อน ที่จะรับการพิพากษา ซึ่งสมัยพระเยซูคริสต์พวกสะดุสีก็ถามเรื่องนี้ คือว่าการฟื้นจากความตายไม่มี ( ดูมธ.๒๒.๒๓-๓๓ ) พระองค์ตรัสย้อนไปที่โมเสสว่า “แล้วพระองค์ตรัสอีกว่า "เราเป็นพระเจ้าของบิดาเจ้า เป็นพระเจ้าของอับราฮัม พระเจ้าของอิสอัค และพระเจ้าของยาโคบ" ( อพยพ ๓.๖ ) และทรงเพิ่มเติมว่า “พระองค์มิได้เป็นพระเจ้าของคนตาย แต่ทรงเป็นพระเจ้าของคนเป็น" ( มธ.๒๒.๓๒ )

อีกประเด็นคือ คนของพระเจ้าแม้ตายแล้วไปอยู่ที่ไหน เรื่องเศรษฐีกับลาซารัส ( ลก.๑๖.๑๙.๓๑) และเรื่องวิญญาณที่อยู่ใต้แท่นบูชา (วว.๖.๙-๑๐ ) ทำให้เราเห็นว่า วิญญาณจิตของมนุษย์ เป็นอมตะ แต่มีอะไรเกิดขึ้นกับวิญญาณหลังจากความตาย เป็นข้อโต้แย้ง กันพอสมควรทีเดียว ซึ่งมีด้วยกัน ๕ ทัศนะ ดังนี้

( ๑ ) หลักฐานจากพระคัมภีร์ ( นี่คือความเชื่อ ของโปรเตสแตนต์สายหลัก ) แม้ว่าพระคัมภีร์ไม่ได้ให้รายละเอียดมากนัก แต่เราสรุปจากคำสอนที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ดังนี้

- ผู้เชื่อจะอยู่กับพระคริสต์ ตามที่เปาโลกล่าวว่า “เรามีความมั่นใจ และเราปรารถนาจะอยู่กับองค์พระผู้เป็นเจ้ามากกว่าอยู่ในร่างกายนี้ ….เหตุฉะนั้นเรามั่นใจอยู่เสมอ รู้อยู่แล้วว่า ขณะที่เราอยู่ในร่างกายนี้ เราอยู่ห่างจากองค์พระผู้เป็นเจ้า” ( ๒ คร.๕.๘, ๖ ) และ เขา “ปรารถนาที่จะจากไปอยู่กับพระคริสต์” ( พป.๑.๒๓ ) พระเยซูเจ้าทรงปลอบใจชายที่ถูกตรึงข้างๆพระองค์ว่า “วันนี้เจ้าจะอยู่กับเราในเมืองบรมสุขเกษม” คือสวรรค์นั่นเอง (ลก.๒๓.๔๓ )

จาก ๒ คร.๑๒.๒-๓ คริสเตียนเชื่อว่า “เมืองบรมสุขเกษม”คือสวรรค์ ในสวรรค์ผู้เชื่ออยู่กับพระเจ้าและผู้เชื่ออื่นๆ ด้วย “และมาถึงที่ชุมนุมอันร่าเริงของบุตรหัวปี ผู้มีชื่อจารึกไว้ในสวรรค์แล้ว และมาถึงพระเจ้าผู้ทรงพิพากษาคนทั้งปวง และมาถึงวิญญาณจิตของคนชอบธรรม ซึ่งถึงความสมบูรณ์แล้ว “ ( ฮบ.๑๒.๒๓ ) คนเหล่านี้จะมีความรู้สึกนึกคิดและมีความสุข (ลก.๑๖.๑๙-๓๑,วว.๑๔.๑๓ ) ช่วงที่รอคอยการฟื้นขึ้นมาใหม่เป็นช่วงที่มีความสุข กว่าอยู่ในโลก จากคำบรรยายของเปาโลว่า “ประเสริฐกว่ามากนัก” ( ฟป.๑.๒๓ ) เรื่องเศรษฐีกับลาซารัส ก็สัมผัสถึงความสุขของลาซารัส ที่อยู่ในอ้อมอกฮับราฮัม บิดาแห่งความเชื่อ รับการปลอบใจ ส่วนเศรษฐีทุกขเวทนา เราเชื่อว่าผู้ไม่เชื่อต้องรอคอยการพิพากษาและประสบกับความทุกข์ .....ส่วนผู้ที่เชื่อ ก็อยู่ในที่ๆมีพระเจ้า/พระเยซูคริสต์ อย่างมีความสุข และรอคอยการพิพากษา เช่นกัน ( เพราะทุกคนจะอยู่ต่อเบื้องบัลลังก์พิพากษา )
Prod Pran
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 3324
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:54 pm
ที่อยู่: Bangkok

เสาร์ พ.ค. 06, 2006 5:59 pm

๒.แดนชำระ ( Purgatory ) นี่เป็นคำสอน/ความเชื่อของพี่น้องคริสตัง ทางโปรเตสแตนต์ปฏิเสธ เพราะไม่มีพระคัมภีร์ในสาระบบของเรา รองรับ เพราะส่วนใหญ่มาจาก อธิกธรรม ( ๒ มัคคาบี ๑๒.๔๒-๔๕ ) และที่พระคัมภีร์ในสารบบ ที่อ้างถึงมี ศคย.๙.๑๑ ,มธ.๑๒.๓๒,๑ คร.๓.๑๓-๑๕ หรือ ฮบ.๑.๓

หมายเหตุ: ดังนั้นเมื่อพี่น้องคริสตังขอคำภาวนาให้ดวงวิญญาณของผู้ที่จากไปอยู่กับพระเจ้าแล้ว พวกเราจะงง เพราะคริสเตียนจะภาวนาให้กับ ครอบครัวบุคคลที่ใกล้ชิดผู้จากไป เพราะเขาต้องได้รับคำปลอบใจ กำลังใจ ส่วนผู้ที่จากไป ด้วยความเชื่อ เราขอบคุณพระเจ้า และเชื่อว่าเขาจะอยู่กับพระองค์ ส่วนพระองค์จะจัดให้ที่ไหน เราไม่สนใจ เพราะเราเชื่อว่าที่ๆ พระเจ้าจัดให้ขณะรอคอยการพิพากษา ต้องเป็นที่ที่ดี และตามพระสัญญาของพระเยซูคริสต์ ค่ะ

๓. วิญญาณหลับ( Soul-sleep )

ทัศนะนี้สอนว่า เมื่อตายแล้ววิญญาณจะเข้าสู่ภาวะหลับสนิท ไม่รับรู้สิ่งที่อยู่รอบๆตัว ผู้สนับสนุนทัศนะนี้ก็ใช้พระคัมภีร์สนับสนุน เช่น การตายคือการหลับ ( มธ.๙.๒๔,ยน.๑๑.๑๑,ธส.๔.๑๓ ) หรือพระคัมภีร์บางตอนกล่าวถึงคนตายแล้วไม่รู้ตัว ( สดด.๑๔๖.๔,ปญจ.๙.๕,๙.๑๐,อสย,๓๘.๑๘ ) ความจริงหลับเป็นคำสุภาพแทนคำว่าตาย เพราะคนตายก็เหมือนคนหลับอยู่ ( ยก.๒.๒๖ )

๔.ความดับสูญ ( Annihilationism)

ทัศนะนี้เกี่ยวข้องกับผู้ไม่เชื่อ คือ เชื่อว่าเมื่อคนตายไปแล้ว สำหรับผู้ที่ไม่เชื่อ พระเจ้า จะดับสูญไปเลย เพราะตีพระคัมภีร์ ที่ว่า “ตาย ถูกทำลาย พินาศ” ถูกตีความว่าเป็นการ ทำลายให้สูญสิ้น” “ทำให้ไม่เป็นอยู่ต่อไป” ( ยน.๓.๑๖,๘.๕๑,รม.๙.๒๒ ) ถ้าเชื่อตามนี้ ผู้ที่ไม่เชื่อเพียงแต่ดับสูญไปสิ้นสุดไปเลย

๕.ความเป็นอมตะอย่างมีเงื่อนไข ( Conditional immortality )
ทัศนะนี้เชื่อว่าวิญญาณไม่ได้สร้างให้เป็นอมตะ แต่อมตะจะเป็นได้เมื่อรับเชื่อในพระเยซูคริสต์ ชีวิตที่ว่าเป็นของประทานจากพระเจ้า ผู้ไม่เชื่อพระเจ้าเมื่อตายไป ก็ดับสูญไม่ได้รับของประทานจากพระเจ้า ส่วนผู้ที่เชื่อได้รับของประทานจากพระเจ้า และชีวิตเป็นอมตะ และพระเจ้าทรงประทานอมตะแก่ ผู้ที่รับการทรงเรียกของพระองค์
minnie

เสาร์ พ.ค. 06, 2006 8:24 pm

ขอบพระคุณที่ให้คำตอบค่ะ

เข้าใจอย่างชัดแจ้ง

สาเหตุที่ถามคือ เมื่อเจอเพื่อนต่างความเชื่อ จะได้ อธิบายให้เพื่อนต่างความเชื่อเค้าใจค่ะ

ว่าคริสชน นิกาย คาทอลิก โปรแตสแตนท์ เรื่อง ชีวิตหลังความตายเป็นยังไงค่ะ

และให้เหตุผล ตามที่ พี่PP โปรดปราณ อธิบายให้ฟัง และไม่เป็นที่สะดุด ประนีประนอมค่ะ
แก้ไขล่าสุดโดย minnie เมื่อ เสาร์ พ.ค. 06, 2006 8:29 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
Prod Pran
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 3324
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:54 pm
ที่อยู่: Bangkok

เสาร์ พ.ค. 06, 2006 11:21 pm

ค่ะ หวังว่าเพื่อนๆ คริสเตียน และคริสตัง คงเข้าใจกันมากขึ้น

ตลอดทั้งผู้อ่าน คริสตังคงพอจะเข้าใจ เราคริสเตียน ในหลักข้อเชื่อและการปฏิบัติ

เราหวังว่าจะได้เจอกันที่เบื้องพระบาทพระเจ้า ที่สวรรค์ กัน
ภาพประจำตัวสมาชิก
NKL
โพสต์: 189
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. ธ.ค. 01, 2005 7:32 pm
ติดต่อ:

อาทิตย์ พ.ค. 07, 2006 4:55 am

อีกอย่างน้อย70ปี+ คงจะได้นอนพักสักพักนึง ก่อนจะย้ายบ้านไปบนสวรรค์ ที่พระองค์เตรียมไว้ให้แน่นอน :D
Batholomew
~@
โพสต์: 12724
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 2:28 pm
ที่อยู่: Thailand

จันทร์ พ.ค. 08, 2006 3:15 pm

NKL เขียน: อีกอย่างน้อย70ปี+ คงจะได้นอนพักสักพักนึง ก่อนจะย้ายบ้านไปบนสวรรค์ ที่พระองค์เตรียมไว้ให้แน่นอน :D
แหม มันก็ไม่แน่นะครับ ขึ้นอยู่กับว่าพระองค์จะทรงเรียกเราเมื่อไหร่ครับ
Prod Pran
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 3324
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:54 pm
ที่อยู่: Bangkok

จันทร์ พ.ค. 08, 2006 10:13 pm

NKL เขียน: อีกอย่างน้อย70ปี+ คงจะได้นอนพักสักพักนึง ก่อนจะย้ายบ้านไปบนสวรรค์ ที่พระองค์เตรียมไว้ให้แน่นอน :D
วันเวลา หรือชะตาของชีวิต อยู่ที่พระเจ้าค่ะ แต่ต้องเตรียมให้พร้อมเสมอ
natchanon

อังคาร พ.ค. 09, 2006 10:58 am

เข้าใจกว่าเก่าขึ้นเยอะเลยคับ ขอบคุณมากคับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Deo Gratias
โพสต์: 1100
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. มี.ค. 16, 2006 11:53 pm

ศุกร์ พ.ย. 20, 2009 12:57 am

Prod Pran เขียน:
NKL เขียน: อีกอย่างน้อย70ปี+ คงจะได้นอนพักสักพักนึง ก่อนจะย้ายบ้านไปบนสวรรค์ ที่พระองค์เตรียมไว้ให้แน่นอน :D
วันเวลา หรือชะตาของชีวิต อยู่ที่พระเจ้าค่ะ แต่ต้องเตรียมให้พร้อมเสมอ
ใช่ค่ะ ชีวิตคนเราไม่แน่นอน เราไม่อาจรู้ได้เลยว่าอะไรจะเกิดขึ้นบ้าง
แต่พระเจ้าทรงรู้ทุกอย่าง คริสตชนจึงวางใจได้เมื่ออยู่ในการทรงดูแลของพระองค์
และ "พร้อม" ทุกเมื่อที่พระองค์จะทรงรับเราไป

แต่ยังมีคนอีกมากมายที่ยังไม่ได้ยินข่าวประเสริฐ เมื่อได้ออกมาใช้ชีวิตในสังคมมากขึ้น
เห็นความต้องการพระเจ้าของมนุษย์มากขึ้น (ทั้งๆ ที่บางคนปากก็ปฏิเสธว่าไม่ต้องการ)
ฟังข่าวมีอุบัติเหตุทุกวัน มีคนตายทุกวัน คนเหล่านั้นไม่มีใครรู้ตัวล่วงหน้าว่าตัวเองจะตายเมื่อไร
แต่ที่สำคัญคือพวกเขา(ทั้งหมดหรือเกือบทั้งหมด)ตายไปในขณะที่ยังไม่รู้จักกับพระเจ้า

สิ่งนี้ทำให้คิดว่าข่าวประเสริฐเรื่องแผ่นดินของพระเจ้าเป็นเรื่องที่ "รอไม่ได้" เพราะเราไม่รู้ว่าแต่คนจะตายเมื่อไร
ดังนั้นข่าวประเสริฐต้องไปถึงทุกคนให้เร็วที่สุด โดยไม่มีการพลัดวันประกันพรุ่ง
มนุษย์ทุกคนควรมีโอกาสได้ยินข่าวประเสริฐก่อนจากโลกนี้ไป
Jeab Agape
~@
โพสต์: 8259
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:56 pm
ที่อยู่: Bangkok

อาทิตย์ พ.ย. 22, 2009 11:30 pm

นี่คือ คำตอบ ที่ว่า คริสเตียนไม่สวดให้ วิญญาณ ที่จากโลกนี้ไปแล้ว

แต่ยินดีจะอธิษฐานให้ครอบครัวที่สูญเสียครับ  : emo027 :
ภาพประจำตัวสมาชิก
Valkyrie Zero Number
โพสต์: 2081
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ส.ค. 27, 2007 4:11 am

จันทร์ พ.ย. 23, 2009 12:53 am

ยอมรับว่าเราเองก็เป็นห่วงเรื่องชีวิตหลังความตายชนิดที่ว่ากังวลเลยค่ะ

เพราะเราถือว่า ถึงเราจะได้ชีวิตนิรันดร์ แต่เสียคนที่อยากอยู่ด้วยไปก็ไม่มีความสุขอยู่ดี

.....แต่ถ้าคิดในแง่ที่ว่า คิดแบบมีความสุข กับ คิดถึงความจริง

แต่ในเมื่อมันยังไม่ชัดเจนขนาดเห็นด้วยตา หรือรับรู้ที่ตัวเองคิดว่าชัดเจนได้ มันก็ชวนให้เครียด วิตก อยู่ตลอดเวลา
Like a Heaven
.
.
โพสต์: 1739
ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ ต.ค. 28, 2007 5:58 pm
ที่อยู่: In the Christ

จันทร์ พ.ย. 23, 2009 1:28 am

ชัดเจนครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Holy
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 10011
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:06 pm

จันทร์ พ.ย. 23, 2009 5:28 am

μόνο ο Ιησούς เขียน:
Prod Pran เขียน:
NKL เขียน: อีกอย่างน้อย70ปี+ คงจะได้นอนพักสักพักนึง ก่อนจะย้ายบ้านไปบนสวรรค์ ที่พระองค์เตรียมไว้ให้แน่นอน :D
วันเวลา หรือชะตาของชีวิต อยู่ที่พระเจ้าค่ะ แต่ต้องเตรียมให้พร้อมเสมอ
ใช่ค่ะ ชีวิตคนเราไม่แน่นอน เราไม่อาจรู้ได้เลยว่าอะไรจะเกิดขึ้นบ้าง
แต่พระเจ้าทรงรู้ทุกอย่าง คริสตชนจึงวางใจได้เมื่ออยู่ในการทรงดูแลของพระองค์
และ "พร้อม" ทุกเมื่อที่พระองค์จะทรงรับเราไป

แต่ยังมีคนอีกมากมายที่ยังไม่ได้ยินข่าวประเสริฐ เมื่อได้ออกมาใช้ชีวิตในสังคมมากขึ้น
เห็นความต้องการพระเจ้าของมนุษย์มากขึ้น (ทั้งๆ ที่บางคนปากก็ปฏิเสธว่าไม่ต้องการ)
ฟังข่าวมีอุบัติเหตุทุกวัน มีคนตายทุกวัน คนเหล่านั้นไม่มีใครรู้ตัวล่วงหน้าว่าตัวเองจะตายเมื่อไร
แต่ที่สำคัญคือพวกเขา(ทั้งหมดหรือเกือบทั้งหมด)ตายไปในขณะที่ยังไม่รู้จักกับพระเจ้า

สิ่งนี้ทำให้คิดว่าข่าวประเสริฐเรื่องแผ่นดินของพระเจ้าเป็นเรื่องที่ "รอไม่ได้" เพราะเราไม่รู้ว่าแต่คนจะตายเมื่อไร
ดังนั้นข่าวประเสริฐต้องไปถึงทุกคนให้เร็วที่สุด โดยไม่มีการพลัดวันประกันพรุ่ง
มนุษย์ทุกคนควรมีโอกาสได้ยินข่าวประเสริฐก่อนจากโลกนี้ไป
ถ้าอย่างนั้นต้องฝากที่น้องโปรฯอธิษฐานเผื่อคุณ NKL เพราะแกทิ้งพระเจ้าและคริสตจักรไปเมื่อปีที่แล้ว และพอมาปีนี้ก็ร้ายแรงถึงขั้นด่าทอศาสนา
ภาพประจำตัวสมาชิก
Ministry Of Men
โพสต์: 3972
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ เม.ย. 18, 2007 3:09 pm

จันทร์ พ.ย. 23, 2009 6:06 am

Holy เขียน:
μόνο ο Ιησούς เขียน:
Prod Pran เขียน: วันเวลา หรือชะตาของชีวิต อยู่ที่พระเจ้าค่ะ แต่ต้องเตรียมให้พร้อมเสมอ
ใช่ค่ะ ชีวิตคนเราไม่แน่นอน เราไม่อาจรู้ได้เลยว่าอะไรจะเกิดขึ้นบ้าง
แต่พระเจ้าทรงรู้ทุกอย่าง คริสตชนจึงวางใจได้เมื่ออยู่ในการทรงดูแลของพระองค์
และ "พร้อม" ทุกเมื่อที่พระองค์จะทรงรับเราไป

แต่ยังมีคนอีกมากมายที่ยังไม่ได้ยินข่าวประเสริฐ เมื่อได้ออกมาใช้ชีวิตในสังคมมากขึ้น
เห็นความต้องการพระเจ้าของมนุษย์มากขึ้น (ทั้งๆ ที่บางคนปากก็ปฏิเสธว่าไม่ต้องการ)
ฟังข่าวมีอุบัติเหตุทุกวัน มีคนตายทุกวัน คนเหล่านั้นไม่มีใครรู้ตัวล่วงหน้าว่าตัวเองจะตายเมื่อไร
แต่ที่สำคัญคือพวกเขา(ทั้งหมดหรือเกือบทั้งหมด)ตายไปในขณะที่ยังไม่รู้จักกับพระเจ้า

สิ่งนี้ทำให้คิดว่าข่าวประเสริฐเรื่องแผ่นดินของพระเจ้าเป็นเรื่องที่ "รอไม่ได้" เพราะเราไม่รู้ว่าแต่คนจะตายเมื่อไร
ดังนั้นข่าวประเสริฐต้องไปถึงทุกคนให้เร็วที่สุด โดยไม่มีการพลัดวันประกันพรุ่ง
มนุษย์ทุกคนควรมีโอกาสได้ยินข่าวประเสริฐก่อนจากโลกนี้ไป
ถ้าอย่างนั้นต้องฝากที่น้องโปรฯอธิษฐานเผื่อคุณ NKL เพราะแกทิ้งพระเจ้าและคริสตจักรไปเมื่อปีที่แล้ว และพอมาปีนี้ก็ร้ายแรงถึงขั้นด่าทอศาสนา
ข้อมูลจากไหนครับ

ผมดูกระทู้ประวัติของ NKL ก็ไม่เห็นมีอะไรนะ

เข้าใจล่ะ หุหุ กรรมของสัตว์  : emo033 :
แก้ไขล่าสุดโดย Anonymous เมื่อ จันทร์ พ.ย. 23, 2009 8:35 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
My Hope
โพสต์: 735
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.พ. 27, 2009 8:42 am
ติดต่อ:

จันทร์ เม.ย. 19, 2010 12:50 pm

ขอบคุณสำหรับข้อมูลนะครับ : emo045 :
ภาพประจำตัวสมาชิก
Holy
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 10011
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:06 pm

จันทร์ เม.ย. 18, 2011 7:28 am

มธ 25:13
เพราะฉะนั้น จงตื่นเฝ้าระวังไว้เถิด เพราะท่านไม่รู้วันและเวลา
ภาพประจำตัวสมาชิก
Andreas
~@
โพสต์: 3131
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 7:47 am
ที่อยู่: Bangkok
ติดต่อ:

ศุกร์ ก.ค. 01, 2011 8:43 am

เรื่องที่ว่าโปรเตสแตนท์ไม่สวดภาวนาอุทิศให้ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว ทำให้ผมฉุกคิดสงสัยว่า ถ้าเช่นนั้น นักปฏิรูปศาสนาของโปรเตสแตนท์ก็คงจะเก่งกว่าบรรดาปิตาจารย์ของพระศาสนจักรยุคแรก ๆ เช่น ท่านแตร์ตู-เลียน (ค.ศ. 160-230) กล่าวถึง “การถวายเครื่องบูชาอุทิศให้กับผู้ล่วงลับ" นักบุญซีริลแห่งเยรูซาเล็ม (ค.ศ. 315-386) ได้กล่าวถึงการเสนอวิงวอนให้กับบรรดาผู้หลับพักผ่อนไปแล้ว” นักบุญออกัสติน บอกเราไว้ในหนังสือ “คำสารภาพ” เกี่ยวกับคำขอร้องของมารดาที่กำลังสิ้นใจ คือ นักบุญมอนิกา ว่า “สิ่งที่แม่ขอลูกคือ ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดก็ตาม ขอให้ลูกระลึกถึงแม่ที่พระแท่นบูชาพระเจ้า” คำขอนี้มีขึ้นในปี ค.ศ. 387

เพราะบรรดาปิตาจารย์เชื่อว่าวิญญาณของผู้ล่วงลับยังต้องการคำภาวนาจากคนที่ยังมีชีวิตอยู่ ที่จริงบรรดาโปรเตสแตนท์ก็ยอมรับหลักศาสนศาสตร์ของบรรดาปิตาจารย์ยุคแรก ๆ แต่ทำไมจึงเลือกรับบางสิ่งและปฏิเสธบางสิ่ง
ภาพประจำตัวสมาชิก
Holy
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 10011
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:06 pm

พฤหัสฯ. ก.ค. 14, 2011 4:24 am

Andreas เขียน:เรื่องที่ว่าโปรเตสแตนท์ไม่สวดภาวนาอุทิศให้ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว ทำให้ผมฉุกคิดสงสัยว่า ถ้าเช่นนั้น นักปฏิรูปศาสนาของโปรเตสแตนท์ก็คงจะเก่งกว่าบรรดาปิตาจารย์ของพระศาสนจักรยุคแรก ๆ เช่น ท่านแตร์ตู-เลียน (ค.ศ. 160-230) กล่าวถึง “การถวายเครื่องบูชาอุทิศให้กับผู้ล่วงลับ" นักบุญซีริลแห่งเยรูซาเล็ม (ค.ศ. 315-386) ได้กล่าวถึงการเสนอวิงวอนให้กับบรรดาผู้หลับพักผ่อนไปแล้ว” นักบุญออกัสติน บอกเราไว้ในหนังสือ “คำสารภาพ” เกี่ยวกับคำขอร้องของมารดาที่กำลังสิ้นใจ คือ นักบุญมอนิกา ว่า “สิ่งที่แม่ขอลูกคือ ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดก็ตาม ขอให้ลูกระลึกถึงแม่ที่พระแท่นบูชาพระเจ้า” คำขอนี้มีขึ้นในปี ค.ศ. 387

เพราะบรรดาปิตาจารย์เชื่อว่าวิญญาณของผู้ล่วงลับยังต้องการคำภาวนาจากคนที่ยังมีชีวิตอยู่ ที่จริงบรรดาโปรเตสแตนท์ก็ยอมรับหลักศาสนศาสตร์ของบรรดาปิตาจารย์ยุคแรก ๆ แต่ทำไมจึงเลือกรับบางสิ่งและปฏิเสธบางสิ่ง
เพียงเพราะการตัดสินใจปฏิเสธเรื่องไฟชำระ(ขนาดยอมโละอธิกธรรมทิ้ง)ของ มาร์ติน ลูเธอร์
ตอบกลับโพส