
การค้นพบซากเมืองนี้นอกจากจะมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์แล้ว ยังมีความสำคัญทางศาสนาอย่างมาก เพราะการค้นพบศาลาธรรมยิวที่คาดอายุว่าอยู่ในช่วงค.ศ.200 ที่อยู่ในสภาพสมบูรณ์กว่า วิหารศาสนาโบราณอื่นๆในเมือง และสิ่งที่ทำให้นักโบราณคดีต้องตกตะลึง คือภาพจิตรกรรม บรรยายเรื่องราวในพระธรรมเก่า ทั้งโมเสส เอสเธอร์ อยู่รอบศาลาธรรม และแท่นบูชา อันเป็นการสะท้อนให้เห้นมุมมองของคำว่า "รูปเคารพ" ในทัศนะชาวยิวโบราณนั้น ไม่ใช่การห้ามมีรูปภาพทางศาสนาทุกชนิดอยู่ในวิหารหรือศาลาธรรม เหมือนศาสนาอิสลาม ที่อณุญาติเฉพาะการมีตัวหนังสือเท่านั้น หรือโปรแตสแตนท์fundamentalist(สายเคร่งตีความตามตัวอักษร) ที่ไม่กล้ามีรูปทุกชนิดในโบสถ์ และสิ่งนี้สอดคล้องกับการบรรยายการสร้างวิหารโดยโซโลมอนในพระธรรมเดิม ที่มีรูปภาพ และรูปแกะสัลกต่างๆในวิหารด้วย

ภาพจากพระธรรม เอสเธอร์

ภาพการถวายบูชาอิสอัคที่อยู่บริเวณพระแท่นหลัก


ภาพอื่นๆทั้งประกาศก และเหตุการณ์สำคัญในพระธรรมเดิมเต็มศาลาธรรมไปหมด
ภาพจากพระธรรมเอสรา
สิ่งเหล่านี้ พลิกความเข้าใจ ในเรื่อง "รูปเคารพ" ที่ถูกตีความอย่างเคร่งครัดและตรงไปตรงมา ของบรรดา นักการศาสนาที่ตามมาทีหลัง อย่างอิสลาม และ โปรแตสแตนส์สายสุดโต่งต่างๆ ที่ตีความว่ารูปภาพทุกชนิด(อิสลาม) และรูปบุคคลทางศาสนา(fundamentalist Christian) นับว่าเป็น "รูปเคารพ" ตามที่พระบัญญัติ10ประการ ที่พระเจ้าประทานแก่โมเสสนั้น ห้ามมีโดยเด็ดขาด
หากแต่การค้นพบนี้ เราเห็นว่าศาสนาต้นตอของพระธรรมเดิมเอง อย่างศาสนายิว กลับมีมุมมองเรื่องรูปเคารพในลักษณะเดียวกับ คาทอลิค ออโธดอค และโปรแตสแตนท์สายปฏิรูปบางนิกาย ว่าตราบที่เราไม่ได้ยกรูปนั้นขึ้นมาเป็นพระเจ้า นั่นก็ไม่ใช่รูปเคารพ และที่สำคัญ สามารถมีในสถานที่สำคัญทางศาสนา อย่างโบสถ์ ศาลาธรรม หรือวิหารได้ ไม่ผิดแต่อย่างใด
เพิ่มเติม
http://en.wikipedia.org/wiki/Dura-Europos_synagogue