2. อาหารค่ำมื้อสุดท้าย
โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ม.ค. 15, 2009 12:03 am
2. อาหารค่ำมื้อสุดท้าย (25 ก.พ. 1923)
เหตุใดเราล้างเท้าสาวกก่อนอาหารค่ำ?
- ข้อแรกและประการสำคัญคือก่อนจะเข้ามารับศีลมหาสนิท ลูกจะต้องมีวิญญาณบริสุทธิ์ คือถ้าบังเอิญตกในบาปหนักก็จำต้องอาศัยศีลอภัยบาปโดยถูกต้องเสียก่อน
- เราล้างเท้าสาวกด้วยมือของเราเอง เพื่อสอนว่าผู้ถวายตัวทำงานแพร่ธรรมพึงกระทำอย่างไร คือ ต้องรู้จักถ่อมตน ปฏิบัติต่อคนบาป ให้เหมือนปฏิบัติต่อคนอื่นที่อยู่ในความดูแลของตน และพึงปฏิบัติด้วยความอ่อนหวานอย่างเดียวกันเสมอ
- เราใช้ผ้าคาดสะเอว แสดงว่าสาวกของเราต้องคาดสะเอว คือ ทรมานกาย เสียสละตัวเอง หากมีความปรารถนาจะบรรลุถึงจุดหมาย คือเข้าถึงวิญญาณอย่างได้ผล...ผ้าคาดสะเอวยังสอนอีกอย่างคือ ให้มีความรักต่อกัน พร้อมที่จะให้อภัยผู้อื่น พากเพียรทนต่อข้อบกพร่องของกันและกัน ช่วยแก้ไข และไม่แพร่งพรายความผิดของใครแก่ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้อง
- น้ำซึ่งเทลงบนเท้าของสาวก เป็นรูปแบบ หมายถึง ความร้อนรนในการแสวงหาความรอดของวิญญาณมนุษย์ ซึ่งร้อนระอุในใจของเรา ขณะนั้นใกล้ถึงเวลาที่จะไถ่บาปมนุษย์แล้ว ใจของเราร้อนประดุจไฟสุมอยากช่วยพวกเขาให้พ้นความตายนิรันดร จนไม่อาจควบคุมไว้... ความรักของเราร้อนแรงเหลือประมาณ จนไม่อาจจะละทิ้งพวกเขาให้เป็นกำพร้า เราจึงตั้งศีลมหาสนิท เพื่ออยู่กับเขาจนสิ้นพิภพ และเลี้ยงวิญญาณเขาด้วยกาย และโลหิตของเรา เราเป็นผู้เลี้ยงดูเขา เป็นชีวิตของเขา เป็นทุกอย่างสำหรับเขา นี่แหละข้อพิสูจน์ความรักของเรา
ใจของเรามีความรู้สึกอย่างไร? เราอยากให้มนุษย์ทุกคนรู้ว่า การตั้งศีลมหาสนิทในอาหารค่ำครั้งสุดท้ายนั้น เป็นความรักใหญ่หลวงที่หาที่เปรียบมิได้ ที่มนุษย์ทุกคนควรซาบซึ้ง... ขณะนั้นเรามองเห็นล่วงหน้าแล้วว่า ทุกยุคทุกสมัย ใครจะมาเลี้ยงวิญญาณของตนด้วยกาย และโลหิตของเราบ้าง... โลหิตของเราจะเป็นท่อธารแห่งความบริสุทธิ์ และศีลพรหมจรรย์สำหรับคนจำนวนมาก ทั้งเป็นบ่อเกิดแห่งความร้อนรน และความรักสำหรับคนอื่นอีกมากมาย ในขณะนี้เองมีมรณสักขีแห่งความรักชุมนุมกันอยู่ต่อหน้า และในดวงใจของเราก็มีไม่ใช่น้อย... มนุษย์ผู้อ่อนแอที่มักพ่ายแพ้แก่ตัณหาฉันใด จะกลับมีความเข้มแข็งมั่นคงขึ้นด้วยการรับปังทรงชีวิตของเราฉันนั้น
ขณะนั้นดวงใจเราเต็มตื้นด้วยความรักอันอ่อนหวานพร้อมกับความปลื้มปิติเพียงใดใครจะรู้บ้าง? แต่ในเวลาเดียวกัน ความขมขื่นในใจของเราก็ใหญ่หลวงนัก เกินกว่าที่มนุษย์จะเข้าใจได้
+++++++++++++++++++++++++++++++++
เหตุใดเราล้างเท้าสาวกก่อนอาหารค่ำ?
- ข้อแรกและประการสำคัญคือก่อนจะเข้ามารับศีลมหาสนิท ลูกจะต้องมีวิญญาณบริสุทธิ์ คือถ้าบังเอิญตกในบาปหนักก็จำต้องอาศัยศีลอภัยบาปโดยถูกต้องเสียก่อน
- เราล้างเท้าสาวกด้วยมือของเราเอง เพื่อสอนว่าผู้ถวายตัวทำงานแพร่ธรรมพึงกระทำอย่างไร คือ ต้องรู้จักถ่อมตน ปฏิบัติต่อคนบาป ให้เหมือนปฏิบัติต่อคนอื่นที่อยู่ในความดูแลของตน และพึงปฏิบัติด้วยความอ่อนหวานอย่างเดียวกันเสมอ
- เราใช้ผ้าคาดสะเอว แสดงว่าสาวกของเราต้องคาดสะเอว คือ ทรมานกาย เสียสละตัวเอง หากมีความปรารถนาจะบรรลุถึงจุดหมาย คือเข้าถึงวิญญาณอย่างได้ผล...ผ้าคาดสะเอวยังสอนอีกอย่างคือ ให้มีความรักต่อกัน พร้อมที่จะให้อภัยผู้อื่น พากเพียรทนต่อข้อบกพร่องของกันและกัน ช่วยแก้ไข และไม่แพร่งพรายความผิดของใครแก่ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้อง
- น้ำซึ่งเทลงบนเท้าของสาวก เป็นรูปแบบ หมายถึง ความร้อนรนในการแสวงหาความรอดของวิญญาณมนุษย์ ซึ่งร้อนระอุในใจของเรา ขณะนั้นใกล้ถึงเวลาที่จะไถ่บาปมนุษย์แล้ว ใจของเราร้อนประดุจไฟสุมอยากช่วยพวกเขาให้พ้นความตายนิรันดร จนไม่อาจควบคุมไว้... ความรักของเราร้อนแรงเหลือประมาณ จนไม่อาจจะละทิ้งพวกเขาให้เป็นกำพร้า เราจึงตั้งศีลมหาสนิท เพื่ออยู่กับเขาจนสิ้นพิภพ และเลี้ยงวิญญาณเขาด้วยกาย และโลหิตของเรา เราเป็นผู้เลี้ยงดูเขา เป็นชีวิตของเขา เป็นทุกอย่างสำหรับเขา นี่แหละข้อพิสูจน์ความรักของเรา
ใจของเรามีความรู้สึกอย่างไร? เราอยากให้มนุษย์ทุกคนรู้ว่า การตั้งศีลมหาสนิทในอาหารค่ำครั้งสุดท้ายนั้น เป็นความรักใหญ่หลวงที่หาที่เปรียบมิได้ ที่มนุษย์ทุกคนควรซาบซึ้ง... ขณะนั้นเรามองเห็นล่วงหน้าแล้วว่า ทุกยุคทุกสมัย ใครจะมาเลี้ยงวิญญาณของตนด้วยกาย และโลหิตของเราบ้าง... โลหิตของเราจะเป็นท่อธารแห่งความบริสุทธิ์ และศีลพรหมจรรย์สำหรับคนจำนวนมาก ทั้งเป็นบ่อเกิดแห่งความร้อนรน และความรักสำหรับคนอื่นอีกมากมาย ในขณะนี้เองมีมรณสักขีแห่งความรักชุมนุมกันอยู่ต่อหน้า และในดวงใจของเราก็มีไม่ใช่น้อย... มนุษย์ผู้อ่อนแอที่มักพ่ายแพ้แก่ตัณหาฉันใด จะกลับมีความเข้มแข็งมั่นคงขึ้นด้วยการรับปังทรงชีวิตของเราฉันนั้น
ขณะนั้นดวงใจเราเต็มตื้นด้วยความรักอันอ่อนหวานพร้อมกับความปลื้มปิติเพียงใดใครจะรู้บ้าง? แต่ในเวลาเดียวกัน ความขมขื่นในใจของเราก็ใหญ่หลวงนัก เกินกว่าที่มนุษย์จะเข้าใจได้
+++++++++++++++++++++++++++++++++