ภาค1-บทที่ 2 การสำนึกว่าตนต่ำต้อย
บทที่ 2 การสำนึกว่าตนต่ำต้อย
1. มนุษย์เราย่อมปรารถนาความรู้เป็นธรรมดา แต่ความรู้อันปราศจากความยำเกรงพระเจ้าเป็นประโยชน์อะไร?. โดยแท้จริงแล้ว พ่อบ้านใจสุภาพที่รับใช้พระเจ้า ก็ดีกว่านักปราชญ์จองหอง ผู้ที่ไม่เอาใจใส่เรื่องตัวเอง กลับไปพิจารณาสนใจการโคจรของจักรวาล. ผู้รู้จักตัวตนเองดี ย่อมเห็นความชั่วร้ายของตัวเอง และไม่ยินดีในคำสรรเสริญของมนุษย์.
ถ้า ข้าพเจ้ารู้ทุกสิ่งที่มีอยู่ในโลก แต่ข้าพเจ้าไม่มีความรัก (๑ คร ๑๓:๒) จะมีประโยชน์อะไร ในสายพระเนตรพระเป็นเจ้า ผู้จะทรงพิพากษาข้าพเจ้าตามการกระทำ?.
2. จงระงับการอยากมีความรู้อันเกินความจำเป็น เพราะสุดท้ายกลับนำมาถึงการว้าวุนใจและกลอุบายมากมาย ผู้มีความรู้ มักอยากเด่น ให้คนอื่นชมว่าตนฉลาด มีความรู้มากมาย ที่มีคุณค่าน้อย หรือไม่มีประโยชน์เลยสำหรับวิญญาณ และเขากลับกลายเป็นคนไม่ฉลาด ที่เอาใจใส่ต่อสิ่งอื่น มากกว่าสิ่งที่นำความรอดมาสู่วิญญาณตน ตัวหนังสือมากมายไม่อาจเติมเต็มจิตวิญญาณ แต่การดำรงชีวิตดีงามต่างหากที่ทำความชุ่มชื่นจิตใจ และมโนธรรมอันบริสุทธิ์ก่อให้เกิดความเชื่อมั่นยิ่งใหญ่ในพระเป็นเจ้า (๑ ทธ ๓:๙)
3. ยิ่งรู้มาก ยิ่งรู้ดี ก็ยิ่งจะถูกพิพากษาเคร่งครัดขึ้น เว้นแต่จะได้ดำรงชีวิตที่ศักดิ์สิทธิ์มากขึ้นตามไปด้วย แต่ถ้าไม่แล้ว จงอย่ายกตน อย่าอวดความรู้ในศาสตร์ และศิลป์ ที่ท่านมีมากเลย แต่จงกลัวความรู้ที่ท่านได้รับนั้นเถิด หากท่านเห็นว่าตนรู้มาก ปัญญาไว เข้าใจอะไรง่าย ก็จงรู้ไว้เช่นกันว่า ยังมีเรื่องอีกมากนักที่ท่านไม่รู้. อย่าอวดรู้เลย (รม ๑๑:๒๐; ๑๒:๑๖) ที่ถูก ควรยอมรับว่าตนยังเขลา. ท่านจะถือว่าตัวท่านดีกว่าคนอื่นไปทำไม? ในเมื่อยังมีคนมากมายมีความรู้ความชำนาญในเรื่องต่างๆมากกว่าท่าน ถ้า ท่านอยากรู้ ท่านอยากเรียนอะไร ก็จงเรียนสิ่งที่ทำให้ท่านรักที่จะเป็นคนที่ไม่มีใครรู้จัก และ ไม่มีใครยกย่องเถิด
4. ความรู้ที่สูงส่งและศาสตร์อันเที่ยงแท้ คือ การรู้จักตัวเองถ่องแท้ และการดูหมิ่นตนเอง. การไม่มีความคิดเห็นยกยอตนเอง และการยกย่อง และคิดถึงผู้อื่นในด้านดีเสมอ นี่แหละคือปรีชาญาณอันยิ่งใหญ่ และ ความบริบูรณ์อันสูงส่ง แม้ท่านจะเห็นว่าคนอื่นทำผิดอย่างแจ้งชัด กระทั่งเป็นบาปอย่างร้ายแรง ด้วย ก็อย่าตีค่าตัวเองว่าดีกว่าเขา เพราะท่านไม่ทราบว่าตัวท่านจะธำรงอยู่ในความดีได้นานเท่าไร. คนเราอ่อนแอด้วยกันทุกคน แต่จงตระหนัก และ รู้จักคิดเถิดว่า ไม่มีใครอ่อนแอกว่าตัวท่านหรอก
+++++++++++++++++++++++++++++
1. มนุษย์เราย่อมปรารถนาความรู้เป็นธรรมดา แต่ความรู้อันปราศจากความยำเกรงพระเจ้าเป็นประโยชน์อะไร?. โดยแท้จริงแล้ว พ่อบ้านใจสุภาพที่รับใช้พระเจ้า ก็ดีกว่านักปราชญ์จองหอง ผู้ที่ไม่เอาใจใส่เรื่องตัวเอง กลับไปพิจารณาสนใจการโคจรของจักรวาล. ผู้รู้จักตัวตนเองดี ย่อมเห็นความชั่วร้ายของตัวเอง และไม่ยินดีในคำสรรเสริญของมนุษย์.
ถ้า ข้าพเจ้ารู้ทุกสิ่งที่มีอยู่ในโลก แต่ข้าพเจ้าไม่มีความรัก (๑ คร ๑๓:๒) จะมีประโยชน์อะไร ในสายพระเนตรพระเป็นเจ้า ผู้จะทรงพิพากษาข้าพเจ้าตามการกระทำ?.
2. จงระงับการอยากมีความรู้อันเกินความจำเป็น เพราะสุดท้ายกลับนำมาถึงการว้าวุนใจและกลอุบายมากมาย ผู้มีความรู้ มักอยากเด่น ให้คนอื่นชมว่าตนฉลาด มีความรู้มากมาย ที่มีคุณค่าน้อย หรือไม่มีประโยชน์เลยสำหรับวิญญาณ และเขากลับกลายเป็นคนไม่ฉลาด ที่เอาใจใส่ต่อสิ่งอื่น มากกว่าสิ่งที่นำความรอดมาสู่วิญญาณตน ตัวหนังสือมากมายไม่อาจเติมเต็มจิตวิญญาณ แต่การดำรงชีวิตดีงามต่างหากที่ทำความชุ่มชื่นจิตใจ และมโนธรรมอันบริสุทธิ์ก่อให้เกิดความเชื่อมั่นยิ่งใหญ่ในพระเป็นเจ้า (๑ ทธ ๓:๙)
3. ยิ่งรู้มาก ยิ่งรู้ดี ก็ยิ่งจะถูกพิพากษาเคร่งครัดขึ้น เว้นแต่จะได้ดำรงชีวิตที่ศักดิ์สิทธิ์มากขึ้นตามไปด้วย แต่ถ้าไม่แล้ว จงอย่ายกตน อย่าอวดความรู้ในศาสตร์ และศิลป์ ที่ท่านมีมากเลย แต่จงกลัวความรู้ที่ท่านได้รับนั้นเถิด หากท่านเห็นว่าตนรู้มาก ปัญญาไว เข้าใจอะไรง่าย ก็จงรู้ไว้เช่นกันว่า ยังมีเรื่องอีกมากนักที่ท่านไม่รู้. อย่าอวดรู้เลย (รม ๑๑:๒๐; ๑๒:๑๖) ที่ถูก ควรยอมรับว่าตนยังเขลา. ท่านจะถือว่าตัวท่านดีกว่าคนอื่นไปทำไม? ในเมื่อยังมีคนมากมายมีความรู้ความชำนาญในเรื่องต่างๆมากกว่าท่าน ถ้า ท่านอยากรู้ ท่านอยากเรียนอะไร ก็จงเรียนสิ่งที่ทำให้ท่านรักที่จะเป็นคนที่ไม่มีใครรู้จัก และ ไม่มีใครยกย่องเถิด
4. ความรู้ที่สูงส่งและศาสตร์อันเที่ยงแท้ คือ การรู้จักตัวเองถ่องแท้ และการดูหมิ่นตนเอง. การไม่มีความคิดเห็นยกยอตนเอง และการยกย่อง และคิดถึงผู้อื่นในด้านดีเสมอ นี่แหละคือปรีชาญาณอันยิ่งใหญ่ และ ความบริบูรณ์อันสูงส่ง แม้ท่านจะเห็นว่าคนอื่นทำผิดอย่างแจ้งชัด กระทั่งเป็นบาปอย่างร้ายแรง ด้วย ก็อย่าตีค่าตัวเองว่าดีกว่าเขา เพราะท่านไม่ทราบว่าตัวท่านจะธำรงอยู่ในความดีได้นานเท่าไร. คนเราอ่อนแอด้วยกันทุกคน แต่จงตระหนัก และ รู้จักคิดเถิดว่า ไม่มีใครอ่อนแอกว่าตัวท่านหรอก
+++++++++++++++++++++++++++++
-
- ~@
- โพสต์: 2546
- ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 10:54 pm
อาแมน ผมมีปัญหากับเรื่องนี้อย่างมาก
-
- โพสต์: 690
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ มี.ค. 09, 2009 12:00 pm
ขอบคุณครับ โดยใจคนวัยเรียนเลย..
-
- ~@
- โพสต์: 8259
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:56 pm
- ที่อยู่: Bangkok
เจี๊ยบอ่านได้ 2 บทแล้วง่วงจัง วิ้ว~~~เดี๋ยวเอาใหม่
-
- โพสต์: 54
- ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. ธ.ค. 11, 2008 9:36 pm
อาเมนเช่นกันค๊าบผม !!!
พระเจ้าา !!!
ผมจะคิดว่าสำนึกว่าตัวเองไม่ได้เก่งอยู่เสมอไปแล้วครับ
เพราะว่าที่ผ่านมา เคยรู้สึกแสดงออกอย่างนั้น
แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว....
ขอบคุณพระเจ้า อาเมน...
พระเจ้าา !!!
ผมจะคิดว่าสำนึกว่าตัวเองไม่ได้เก่งอยู่เสมอไปแล้วครับ
เพราะว่าที่ผ่านมา เคยรู้สึกแสดงออกอย่างนั้น
แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว....
ขอบคุณพระเจ้า อาเมน...
ผมเคยเข้าไปในห้องสมุดแห่งหนึ่ง เห็นคำขวัญที่เขาเขียนไว้แล้วประทับใจมากคับ เขาเขียนไว้ว่า "คนที่อ่านน้อย จะรู้มาก คนที่อ่านมาก จะรู้ว่าตนรู้น้อย" แล้วไง.... อึ้งไปซิคับ ผมว่านะ เรื่องนี้ก็เหมือนกัน พระพรของพระ จะทำงานเฉพาะในดวงใจที่สุภาพคับ ผมคิดงั้น
-
- ~@
- โพสต์: 8259
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:56 pm
- ที่อยู่: Bangkok
ยิ่งรู้มาก ยิ่งรู้ดี ก็ยิ่งจะถูกพิพากษาเคร่งครัดขึ้น เว้นแต่จะได้ดำรงชีวิตที่ศักดิ์สิทธิ์มากขึ้นตามไปด้วย แต่ถ้าไม่แล้ว จงอย่ายกตน อย่าอวดความรู้ในศาสตร์ และศิลป์ ที่ท่านมีมากเลย แต่จงกลัวความรู้ที่ท่านได้รับนั้นเถิด หากท่านเห็นว่าตนรู้มาก ปัญญาไว เข้าใจอะไรง่าย ก็จงรู้ไว้เช่นกันว่า ยังมีเรื่องอีกมากนักที่ท่านไม่รู้. อย่าอวดรู้เลย (รม ๑๑:๒๐; ๑๒:๑๖)
ใช่ๆๆ ยิ่งเรียนมาก ยิ่งรู้น้อย เพราะมีมากมายในโลกนี้ที่เราไม่รู้
..."ความยำเกรงพระเจ้าเป็นบ่อเกิดของปัญญา"
ใช่ๆๆ ยิ่งเรียนมาก ยิ่งรู้น้อย เพราะมีมากมายในโลกนี้ที่เราไม่รู้
..."ความยำเกรงพระเจ้าเป็นบ่อเกิดของปัญญา"