1. บุคคลที่องค์ความจริงเองสั่งสอนเขาก็เป็นสุข ไม่ใช่โดยทางรูปลักษณ์ หรือ ทางวาจาที่ผ่านพ้นไป แต่ทางอย่างพระองค์อย่างที่ทรงเป็นจริงๆ. (สดด ๑๗:๓๖; อสย ๒๘:๒๖) ความคิดเห็น และประสาทสัมผัสของคนเรา มักลวงเราบ่อย ๆ และค้นพบความจริงได้เพียงน้อยนิด
จะมีประโยชน์อะไร ในการโอ้อวดถกเถียงเรื่องลึกลับซับซ้อน และสรรพสิ่งที่อยู่ห่างไกล ซึ่งหากเราไม่รู้ก็ไม่โดนตำหนิ ในวันพิพากษา? ช่างเป็นความโง่เขลาอย่างยิ่งทีไม่เอาใจใส่ในเรื่องที่เป็นประโยชน์ และ เรื่องจำเป็น กลับไปวุ่นวายสนใจเรื่องแปลก ๆ เรื่องที่นำภัยมา เรามีตา แต่มองไม่เห็น. (สดด ๑๑๕:๕)
2. ทำไมเราจึงจำเป็นต้องไปสนใจปัญหาปรัชญา? บุคคลใดที่พระวจนาถ(พระวาจา)นิรันดร์สั่งสอนเขา บุคคลนั้นก็เป็นอิสระจากความคิดเห็นของมนุษย์ทั้งหลาย เพราะทุกสิ่งมาจากพระวจนาถผู้เดียว และทุกสิ่งพูดถึงพระองค์ผู้เดียว พระองค์คือองค์ปฐมเหตุที่ตรัสกับเราตั้งแต่แรกเริ่ม (ยน ๘:๒๕) หากปราศจากพระองค์ก็ไม่มีใครเข้าใจ หรือตัดสินเรื่องใดให้ถูกต้องได้. บุคลลใดถือว่าทุกสิ่งคือพระองค์ผู้เดียว และ นำเอาทุกสิ่ง มอบถวายแด่พระองค์ผู้เดียว และมองเห็นทุกสิ่งในพระองค์ผู้เดียว บุคคลนั้นสามารถจะมีดวงใจอันตั้งมั่นคง และดำรงสันติสุขในพระเป็นเจ้าได้ (๑ คร ๒:๒)
โอ้ องค์ความจริง พระเจ้าของข้าพเจ้า โปรดทรงกระทำให้ข้าพเจ้า เป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ในความรักนิรันดร
ข้าพเจ้าเบื่อหน่าย กับการต้องอ่านหรือได้ยินสิ่งต่างๆมากมาย เพราะในพระองค์มีครบทุกสิ่งที่ข้าพเจ้าปรารถนาและอยากได้แล้ว.
ทรงให้นักปราชญ์ทั้งหลายสงบปาก ทรงให้สิ่งสร้างทั้งปวงเงียบลง เฉพาะพระพักตร์พระองค์เถิด และขอพระองค์เพียงผู้เดียวที่ทรงตรัสแก่ข้าพเจ้าเถิด
3. ยิ่งมนุษย์สำรวมใจในตนเอง และกลับสู่ความบริสุทธิ์เรียบง่ายภายใน เมื่อนั้นเราก็ยิ่งเข้าใจเรื่องลึกซึ้ง หรือสูงส่งต่าง ๆ ได้ โดยไม่ต้องออกแรง ทั้งนี้เพราะเรารับแสงสว่างอันบันดาลความเข้าใจจากเบื้องบน.
วิญญาณบริสุทธิ์ ซื่อ ตั้งมั่นในความดี แม้อยู่ท่ามกลางกิจธุระมากมายเขาก็ไม่วอกแวก เพราะเขาทำทุกสิ่งเพื่อเกียรติมงคลของพระเป็นเจ้า และอุตสาหะพยายามที่จะ หยุดนิ่งภายในตนเอง และเป็นอิสระจาก การแสวงหาสิ่งต่างๆสนองความต้องการของตน อะไรเล่าเป็นอุปสรรค และ ก่อความยุ่งยากแก่ท่าน? มิใช่การไม่รู้จักสะกดอดใจในเรื่องตัณหาในจิตใจดอกหรือ? คนดีมีศรัทธา ย่อมจัดระเบียบกิจการไว้ภายในใจก่อนทำกิจการภายนอก. และยังไม่ยอมให้กิจการภายนอกนั้น ชักนำเขาให้ทำตามความปราถนาของความโน้มเอียงฝ่ายต่ำ แต่เขาเองกลับหันมันไปสู่หลักเหตุผลอันเที่ยงตรง. ใครหนอจะทำการต่อสู้อย่างกล้าหาญ เท่ากับคนที่พยายามเอาชนะตัวเอง? และนี่ต้องเป็นหน้าที่ของเราที่ต้องเอาชนะตัวเอง และต้องเข้มแข็งเหนือตัวตนเองยิ่งขึ้นทุกวัน และก้าวหน้าไปสู่คุณงามความดียิ่งขึ้นเรื่อยไป.
4. ความสมบูรณ์ใด ๆ ในชีวิตนี้ ย่อมคละเคล้าด้วยความไม่สมบูรณ์ และความคิดอ่านของเราก็ไม่อาจหนีพ้นความคลุมเครือ อันเป็นดังม่านกำบัง. การรู้จักตัวตนเองด้วยความสุภาพ เป็นหนทางตรงนำไปสู่พระเจ้า ยิ่งกว่าการแสวงหาวิชาความรู้ทางโลก. ทั้งนี้มิใช่ว่าต้องกล่าวโทษวิทยาหรือความรู้ใด ๆ เพราะว่าความรู้นั้นในตัวมันเองก็เป็นของดี เป็นของที่ถูกตั้งขึ้นมาโดยพระเจ้า แต่เราต้องยึดถึออยู่เสมอว่า มโนธรรมอันบริสุทธิ์และชีวิตอันประกอบด้วยคุณธรรมประเสริฐกว่าและต้องมาก่อน แต่เพราะเหตุที่คนจำนวนมากเอาใจใส่ต่อความรู้มากกว่าเอาใจใส่ต่อการดำรงชีวิตในความดี เขาจึงมักถูกหลอกให้หลงไป และพบแต่ความว่างเปล่า หรือได้รับผลสำเร็จเพียงเล็กน้อย

5. โอ้ หากมนุษย์จะได้ใช้ความมานะอุตสาหะในการถอนรากพยศชั่วและปลูกฝังคุณธรรมให้ตัวเอง ให้เท่ากับ ที่เขาใช้ในการค้นคว้าปัญหาทางโลกแล้ว คงจะไม่ได้มีภัยยันอันตราย และแบบอย่างชั่วร้ายในสังคมมากมายเช่นนี้ และในวัดวาอารามก็คงไม่มีความหละหลวมหย่อนยานมากมายเช่นนี้เหมือนกัน. ความจริงในวันพิพากษา เราจะไม่ถูกถามว่าได้อ่านอะไรมาบ้าง แต่จะถูกถามว่าได้ทำอะไรมาบ้าง ทั้งจะไม่ทูลถวายรายงานว่าได้หาความรู้อย่างไร แต่จะต้องทูลถวายรายงานว่าได้ใช้ชีวิตอย่างชอบธรรมหรือไม่. ช่วยบอกข้าพเจ้าทีเถอะ พวกคนฉลาด นักปราชญ์ ผู้ยิ่งใหญ่ ที่ท่านรู้จัก ที่ขณะเมื่อยังมีชีวิตอยู่ มีชื่อเสียงโด่งดังในวิชาความรู้สมัยนั้น ๆ บัดนี้อยู่ที่ไหนแล้ว ?
ปัจจุบัน คนอื่นเข้าแทนที่พวกเขาแล้ว และข้าพเจ้าไม่ทราบว่า คนใหม่พวกนั้น ยังคิดถึงเขาหรือไม่. ขณะมีชีวิต ดูเหมือนเขาเป็นอะไรอยู่บ้าง แต่บัดนี้ ไม่มีใครพูดถึงเขา
6. โอ้ เกียรติยศของโลก ช่างล่วงลับรวดเร็วจริงหนอ! (๑ ยน ๒:๑๗) หากการดำรงชีวิตของพวกเขาให้คำตอบกับวิชาความรู้ที่พวกเขามีได้ เมื่อนั้นแหละ นับว่าเขาได้เรียน ได้อ่านโดยมีประโยชน์. ในโลกเรานี้ มีกี่คนได้พินาศไปพร้อมกับความรู้อันไม่มีค่า โดยที่เขาได้ละเลยการปรนนิบัติพระเป็นเจ้า เพราะเขาชอบเป็นคนใหญ่โต มากกว่าเป็นคนสุภาพ เขาจึงหลงหายไปในจินตนาการของเขาเอง. ผู้ที่นับเป็นคนยิ่งใหญ่ที่แท้จริง คือ คนที่มีเมตตารักอย่างมาก และ คือคนที่ถือตนเป็นคนเล็กน้อยต้อยต่ำและถือว่าเกียรติยศอันสูงส่งเป็นความว่างเปล่า.

ผู้ที่นับเป็นผู้มีปรีชาแท้ คือคนที่ถือว่า สรรพสิ่งของโลกนี้เป็นปฏิกูล (ฟป ๓:๘) เพราะเขาต้องการแต่จะได้พระคริสตเจ้า. และผู้ที่นับเป็นผู้ได้เรียนรู้อย่างแท้จริง คือคนที่ประพฤติตามน้ำพระทัยพระเจ้า และสละละทิ้งน้ำใจของตนเอง.
++++++++++++++++++++++++++