คำถามในพระธรรมใหม่

ถาม-ตอบพระคัมภีร์ เรื่องเสริมศรัทธา ความรู้ และสาระ บทความ ในคริสตศาสนา
ตอบกลับโพส
Invy
โพสต์: 137
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ส.ค. 07, 2007 1:00 am
ที่อยู่: ปทุมธานี
ติดต่อ:

พฤหัสฯ. พ.ย. 08, 2007 4:19 pm

มัทธิว 6:22-23 ประทีปของร่างกายคือดวงตา ดังนั้น ถ้าดวงตาของท่านเป็นปกติดี สรรพางค์กายของท่านก็จะสว่างไปด้วย    แต่ถ้าดวงตาของท่านไม่ดี สรรพางค์กายของท่านก็จะมืดไปด้วย ฉะนั้น ถ้าความสว่างในท่านมืดไปแล้ว ความมืดจะยิ่งมืดมิดสักเพียงใด << ไม่เข้าใจอะไรเลยครับ  :lipsrsealed:

มัทธิว 8:22 แต่พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาว่า "จงตายเรามา และปล่อยให้คนตายฝังคนตายเถิด" << อันนี้ก็ไม่เข้าใจ เช่นกัน

มัทธิว 9:1-2 พระเยซูเจ้าเสด็จลงเรือข้ามฝั่งกลับมายังเมืองของพระองค์ ทันใดนั้น มีผู้หามคนอัมพาตคนหนึ่งนอนบนแคร่มาเฝ้าพระองค์ เมื่อพระเยซูเจ้าทรงเห็นความเชื่อของเขา จึงตรัสแก่คนอัมพาตว่า “ทำใจดี ๆ ไว้เถิด ลูกเอ๋ย บาปของท่านได้รับการอภัยแล้ว” << ถ้าเทียบกับ ยอห์น 9:1 ใครทำบาป ชายคนนี้ หรือบิดามารดาของเขา เขาจึงเกิดมาตาบอด”  พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “มิใช่ชายคนนี้ หรือบิดามารดาของเขาทำบาป แต่เขาเป็นเช่นนี้ก็เพื่อให้กิจการของพระเจ้าปรากฏในตัวเขา” มีความหมายเป็นในๆว่าโรคภัยไข้เจ็บทั้งหลาย ไม่ใช่มาจากกิจการของพระเป็นเจ้าเสมอไป แต่มาจากบาปในตัวมนุษย์ด้วยใช่มั้ยครับ อย่างอายุขัยมนุษย์้เองก็ค่อยๆน้อยลงเรื่อยๆด้วย

ปล. พระธรรมเก่าผมหยุดไว้ที่ อพยพ 20 ก่อน เพราะ ได้คำแนะนำมาว่า คริสตังใหม่ ควรจะอ่านพระธรรมใหม่ก่อน แล้วจึงอ่านพระธรรมเก่า
ภาพประจำตัวสมาชิก
Zion
~@
โพสต์: 3777
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 8:37 pm
ติดต่อ:

พฤหัสฯ. พ.ย. 08, 2007 5:44 pm

-สรรพางค์กาย แปลได้ประมาณ "ทั้งร่างกาย"
พระองค์หมายถึงว่า ถ้าตาเรา(ทางจิตใจ)บอดไม่เห็นความสว่างของพระเจ้า ร่างกายเราก็จะไม่มีทางสว่างได้เลย

-"ศิษย์ของพระเยซูเจ้าต้องอุทิศตนโดยไม่มีเงื่อนไข"

-ก็ใช่ในส่วนหนึ่ง

แต่ประเด็นของมัทธิว9:1-8 ต้องการชี้ให้คือ

พระเยซูเป็นพระเจ้า จึงมีอำนาจการอภัยบาป ::017::
Rakkypoko!
โพสต์: 960
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ส.ค. 31, 2007 2:35 pm

พฤหัสฯ. พ.ย. 08, 2007 6:22 pm

ส่วนใหญ่เวลาอ่าน ก็ควรจะเริ่มจากพระธรรมใหม่ก่อนอะ จากที่เคยเหนๆมาอะนะ
Invy
โพสต์: 137
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ส.ค. 07, 2007 1:00 am
ที่อยู่: ปทุมธานี
ติดต่อ:

ศุกร์ พ.ย. 09, 2007 2:45 am

พระวาจาในพระธรรมใหม่ มีความศักดิ์สิทธิ์จริงๆครับ ผมอ่านไปแค่ 10 บทแรกของหนังสือมัทธิว สัมผัสได้ในในพลังของการมองโลกในแง่ดี ท่อนนี้ผมชอบมาก

(3)“ผู้มีใจยากจน ย่อมเป็นสุข เพราะอาณาจักรสวรรค์เป็นของเขา

(4)ผู้เป็นทุกข์โศกเศร้า ย่อมเป็นสุข เพราะเขาจะได้รับการปลอบโยน

(5)ผู้มีใจอ่อนโยน ย่อมเป็นสุข เพราะเขาจะได้รับแผ่นดินเป็นมรดก

(6)ผู้หิวกระหายความชอบธรรม ย่อมเป็นสุข เพราะเขาจะอิ่ม

(7)ผู้มีใจเมตตา ย่อมเป็นสุข เพราะเขาจะได้รับพระเมตตา

(8)ผู้มีใจบริสุทธิ์ ย่อมเป็นสุข เพราะเขาจะได้เห็นพระเจ้า

(9)ผู้สร้างสันติ ย่อมเป็นสุข เพราะเขาจะได้ชื่อว่าเป็นบุตรของพระเจ้า

(10)ผู้ถูกเบียดเบียนข่มเหงเพราะความชอบธรรม ย่อมเป็นสุข เพราะอาณาจักรสวรรค์เป็นของเขา

(11) ท่านทั้งหลายย่อมเป็นสุข เมื่อถูกดูหมิ่น ข่มเหงและใส่ร้ายต่าง ๆ นานาเพราะเรา 

(12) จงชื่นชมยินดีเถิด เพราะบำเหน็จรางวัลของท่านในสวรรค์นั้นยิ่งใหญ่นัก”

มันเป็นความสุขจริงๆที่ได้มองโลกได้แง่ดี เป็นความสุขอย่างแท้จริงดังพระวรสารว่าไว้เลย ผมไม่เคยสัมผัสมาก่อน เพราะ แต่ก่อนหลงมองโลกในแง่ร้าย คิดว่าการมองโลกในแง่ดีเป็นการประมาทคนอื่น นำมาซึ่งหายนะ แต่แท้จริงแล้ว มันไม่ใช่เลย การมองโลกในแง่ร้ายมีแต่จะทำร้ายตนเองและผู้อื่น

และอีกประโยคที่สวดอยู่เรื่อย แต่ไม่เคยนึกคิดเลยว่าเจ้าประโยคนี้เอง มีส่วนในการกลับใจของผม

มัทธิว 6:12 โปรดประทานอภัยแก่ข้าพเจ้า เหมือนข้าพเจ้าให้อภัยแก่ผู้อื่น

พอได้มองโลกในแง่ดีแล้ว และรำพึงประโยคนี้ดู การอภัยจะง่ายไปอีกเยอะเลย  :angel:

และที่ผมเคยตั้งกระทู้การทำดี เพราะ เห็นแก่พระ แต่ไม่ได้มาจากใจ หลังจากอ่านพระวรสารนี้แล้ว ความรู้สึกแบบนั้นเริ่มหายไปแล้ว เริ่มต้นอยากทำดีด้วยใจจริงๆแล้ว  :smiley:
Joseph
โพสต์: 2182
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ เม.ย. 27, 2005 6:31 am

ศุกร์ พ.ย. 09, 2007 3:52 am

มัทธิว 6:22-23 ประทีปของร่างกายคือดวงตา ดังนั้น ถ้าดวงตาของท่านเป็นปกติดี สรรพางค์กายของท่านก็จะสว่างไปด้วย    แต่ถ้าดวงตาของท่านไม่ดี สรรพางค์กายของท่านก็จะมืดไปด้วย ฉะนั้น ถ้าความสว่างในท่านมืดไปแล้ว ความมืดจะยิ่งมืดมิดสักเพียงใด << ไม่เข้าใจอะไรเลยครับ
 

สมมุติมีเหวอยู่ข้างหน้าถ้าตาเราดีเราก็จะมองเห็นแล้วก็หลีกหนีจากเหวนั้น จะไปจะตายก็ไม่ขอเดินไปตรงนั้นเด็ดขาด แต่ที่เราเดินไปที่เหวนั้นแล้วตกลงไปก็เพราะว่าตาเรามองไม่เห็น เมื่อตาเรามองไม่เห็นเราก็น่าจะฟังคนที่บอกเราว่าอย่างไปนะมันมีเหว แต่ถ้าเราไม่เชื่อเดินไปเราก็จะตกลงไปในเหวนั้นขึ้นไม่ได้ ก็เช่นกันคนที่ไม่เข้าใจเขาก็เหมือนคนตาบอดแหละครับเดินไปนรกเขาก็ยังจะไป เพราะว่าเขาหูไม่ได้ยินตาไม่ได้เห็น ไม่เพียงแต่ตาบอดเท่านั้นหูยังหนวกอีกด้วย ทำให้เขาไม่เข้าใจแล้วไม่เกิดปัญญาการเรียนรู้ เขามองไม่เห็นหนทางที่จะไปหนทางเขามืดมิด ทางที่ผิดกลับมองว่าถูก แต่ถ้าเขาตาสว่างเขาจะเข้าใจแล้วเขาจะไม่เดินในทางนั้น

พระคัมภีร์ข้อนี้พระเยซูบอกถึงความไม่เข้าใจของพวกฟาริสี เขามีท่อนซุงทั้งท่อนติดอยุ่ที่ตาทำให้เขาไม่เข้าใจ

5ท่านคนหน้าซื่อใจคดจงชักไม้ทั้งท่อนออกจากตาของท่านก่อนแล้วท่านจะเห็นได้ถนัดจึงจะเขี่ยผงออกจากตาพี่น้องของท่านได้ มัทธิว 7:5

ทางแห่งความเข้าใจ

11ท่านให้คำปรึกษาแก่คนที่ไม่มีสติปัญญาและได้ให้ความรู้มากที่สัมฤทธิ์ผลจริงหนอ..

12แต่จะพบพระปัญญาที่ไหนและที่ของความเข้าใจอยู่ที่ไหน

13มนุษย์ไม่รู้จักค่าของพระปัญญาและในแผ่นดินของคนเป็นก็หาไม่พบ
โยบ 28:11 - 13

ถ้าเราอยากเข้าใจและรู้จักปัญญาต้องแสวงหาพระเจ้าเพราะพระองค์ทรงทราบหนทางที่เราจะเดิน

23พระเจ้าทรงทราบทางไปหาพระปัญญานั้นและพระองค์ทรงทราบที่อยู่ของพระปัญญาด้วยโยบ 28:23

การฟังคนชอบธรรมจะได้หนทางนำไปในทางที่ถูก

30ปากของคนชอบธรรมเปล่งสติปัญญาและลิ้นของเขาพูดความยุติธรรมเพลงสดุดี 37:30

3ปากของข้าพเจ้าจะเผยปัญญาการภาวนาของจิตใจข้าพเจ้าคือความเข้าใจเพลงสดุดี 49:3


สำหรับคนที่ไม่มีหู และตามองไม่เห็น

32เพราะคนโง่ถูกฆ่าก็ด้วยการหันกลับจากปัญญานั่นเองและคนโง่ที่หลงเพลิดเพลินก็ถูกทำลาย สุภาษิต 1:32

คนที่ไม่เข้าใจแล้วก็เปิดใจรับคำแนะนำไม่ได้แล้ว

13คนหนุ่มยากจนและมีสติปัญญาก็ดีกว่ากษัตริย์ชราและโฉดเขลาผู้รับคำแนะนำอีกไม่ได้แล้วปัญญาจารย์ 4:13

จงแสวงหาปัญญาและความเข้าใจแล้วเราจะรู้ว่า

14เพราะผลที่ได้จากปัญญาย่อมดีกว่าผลที่ได้จากเงินและกำไรนั้นดีกว่าทองคำ

15ปัญญาประเสริฐกว่าทับทิมและบรรดาสิ่งที่เจ้าปรารถนาจะเปรียบกับปัญญาไม่ได้
สุภาษิต 3: 14 - 15

13ข้าพเจ้าเห็นว่าสติปัญญาวิเศษกว่าความเขลาเหมือนความสว่างวิเศษกว่าความมืดปัญญาจารย์ 2:13

ปัญญาในที่นี้คือความเข้าใจหนทางแห่งพระเจ้า หนทางแห่งความรอด คือคนที่รู้ใจพระเจ้าเป็นอย่างดีอย่างที่พระเยซูเรียกว่าสหายนั่นแหละครับ

15เราจะไม่เรียกท่านทั้งหลายว่าบ่าวอีกเพราะบ่าวไม่ทราบว่านายทำอะไรแต่เราเรียกท่านว่ามิตรสหายเพราะว่าทุกสิ่งที่เราได้ยินจากพระบิดาของเราเราได้สำแดงแก่ท่านแล้วยอห์นฺ 15:15

ไม่ใช่ปัญญาดีสอบที่ไหนก็ติดเรียนจนได้ความรู้สูงๆ  ปัญญาอย่างนั้นเป็นปัญญาฝากโลกบางทียิ่งเรียนมากยิ่งตาบอดด้วยซ้ำ เพราะเขาไม่เชื่อในสิ่งที่มองไม่เห็น ไม่เชื่อพระเจ้า แถมคนที่รู้ไปบอกให้ฟังกลับเห็นเป็นสิ่งไร้สาระไม่มีเหตุผลเสียอีก อย่างนี้ตาบอดไม่พอยังไม่มีหูอีก
แก้ไขล่าสุดโดย Joseph เมื่อ ศุกร์ พ.ย. 09, 2007 10:25 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
Joseph
โพสต์: 2182
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ เม.ย. 27, 2005 6:31 am

ศุกร์ พ.ย. 09, 2007 5:02 am

มัทธิว 8:22 แต่พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาว่า "จงตายเรามา และปล่อยให้คนตายฝังคนตายเถิด" << อันนี้ก็ไม่เข้าใจ เช่นกัน
ขอนี้น้องเขียนผิดครับ "จงตามเรามา" ไม่ใช่คน "จงตายเรามา" น้องเขียนผิดเองก็เข้าใจผิดเอง ก็คือให้ทิ้งทุกอย่างแล้วตามเรามา คนตายหมายถึงคนที่ไม่ได้รับความรอดถ้ารับความรอดแล้วเขาจะมีชีวิตนิรันดร์ ดังนั้นจึงให้คนตายฝังศพคนตาย ส่วนคนที่พระองค์ทรงเรียกมาก็อย่ากังวลเรื่องของโลกเลยเพราะว่าเขาได้พบหนทางและความจริงแล้ว
มัทธิว 9:1-2 พระเยซูเจ้าเสด็จลงเรือข้ามฝั่งกลับมายังเมืองของพระองค์ ทันใดนั้น มีผู้หามคนอัมพาตคนหนึ่งนอนบนแคร่มาเฝ้าพระองค์ เมื่อพระเยซูเจ้าทรงเห็นความเชื่อของเขา จึงตรัสแก่คนอัมพาตว่า
แก้ไขล่าสุดโดย Joseph เมื่อ ศุกร์ พ.ย. 09, 2007 5:27 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
Edwardius
โพสต์: 1392
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. ต.ค. 12, 2006 3:02 pm
ที่อยู่: Lamphun, Thailand

ศุกร์ พ.ย. 09, 2007 9:25 am

มีหลายครั้งที่พระองค์สั่งสอนประชาชนในยุคโมเสสด้วยความชั่วร้าย

เช่น ทำให้จิตใจฟาโรห์แข็งกระด้าง เป็นต้น

ความเจ็บป่วยบางอย่างในยุคพระคริสตเจ้าก็เป็นไปเพื่อพระองค์จะได้สั่งสอนเขาทั้งหลายด้วยการอัศจรรย์

และประกาศแก่มนุษย์ว่า พระองค์ทรงฤทธานุภาพเหนือความชั่วร้ายทั้งสิ้น
ภาพประจำตัวสมาชิก
Nat
โพสต์: 74
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ มิ.ย. 13, 2007 4:33 pm
ที่อยู่: ไทย

เสาร์ พ.ย. 10, 2007 9:57 am

มัทธิว 6:22-23 ประทีปของร่างกายคือดวงตา ดังนั้น ถ้าดวงตาของท่านเป็นปกติดี สรรพางค์กายของท่านก็จะสว่างไปด้วย    แต่ถ้าดวงตาของท่านไม่ดี สรรพางค์กายของท่านก็จะมืดไปด้วย ฉะนั้น ถ้าความสว่างในท่านมืดไปแล้ว ความมืดจะยิ่งมืดมิดสักเพียงใด **
น่าจะเป็นการค้นพบพระธรรมความจริงของพระองค์ และความเชื่อต่อพระเยซูเจ้ามากกว่าครับถึงเหตุเเห่งการเกิดบาปหลายๆทาง เป็นต้น
มัทธิว 8:22 แต่พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาว่า "จงตามเรามา และปล่อยให้คนตายฝังคนตายเถิด"*
คิดว่าเป็นอุปมา ครับ เพราะถ้าเรารู้ถึงสิ่งที่ต้องทำแล้วโดยเฉพาะอย่างยิ่งความกตัญญูกตเวทีต่อบิดา มารดา เราควรจะทำเป็นอย่างแรก
มัทธิว 9:1-2 พระเยซูเจ้าเสด็จลงเรือข้ามฝั่งกลับมายังเมืองของพระองค์ ทันใดนั้น มีผู้หามคนอัมพาตคนหนึ่งนอนบนแคร่มาเฝ้าพระองค์ เมื่อพระเยซูเจ้าทรงเห็นความเชื่อของเขา จึงตรัสแก่คนอัมพาตว่า
Invy
โพสต์: 137
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ส.ค. 07, 2007 1:00 am
ที่อยู่: ปทุมธานี
ติดต่อ:

พุธ พ.ย. 14, 2007 1:12 pm

มธ 15:21-28 พระเยซูเจ้าทรงรักษาบุตรหญิงของหญิงชาวคานาอัน

(21) พระเยซูเจ้าเสด็จจากที่นั่น มุ่งไปเขตเมืองไทระและเมืองไซดอน
(22) ทันใดนั้นหญิงชาวคานาอันคนหนึ่งจากเขตแดนนี้ร้องว่า “โอรสกษัตริย์ดาวิดเจ้าข้า โปรดเมตตาข้าพเจ้าด้วยเถิด บุตรสาวของข้าพเจ้าถูกปีศาจสิงต้องทรมานมาก”
(23) แต่พระองค์มิได้ตรัสตอบประการใด บรรดาศิษย์จึงเข้ามาทูลพระองค์ว่า “โปรดประทานตามที่นางทูลขอเถิดเพราะนางร้องตะโกนตามหลังพวกเรามา”
(24) พระองค์ทรงตอบว่า“เราถูกส่งมาเพื่อแกะที่พลัดหลงของวงศ์วานอิสราเอลเท่านั้น
(25) แต่นางเข้ามากราบพระองค์ทูลว่า “พระเจ้าข้า โปรดช่วยข้าพเจ้าด้วยเถิด”
(26) พระองค์ทรงตอบว่า “ไม่สมควรที่จะเอาอาหารของลูก มาโยนให้ลูกสุนัขกิน” นางทูลว่า
(27) “ถูกแล้วพระเจ้าข้าแต่แม้แต่ลูกสุนัขก็ยังได้กินเศษอาหารที่ตกจากโต๊ะของนาย”
(28) พระเยซูเจ้าจึงตรัสกับนางว่า “หญิงเอ๋ย ความเชื่อของเจ้ายิ่งใหญ่ จงเป็นไปตามที่เจ้าปรารถนาเถิด” และบุตรหญิงของนางก็หายเป็นปรกติตั้งแต่บัดนั้น

ตรงตัวหนา พระเยซูเจ้า หมายความว่ายังไงครับ
demon of east
โพสต์: 50
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ค. 28, 2006 12:49 pm

พุธ พ.ย. 14, 2007 2:26 pm

[quote="Invy"]
มธ 15:21-28 พระเยซูเจ้าทรงรักษาบุตรหญิงของหญิงชาวคานาอัน

(21) พระเยซูเจ้าเสด็จจากที่นั่น มุ่งไปเขตเมืองไทระและเมืองไซดอน
(22) ทันใดนั้นหญิงชาวคานาอันคนหนึ่งจากเขตแดนนี้ร้องว่า
Invy
โพสต์: 137
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ส.ค. 07, 2007 1:00 am
ที่อยู่: ปทุมธานี
ติดต่อ:

พฤหัสฯ. พ.ย. 15, 2007 12:12 am

มธ 18:15-18 การตักเตือนกันฉันพี่น้อง

(15) “ถ้าพี่น้องของท่านทำผิดจงไปตักเตือนเขาตามลำพัง ถ้าเขาเชื่อฟัง ท่านจะได้พี่น้องกลับคืนมา
(16) ถ้าเขาไม่เชื่อฟัง จงพาอีกคนหนึ่งหรือสองคนไปด้วย คำพูดของพยานสองคนหรือสามคนจะได้จัดเรื่องราวให้เรียบร้อย
(17) ถ้าเขาไม่ยอมฟังพยานจงแจ้งให้หมู่คณะทราบถ้าเขาไม่ยอมฟังหมู่คณะอีก จงปฏิบัติต่อเขาเหมือนเขาเป็นคนต่างศาสนา หรือคนเก็บภาษีเถิด
(18) “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ทุกสิ่งที่ท่านจะผูกในโลก จะผูกไว้ในสวรรค์ และทุกสิ่งที่ท่านจะแก้ในโลก ก็จะแก้ในสวรรค์ด้วย”

ไม่เข้าใจตรงตัวหนาครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Holy
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 10011
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:06 pm

พฤหัสฯ. พ.ย. 15, 2007 2:29 am

อ่านต่อจะเข้าใจครับ

มธ 16:13-20  เปโตรประกาศความเชื่อ
พระเยซูเจ้าเสด็จมาถึงเขตเมืองซีซารียาแห่งฟิลิปและตรัสถามบรรดาศิษย์ว่า
แก้ไขล่าสุดโดย Holy เมื่อ พฤหัสฯ. พ.ย. 15, 2007 3:13 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
Holy
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 10011
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:06 pm

พฤหัสฯ. พ.ย. 15, 2007 3:10 am

[quote="Invy"]
มธ 15:21-28 พระเยซูเจ้าทรงรักษาบุตรหญิงของหญิงชาวคานาอัน

(21) พระเยซูเจ้าเสด็จจากที่นั่น มุ่งไปเขตเมืองไทระและเมืองไซดอน
(22) ทันใดนั้นหญิงชาวคานาอันคนหนึ่งจากเขตแดนนี้ร้องว่า
Invy
โพสต์: 137
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ส.ค. 07, 2007 1:00 am
ที่อยู่: ปทุมธานี
ติดต่อ:

เสาร์ พ.ย. 17, 2007 4:11 pm

อีกนิดจะจบแล้ว  :smiley: ขอบคุณทุกคนมากที่ช่วยตอบมาตลอดครับผม

หนังสือมัทธิวบทที่ 20 : http://geocities.com/thaicapp/newbible/20.html

มธ. 20:16 "ดังนี้แหละ คนกลุ่มสุดท้ายจะกลับกลายเป็นคนกลุ่มแรก และคนกลุ่มแรกจะกลับกลายเป็นคนกลุ่มสุดท้าย" ผมไม่แน่ใจนักว่า อุปมานี้หมายความว่ายังไง แต่คิดว่ามันสะท้อนถึงสังคมปัจจุบัน คือ คนที่เป็นของพระอยู่แล้วจะไม่เป็นของพระ ส่วนคนที่ไม่เป็นของพระจะไปเป็นของพระ เหมือนที่ตะวันตกกับตะวันออกแลกเปลี่ยนศาสนากันไปเลย อีกความหมายที่ผมคิด คือ การที่เราตามรอยพระไม่ว่าจะทำมานานแค่ไหน เทียบกับคนเพิ่งทำใหม่ ทุกคนต่างได้บำเหน็จในสวรรค์เท่ากัน

ปล. อ่่านกระทู้เก่าแล้วแต่ยังไม่บรรลุทีเดียวครับ http://www.newmana.com/yabb/index.php?topic=5154.0
ภาพประจำตัวสมาชิก
Edwardius
โพสต์: 1392
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. ต.ค. 12, 2006 3:02 pm
ที่อยู่: Lamphun, Thailand

เสาร์ พ.ย. 17, 2007 11:17 pm

Invy เขียน: อีกนิดจะจบแล้ว  :smiley: ขอบคุณทุกคนมากที่ช่วยตอบมาตลอดครับผม

หนังสือมัทธิวบทที่ 20 : http://geocities.com/thaicapp/newbible/20.html

มธ. 20:16 "ดังนี้แหละ คนกลุ่มสุดท้ายจะกลับกลายเป็นคนกลุ่มแรก และคนกลุ่มแรกจะกลับกลายเป็นคนกลุ่มสุดท้าย" ผมไม่แน่ใจนักว่า อุปมานี้หมายความว่ายังไง แต่คิดว่ามันสะท้อนถึงสังคมปัจจุบัน คือ คนที่เป็นของพระอยู่แล้วจะไม่เป็นของพระ ส่วนคนที่ไม่เป็นของพระจะไปเป็นของพระ เหมือนที่ตะวันตกกับตะวันออกแลกเปลี่ยนศาสนากันไปเลย อีกความหมายที่ผมคิด คือ การที่เราตามรอยพระไม่ว่าจะทำมานานแค่ไหน เทียบกับคนเพิ่งทำใหม่ ทุกคนต่างได้บำเหน็จในสวรรค์เท่ากัน

ปล. อ่่านกระทู้เก่าแล้วแต่ยังไม่บรรลุทีเดียวครับ http://www.newmana.com/yabb/index.php?topic=5154.0
ผมว่า อันนี้ไม่ตีความเลยเถิดไปหน่อยหรือ???

หลักๆ นะ เป็นอุปมาที่บอกว่า คนที่ใกล้ชิดพระเจ้าอย่างพวกยิว จะไม่ใช่อีกต่อไป คนที่อยู่สุดปลายแผ่นดินโลกจะมาอยู่ใกล้พระเจ้ามากกว้าพวกเขา

จากที่เชื่อๆ กันในหมู่ยิวว่า คนดีพร้อมตามธรรมบัญญัติเท่านั้นจะได้ใกล้พระเมตตาพระเจ้า แต่พระเยซูทรงสำแดงความรักแก่คนบาปก่อนใคร คนที่ไม่รู้จักพระองค์ก่อนใคร
Buddy
โพสต์: 3057
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ มี.ค. 09, 2005 10:48 am
ที่อยู่: USA

อาทิตย์ พ.ย. 18, 2007 4:18 am

[quote="Holy"]
[quote="Invy"]
มธ 15:21-28 พระเยซูเจ้าทรงรักษาบุตรหญิงของหญิงชาวคานาอัน

(21) พระเยซูเจ้าเสด็จจากที่นั่น มุ่งไปเขตเมืองไทระและเมืองไซดอน
(22) ทันใดนั้นหญิงชาวคานาอันคนหนึ่งจากเขตแดนนี้ร้องว่า
ตอบกลับโพส