การค้าเสรี กับคำสอนด้านสังคมของพระศาสนจักรคาทอลิค

ถาม-ตอบพระคัมภีร์ เรื่องเสริมศรัทธา ความรู้ และสาระ บทความ ในคริสตศาสนา
ตอบกลับโพส
ภาพประจำตัวสมาชิก
Holy
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 10011
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:06 pm

ศุกร์ พ.ย. 23, 2007 5:47 am

การค้าเสรี กับคำสอนด้านสังคม
อัจฉรา  สมแสงสรวง
ศูนย์การศึกษาต่อเนื่องด้านสังคม


ตลอดเวลาแห่งประวัติศาสตร์มนุษยชาติ  เราไม่สามารถขจัดคำที่เรียก อาณานิคม ออกไปได้ การล่าอาณานิคม หรือการเข้าครอบครอง และการตกเป็นเมืองขึ้น เป็นไปเพื่อจุดเป้าหมายทางศาสนา ทางทหาร การเมือง และทางเศรษฐกิจ  โดยเฉพาะเป้าหมายหลังสุดนี้ เริ่มขึ้นตั้งแต่ทศวรรษที่ 60 เป็นต้นมา  เมื่อโลกตะวันตกที่เลือกแนวพัฒนาประเทศแบบเสรีนิยม  ได้ใช้นโยบายพัฒนาเศรษฐกิจมาเปลี่ยนวัฒนธรรมการผลิตเพื่อกินเพื่อใช้  เป็นการผลิตเพื่อขายเพื่อผลกำไร  และเพื่อผลประโยชน์กลับคืนสู่กลุ่มคนหยิบมือเดียว ซึ่งคนเหล่านี้มีโอกาสมากกว่าในระดับสังคม เข้าถึงแหล่งทุนและแหล่งเทคโนโลยีได้ง่ายกว่า  การได้เปรียบทางการผลิตที่เหนือกว่านี้ทำให้ต่างก็เร่งผลิตกันมากมาย  ไม่ช้าไม่นานก็เกิดการผลิตล้นตลาดจำเป็นต้องหาตลาดมารองรับผลผลิตส่วนเกิน และเมื่อแหล่งวัตถุดิบในประเทศของตนเริ่มร่อยหรอ จำเป็นต้องหาแหล่งวัตถุดิบในราคาถูก  ซึ่งต้องมองออกไปยังต่างประเทศ  โดยเฉพาะประเทศยากจนที่ยังมีแหล่งวัตถุดิบราคาถูก และเป็นตลาดรองรับผลผลิตส่วนเกิน ซึ่งกลไกที่ถูกใช้เป็นเครื่องมือแก้ไขภาวะล้นเกินของสินค้า และการดึงกลับซึ่งทรัพยากร รวมทั้งต้นทุนราคาถูกก็คือ การค้าระหว่างประเทศ และหากเกิดความขัดแย้งขึ้นมา ประเทศที่มีพละกำลังทางทุนนิยมสูงกว่า ก็จะใช้เงื่อนไขทางการเมืองหรือทางทหารเข้ามาแทรกแซง โดยอ้างว่ามาแก้ไขความขัดแย้ง และเพื่อดูแลผลประโยชน์ของคนในชาติที่เข้าไปอยู่ในประเทศคู่ขัดแย้ง ในที่สุดสถานภาพของประเทศคู่ค้านั้น ก็คืออาณานิคม ซึ่งบทเรียนอันขมขื่นที่ประเทศเคยตกเป็นอาณานิคมได้รับ คือ ถูกดูดกลืนทรัพยากรธรรมชาติ ถูกยัดเยียดให้ซื้อสินค้า รวมทั้งการจำต้องรับเอาวัฒนธรรมของประเทศที่เหนือกว่าเข้ามาด้วย  ในขณะที่คนในชาติของตนเองต้องตกอยู่ในสภาพที่ยากจน และด้อยโอกาสทางสังคมในหลายๆ ด้าน 

ข้อตกลงทางการค้าเสรีแบบทวิภาคี  กำลังเดินย่ำอยู่บนเส้นทางประวัติศาสตร์นี้  ประเทศที่อ่อนแอกลายเป็นอาณานิคมของประเทศทุนนิยมที่เข้มแข็ง  ซึ่งในปัจจุบันนี้ คือสหรัฐอเมริกา ที่เร่งให้ประเทศต่างๆ  จัดทำข้อตกลงทางการค้าเสรีกับตน  จากบทเรียนที่เม็กซิโก (1)  ชิลี แคนาดา และอาร์เจนตินาได้รับ ก็เป็นตัวอย่างที่กำลังบอกกับประเทศอื่นๆ ที่กำลังเดินตามมา



(1)  สหรัฐมองว่าเม็กซิโกเป็นแหล่งแรงงานราคาถูก นักลงทุนสหรัฐฯ จึงเข้าไปลงทุน โดยนำทุกสิ่งทุกอย่างเข้าไปด้วย คือเครื่องจักร เทคโนโลยีและวัตถุดิบ  นอกจากนี้ มาตรฐานสิ่งแวดล้อมของเม็กซิโกต่ำ จึงเหมาะกับอุตสาหกรรมที่ไม่สะอาดและไม่สามารถทำได้ในสหรัฐฯ ที่มีมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมเคร่งครัด  ผลกำไรที่เกิดขึ้น ก็สามารถส่งออกจากเม็กซิโกได้อย่างไม่จำกัด  ในขณะที่ชาวเม็กซิกันได้ประโยชน์คือเป็นเพียงแรงงานในโรงงานอุตสาหกรรมเท่านั้น  นอกจากนี้  เกษตรกรเม็กซิกัน ไม่สามารถปลูกข้าวโพดสู้สหรัฐฯ ได้อีกต่อไป  และหันมานำเข้าข้าวโพด 6.2 ล้านตัน ต่อปี
ภาพประจำตัวสมาชิก
Holy
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 10011
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:06 pm

ศุกร์ พ.ย. 23, 2007 5:49 am

บรรทัดฐานในการพิจารณาการค้าเสรี

บรรทัดฐานที่หนึ่ง  ตั้งอยู่บนอุดมการณ์เศรษฐกิจเสรีนิยมแนวใหม่  มองว่าทุนสำคัญกว่าคน  โดยตลาดเป็นกลไกที่สำคัญในการทำกำไร  จะมีปัจเจกบุคคล  การแข่งขัน บริโภคนิยม ซึ่งเป็นคุณค่าแบบวัตถุนิยมเป็นตัวชี้นำ  ผลที่เกิดขึ้นกับประชาชนที่เป็นผู้ผลิต คือ ผลกระทบด้านการจ้างงาน  นโยบายเกี่ยวกับภาคเกษตรต้องเปลี่ยนไปตามข้อตกลงการค้าเสรี  มาตรฐานการลงทุน และผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม 

ในขณะที่บรรทัดฐานที่สอง  ถือว่าระบบตลาดต้องถูกชี้นำด้วยหลักเกณฑ์ศีลธรรม  มีรากฐานจากจริยธรรมและศาสนธรรม  เน้นเรื่องศักดิ์ศรีและสิทธิของความเป็นบุคคลมนุษย์  และถือว่าตลาดเสรีควรเป็นเครื่องมือที่มนุษย์ได้ใช้ประโยชน์จากทรัพยากรต่างๆ รวมทั้งตอบสนองต่อความต้องการของมนุษย์ได้อย่างมีประสิทธิผล  ส่วนเสรีภาพทางเศรษฐกิจ ต้องทำให้ศักดิ์ศรีของมนุษย์ได้รับการส่งเสริม และความดีส่วนรวมได้รับการสนับสนุน (2)  ซึ่งจะมีคุณค่าแบบความเป็นมนุษย์ เป็นตัวชี้นำ เช่น ความเป็นชุมชน ความเป็นหนึ่งเดียวกัน ความยั่งยืนทางสังคม  ความผาสุกของทุกฝ่าย  และความสัมพันธ์กลมกลืนกับธรรมชาติ  หากการค้าเสรี ส่งผลกระทบต่อมนุษย์  ก็เท่ากับเป็นการท้าทายต่อจุดยืนความเป็นคริสตชน  ในแง่ที่เศรษฐกิจมิได้ทำให้เกิดความยุติธรรมต่อสังคม



(2)  พระสมณสาสน์ Centesimus Annus
ภาพประจำตัวสมาชิก
Holy
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 10011
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:06 pm

ศุกร์ พ.ย. 23, 2007 5:52 am

คำสอนด้านสังคมของพระศาสนจักรคาทอลิก

ในต้นศตวรรษที่ 19 ซึ่งเป็นห้วงเวลาที่สังคมประสบวิกฤติจากการเอารัดเอาเปรียบด้านแรงงาน พระศาสนจักรยืนยันว่า รัฐต้องเป็นหลักประกันให้ทุกส่วนของชีวิตสังคม และเศรษฐกิจบังเกิดผลดี รัฐต้องทำหน้าที่ดูแลให้การดำเนินเศรษฐกิจเป็นไปเพื่อความเท่าเทียมกันของทุกฝ่าย ด้วยเหตุผลว่า ปัจเจกบุคคล ครอบครัว และสังคม ต้องมาก่อนรัฐ (3)  มิใช่ถูกเศรษฐกิจใช้เป็นเครื่องมือเอื้อให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีอำนาจมากขึ้นในทางปฏิบัติในระบบตลาด  และไปกดให้อีกฝ่ายหนึ่งตกเป็นรองในที่สุด   

รูปภาพ

เมื่อการยืนยันว่า คนสำคัญกว่าทุน ของพระศาสนจักรชัดเจนและไม่เปลี่ยนแปลง   การค้าเสรีที่ใช้กลไกทางเศรษฐกิจนำมาซึ่งเงินตราหรือผลประโยชน์ก่อนแรงงาน  ก็สวนทางกับจุดยืนของพระศาสนจักรอย่างสิ้นเชิง  ทั้งนี้  ระบบตลาดเสรีในปัจจุบัน ได้ละเลยความเป็นมนุษย์  ตลาดเสรีไม่เคยสร้างมาตรฐานเพื่อความยุติธรรมของมนุษย์ (4)  กลไกของตลาด มิได้เป็นเวทีที่ตอบสนองความต้องการ ความขัดสนของมนุษย์อย่างแท้จริง ในทางตรงข้าม  ในเวทีค้าขายได้เบียดขับผู้คนส่วนใหญ่ของสังคมออกไป และกลายเป็นผู้ที่เสียเปรียบในเชิงผลประโยชน์ที่จะได้รับ   กลไกของตลาดเสรี ได้คุกคามคุณภาพของความเป็นมนุษย์ ในเรื่องสิทธิของผู้บริโภค ที่ต้องพึ่งพาระบบตลาด สิทธิเกษตรกรที่ต้องดำรงชีวิตจากผลผลิตในไร่นา  สิทธิของคนงานในภาคอุตสาหกรรม  สิทธิของเด็กและเยาวชน  ในระบบการศึกษา   

ดังนี้หากข้อตกลงการค้าเสรี มีแนวโน้มทำประวัติศาสตร์ให้ซ้ำรอย จากความไม่เท่าเทียมกันทางเศรษฐกิจ ที่ส่งผลต่อราคา / ต้นทุนการผลิต  มาตรฐานคุณภาพของผลผลิตที่ต้องขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของประเทศคู่ค้า และสิทธิของความเป็นเกษตรกร แรงงาน และวัฒนธรรมการผลิตของแต่ละประเทศ   พระศาสนจักรถือว่าเป็นหน้าที่ของพระศาสนจักรที่จะต้องปกป้องและนำมาซึ่งการปฏิบัติความยุติธรรม  โดยจะต้องไม่ปล่อยให้ความต้องการขั้นพื้นฐานของมนุษย์ต้องตกอยู่ในสภาพที่ถูกละเลย    คำสอนด้านสังคมเรียกร้องว่า คริสตชนต้องช่วยทำหน้าที่เป็นตัวควบคุมทางสังคมของระบบตลาด  ซึ่งมิใช่เพียงการมุ่งแก้ไขเรื่องการกระจายรายได้ที่ไม่เป็นธรรม  แต่ยิ่งไปกว่านั้น คือ การผลักดันประชาชนให้เข้าไปมีบทบาท  มีส่วนร่วมรับรู้ ร่วมตัดสินใจ และติดตามการดำเนินการของรัฐในเวทีการค้าเสรี   เพราะการที่ทุกฝ่ายเข้ามามีส่วนร่วมในกลไกตลาดมากขึ้นเท่าไร ก็จะป้องกันการล้อมกรอบเพื่อผลประโยชน์ของพวกผู้มีอำนาจทางเศรษฐกิจมากขึ้นเท่านั้น  และเพื่อมิให้ศักดิ์ศรีของตัวเราเอง ความเป็นกลุ่ม ชุมชน และสังคม ต้องถูกล่วงละเมิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า 



3 พระสมณสาสน์ Rerum Novarum

4 พระสันตะปาปา จอห์น ปอล ที่ 2
แก้ไขล่าสุดโดย Holy เมื่อ ศุกร์ พ.ย. 23, 2007 5:55 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
Holy
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 10011
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:06 pm

ศุกร์ พ.ย. 23, 2007 5:54 am

พระศาสนจักรดำเนินการอะไรบ้างหรือยัง

ความเป็น
ตอบกลับโพส