การเป็นอาสาสมัครในทัศนะของชาวคริสต์ มี 2 บทบาทที่สำคัญ บทบาทแรก เป็นการเดินตามพระเยซู - ชาวนาซาเร็ธในฐานะศิษย์ที่เป็นส่วนหนึ่งของชุมชนคริสตชน บทบาทที่สอง ในฐานะพลเมืองผู้ทำงานร่วมกันกับผู้อื่นเพื่อสร้างสรรค์สังคม และเพื่อความดีส่วนรวมของทุกคน
แนวคิดของการเป็นอาสาสมัครมิใช่เรื่องการเป็น ' ฮีโร่ ' การอุทิศตนเป็นอาสาสมัคร เป็นผลสืบเนื่องมาจากแรงจูงใจคริสตชน และปรากฏเป็นภาคปฏิบัติของการทำงานในฐานะที่เป็นพลเมือง ซึ่งผูกเรื่อง 2 เรื่อง เข้าด้วยกัน คือความรับผิดชอบและการเสียสละอุทิศตนเพื่อความยุติธรรม
มีหลักเกณฑ์พื้นฐาน 2 ประการ ที่กล่าวว่า งานอาสาสมัครเป็นหน้าที่ของคริสตชน
หลักเกณฑ์ที่ 1 จุดยืนพระคัมภีร์ต่อเรื่องความห่วงใยในคนยากจน
เอกลักษณ์ของพระเจ้าในพระคัมภีร์ เป็นพระเจ้าผู้ดำรงอยู่ในความสัมพันธ์กับสรรพสิ่ง กับมนุษย์ โดยมีความรักเป็นหลักยึดเอก ไม่ใช่การครอบครองหรือการกีดกัน เรื่องราวที่เกิดขึ้นกับชาวอิสราเอลในแคว้นไซนาย สะท้อนถึงการสอนให้มนุษย์ปฏิบัติความรักในความสัมพันธ์ที่มีต่อกัน ไม่ว่าจะเป็นการดูแลผู้ที่อ่อนแอ หญิงม่ายและเด็กกำพร้า (อพย.22 : 21) เป็นการปฏิบัติความรักที่เต็มไปด้วยความกรุณาปรานีและความเมตตา
หลักเกณฑ์ที่ 2 การเป็นศิษย์ติดตามพระเยซู
เช่นเดียวกัน ในการเป็นศิษย์ติดตามพระเยซูของมนุษย์นั้น อาณัติเอกที่พระเจ้าทรงมอบ คือ จงรักกันและกันเหมือนเรารักท่าน (ยน.13 : 34-35) และจงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเองจากตัวอย่างของชาวสะมาเรียผู้ใจดี (ลก.10 : 25 - 37) ซึ่ง 'เพื่อนบ้าน' มิใช่คนที่อยู่รอบข้างเท่านั้น แต่ขยายไปถึงคนที่สังคมไม่ยอมรับคนที่เป็น 'ศัตรู' จากความขัดแย้งทางการเมือง และจากบทสอนเรื่องการปฏิบัติกับผู้อื่นในบุญลาภแปดประการ
ผู้มีใจยากจนย่อมเป็นสุข เพราะอาณาจักรสวรรค์เป็นของเขา, ผู้เป็นทุกข์โศกเศร้าย่อมเป็นสุข เพราะเขาจะได้รับการปลอบโยน, ผู้มีใจอ่อนโยนย่อมเป็นสุข เพราะเขาจะได้รับแผ่นดินเป็นมรดก, ผู้หิวกระหายความชอบธรรม ย่อมเป็นสุข เพราะเขาจะอิ่ม, ผู้มีใจเมตตา ย่อมเป็นสุข เพราะเขาได้รับพระเมตตา, ผู้มีใจบริสุทธิ์ ย่อมเป็นสุข เพราะเขาจะได้เห็นพระเจ้า, ผู้สร้างสันติย่อมเป็นสุข เพราะเขาจะได้ชื่อว่าเป็นบุตรของพระเจ้า, ผู้ถูกเบียดเบียนข่มเหงเพราะความชอบธรรม ย่อมเป็นสุข เพราะอาณาจักรสวรรค์เป็นของเขา (มธ. 5 : 3 -10)
ทั้งนี้ บทสอนแปดประการดังกล่าว ได้ทำให้การเอาใจใส่ผู้อื่นเป็นหัวใจของผู้ดำเนินชีวิตอาสาสมัครด้วยเช่นกัน และในการยืนยันความเชื่อของวิถีคริสตชนที่แท้จริงนั้น ก็ไม่มีสิ่งใดที่สำคัญเท่ากับบทพิสูจน์การปฏิบัติความรักและความเมตตาแก่ผู้อื่น โดยเฉพาะผู้ที่ต่ำต้อย ผู้ที่เดือดร้อน ดังบทพิพากษาสุดท้ายที่เตือนทุกคนไว้เสมอว่า "ถ้าท่านมิได้กระทำแก่ผู้ต่ำต้อยที่สุดสักคนหนึ่ง ท่านก็มิได้กระทำแก่เราด้วย ถ้าท่านกระทำแก่คนใดคนหนึ่งในบรรดาพี่น้องของเรา ท่านก็กระทำแก่เราด้วย" (มธ.25)

พระเยซูเจ้าทรงส่งสานุศิษย์ของพระองค์ไปทำงาน 'อาสาสมัคร' ตลอดระยะเวลา ไม่ว่าจะเป็นการไปรักษาคนเจ็บป่วย ช่วยให้คนที่ถูกผีสิงได้หาย คนป่วยโรคเรื้อนได้หายสะอาด และยังสอนต่อไปอีกว่า จงให้เปล่าๆ ในสิ่งที่ท่านได้รับมาเปล่าๆ (มธ.10, 8) ดังนี้ในงานประกาศข่าวดีใดๆ หรืองานอาสาสมัคร (หากเรียกขานในปัจจุบัน) จำเป็นอย่างยิ่งที่เราต้องให้และทุ่มเท อย่างไม่มีข้อผูกมัดใดๆ ทำงานอย่างไม่หวังผลตอบแทนใดๆ