ทำไม "หมู" จึงมลทิน
เล็ก ๆ น้อย ๆ ครับ เพราะว่าอ่านเจอคนที่อยากรู้เรื่องนี้
เงื่อนไขที่จะสะอาดนั้นมี 2 อย่างคือ "เคี้ยวเอื้อง" และ "แยกกีบ"
"หมู" มลทินเพราะมีแต่แยกกีบ แต่ไม่เคี้ยวเอื้อง
ไม่ใช่สกปรกเพราะมันอยู่ในเล้าที่สกปรก หรือมันชอบเลนตรมแล้วสกปรก ถ้าอย่างนั้นพระคัมภีร์ไม่ต้องเขียนก็ได้
เพราะเรื่องแค่นี้ใคร ๆ ก็รู้ครับ
แต่ความหมายที่แท้จริง และลึกซึ้งนั้น มันเป็นเรื่องราวของ "จิตวิญญาณ" ต่างหาก
คนที่อยู่กับพระเจ้า หมายถึงคนที่มีจิตใจของพระเจ้า และคนที่จะมีจิตใจของพระเจ้า ก็ต้องมีพระคำของพระเจ้า
แต่หลายครั้งทุกคนเชื่อจิตสำนึกของตัวเองมากกว่าพระคำของพระเจ้า
"เคี้ยวเอื้อง" เป็นกระบวนการย่อยอาหารของสัตว์ที่มี 4 กระเพาะ โดยการสำรอกสิ่งที่เคี้ยวเข้าไปเพื่อกลับมาเคี้ยวอีกครั้ง
แต่หลายคนกินพระคำแบบ "หมู" ฟังมากมาย อ่านมากมาย ท่องมากมาย แต่ไม่เคยเข้าไปในใจสักอย่างเดียว
มีแต่ความรู้ แต่ไม่เคยเอาพระคำที่มีอยู่ในพระคัมภีร์มาเคี้ยวอีกครั้ง....
ต่อหน้าสถานการณ์ที่ยากลำบาก ต่อหน้าข้อเสียของตัวเอง ทุกคนพ่ายแพ้กับมัน แล้วพยายามแก้ไขด้วยตัวเอง
แต่ไม่เคยพึ่งพาพระคำ คนนี้คือสกปรก
"สกปรก" ไม่ใช่เพราะมีนิสัยไม่ดี แต่สกปรกเพราะว่าไม่ใช่ใช้พระคำที่มีอยู่ออกมาต่อสู้กับจิตใจของตัวเอง แต่เข้าหูซ้าย แล้วออกขวา
คนที่เชื่อพระเจ้า ต้องแยกให้ออกว่าอะไรคือ "ความคิดของตัวเอง" หรืออะไรคือ "พระทัยของพระเจ้า"
แต่หลายคนใช้ชีวิตไม่เคย "แยกแยะ" ไม่เคยสนใจว่าต้อง "แยกกีบ" อย่างไง แล้วก็ใช้ชีวิตไปเรื่อย ๆ เท่านั้น
สกปรก ไม่ใช่มีนิสัยไม่ได้ แต่เพราะว่าไม่เคยสนใจว่าจิตใจของพระเจ้ามองเรื่องนั้น ๆ อย่างไง แต่ยัง "ยืนยัน" ความคิดของตัวเองอยู่
ยังมองไม่ออกว่านี่คือจิตใจของใคร แล้วก็ไม่สนใจจิตใจพระเจ้า แยกไม่ออก คนนี้สกปรก
ขอบคุณครับ
089-8028996, 089-4948458
เงื่อนไขที่จะสะอาดนั้นมี 2 อย่างคือ "เคี้ยวเอื้อง" และ "แยกกีบ"
"หมู" มลทินเพราะมีแต่แยกกีบ แต่ไม่เคี้ยวเอื้อง
ไม่ใช่สกปรกเพราะมันอยู่ในเล้าที่สกปรก หรือมันชอบเลนตรมแล้วสกปรก ถ้าอย่างนั้นพระคัมภีร์ไม่ต้องเขียนก็ได้
เพราะเรื่องแค่นี้ใคร ๆ ก็รู้ครับ
แต่ความหมายที่แท้จริง และลึกซึ้งนั้น มันเป็นเรื่องราวของ "จิตวิญญาณ" ต่างหาก
คนที่อยู่กับพระเจ้า หมายถึงคนที่มีจิตใจของพระเจ้า และคนที่จะมีจิตใจของพระเจ้า ก็ต้องมีพระคำของพระเจ้า
แต่หลายครั้งทุกคนเชื่อจิตสำนึกของตัวเองมากกว่าพระคำของพระเจ้า
"เคี้ยวเอื้อง" เป็นกระบวนการย่อยอาหารของสัตว์ที่มี 4 กระเพาะ โดยการสำรอกสิ่งที่เคี้ยวเข้าไปเพื่อกลับมาเคี้ยวอีกครั้ง
แต่หลายคนกินพระคำแบบ "หมู" ฟังมากมาย อ่านมากมาย ท่องมากมาย แต่ไม่เคยเข้าไปในใจสักอย่างเดียว
มีแต่ความรู้ แต่ไม่เคยเอาพระคำที่มีอยู่ในพระคัมภีร์มาเคี้ยวอีกครั้ง....
ต่อหน้าสถานการณ์ที่ยากลำบาก ต่อหน้าข้อเสียของตัวเอง ทุกคนพ่ายแพ้กับมัน แล้วพยายามแก้ไขด้วยตัวเอง
แต่ไม่เคยพึ่งพาพระคำ คนนี้คือสกปรก
"สกปรก" ไม่ใช่เพราะมีนิสัยไม่ดี แต่สกปรกเพราะว่าไม่ใช่ใช้พระคำที่มีอยู่ออกมาต่อสู้กับจิตใจของตัวเอง แต่เข้าหูซ้าย แล้วออกขวา
คนที่เชื่อพระเจ้า ต้องแยกให้ออกว่าอะไรคือ "ความคิดของตัวเอง" หรืออะไรคือ "พระทัยของพระเจ้า"
แต่หลายคนใช้ชีวิตไม่เคย "แยกแยะ" ไม่เคยสนใจว่าต้อง "แยกกีบ" อย่างไง แล้วก็ใช้ชีวิตไปเรื่อย ๆ เท่านั้น
สกปรก ไม่ใช่มีนิสัยไม่ได้ แต่เพราะว่าไม่เคยสนใจว่าจิตใจของพระเจ้ามองเรื่องนั้น ๆ อย่างไง แต่ยัง "ยืนยัน" ความคิดของตัวเองอยู่
ยังมองไม่ออกว่านี่คือจิตใจของใคร แล้วก็ไม่สนใจจิตใจพระเจ้า แยกไม่ออก คนนี้สกปรก
ขอบคุณครับ
089-8028996, 089-4948458
ห้ามไว้เพราะว่ามันสกปรกไงคะOasis_Thai_DeSeRT เขียน: .
เท่าที่ผมทราบ และเคยถามอิสลามไม่กินหมู เพราะไม่ใช่เพราะสกปรก แต่เป็นเพราะในพระคัมภีร์ของเขากล่าวห้ามไว้
.
ลักษณะการตีความของเจ้าของกระทู้เป็นการตีความ อีกแนวหนึ่ง ซึ่งอาจจะถูกหรือผิดก็ได้
ผมเห็นว่าพระเยซูเคยตรัสถึงคนที่ฟังพระวาจาแล้วไม่นำมาปฏิบัติหรือพิจารณาใหม่ไว้แล้วในอุปมา ผู้หว่าน และ การสร้างบ้าน พระองค์ไม่ได้เปรียบว่าเขาสกปรก
และผมมั่นใจว่า พระธรรมเดิมชาวอิสราเอลไม่กินหมูตามนั้นจริงๆ ดังนั้น บทนี้เขาก็ตีความตรงๆตามตัวมานาน อาจเพิ่งมีการตีความแบบใหม่ตามแบบเจ้าของกระทู้เป็นครั้งแรกครับ
ผมเห็นว่าพระเยซูเคยตรัสถึงคนที่ฟังพระวาจาแล้วไม่นำมาปฏิบัติหรือพิจารณาใหม่ไว้แล้วในอุปมา ผู้หว่าน และ การสร้างบ้าน พระองค์ไม่ได้เปรียบว่าเขาสกปรก
และผมมั่นใจว่า พระธรรมเดิมชาวอิสราเอลไม่กินหมูตามนั้นจริงๆ ดังนั้น บทนี้เขาก็ตีความตรงๆตามตัวมานาน อาจเพิ่งมีการตีความแบบใหม่ตามแบบเจ้าของกระทู้เป็นครั้งแรกครับ
ถ้าพระคัมภีร์เขียนไว้เพื่อให้มนุษย์แค่รักษาสุขภาพ และอย่ากินเพราะว่ามัน "สกปรก"
ผมว่า ไม่ต้องอ่านพระคัมภีร์ใคร ๆ ก็รู้ว่าถ้าอาหารสกปรกก็อย่ากิน...
พระคัมภีร์ ไม่ใช่มีแต่ "คำสั่ง" แต่ที่สำคัญคือในนั้นมี "จิตใจ" ของพระเจ้าด้วย
และไม่ใช่แค่เรื่องของ "อิสลาม" แต่เป็นเรื่องของ "มนุษย์" ทุกคน
พระคำของพระเจ้า ต้องการให้มนุษย์ได้มีโอกาสรับรู้จิตใจของพระองค์
แต่มนุษย์กลับฟังเป็นเพียงแค่ "ศาสนา" หรือฟังเป็นเพียงแค่ "พระบัญญัติ" ที่ต้องทำตาม
มนุษย์ไม่ได้เป็นคนสะอาดเพียงเพราะแค่ไม่กินหมู
แต่มนุษย์จะเป็นคนสะอาดก็ต่อเมื่อเข้าใจจิตใจของพระเจ้าจากพระคัมภีร์
ถ้าคุณคิดแค่ว่ามันสกปรก พระเจ้าจึงไม่ให้กิน
ผมว่าคุณไปอ่านหนังสือ "ใกล้หมอ" หรือหนังสือ "ชีวจิต" ก็ได้ครับ
ผมว่า ไม่ต้องอ่านพระคัมภีร์ใคร ๆ ก็รู้ว่าถ้าอาหารสกปรกก็อย่ากิน...
พระคัมภีร์ ไม่ใช่มีแต่ "คำสั่ง" แต่ที่สำคัญคือในนั้นมี "จิตใจ" ของพระเจ้าด้วย
และไม่ใช่แค่เรื่องของ "อิสลาม" แต่เป็นเรื่องของ "มนุษย์" ทุกคน
พระคำของพระเจ้า ต้องการให้มนุษย์ได้มีโอกาสรับรู้จิตใจของพระองค์
แต่มนุษย์กลับฟังเป็นเพียงแค่ "ศาสนา" หรือฟังเป็นเพียงแค่ "พระบัญญัติ" ที่ต้องทำตาม
มนุษย์ไม่ได้เป็นคนสะอาดเพียงเพราะแค่ไม่กินหมู
แต่มนุษย์จะเป็นคนสะอาดก็ต่อเมื่อเข้าใจจิตใจของพระเจ้าจากพระคัมภีร์
ถ้าคุณคิดแค่ว่ามันสกปรก พระเจ้าจึงไม่ให้กิน
ผมว่าคุณไปอ่านหนังสือ "ใกล้หมอ" หรือหนังสือ "ชีวจิต" ก็ได้ครับ
คนส่วนใหญ่อ่านพระคัมภีร์ด้วยจิตใจของตัวเอง ก็ตีความตามตัวอักษร
คุณอาจจะคิดว่าผมมันคนอวดรู้ ทำเป็นตีความพระคำ แต่ไม่เป็นไรครับ ผมเชื่อว่าก็คงมีคนที่ใจกว้างพอที่จะอ่านมัน
"พระคำ" เป็นสิ่งที่ใคร ๆ ก็อ่านได้
แต่ไม่ใช่ทุกคนที่ "เคี้ยวเอื้อง" และ "แยกกีบ"
บางครั้งดูเหมือนว่าพระเจ้าสั่งให้ทำ แต่ถ้าไม่เข้าใจจิตใจของพระเจ้า ก็พยายามทำตามตัวอักษรนั้น แต่ "แยกแยะ" ระหว่าง
"อักษร" กับ "จิตใจ" ไม่ได้.... ระหว่าง "เนื้อหนัง" กับ "จิตวิญญาณ" ไม่ได้ นี่ก็คือมลทิน
(1 ทิโมธี 1 : 8..... "พระบัญญัตินั้นดี ถ้าผู้ใดใช้ให้ถูก" พระคำเขียนไว้ แต่ต้องเข้าใจให้ถูกต้องตามจิตใจของพระเจ้า)
ถ้าเราเข้าใจจิตใจของพระเจ้า พระคำนั้นก็จะเข้ามาในใจ แต่ไม่ใช่เข้ามาเพียงแค่ "ความรู้" ในสมอง แต่เข้าไปในจิตใจ
ถ้าเข้ามาในใจ ก็ชนะกับ "สถาการณ์" ที่ยากลำบาป ไม่ว่าจะเป็นความทุกข์ใจ ข่อเสียของตัวเอง ฯลฯ และพระคำนั้น
ก็จะ "สำรอก" ออกมา "เคี้ยวเอื้อง" และใช้ต่อสู้กับเสียงของมาร หรือกับสถานการณ์ได้
แต่คนส่วนใหญ่อ่านพระคำด้วยจิตใจของตัวเอง และเก็บไว้เป็นเพียงแค่ความรู้
สุดท้ายก็ต้องล้มกับสถานการณ์ กับจิตใจของตัวเอง และจากการล่อลวงของมาร เพราะเป็นเพียงแค่คนอ่าน
แต่ไม่แยกกีบ และเคี้ยวเอื้อง คนนี้ "มลทิน"
ขอบคุณครับ
คุณอาจจะคิดว่าผมมันคนอวดรู้ ทำเป็นตีความพระคำ แต่ไม่เป็นไรครับ ผมเชื่อว่าก็คงมีคนที่ใจกว้างพอที่จะอ่านมัน
"พระคำ" เป็นสิ่งที่ใคร ๆ ก็อ่านได้
แต่ไม่ใช่ทุกคนที่ "เคี้ยวเอื้อง" และ "แยกกีบ"
บางครั้งดูเหมือนว่าพระเจ้าสั่งให้ทำ แต่ถ้าไม่เข้าใจจิตใจของพระเจ้า ก็พยายามทำตามตัวอักษรนั้น แต่ "แยกแยะ" ระหว่าง
"อักษร" กับ "จิตใจ" ไม่ได้.... ระหว่าง "เนื้อหนัง" กับ "จิตวิญญาณ" ไม่ได้ นี่ก็คือมลทิน
(1 ทิโมธี 1 : 8..... "พระบัญญัตินั้นดี ถ้าผู้ใดใช้ให้ถูก" พระคำเขียนไว้ แต่ต้องเข้าใจให้ถูกต้องตามจิตใจของพระเจ้า)
ถ้าเราเข้าใจจิตใจของพระเจ้า พระคำนั้นก็จะเข้ามาในใจ แต่ไม่ใช่เข้ามาเพียงแค่ "ความรู้" ในสมอง แต่เข้าไปในจิตใจ
ถ้าเข้ามาในใจ ก็ชนะกับ "สถาการณ์" ที่ยากลำบาป ไม่ว่าจะเป็นความทุกข์ใจ ข่อเสียของตัวเอง ฯลฯ และพระคำนั้น
ก็จะ "สำรอก" ออกมา "เคี้ยวเอื้อง" และใช้ต่อสู้กับเสียงของมาร หรือกับสถานการณ์ได้
แต่คนส่วนใหญ่อ่านพระคำด้วยจิตใจของตัวเอง และเก็บไว้เป็นเพียงแค่ความรู้
สุดท้ายก็ต้องล้มกับสถานการณ์ กับจิตใจของตัวเอง และจากการล่อลวงของมาร เพราะเป็นเพียงแค่คนอ่าน
แต่ไม่แยกกีบ และเคี้ยวเอื้อง คนนี้ "มลทิน"
ขอบคุณครับ
ก็เพราะว่าเข้าใจว่า พระเจ้าสั่งให้ทำ ถ้าทำได้ก็จะเป็นที่พอพระทัยพระเจ้าแบกะดิน เขียน: แล้วอิสลามไม่กินหมูเพราะอะไรอ่ะ ?
ก็ไม่ต่างอะไรกับหลาย ๆ คนที่พยายามทำดีตามพระคัมภีร์ แต่ไม่เข้าใจจิตใจของพระคำนั้น ๆ
"จงรักพระเจ้าสุดจิตสุดใจ สุดกำลัง สุดความคิด" "รักเพื่อนบ้านเหมือนรักตัวเอง".....
ทุกคนก็พยายามทำกันอย่างขะมักขะเม้น แต่ไม่เข้าใจถึงจิตใจของพระเจ้าที่สั่งแบบนี้ นี่ก็ไม่ต่างอะไรกับอิสลามเลย....
พอทำได้ก็สบายใจ มั่นใจ... แต่พอทำไม่ได้ก็เริ่มกังวล แล้วก็แก้ปัญหาโดยการ "สารภาพบาป" แล้วก็สัญญากับพระเจ้าอีก
คนนี้ยังไม่เข้าใจจิตใจของพระบัญญัติ 2 ข้อนี้
พระคำของพระเจ้า พวกเราควรจะเข้าใจจริง ๆ ไม่ใช่เข้าใจตามตัวอักษรเฉย ๆ ถ้าอย่างนั้น ก็เป็นเพียงแค่หนังสือ"ศาสนา"ธรรมดา ๆ เล่มหนึ่งเท่านั้น
- thanachard
- โพสต์: 134
- ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ต.ค. 30, 2007 3:00 pm
- ที่อยู่: ฺBangkok, Thailand
ไม่ใช่แค่มุสลิมที่กินหมูไม่ได้
ชาวยิวก็ไม่กินหมูนะครับ
เหตุผลหลักก็คือ พระเจ้าทรงห้ามไว้ครับ
มีบันทึกในไบเบิลพันธสัญญาเดิม (ชาวยิวยอมรับเฉพาะพันธสัญญาเดิม)
และในมีบันทึกในอัลกุรอาน (ชาวมุสลิมยอมรับในคัมภีร์นี้เป็นหลักครับ)
เหตุผลรองที่ยกมาอ้างได้ คือ หมูเป็นสัตว์สกปรก กินได้ไม่เลือก มีไขมัน และพยาธิที่เป็นอันตรายสูงครับ
แต่คำของคุณแบกะดินก็ OK นะครับ
แต่ถ้าพยายามรักษาพระบัญญัติได้ด้วยความศรัทธาก็ย่อมเป็นสิ่งที่ดีครับ
ชาวยิวก็ไม่กินหมูนะครับ
เหตุผลหลักก็คือ พระเจ้าทรงห้ามไว้ครับ
มีบันทึกในไบเบิลพันธสัญญาเดิม (ชาวยิวยอมรับเฉพาะพันธสัญญาเดิม)
และในมีบันทึกในอัลกุรอาน (ชาวมุสลิมยอมรับในคัมภีร์นี้เป็นหลักครับ)
เหตุผลรองที่ยกมาอ้างได้ คือ หมูเป็นสัตว์สกปรก กินได้ไม่เลือก มีไขมัน และพยาธิที่เป็นอันตรายสูงครับ
แต่คำของคุณแบกะดินก็ OK นะครับ
แต่ถ้าพยายามรักษาพระบัญญัติได้ด้วยความศรัทธาก็ย่อมเป็นสิ่งที่ดีครับ
แก้ไขล่าสุดโดย thanachard เมื่อ พฤหัสฯ. ธ.ค. 13, 2007 10:27 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
หมูเป็นสัตว์ชนิดหนึ่งที่พี่ไม่ค่อยชอบกิน ชอบกินเนื้อสัตว์กินหญ้าพวกเนื้อวัวมากกว่ามันสะอาดดี
ส่วนพระคัมภีร์ห้ามพี่ว่าเพราะมันไม่สะอาจมากกว่าตัวอย่างเช่น พวกแมลงไม่มีขากระโดดพระคัมภีร์ห้ามกินเพราะขากระโดดมันสะอาจกว่าแมลงไม่มีขากระโดด แล้วภาชนะอะไรที่จิ้งจกตกใส่ต้องเป็นมลทินจะต้องแช่น้ำหนึ่งวัน
ส่วนพระคัมภีร์ห้ามพี่ว่าเพราะมันไม่สะอาจมากกว่าตัวอย่างเช่น พวกแมลงไม่มีขากระโดดพระคัมภีร์ห้ามกินเพราะขากระโดดมันสะอาจกว่าแมลงไม่มีขากระโดด แล้วภาชนะอะไรที่จิ้งจกตกใส่ต้องเป็นมลทินจะต้องแช่น้ำหนึ่งวัน
แก้ไขล่าสุดโดย Joseph เมื่อ ศุกร์ ธ.ค. 28, 2007 2:52 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
หมูมันมีไข่พยาธิและมีสารที่ความร้อนฆ่าไม่ได้เลยมีมลทิล
ก็เหมือนปลาปักเป้ามีพิษกินแล้วตาย หมูมีพิษกินแล้วเป็นโรค รักษาสุขภาพกานดีกว่า
ก็เหมือนปลาปักเป้ามีพิษกินแล้วตาย หมูมีพิษกินแล้วเป็นโรค รักษาสุขภาพกานดีกว่า
Joseph เขียน: หมูเป็นสัตว์ชนิดหนึ่งที่พี่ไม่ค่อยชอบกิน ชอบกินเนื้อสัตว์กินหญ้าพวกเนื้อวัวมากกว่ามันสะอาดดี
ส่วนพระคัมภีร์ห้ามพี่ว่าเพราะมันไม่สะอาจมากกว่าตัวอย่างเช่น พวกแมลงไม่มีขากระโดดพระคัมภีร์ห้ามกินเพราะขากระโดดมันสะอาจกว่าแมลงไม่มีขากระโดด แล้วภาชนะอะไรที่จิ้งจกตกใส่ต้องเป็นมลทินจะต้องแช่น้ำหนึ่งวัน
ทำเสียดายกับหลาย ๆ คนที่มีโอกาสอ่านพระคัมภีร์ แต่ยังอ่านพระคัมภีร์แค่ตาม "ตัวอักษร"......
อย่างที่ผมเคยบอกแหละครับว่า ถ้าพระคำเป็นเพียงสิ่งที่สอนเกี่ยวกับเนื้อหนัง ผมว่าอ่านหนังสือสุขภาพทั่วไปที่คนทางโลกเขาเขียนก็ได้
ถ้าอ่านพระคำด้วยจิตใจของมนุษย์ มันก็ไม่สามารถรู้จิตใจของพระเจ้าได้
เช่นเดียวกันกับเรื่อง "แมลงที่มีขากระโดด" พระเจ้าตรัสว่ากินได้ เพราะอะไร?....
"โลก" หมายถึง "เนื้อหนัง" "มารซาตาน" "กิเลสตัณหา" "ความคิด" (ดิน หมายถึง มนุษย์)
แต่สัตว์ที่สะอาด หมายถึงเขาเรียนรู้ที่จะ "กระโดด" หรือดีดตัวออกจากสิ่งที่โลกนี้สอนมา ออกจากความคิด ออกจากมาตราฐานของตัวเอง
ถ้ามนุษย์ไม่ออกจากความคิดของตัวเอง ก็เป็นสัตว์สกปรกตลอดไป
"สกปรก" ไม่ได้หมายความว่าทำสิ่งไม่ดี แต่หมายถึงคนที่ยังไม่เคยออกจากตัวเอง พระเจ้าให้พระบัญญัติเพื่อให้ทุกคนยอมรับว่าทำไม่ได้
แต่ทุกคนคิดว่าน่าจะทำได้ แล้วก็พยายามทำกันอย่างเต็มที่ หมายความว่ายังไม่ยอมแพ้กับตัวเอง ยังมั่นใจในการประพฤติ แล้วก็ถูกมาร
จูงนำด้วยความคิดว่า "เจ้าต้องทำได้ แม้ว่ามันยากหน่อย แต่พยายามเข้า" คนนี้ยังไม่เคยกระโดดออกจากมาตราฐานของหลักจริยธรรม
เข้าสู่โลกแห่งความจริงของพระเยซู ซึ่งก็คือ "มนุษย์เป็นคนที่ทำดีไม่ได้ แต่วางใจในพระเยซูเท่านั้น"
แต่หลายคนคือเชื่อพระเยซูด้วย เชื่อการกระทำของตัวเองด้วย แล้วก็ช่วยพระเยซูทำดีกันใหญ่ นี่คือ "มลทิน"
แค่นี้ก่อนแล้วกันนะครับ หลัวว่าคงเข้าใจบ้างนะครับ
089-4948452
ครับ สวัสดีครับ โห นี่เกือบปีเลยเหรอเนี่ย? พอดีตอนนี้ย้ายมาอยู่ที่นครสวรรค์นะครับ
กำลังยุ่งอยู่กับเรื่องนักศึกษาที่จะถูกส่งไปเป็นมิชชันนารีชั่วคราวที่ต่างประเทศนะครับ
ที่สำคัญ ที่บ้านไม่มีอินเตอร์เน็ตครับ 55555
แบบว่าเงินไม่มีนะครับ พอดีเจอร้านถูก ๆ ก็เลยพอจะเข้ามาแจมได้บ้าง
คงมีโอกาสได้คุยกันอีกนะครับ
กำลังยุ่งอยู่กับเรื่องนักศึกษาที่จะถูกส่งไปเป็นมิชชันนารีชั่วคราวที่ต่างประเทศนะครับ
ที่สำคัญ ที่บ้านไม่มีอินเตอร์เน็ตครับ 55555
แบบว่าเงินไม่มีนะครับ พอดีเจอร้านถูก ๆ ก็เลยพอจะเข้ามาแจมได้บ้าง
คงมีโอกาสได้คุยกันอีกนะครับ
ต้องได้คุยกันแน่Chay เขียน: ครับ สวัสดีครับ โห นี่เกือบปีเลยเหรอเนี่ย? พอดีตอนนี้ย้ายมาอยู่ที่นครสวรรค์นะครับ
กำลังยุ่งอยู่กับเรื่องนักศึกษาที่จะถูกส่งไปเป็นมิชชันนารีชั่วคราวที่ต่างประเทศนะครับ
ที่สำคัญ ที่บ้านไม่มีอินเตอร์เน็ตครับ 55555
แบบว่าเงินไม่มีนะครับ พอดีเจอร้านถูก ๆ ก็เลยพอจะเข้ามาแจมได้บ้าง
คงมีโอกาสได้คุยกันอีกนะครับ
นครสวรรค์ง่ายกว่าที่ตากเยอะนิ
มิใช่สิ่งซึ่งเข้าไปในปากจะทำให้มนุษย์เป็นมลทิน แต่สิ่งซึ่งออกมาจากปากนั้นแหละทำให้มนุษย์เป็นมลทิน
มนุษย์สนในสิ่งที่เข้าไปในปาก มากกว่าสิ่งที่ออกมาจากใจ
แล้วก็พยายามกินสิ่งดี ๆ พยายามทำดี ประพฤติดี โดยที่ไม่รู้จักว่า "จิตใจ" ของมนุษย์เสื่อมทรามแค่ไหน
สดุดี 104 ... "ซอกหิน ภูเขา เป็นที่ลี้ภัยของตัวกระจงผา"...
การที่เกิดมาเป็นสัตว์ที่อ่อนแอ มันไม่ใช่ปัญหา ตัวกระจงผา อย่างไงก็เป็นตัวกระจงผา
แต่ที่สำคัญ มันต้องเข้าไปใน "หิน" (พระเยซู) ต่างหาก
แต่ "ศาสนา" ต่างก็สอนกันว่าให้พยายามทำดี เป็นคนดี เปลี่ยนแปลงนิสัย ทำบุญ อย่าคิดชั่ว ถวายเงินเยอะๆ อดอาหารมาก ๆ
ศาสนา ไม่เคยสอนถึง "ธรรมชาติ" ของมนุษย์ แต่กลับสอนให้มนุษย์พยายามเป็นสัตว์ใหญ่ให้ได้
นั่นหมายความว่าสอนให้ไม่พึ่งพา "ซอกหิน" (พระคุณของพระเยซู)
ขอบคุณครับ
ปล. ถ้ามีตังค์คงได้มาเช็คอีกนะครับ 555
089-4948458
แล้วก็พยายามกินสิ่งดี ๆ พยายามทำดี ประพฤติดี โดยที่ไม่รู้จักว่า "จิตใจ" ของมนุษย์เสื่อมทรามแค่ไหน
สดุดี 104 ... "ซอกหิน ภูเขา เป็นที่ลี้ภัยของตัวกระจงผา"...
การที่เกิดมาเป็นสัตว์ที่อ่อนแอ มันไม่ใช่ปัญหา ตัวกระจงผา อย่างไงก็เป็นตัวกระจงผา
แต่ที่สำคัญ มันต้องเข้าไปใน "หิน" (พระเยซู) ต่างหาก
แต่ "ศาสนา" ต่างก็สอนกันว่าให้พยายามทำดี เป็นคนดี เปลี่ยนแปลงนิสัย ทำบุญ อย่าคิดชั่ว ถวายเงินเยอะๆ อดอาหารมาก ๆ
ศาสนา ไม่เคยสอนถึง "ธรรมชาติ" ของมนุษย์ แต่กลับสอนให้มนุษย์พยายามเป็นสัตว์ใหญ่ให้ได้
นั่นหมายความว่าสอนให้ไม่พึ่งพา "ซอกหิน" (พระคุณของพระเยซู)
ขอบคุณครับ
ปล. ถ้ามีตังค์คงได้มาเช็คอีกนะครับ 555
089-4948458
-
- โพสต์: 973
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ธ.ค. 04, 2006 9:33 pm
- ที่อยู่: Virtusian's House of Prayer,Thailand
- ติดต่อ:
ขออนุญาตร่วมแสดงความเห็นสักเล็กน้อย!
เพื่อให้พี่น้องเราที่อยู่ในช่วงมหาพรตได้หวนกลับไปอ่านพระคัมภีร์มากขึ้น
บทสดุดีที่ 104 นี้มักถูกนำมายกเสมอๆเพราะเป็นหนึ่งในสดุดีที่มีความไพเราะมากและเป็นคู่กับ บทสดุดี 103
"วิญญาณของข้าพเจ้าเอ๋ย จงถวายพระพรแด่พระยาห์เวห์เถิด"
เป็นบทเร้าให้สรรเสริญพระเป็นเจ้าที่ปรากฎทั้งในบทที่ 103,104
สำหรับ
"ภูเขาสูงเป็นอาศัยของเลียงผา หินผาเป็นที่หลบภัยของตัวอ้น" (104:18)
"ภูเขาสูงนั้นเป็นที่ลี้ภัยของเลียงผา หินเป็นของตัวกระจงผา" (104:18)
นัยหนึ่งมักเล็งไปถึง พระปรีชาญาณในการกำหนดวิถีสิ่งสร้างของสรรพสิ่ง
(ซึ่งในที่สุด ก็จะไปเกี่ยวกับการรักษาสภาพแวดล้อมด้วย)
หากเราตีความในเชิงสัญลักษณ์(ซึ่งตามแต่เรากำหนดบริบท)
สรรพสัตว์ทั้งหลายอาจเล็งถึงความเป็นมนุษย์เราเอง ที่จะลี้ภัยในพระเป็นเจ้า
(หลายคนคงเคยร้อง "พักพิงในพระเจ้า พักพิงในพระองค์ พระทรงเป็นศิลามั่นคง")
ทั้งนี้ ในบทเทศน์ และ บทอ่าน วันฉลองธรรมาสน์นักบุญเปโตร
เราจะเห็นว่าพระศาสนจักร(อันตั้งอยู่บนศิลา)โรมันคาทอลิก
ไม่ได้ปฏิเสธ"ความสงสัย" โดยผ่านพระจิตเจ้า เราทุกคน "สงสัย" ได้
มีเงื่อนไขเพียงว่า "จงให้ความสงสัยนั้นทวีเป็นความเชื่อที่มากขึ้นนั่นเอง"
ซึ่งบทสดุดีนี้ ตอบความสงสัยเราเชิงสัญลักษณ์ได้ในแง่พระปรีชาญาณแห่งการทรงกำหนดของพระเจ้า
ทั้งยังมีคุณค่าแก่เราในเรื่อง"น้ำ"(บทเทศน์ และ บทอ่าน อาทิตย์ที่ 3 เทศกาลมหาพรต ดู เรื่องน้ำและหญิงชาวสะมาเรีย) และหากท่านเป็นนักประวัติศาสตร์ศาสนา บทสดุดี 104 นี้จะเชื่อมโยงกับโลกของพี่น้องชาวยิว(Sefer Yezirah)
สุดท้ายแล้ว บทสดุดีนี้ ได้ลงท้ายอย่างน่าฟังว่า
"ขอให้คนบาปสูญหายไปจากแผ่นดิน และไม่มีคนชั่วร้ายอีกต่อไป"
"วิญญาณของข้าพเจ้าเอ๋ย จงถวายพระพรแด่พระยาห์เวห์เถิด"
ลองไปพิจารณาข้อสังเกตเหล่านี้ดู ทุกคนจะได้ชื่มชมกับพระปรีชาญาณและงานเขียนทางศาสนาเหล่านี้มากขึ้น
เพื่อให้พี่น้องเราที่อยู่ในช่วงมหาพรตได้หวนกลับไปอ่านพระคัมภีร์มากขึ้น
บทสดุดีที่ 104 นี้มักถูกนำมายกเสมอๆเพราะเป็นหนึ่งในสดุดีที่มีความไพเราะมากและเป็นคู่กับ บทสดุดี 103
"วิญญาณของข้าพเจ้าเอ๋ย จงถวายพระพรแด่พระยาห์เวห์เถิด"
เป็นบทเร้าให้สรรเสริญพระเป็นเจ้าที่ปรากฎทั้งในบทที่ 103,104
สำหรับ
"ภูเขาสูงเป็นอาศัยของเลียงผา หินผาเป็นที่หลบภัยของตัวอ้น" (104:18)
"ภูเขาสูงนั้นเป็นที่ลี้ภัยของเลียงผา หินเป็นของตัวกระจงผา" (104:18)
นัยหนึ่งมักเล็งไปถึง พระปรีชาญาณในการกำหนดวิถีสิ่งสร้างของสรรพสิ่ง
(ซึ่งในที่สุด ก็จะไปเกี่ยวกับการรักษาสภาพแวดล้อมด้วย)
หากเราตีความในเชิงสัญลักษณ์(ซึ่งตามแต่เรากำหนดบริบท)
สรรพสัตว์ทั้งหลายอาจเล็งถึงความเป็นมนุษย์เราเอง ที่จะลี้ภัยในพระเป็นเจ้า
(หลายคนคงเคยร้อง "พักพิงในพระเจ้า พักพิงในพระองค์ พระทรงเป็นศิลามั่นคง")
ทั้งนี้ ในบทเทศน์ และ บทอ่าน วันฉลองธรรมาสน์นักบุญเปโตร
เราจะเห็นว่าพระศาสนจักร(อันตั้งอยู่บนศิลา)โรมันคาทอลิก
ไม่ได้ปฏิเสธ"ความสงสัย" โดยผ่านพระจิตเจ้า เราทุกคน "สงสัย" ได้
มีเงื่อนไขเพียงว่า "จงให้ความสงสัยนั้นทวีเป็นความเชื่อที่มากขึ้นนั่นเอง"
ซึ่งบทสดุดีนี้ ตอบความสงสัยเราเชิงสัญลักษณ์ได้ในแง่พระปรีชาญาณแห่งการทรงกำหนดของพระเจ้า
ทั้งยังมีคุณค่าแก่เราในเรื่อง"น้ำ"(บทเทศน์ และ บทอ่าน อาทิตย์ที่ 3 เทศกาลมหาพรต ดู เรื่องน้ำและหญิงชาวสะมาเรีย) และหากท่านเป็นนักประวัติศาสตร์ศาสนา บทสดุดี 104 นี้จะเชื่อมโยงกับโลกของพี่น้องชาวยิว(Sefer Yezirah)
สุดท้ายแล้ว บทสดุดีนี้ ได้ลงท้ายอย่างน่าฟังว่า
"ขอให้คนบาปสูญหายไปจากแผ่นดิน และไม่มีคนชั่วร้ายอีกต่อไป"
"วิญญาณของข้าพเจ้าเอ๋ย จงถวายพระพรแด่พระยาห์เวห์เถิด"
ลองไปพิจารณาข้อสังเกตเหล่านี้ดู ทุกคนจะได้ชื่มชมกับพระปรีชาญาณและงานเขียนทางศาสนาเหล่านี้มากขึ้น
อีกแล้วครับท่าน....
อ่านพระคำกันแล้วก็ตีว่าพระเจ้ากำลังพูดถึงเรื่องโลกนี้??????
ใช่ครับ พระเจ้าทรงพระปรีชานั้นถูกต้องอยู่แล้ว แม้ไม่บอกทุกคนก็คงทราบดีครับ
แต่ปัญหาก็คือว่า เราเข้าใจจิตใจที่พระเจ้าทรงสร้างอย่างนั้นหรือเปล่า
ถ้าคิดว่าเป็นส่วนหนึ่งที่พระเจ้าต้องการให้รักษาสิ่งแวดล้อม
ผมว่าพี่ไปนั่งคุยกับกลุ่ม "กรีนพีช" ดีกว่าครับ
แต่ถ้าอ่านพระคำด้วยสมองของมนุษย์ มันก็จบแค่เรื่องของมนุษย์แหละครับ
มนุษย์เป็นเพียงแค่ "สิ่งมีชีวิต" ที่อ่อนแอที่สุดในโลก
ชั่วร้ายที่สุด สกปรกที่สุด บาปชั่วที่สุด ฯลฯ
นี่จึงเป็นเหตุผลที่เราต้องเข้าไปหา "ซอกหิน"
พระองค์ทรงพระปรีชาในการสร้างทุกอย่าง พระองค์จึงสร้างคนอ่อนแออย่างพวกเราทุกคน
อย่าเพิ่งแบ่งว่าเป็นคนบาป หรือคนดีนะครับ
อย่างที่พี่ยกข้อนี้มาว่า "ให้คนบาป คนชั่ว หมดจากแผ่นดิน"
มันก็ทั้งโลกนั่นแหละ.....
แต่คนชั่วในสายพระเนตรของพระเจ้า คือคนที่ "ไม่รับจิตใจของพระเจ้า" อย่าคิดว่าเป็นพวกที่
ทำสิ่งไม่ดีนะครับ เพราะนั่นมันก็เป็นด้วยกันทุกคนนั่นแหละ (อยู่ที่ว่าใครปกปิดเก่ง... พอทำท่าทีภายนอก
ว่าดูดี มีความสุภาพ แล้วก็ชมกันว่า "คนนี้ดีจัง พูดจาไพเราะ" แต่มันก็ได้แค่คนที่ปกปิดความชั่วร้ายเก่งก็เท่านั้น)
ตราบใดที่มนุษย์ยังเข้าใจพระคำเป็นแค่ศาสนา ตราบนั้นก็ไม่มีทางเข้าใจจิตใจของพระเจ้าได้
ขอบคุณครับ
089-4948458
อ่านพระคำกันแล้วก็ตีว่าพระเจ้ากำลังพูดถึงเรื่องโลกนี้??????
ใช่ครับ พระเจ้าทรงพระปรีชานั้นถูกต้องอยู่แล้ว แม้ไม่บอกทุกคนก็คงทราบดีครับ
แต่ปัญหาก็คือว่า เราเข้าใจจิตใจที่พระเจ้าทรงสร้างอย่างนั้นหรือเปล่า
ถ้าคิดว่าเป็นส่วนหนึ่งที่พระเจ้าต้องการให้รักษาสิ่งแวดล้อม
ผมว่าพี่ไปนั่งคุยกับกลุ่ม "กรีนพีช" ดีกว่าครับ
แต่ถ้าอ่านพระคำด้วยสมองของมนุษย์ มันก็จบแค่เรื่องของมนุษย์แหละครับ
มนุษย์เป็นเพียงแค่ "สิ่งมีชีวิต" ที่อ่อนแอที่สุดในโลก
ชั่วร้ายที่สุด สกปรกที่สุด บาปชั่วที่สุด ฯลฯ
นี่จึงเป็นเหตุผลที่เราต้องเข้าไปหา "ซอกหิน"
พระองค์ทรงพระปรีชาในการสร้างทุกอย่าง พระองค์จึงสร้างคนอ่อนแออย่างพวกเราทุกคน
อย่าเพิ่งแบ่งว่าเป็นคนบาป หรือคนดีนะครับ
อย่างที่พี่ยกข้อนี้มาว่า "ให้คนบาป คนชั่ว หมดจากแผ่นดิน"
มันก็ทั้งโลกนั่นแหละ.....
แต่คนชั่วในสายพระเนตรของพระเจ้า คือคนที่ "ไม่รับจิตใจของพระเจ้า" อย่าคิดว่าเป็นพวกที่
ทำสิ่งไม่ดีนะครับ เพราะนั่นมันก็เป็นด้วยกันทุกคนนั่นแหละ (อยู่ที่ว่าใครปกปิดเก่ง... พอทำท่าทีภายนอก
ว่าดูดี มีความสุภาพ แล้วก็ชมกันว่า "คนนี้ดีจัง พูดจาไพเราะ" แต่มันก็ได้แค่คนที่ปกปิดความชั่วร้ายเก่งก็เท่านั้น)
ตราบใดที่มนุษย์ยังเข้าใจพระคำเป็นแค่ศาสนา ตราบนั้นก็ไม่มีทางเข้าใจจิตใจของพระเจ้าได้
ขอบคุณครับ
089-4948458
- ~*Little`Child*~
- ~@
- โพสต์: 202
- ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. มิ.ย. 21, 2007 11:52 pm
อืม...การอ่านพระคัมภีร "แต่อ่านแค่ตามตัวอักษร"
คิดว่าจะบอกแบบนั้นเลย ก็ไม่น่าจะใช่นะคะ
เห็นด้วยนะคะ กับสิ่งที่บอกว่าการอ่านพระคัมภีร์นั้น
อ่านเพื่อให้เราเข้าใจถึงจิตใจของพระองค์ ความลึกซึ้งที่ซ่อนอยู่
เพื่อเป็นพลังของจิตวิญญาณ
แต่การที่ใครจะอ่านออกมาเป็นแบบไหนนั้น
คือสิทธิและอำเภอใจของเค้าที่พระองค์ประทานมาให้มากกว่ามั้ยคะ
ถ้าจะบอกว่าเป็นการแปลออกมาตามความคิดของตนเอง
ก็คงจะไม่ผิด หากเค้าเหล่านั้นไม่ได้ทำให้คำสอนของพระองค์บิดเบือนไป
แต่เข้าใจในลักษณะที่แตกต่างกัน ความลึกซึ้งอาจจะไม่เท่ากัน
บางคนเรียบง่าย บางคนลึกซึ้งถึงจิตวิญญาณ
แต่สิ่งหนึ่งที่ได้ออกมา เรารักพระองค์ เราเชื่อฟังคำสอนพระองค์
บางคนอาจจะเห็นว่าพระองค์ห้าม เค้าก็ไม่ทำ เพราะเชื่อฟัง ถ่อมตน โดยไม่มีคำถาม
แต่บางคนอาจจะเข้าใจลึกซึ้งกว่านั้น แล้วก็เชื่อฟังพระองค์ เข้าใจพระองค์
แล้วอะไรเป็นสิ่งที่แตกต่างคะ มันไม่เหมือนกันหรือที่บทสรุป
ว่า รักพระองค์ เชื่อพระองค์ ทำตามพระองค์ ยำเกรงพระองค์
แล้วมนุษย์เราเองก็รู้ถึง พระปรีชาญาณ อันประเสริฐของพระเจ้า
พระองค์ปรีชาญาณเกินกว่ามนุษย์จะเข้าใจ และคาดเดา
ถ้าเช่นนั้นการที่คำสอนของพระองค์ พระวจนะของพระองค์ในพระคัมภีร์
ตกไปอยู่กับผู้ใด ผู้นั้นจะอ่านและเข้าใจออกมาเป็นเช่นไร พระองค์รู้
ไม่สังเกตหรือคะ...ว่าใครก็ตามอ่านพระคัมภีร์
ต่างเพศ ต่างวัย ต่างการศึกษา ต่างทัศนคติ ต่างความคิด
เมื่ออ่านแล้วผลที่ออกมา คือ รักพระองค์ เชื่อฟังพระองค์ วางใจพระองค์ และยำเกรงพระองค์
ใช้พระคัมภีร์เป็นบทสนทนากับพระองค์ เป็นคำปลอบใจจากพระองค์
ถึงแม้บางคนจะอ่านจากตัวอักษร(จากความคิดของคุณ) หรือบางคนจากจิตวิญญาณ
ออกมาในรูปแบบความคิดต่างๆกัน
แต่พระองค์ก็เป็นศูนย์รวมของทุกๆคนที่กล่าวถึง
นี่หรือป่าวคะ ที่จะเรียกว่า พระปรีชาญาณของพระเจ้า
ที่รู้จักมนุษย์บุตรที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นมา
นี่หรือป่าวคะ....คือการเข้าใจพระองค์ ว่าจิตใจของพระองค์จะบอกอะไรเรา
พระองค์คงจะบอกว่า พระองค์ รู้ที่จะสอน ใครอย่างไร คนไหนแบบไหน จะเข้าใจอย่างไร
ถ้าเชื่อในพระปรีชาญาณของพระองค์จริงๆ ไม่น่าจะคิดว่าคนอื่นอ่านแค่คำของพระคัมภีร์นะคะ
เพราะเค้าเหล่านั้น ก็คือลูกของพระองค์ พระเจ้าของเรา ที่รักพระองค์เช่นเดียวกันคุณ
พระเจ้าอวยพรคะ
คิดว่าจะบอกแบบนั้นเลย ก็ไม่น่าจะใช่นะคะ
เห็นด้วยนะคะ กับสิ่งที่บอกว่าการอ่านพระคัมภีร์นั้น
อ่านเพื่อให้เราเข้าใจถึงจิตใจของพระองค์ ความลึกซึ้งที่ซ่อนอยู่
เพื่อเป็นพลังของจิตวิญญาณ
แต่การที่ใครจะอ่านออกมาเป็นแบบไหนนั้น
คือสิทธิและอำเภอใจของเค้าที่พระองค์ประทานมาให้มากกว่ามั้ยคะ
ถ้าจะบอกว่าเป็นการแปลออกมาตามความคิดของตนเอง
ก็คงจะไม่ผิด หากเค้าเหล่านั้นไม่ได้ทำให้คำสอนของพระองค์บิดเบือนไป
แต่เข้าใจในลักษณะที่แตกต่างกัน ความลึกซึ้งอาจจะไม่เท่ากัน
บางคนเรียบง่าย บางคนลึกซึ้งถึงจิตวิญญาณ
แต่สิ่งหนึ่งที่ได้ออกมา เรารักพระองค์ เราเชื่อฟังคำสอนพระองค์
บางคนอาจจะเห็นว่าพระองค์ห้าม เค้าก็ไม่ทำ เพราะเชื่อฟัง ถ่อมตน โดยไม่มีคำถาม
แต่บางคนอาจจะเข้าใจลึกซึ้งกว่านั้น แล้วก็เชื่อฟังพระองค์ เข้าใจพระองค์
แล้วอะไรเป็นสิ่งที่แตกต่างคะ มันไม่เหมือนกันหรือที่บทสรุป
ว่า รักพระองค์ เชื่อพระองค์ ทำตามพระองค์ ยำเกรงพระองค์
แล้วมนุษย์เราเองก็รู้ถึง พระปรีชาญาณ อันประเสริฐของพระเจ้า
พระองค์ปรีชาญาณเกินกว่ามนุษย์จะเข้าใจ และคาดเดา
ถ้าเช่นนั้นการที่คำสอนของพระองค์ พระวจนะของพระองค์ในพระคัมภีร์
ตกไปอยู่กับผู้ใด ผู้นั้นจะอ่านและเข้าใจออกมาเป็นเช่นไร พระองค์รู้
ไม่สังเกตหรือคะ...ว่าใครก็ตามอ่านพระคัมภีร์
ต่างเพศ ต่างวัย ต่างการศึกษา ต่างทัศนคติ ต่างความคิด
เมื่ออ่านแล้วผลที่ออกมา คือ รักพระองค์ เชื่อฟังพระองค์ วางใจพระองค์ และยำเกรงพระองค์
ใช้พระคัมภีร์เป็นบทสนทนากับพระองค์ เป็นคำปลอบใจจากพระองค์
ถึงแม้บางคนจะอ่านจากตัวอักษร(จากความคิดของคุณ) หรือบางคนจากจิตวิญญาณ
ออกมาในรูปแบบความคิดต่างๆกัน
แต่พระองค์ก็เป็นศูนย์รวมของทุกๆคนที่กล่าวถึง
นี่หรือป่าวคะ ที่จะเรียกว่า พระปรีชาญาณของพระเจ้า
ที่รู้จักมนุษย์บุตรที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นมา
นี่หรือป่าวคะ....คือการเข้าใจพระองค์ ว่าจิตใจของพระองค์จะบอกอะไรเรา
พระองค์คงจะบอกว่า พระองค์ รู้ที่จะสอน ใครอย่างไร คนไหนแบบไหน จะเข้าใจอย่างไร
ถ้าเชื่อในพระปรีชาญาณของพระองค์จริงๆ ไม่น่าจะคิดว่าคนอื่นอ่านแค่คำของพระคัมภีร์นะคะ
เพราะเค้าเหล่านั้น ก็คือลูกของพระองค์ พระเจ้าของเรา ที่รักพระองค์เช่นเดียวกันคุณ
พระเจ้าอวยพรคะ
ผมว่าคุณเองก็ไม่เข้าใจจิตใจพระเจ้าหรอกครับ คุณมองพระเจ้าด้านเดียว เฉพาะจุดที่คุณชอบ ซึ่งมันไม่ถูกมาตั้งแต่ต้นแล้วChay เขียน: อีกแล้วครับท่าน....
อ่านพระคำกันแล้วก็ตีว่าพระเจ้ากำลังพูดถึงเรื่องโลกนี้??????
ใช่ครับ พระเจ้าทรงพระปรีชานั้นถูกต้องอยู่แล้ว แม้ไม่บอกทุกคนก็คงทราบดีครับ
แต่ปัญหาก็คือว่า เราเข้าใจจิตใจที่พระเจ้าทรงสร้างอย่างนั้นหรือเปล่า
ถ้าคิดว่าเป็นส่วนหนึ่งที่พระเจ้าต้องการให้รักษาสิ่งแวดล้อม
ผมว่าพี่ไปนั่งคุยกับกลุ่ม "กรีนพีช" ดีกว่าครับ
แต่ถ้าอ่านพระคำด้วยสมองของมนุษย์ มันก็จบแค่เรื่องของมนุษย์แหละครับ
มนุษย์เป็นเพียงแค่ "สิ่งมีชีวิต" ที่อ่อนแอที่สุดในโลก
ชั่วร้ายที่สุด สกปรกที่สุด บาปชั่วที่สุด ฯลฯ
นี่จึงเป็นเหตุผลที่เราต้องเข้าไปหา "ซอกหิน"
พระองค์ทรงพระปรีชาในการสร้างทุกอย่าง พระองค์จึงสร้างคนอ่อนแออย่างพวกเราทุกคน
อย่าเพิ่งแบ่งว่าเป็นคนบาป หรือคนดีนะครับ
อย่างที่พี่ยกข้อนี้มาว่า "ให้คนบาป คนชั่ว หมดจากแผ่นดิน"
มันก็ทั้งโลกนั่นแหละ.....
แต่คนชั่วในสายพระเนตรของพระเจ้า คือคนที่ "ไม่รับจิตใจของพระเจ้า" อย่าคิดว่าเป็นพวกที่
ทำสิ่งไม่ดีนะครับ เพราะนั่นมันก็เป็นด้วยกันทุกคนนั่นแหละ (อยู่ที่ว่าใครปกปิดเก่ง... พอทำท่าทีภายนอก
ว่าดูดี มีความสุภาพ แล้วก็ชมกันว่า "คนนี้ดีจัง พูดจาไพเราะ" แต่มันก็ได้แค่คนที่ปกปิดความชั่วร้ายเก่งก็เท่านั้น)
ตราบใดที่มนุษย์ยังเข้าใจพระคำเป็นแค่ศาสนา ตราบนั้นก็ไม่มีทางเข้าใจจิตใจของพระเจ้าได้
ขอบคุณครับ
089-4948458
1คร 2:9
แต่ตามที่มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า
-
- โพสต์: 973
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ธ.ค. 04, 2006 9:33 pm
- ที่อยู่: Virtusian's House of Prayer,Thailand
- ติดต่อ:
จริงๆคุณ Holy พูดเคลียร์แล้วนะครับ แต่เพื่อให้ความรู้แก่พี่น้องคาทอลิก(ที่จะรับศีลล้างบาปและรื้อฟื้นสัญญาแห่งศีลล้างบาปเร็วๆนี้)รวมถึงเป็น คริสตศาสนสัมพันธ์ที่จะให้พี่น้องต่างนิกายทราบChay เขียน: อีกแล้วครับท่าน....
อ่านพระคำกันแล้วก็ตีว่าพระเจ้ากำลังพูดถึงเรื่องโลกนี้??????
ใช่ครับ พระเจ้าทรงพระปรีชานั้นถูกต้องอยู่แล้ว แม้ไม่บอกทุกคนก็คงทราบดีครับ
แต่ปัญหาก็คือว่า เราเข้าใจจิตใจที่พระเจ้าทรงสร้างอย่างนั้นหรือเปล่า
ถ้าคิดว่าเป็นส่วนหนึ่งที่พระเจ้าต้องการให้รักษาสิ่งแวดล้อม
ผมว่าพี่ไปนั่งคุยกับกลุ่ม "กรีนพีช" ดีกว่าครับ
แต่ถ้าอ่านพระคำด้วยสมองของมนุษย์ มันก็จบแค่เรื่องของมนุษย์แหละครับ
มนุษย์เป็นเพียงแค่ "สิ่งมีชีวิต" ที่อ่อนแอที่สุดในโลก
ชั่วร้ายที่สุด สกปรกที่สุด บาปชั่วที่สุด ฯลฯ
นี่จึงเป็นเหตุผลที่เราต้องเข้าไปหา "ซอกหิน"
พระองค์ทรงพระปรีชาในการสร้างทุกอย่าง พระองค์จึงสร้างคนอ่อนแออย่างพวกเราทุกคน
อย่าเพิ่งแบ่งว่าเป็นคนบาป หรือคนดีนะครับ
อย่างที่พี่ยกข้อนี้มาว่า "ให้คนบาป คนชั่ว หมดจากแผ่นดิน"
มันก็ทั้งโลกนั่นแหละ.....
แต่คนชั่วในสายพระเนตรของพระเจ้า คือคนที่ "ไม่รับจิตใจของพระเจ้า" อย่าคิดว่าเป็นพวกที่
ทำสิ่งไม่ดีนะครับ เพราะนั่นมันก็เป็นด้วยกันทุกคนนั่นแหละ (อยู่ที่ว่าใครปกปิดเก่ง... พอทำท่าทีภายนอก
ว่าดูดี มีความสุภาพ แล้วก็ชมกันว่า "คนนี้ดีจัง พูดจาไพเราะ" แต่มันก็ได้แค่คนที่ปกปิดความชั่วร้ายเก่งก็เท่านั้น)
ตราบใดที่มนุษย์ยังเข้าใจพระคำเป็นแค่ศาสนา ตราบนั้นก็ไม่มีทางเข้าใจจิตใจของพระเจ้าได้
ขอบคุณครับ
089-4948458
ผมขออนุญาตพูดในแง่ของคาทอลิกอย่างเดียวนะครับ
ข้อตระหนัก:1โครินทร์13:1-2 แม้ข้าพเจ้าพูดภาษาของมนุษย์และของทูตสวรรค์ได้ ถ้าไม่มีความรัก ข้าพเจ้าก็เป็นเพียงฉาบหรือฉิ่งที่ส่งเสียงอึกทึก แม้ข้าพเจ้าจะประกาศพระวาจา เข้าใจธรรมล้ำลึกทุกข้อ และมีความรู้ทุกอย่าง หรือมีความเชื่อพอที่จะเคลื่อนภูเขาได้ ถ้าไม่มีความรัก ข้าพเจ้าก็ไม่มีความสำคัญแต่อย่างใด
ถ้าพี่น้องทุกคนได้เรียนคำสอน ท่านจะพบว่า คำสอนมีสัญลักษณ์(Symbolic)อยู่มากมาย ดังนั้น ศาสตร์แห่งคำสอนนี้จึงลึกมากเกินกว่า"ครูคำสอน"หรือ"คุณพ่อ"จะสอนเราหมดได้ภายใน 1 ปี หรือ 2 ปี การที่คริสตชนเรารับเอาพระวรสาร1,บทอ่านจากจดหมาย1,พันธสัญญาเดิม1 มาใช้อ่านทุกวันในมิสซาประกอบกับบทเทศน์ของคุณพ่อเป็นการขยายความสัญลักษณ์และเนื้อที่ซ่อนอยู่ในนั้น ผ่านการดลใจของพระจิตเจ้า(เพราะพระสงฆ์เป็นศาสนบริกรของพระองค์)และการตีความที่เหมาะสมสอดคล้องกับบริบท ทั้งยังรวมไปถึง การทำ Lectio Divina ที่เป็นรูปแบบการเพ่งพินิจอย่างลึกซึ้ง(ไปอ่านบท Lectio Divina ของพระคุณเจ้าประธาน ได้ที่ Web อัครสังฆมณฑล)
เพราะในคำสอน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พันธสัญญาเดิม เป็นรูปแบบของการแต่งที่มีลักษณะเป็นวรรณกรรม เราจึงต้องพิจารณาเรื่อง โอกาสและจุดประสงค์ที่เขียน,ลักษณะวรรณกรรม,โครงสร้างของมัน,และความหมาย หนึ่งในนั้นคือ บทสดุดึนี่ล่ะครับ เพราะมีส่วนที่เป็น คำกลอนภาษาฮีบรู (เช่น กลอักษร การขึ้นต้นด้วยอาเลฟอักษรแรกของฮีบรู และจบด้วยทาวอักษรสุดท้าย) ดังนั้น "ความ" ในนั้น จึงต้องตีความให้มากไปกว่า พระวรสารเสียอีก
การตีความให้มากนั่นหมายถึงเราต้องรับใช้พระเป็นเจ้าด้วยความสุขุมและรอบคอบ และเราต้องตระหนักดีถึงความเป็นผู้รับใช้ เพราะเราต้องนบนอบต่ำต้อยเป็นเครื่องมือในการแสวงหาสันติของพระเป็นเจ้า พระองค์ทรงเผยแสดงให้เราเห็นอย่างชัดเจนแล้ว ในช่วงเทศกาลมหาพรตนี้และการเดินรูปสิบสี่ภาค ว่า "พระองค์มิได้ทรงถือศักดิ์ศรี แต่ทรงสละพระองค์รับธรรมชาติมนุษย์ และถึงกับถ่อมพระองค์ลงจนถึงกับสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน"(ฟิลิป2:6-8)
ดังนั้น ด้วยความที่เรามิอาจจะล่วงถึงพระหฤทัยล้ำลึกของพระบิดาเจ้า ผู้ทรงเตรียมหนทางไว้ให้ข้าบริการของพระองค์(1โครินทร์ 2:9) เราจึงไม่อาจรู้ว่า จุดประสงค์ที่พระองค์ประทานความหลากหลายทางความเชื่อในโลกนี้ เพื่ออะไร เราอาจใช้สติปัญญาอันมีขอบเขตของเราตัดสินได้บ้าง แต่ไม่ทั้งหมด เราคริสตชนมีบทสร้อยที่ร้องว่า"ข้าพเจ้าพร้อมแล้วพระเจ้าข้า ข้าพเจ้ายินดีทำตามน้ำพระทัย" หมายให้เรา ยอมรับน้ำพระทัยของพระองค์ และตื่นเฝ้าระวังระไว เป็นหน้าที่ของเราที่พระองค์ทรงย้ำชัดเรื่อง"ความรัก"
1ยอห์น4:12
ไม่มีผู้ใดเคยเห็นพระเจ้าแต่ถ้าเรารักกันพระเจ้าย่อมทรงดำรงอยู่ในเราและความรักของพระองค์ในเราก็จะสมบูรณ์
1ยอห์น4:20
ถ้าผู้ใดพูดว่า"ฉันรักพระเจ้า"แต่เกลียดชังพี่น้องของตนผู้นั้นย่อมเป็นคนพูดเท็จเพราะผู้ไม่รักพี่น้องที่เขาแลเห็นได้ย่อมไม่รักพระเจ้าที่เขาแลเห็นไม่ได้
คาทอลิกเราจึงมุ่งเน้นไปที่"การกระทำ"ที่จะประกาศพระคริสตเจ้าในตัวของเรา เผยแสดงให้ผู้อื่นเห็นความรักในจิตใจเรา และมีพิธีรับศีลกำลังที่เป็นสัญลักษณ์ของการทำเครื่องหมายของพระจิตเจ้า(จงรับประทานเครื่องหมายแห่งพระจิตเจ้าที่พระบิดาประทานให้)นั่นหมายถึง เป็นการเจิมให้เรา "รักจะกระทำ" ตนให้งอกงามในความรักบริบูรณ์ภายใต้การดลของพระจิตเจ้า(และเสียงในใจ)
เราจึงต่ำต้อยเกินกว่าจะตัดสินใจมนุษย์ทุกผู้ได้
แต่เราพยายามที่จะรับใช้มนุษย์ทุกผู้ได้
เพราะพระคริสตเจ้า
ทรงเป็น"มหาไถ่"ผู้รับใช้ ทรงประสูคิในหมู่คนเลี้ยงแกะ ที่ยากจน และไร้การศึกษา
ทรงรักษาผู้คนทั้งหลายที่ทรงเล็งเห็นแล้วว่าเขาทรมานแสนสาหัส(เช่น บทอ่านของมิสซาเมื่อวาน ยอห์น5:18)
และท้ายที่สุด ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อคนบาปอย่างเรา
ขอให้เรามีกำลังใจที่จะเลียนแบบพระหฤทัยอันศักดิ์สิทธิ์ยิ่งของพระองค์
ที่จะ"ยอม"อย่างแท้จริง เพื่อ คนบาป
เพราะความรักของพระเจ้าไร้ขอบเขต
แต่ความบาปของเราทำให้ความรักของเรามีขอบเขต
ดังนั้น เราจึงต้อง พลีกรรม และ รับใช้ เพื่อนมนุษย์
(รวมถึง โลก สิ่งแวดล้อม ธรรมชาติ พี่น้องต่างศาสนา รวมถึง คนที่ไม่รับพระจิตเจ้า)
ด้วยความสุภาพ ถ่อมตน ยากจน และภาวนา
ผมก็ไม่ได้บอกว่าเชื่อพระเจ้าด้านเดียวนะครับ ถ้าจำไม่ผิดผมเขียนไว้แล้วครับ
ถ้าบอกว่าจะอ่านแล้วเข้าใจอย่างไงก็ได้ ความคิดแบบนี้นี่แหละครับที่เกิด "ศาสนา" ขึ้นมา
"จงเสาะหาและอ่านจากหนังสือของพระเจ้า สัตว์เหล่านี้จะไม่ขาดไปสักอย่างเดียว
ไม่มีตัวใดที่จะไม่มีคู่ เพราะพระโอษฐ์ของพระเจ้าได้บัญชาไว้แล้ว และพระวิญญาณของพระองค์
ได้รวบรวมไว้"
(อิสยาห์ 34:16)
พระคัมภีร์ ไม่ใช่นวนิยายที่ใครอ่านแล้ว จะได้ประโยชน์ตามใจของผู้อ่าน
แต่พระคำของพระเจ้า มีไว้เพื่อให้เข้าใจในแบบของพระเจ้า ซึ่งจะเข้าใจได้นั้น
ต้องใช้พระคำเอง ที่จะแปลความหมายของพระคำ ไม่ใช่ความรู้ หรือประสบการณ์ หรือว่าอารมณ์
ทุกอย่างมีคำตอบทั้งหมดแล้ว ไม่ใช่อารมณ์ดีก็แล้วรู้สึกดี อารมณ์เสียก็อ่านอีกอย่างหนึ่ง
แบบนี้อ่านไปก็น่าเสียดายครับ
ขอโทษนะครับหากคำพูดของผมมันไม่ถูกใจ
สวัสดีครับ
ถ้าบอกว่าจะอ่านแล้วเข้าใจอย่างไงก็ได้ ความคิดแบบนี้นี่แหละครับที่เกิด "ศาสนา" ขึ้นมา
"จงเสาะหาและอ่านจากหนังสือของพระเจ้า สัตว์เหล่านี้จะไม่ขาดไปสักอย่างเดียว
ไม่มีตัวใดที่จะไม่มีคู่ เพราะพระโอษฐ์ของพระเจ้าได้บัญชาไว้แล้ว และพระวิญญาณของพระองค์
ได้รวบรวมไว้"
(อิสยาห์ 34:16)
พระคัมภีร์ ไม่ใช่นวนิยายที่ใครอ่านแล้ว จะได้ประโยชน์ตามใจของผู้อ่าน
แต่พระคำของพระเจ้า มีไว้เพื่อให้เข้าใจในแบบของพระเจ้า ซึ่งจะเข้าใจได้นั้น
ต้องใช้พระคำเอง ที่จะแปลความหมายของพระคำ ไม่ใช่ความรู้ หรือประสบการณ์ หรือว่าอารมณ์
ทุกอย่างมีคำตอบทั้งหมดแล้ว ไม่ใช่อารมณ์ดีก็แล้วรู้สึกดี อารมณ์เสียก็อ่านอีกอย่างหนึ่ง
แบบนี้อ่านไปก็น่าเสียดายครับ
ขอโทษนะครับหากคำพูดของผมมันไม่ถูกใจ
สวัสดีครับ
-
- โพสต์: 973
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ธ.ค. 04, 2006 9:33 pm
- ที่อยู่: Virtusian's House of Prayer,Thailand
- ติดต่อ:
เพื่อความรู้ ของพี่น้องคริสตชนที่ตามมาอ่าน เพื่อความเข้าใจ (ผมจึงขอลงลึกไปสักหน่อย)Chay เขียน: ผมก็ไม่ได้บอกว่าเชื่อพระเจ้าด้านเดียวนะครับ ถ้าจำไม่ผิดผมเขียนไว้แล้วครับ
ถ้าบอกว่าจะอ่านแล้วเข้าใจอย่างไงก็ได้ ความคิดแบบนี้นี่แหละครับที่เกิด "ศาสนา" ขึ้นมา
"จงเสาะหาและอ่านจากหนังสือของพระเจ้า สัตว์เหล่านี้จะไม่ขาดไปสักอย่างเดียว
ไม่มีตัวใดที่จะไม่มีคู่ เพราะพระโอษฐ์ของพระเจ้าได้บัญชาไว้แล้ว และพระวิญญาณของพระองค์
ได้รวบรวมไว้"
(อิสยาห์ 34:16)
พระคัมภีร์ ไม่ใช่นวนิยายที่ใครอ่านแล้ว จะได้ประโยชน์ตามใจของผู้อ่าน
แต่พระคำของพระเจ้า มีไว้เพื่อให้เข้าใจในแบบของพระเจ้า ซึ่งจะเข้าใจได้นั้น
ต้องใช้พระคำเอง ที่จะแปลความหมายของพระคำ ไม่ใช่ความรู้ หรือประสบการณ์ หรือว่าอารมณ์
ทุกอย่างมีคำตอบทั้งหมดแล้ว ไม่ใช่อารมณ์ดีก็แล้วรู้สึกดี อารมณ์เสียก็อ่านอีกอย่างหนึ่ง
แบบนี้อ่านไปก็น่าเสียดายครับ
ขอโทษนะครับหากคำพูดของผมมันไม่ถูกใจ
สวัสดีครับ
(1)ผมก็ไม่ได้บอกว่าเชื่อพระเจ้าด้านเดียวนะครับ : สำหรับผม,ผมไม่เห็นเป็นประเด็นครับ
(2)อ่านแล้วเข้าใจอย่างไงก็ได้ : คิดว่าเน้นให้ชัดต้องเป็น "อ่านแล้วมีหลากหลายมุมมองตามการดลของพระจิตเจ้า" ผ่านศีลล้างบาป ศีลกำลัง ศีลสง่า(ตอบในแง่คาทอลิก)
(3)พระคัมภีร์ ไม่ใช่นวนิยายที่ใครอ่านแล้ว : เราต้องยอมรับครับว่า พระคัมภีร์เป็นวรรณกรรมที่เขียนโดยการดลใจของพระจิต(ซึ่งในนิกายคาทอลิก พระจิต=พระเจ้า) ถ้าเราไม่ยอมรับตรงนี้ วันนี้จะไม่มีพระคัมภีร์ภาษาไทย หรือ แม้แต่ภาษาอังกฤษครับ เพราะจะได้มีการศึกษาในมุมมองเปิดกว้าง
(เรื่องของพันธสัญญาเก่า ผมได้กล่าวไปบ้างแล้วในกระทู้ กว่าจะเป็นพระคัมภีร์)
(4)จะได้ประโยชน์ตามใจของผู้อ่าน : ผู้ที่อ่านพระคัมภีร์ นบน้อม และรำพึงอย่างเหมาะสม ตีความด้วยความเที่ยงธรรมทางมโนธรรม จะได้ประโยชน์ตามน้ำพระทัยครับ
(5)พระคำของพระเจ้า มีไว้เพื่อให้เข้าใจในแบบของพระเจ้า:ตรงนี้ โครินทร์ชัดเจนครับ"(1โครินทร์ 2:9) ดังนั้น เราย่อมไม่เข้าใจทั้งหมด แต่มีพระหรรษทานนานาประการให้สำหรับหล่อเลี้ยงชีวิตทั้งครบในพระคริสตองค์ครับ การที่มีการตีความพระวรสารนั่นคือ การไม่ละความตั้งใจจะประกาศว่า พระเยซูเจ้าเป็นหนทาง ความจริงและชีวิต(ยอห์น 14:6) และไปประกาศต่อผู้อื่น(ผ่านการกระทำ โดยที่ผมได้เรียนไปก่อนหน้านี้แล้ว)เทียบ มาระโก 16:15 เราคือผู้รับใช้ดังที่เรียน
(6)ไม่ใช่ความรู้ หรือประสบการณ์ หรือว่าอารมณ์ : ไม่เชิงนะครับ จะกล่าวว่า ข้อความนี้ มีค่าความจริงจริง 100% เห็นจะไม่เหมาะนัก ในพระศาสนจักรคาทอลิกเรามี การเรียนรู้เป็นพลวัตอยู่ตลอดโดยตั้งอยู่บนพื้นฐานความสุขุมรอบคอบและการภาวนา ความรู้ที่สังเคราะห์มาผ่านนักบุญทั้งหลาย เป็นต้นว่า น.โทมัส อไควนัส,น.ออกุสติน เป็นถ้อยคำ(Verbum)ที่ผ่านการดลใจด้วยพระสุรเสียงของพระเจ้า และทุกวันนี้ การเรียนคำสอนและข้อความเชื่อต่างๆหล่อเลี้ยงให้เราจำเริญในพระคริสตองค์ เห็นพระองค์ชัดเจนขึ้นด้วยความรู้เล่านั่น หลายครั้งในพระศาสนจักรประสบการณ์ก็สอนเราได้ดี เช่น เรื่องของชาวอิสราเอล ที่ทำผิดพลาดกับพระเจ้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า จึงต้องถูกพาไปวนเวียนในทะเลทรายอยู่ยาวนาน ประสบการณ์ชาวอิสราเอลบันทึกมาให้เราเห็นผ่านพระคัมภีร์ สำหรับเรื่องอารมณ์นะครับ ในบทสดุดีชัดเจนที่สุดครับ บทสดุดีเป็นสิ่งที่มีเลือดเนื้อมากที่มนุษย์แสดงต่อพระเป็นเจ้า ด้วยอารมณ์ความรู้สึก ความเป็นจริงถ้อยคำในภาษาฮีบรูนั้นแสดงอารมณ์กว่าภาษาไทยครับ
*(7)ผมเติมนิดหนึ่ง นั่นคือ บางครั้งเราอ่านพระคัมภีร์ เราใช้พลวัตของคุณธรรมไว้ใจและเชื่อฟังโดยไม่รู้ด้วย และเสียงในใจเราจะบอกว่า อย่างนี้จริงนะ อย่างนั้นจริงนะ แต่เพราะเสียงในใจนี่ล่ะ บางครั้งก็ไม่รู้ว่าเสียงใคร(ซึ่งผมคิดว่าหลายคนๆที่ไม่มั่นคงนักเคยประสบ)เราจึงต้องใกล้ชิดสนิทพระเจ้าด้วยการเฝ้าพระองค์ ผ่านการบูชามิสซา การภาวนา การทำ Lectio Divina กับพระคัมภีร์ และในคาทอลิกมีการเข้าเงียบเพื่อฟื้นฟูจิตใจคริสตชน(นี่เป็นหนึ่งในความเชื่อของคาทอลิกครับ)
ปล1.ผมเทียบพระคัมภีร์ไว้ให้พี่น้องเปิดอ่านนะครับ ปีนี้ปีพระวาจา พรุ่งนี้ศุกร์ต้นเดือน เชิญมิสซาตามวัดใกล้บ้านท่าน
แก้ไขล่าสุดโดย Man of Macedonia เมื่อ ศุกร์ มี.ค. 07, 2008 2:31 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
จริงๆแล้วตัวคุณเองต่างหากที่อ่านแล้ว ตีความทุกอย่างตามใจตัวเอง บิดเบือนทุกอย่างจนเหลือด้านเดียว ด้านที่คุณถูกปลูกฝังมา จนพระเจ้าของคุณคับแคบ และไม่ใช่พระเจ้าที่พระองค์ทรงเป็นจริงๆChay เขียน: ผมก็ไม่ได้บอกว่าเชื่อพระเจ้าด้านเดียวนะครับ ถ้าจำไม่ผิดผมเขียนไว้แล้วครับ
ถ้าบอกว่าจะอ่านแล้วเข้าใจอย่างไงก็ได้ ความคิดแบบนี้นี่แหละครับที่เกิด "ศาสนา" ขึ้นมา
"จงเสาะหาและอ่านจากหนังสือของพระเจ้า สัตว์เหล่านี้จะไม่ขาดไปสักอย่างเดียว
ไม่มีตัวใดที่จะไม่มีคู่ เพราะพระโอษฐ์ของพระเจ้าได้บัญชาไว้แล้ว และพระวิญญาณของพระองค์
ได้รวบรวมไว้"
(อิสยาห์ 34:16)
พระคัมภีร์ ไม่ใช่นวนิยายที่ใครอ่านแล้ว จะได้ประโยชน์ตามใจของผู้อ่าน
แต่พระคำของพระเจ้า มีไว้เพื่อให้เข้าใจในแบบของพระเจ้า ซึ่งจะเข้าใจได้นั้น
ต้องใช้พระคำเอง ที่จะแปลความหมายของพระคำ ไม่ใช่ความรู้ หรือประสบการณ์ หรือว่าอารมณ์
ทุกอย่างมีคำตอบทั้งหมดแล้ว ไม่ใช่อารมณ์ดีก็แล้วรู้สึกดี อารมณ์เสียก็อ่านอีกอย่างหนึ่ง
แบบนี้อ่านไปก็น่าเสียดายครับ
ขอโทษนะครับหากคำพูดของผมมันไม่ถูกใจ
สวัสดีครับ
มันไม่ใช่ว่าคำพูดคุณถูกใจหรือไม่
แต่คำพูดคุณและการตีความของคุณไม่ถูกต้องครับ
เป็นรูปแบบที่ทางโปรแตสแตนท์จัดเป็นพวก "สุดโต่ง"
2ทธ 3:1
จงรู้เถิดว่า ยุคสุดท้ายจะมีช่วงเวลาความยุ่งยากเกิดขึ้น มนุษย์จะทำตามใจตน เห็นแก่เงิน อวดดี ยโสและหยาบคาย ดื้อด้านต่อบิดามารดา เนรคุณ ไม่นับถือศาสนา ไร้มนุษยธรรมไม่ยอมให้อภัย นินทาว่าร้าย เสเพล เข้ากับใครไม่ได้ เกลียดชังความดี ทรยศ ไม่คำนึงถึงผู้อื่น หยิ่งผยอง รักสนุกมากกว่ารักพระเจ้า นับถือศาสนาแต่เพียงเปลือกนอก แต่ไม่ยอมให้ศาสนามีอิทธิพลต่อชีวิต จงอย่าคบกับพวกนี้เลย
---ช่วยตอบคำถามว่า คำว่า ศาสนา ในพระคัมภีร์บทนี้ หมายถึงศาสนาอะไร
ผมเจอมาเยอะแล้ว โปรฯแนวใหม่ที่ชอบอ้างคำว่า พระเจ้าไม่ใช่เรื่องศาสนา แบบสู่มสี่มุ่มห้า โดยไม่รู้จักทั้งคำว่าพระเจ้า และคำว่าศาสนาอย่างแท้จริง เพียงใช้อ้างคำพูดดูดีนี้ขึ้นมา เพื่อโอ้อวดข่มคนอื่น ว่าตูเชื่อถูก คนอื่นเชื่อผิด แต่ที่จริงกลับแสดงความเข้าใจผิดๆ และความเชื่อผิดๆออกมาอย่างชัดเจน
ผมสงสารคุณมากกว่าจะถูกใจหรือไม่ถูกใจ เพราะคุณปิดกั้นตัวเองมาก ไม่ยอมให้พระจิตเจ้าหรือพระวิญญาณทำงาน แต่เอาคำไม่กี่คำมาครอบงำตัวเอง และครอบงำพระเจ้าด้วย
ผมรู้ว่าพระเจ้ารักคุณ และอยากช่วยคุณ แต่จะทำได้อย่างไร ในเมื่อคุณเอง คิดว่าตัวเองเป็นคนสบายดี แล้วเที่ยวว่าคนอื่นป่วยซะแล้ว
มธ 13:15
เพราะจิตใจของประชาชนนี้แข็งกระด้าง
เขาทำหูทวนลม และปิดตาเสีย
เพื่อไม่ต้องมองด้วยตา ไม่ต้องฟังด้วยหู
จะได้ไม่เข้าใจ
จะได้ไม่ต้องกลับใจ เราจะได้ไม่ต้องรักษาเขา
- Ministry Of Men
- โพสต์: 3972
- ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ เม.ย. 18, 2007 3:09 pm
.........................
เพราะผมได้อ่านคัมภีร์เดิมแล้ว (หลังจากอ่านพันธสัญญาใหม่จบ 2 รอบ)
อ่านดูแล้ว พระเยซู กับพระบิดา นี่ต่างกันลิบลับ
ถ้าอ่านพระคัมภีร์เดิม แบบไม่ลึกซึ้ง อ่านไม่ดี ความรู้สึกผมคือ พระเจ้าเป็นเหมือนคนชั่วร้าย โฉด บ้าอำนาจผู้หนึ่ง
แต่ผมอ่านแล้ว พระเจ้าคงรู้ ว่าผมรู้สึกยังไงมั้ง หุหุ
พระองค์เลย ใส่ความลึกซึ้งเข้ามาในจิตใจ ในถ้อยคำแห่งพันธสัญญาเดิม
ผมบอกตามตรงว่า ความรู้สึกผม ณ วันที่พระเจ้าล้างโลก(ตอนโนอา) และตอนพระเจ้าขับไล่ มนุษย์คู่แรก ....ฯลฯ
เหตุการณ์ที่พระเจ้าพระบิดา ได้ทรงกวาดล้าง..... คือ ในนิมิตนะครับ ผมเห็นหยดน้ำตา และความช้ำใจ
คือ อธิบายยากมากครับ ความรู้สึกนี้ เราพี่น้องคริสตชนผู้ได้รับการอัศจรรย์คงเข้าใจดีนะ....
คือ เทียบเป็นไรดี ถ้าเทียบเป็น เหมือน กับ พ่อซึ่งทำงานพิพากษา ต้องมาพิพากษาจำคุกลูกของตนเองซึ่งทำผิดมหันต์ และต้องพิพากษาตามกฏที่ถูกกำหนด...พระผู้กำหนดกฏนั้นต้องทำตามกฏนั้น เพราะ ในฟ้าสวรรค์ พระบิดาทรงเป็นพระกษัตริย์ และต้องปกครองเหล่าเทพ จิตต่างๆ และสารพัดสิ่ง ซึ่งมนุษย์คือสิ่งท้ายสุด ที่พระเจ้าสร้าง....
อื่ม ฟังดูไม่ลึกซึ้ง ไม่รู้จะ บรรยายยังไง ครับ เหอๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
สรุปแล้วก็คือ เหตุการณ์ รุนแรง
ซึ่งคนต่างศาสนาไม่เข้าใจ ที่ว่า ทำไมพระเจ้าสร้าง ล้างโลก ...ฯลฯ ต่างๆนาๆ นั้น
พระเจ้าทรงเป็นผู้ใช้อำนาจ เพราะพระองค์เป็นผู้เดียว ที่จะหยุดความชั่ว
แต่ทั้งนี้ ถ้าเราอ่านในพระธรรมเดิมมาตลอด เราจะพบว่า
พระเจ้าทรงบอกอย่างชัดเจน ว่า พระองค์ตีสอนผู้ที่พระองค์รัก และมีการกล่าวอย่างชัดเจนว่า พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้เมตตาที่สุด....
อีกเรื่องคือ เรื่องของภาษาไทย ซึ่งมัน...ค่อนข้างไม่ลึกซึ้งเหมือนภาษาอังกฤษหนะ หุหุหุหุ
เอ๊ะ เรานอกเรื่องป่าวหว่า
- -"
เพราะผมได้อ่านคัมภีร์เดิมแล้ว (หลังจากอ่านพันธสัญญาใหม่จบ 2 รอบ)
อ่านดูแล้ว พระเยซู กับพระบิดา นี่ต่างกันลิบลับ
ถ้าอ่านพระคัมภีร์เดิม แบบไม่ลึกซึ้ง อ่านไม่ดี ความรู้สึกผมคือ พระเจ้าเป็นเหมือนคนชั่วร้าย โฉด บ้าอำนาจผู้หนึ่ง
แต่ผมอ่านแล้ว พระเจ้าคงรู้ ว่าผมรู้สึกยังไงมั้ง หุหุ
พระองค์เลย ใส่ความลึกซึ้งเข้ามาในจิตใจ ในถ้อยคำแห่งพันธสัญญาเดิม
ผมบอกตามตรงว่า ความรู้สึกผม ณ วันที่พระเจ้าล้างโลก(ตอนโนอา) และตอนพระเจ้าขับไล่ มนุษย์คู่แรก ....ฯลฯ
เหตุการณ์ที่พระเจ้าพระบิดา ได้ทรงกวาดล้าง..... คือ ในนิมิตนะครับ ผมเห็นหยดน้ำตา และความช้ำใจ
คือ อธิบายยากมากครับ ความรู้สึกนี้ เราพี่น้องคริสตชนผู้ได้รับการอัศจรรย์คงเข้าใจดีนะ....
คือ เทียบเป็นไรดี ถ้าเทียบเป็น เหมือน กับ พ่อซึ่งทำงานพิพากษา ต้องมาพิพากษาจำคุกลูกของตนเองซึ่งทำผิดมหันต์ และต้องพิพากษาตามกฏที่ถูกกำหนด...พระผู้กำหนดกฏนั้นต้องทำตามกฏนั้น เพราะ ในฟ้าสวรรค์ พระบิดาทรงเป็นพระกษัตริย์ และต้องปกครองเหล่าเทพ จิตต่างๆ และสารพัดสิ่ง ซึ่งมนุษย์คือสิ่งท้ายสุด ที่พระเจ้าสร้าง....
อื่ม ฟังดูไม่ลึกซึ้ง ไม่รู้จะ บรรยายยังไง ครับ เหอๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
สรุปแล้วก็คือ เหตุการณ์ รุนแรง
ซึ่งคนต่างศาสนาไม่เข้าใจ ที่ว่า ทำไมพระเจ้าสร้าง ล้างโลก ...ฯลฯ ต่างๆนาๆ นั้น
พระเจ้าทรงเป็นผู้ใช้อำนาจ เพราะพระองค์เป็นผู้เดียว ที่จะหยุดความชั่ว
แต่ทั้งนี้ ถ้าเราอ่านในพระธรรมเดิมมาตลอด เราจะพบว่า
พระเจ้าทรงบอกอย่างชัดเจน ว่า พระองค์ตีสอนผู้ที่พระองค์รัก และมีการกล่าวอย่างชัดเจนว่า พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้เมตตาที่สุด....
อีกเรื่องคือ เรื่องของภาษาไทย ซึ่งมัน...ค่อนข้างไม่ลึกซึ้งเหมือนภาษาอังกฤษหนะ หุหุหุหุ
เอ๊ะ เรานอกเรื่องป่าวหว่า
- -"
แก้ไขล่าสุดโดย Anonymous เมื่อ อาทิตย์ มี.ค. 09, 2008 1:14 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
- Ministry Of Men
- โพสต์: 3972
- ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ เม.ย. 18, 2007 3:09 pm
อีกเรื่องคือ ที่พี่ HOLY บอกกับ ท่านchay นะครับ
คือ ผมอยากให้ท่านเชย์ มองหลายๆอย่างนะครับ
คือ ยกตัวอย่างประมาณว่า ...
คุณเชย์ ลองอ่าน พระคำ บทเดิม ซ้ำทุกวัน เป็นเวลา 10 ปี
ผมจะบอกว่า ถ้าคุณเชย์ ไม่ปฏิเสธ พระจิตเจ้าแล้วละก็
ผมมั่นใจครับว่า พระคำบทเดิม ที่คุณเชย์อ่านทุกวันเป็นเวลา 10 ปีนั้น จะได้รับการสอนจากพระคำศักดิ์สิทธิ์ด้วยความเข้าใจในมุมใหม่ๆ
เปรียบเหมือน บทสวดซ้ำๆ คำเดิมๆ บทเพลงสรรเสริญเดิมๆ แต่มันเป็นการถวายเพลงบทใหม่..เหมือนที่กระทู้ไหนน้า เคยอธิบายไว้
ซึ่งตรงนี้
เท่าที่ผมอ่านความเห็นคุณเชย์หนะครับ
ถือเป็นความเห็นที่ดี และเข้าใจว่าอยากแบ่งปัน
แต่ผมอยากเตือนนะครับ ว่า การที่เราตั้งต้นสอนผู้อื่น พระเจ้าได้เตือนเราว่า "ผู้ที่สอนผู้อื่น จะต้องได้รับโทษหนักกว่าผู้อืน" (ความหมายซ้อนความหมายนะ แต่ก็แปลตรงๆได้เช่นกัน)
นั่นแหละครับ คือ ผมจะบอกว่า ให้ระวังเรื่องความคิดครับ
พระคำพระเจ้า เป็นพระคำศักดิ์สิทธิ์(จริงๆ) เพราะ ประโยคเดียวกัน แต่สามารถทลายกำแพงใจแต่ละคนได้หลายๆคน โดยที่จิตใจแต่ละคนไม่เหมือนกัน เพราะพระจิตเจ้าเป็นผู้ดลใจด้วยนะครับ
ผมจึงอยากแบ่งปันว่า อย่านำผลพระจิตเจ้าที่ตนได้รับ มาตัดสินบทสรุปพระคัมภีร์ตอนใดๆ
ด้วยว่า แม้โลกนี้จะสิ้นไป ถ้อยคำของพระเจ้าก็ไม่สูญสิ้น
หรือถ้าแปลอีกอย่างหนึ่งใน ผลพระจิตที่ผมได้รับตอนนี้ก็คือ
แม้ว่าโลกจะเปลี่ยนไป ผ่านกาลนานไปแค่ไหน ถ้อยคำพระเจ้าก็ยังเป็นอมตะ ใช้ได้ไม่ตกยุคตกสมัยหนะครับ
อืม ....
ครับ แบ่งปันเฉยๆหนะ
จากผู้ชายที่ต่ำต้อยและด้อยค่าคนหนึ่ง
คือ ผมอยากให้ท่านเชย์ มองหลายๆอย่างนะครับ
คือ ยกตัวอย่างประมาณว่า ...
คุณเชย์ ลองอ่าน พระคำ บทเดิม ซ้ำทุกวัน เป็นเวลา 10 ปี
ผมจะบอกว่า ถ้าคุณเชย์ ไม่ปฏิเสธ พระจิตเจ้าแล้วละก็
ผมมั่นใจครับว่า พระคำบทเดิม ที่คุณเชย์อ่านทุกวันเป็นเวลา 10 ปีนั้น จะได้รับการสอนจากพระคำศักดิ์สิทธิ์ด้วยความเข้าใจในมุมใหม่ๆ
เปรียบเหมือน บทสวดซ้ำๆ คำเดิมๆ บทเพลงสรรเสริญเดิมๆ แต่มันเป็นการถวายเพลงบทใหม่..เหมือนที่กระทู้ไหนน้า เคยอธิบายไว้
ซึ่งตรงนี้
เท่าที่ผมอ่านความเห็นคุณเชย์หนะครับ
ถือเป็นความเห็นที่ดี และเข้าใจว่าอยากแบ่งปัน
แต่ผมอยากเตือนนะครับ ว่า การที่เราตั้งต้นสอนผู้อื่น พระเจ้าได้เตือนเราว่า "ผู้ที่สอนผู้อื่น จะต้องได้รับโทษหนักกว่าผู้อืน" (ความหมายซ้อนความหมายนะ แต่ก็แปลตรงๆได้เช่นกัน)
นั่นแหละครับ คือ ผมจะบอกว่า ให้ระวังเรื่องความคิดครับ
พระคำพระเจ้า เป็นพระคำศักดิ์สิทธิ์(จริงๆ) เพราะ ประโยคเดียวกัน แต่สามารถทลายกำแพงใจแต่ละคนได้หลายๆคน โดยที่จิตใจแต่ละคนไม่เหมือนกัน เพราะพระจิตเจ้าเป็นผู้ดลใจด้วยนะครับ
ผมจึงอยากแบ่งปันว่า อย่านำผลพระจิตเจ้าที่ตนได้รับ มาตัดสินบทสรุปพระคัมภีร์ตอนใดๆ
ด้วยว่า แม้โลกนี้จะสิ้นไป ถ้อยคำของพระเจ้าก็ไม่สูญสิ้น
หรือถ้าแปลอีกอย่างหนึ่งใน ผลพระจิตที่ผมได้รับตอนนี้ก็คือ
แม้ว่าโลกจะเปลี่ยนไป ผ่านกาลนานไปแค่ไหน ถ้อยคำพระเจ้าก็ยังเป็นอมตะ ใช้ได้ไม่ตกยุคตกสมัยหนะครับ
อืม ....
ครับ แบ่งปันเฉยๆหนะ
จากผู้ชายที่ต่ำต้อยและด้อยค่าคนหนึ่ง
- Ministry Of Men
- โพสต์: 3972
- ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ เม.ย. 18, 2007 3:09 pm
~*Little`Child*~ เขียน: อืม...การอ่านพระคัมภีร "แต่อ่านแค่ตามตัวอักษร"
คิดว่าจะบอกแบบนั้นเลย ก็ไม่น่าจะใช่นะคะ
เห็นด้วยนะคะ กับสิ่งที่บอกว่าการอ่านพระคัมภีร์นั้น
อ่านเพื่อให้เราเข้าใจถึงจิตใจของพระองค์ ความลึกซึ้งที่ซ่อนอยู่
เพื่อเป็นพลังของจิตวิญญาณ
แต่การที่ใครจะอ่านออกมาเป็นแบบไหนนั้น
คือสิทธิและอำเภอใจของเค้าที่พระองค์ประทานมาให้มากกว่ามั้ยคะ
ถ้าจะบอกว่าเป็นการแปลออกมาตามความคิดของตนเอง
ก็คงจะไม่ผิด หากเค้าเหล่านั้นไม่ได้ทำให้คำสอนของพระองค์บิดเบือนไป
แต่เข้าใจในลักษณะที่แตกต่างกัน ความลึกซึ้งอาจจะไม่เท่ากัน
บางคนเรียบง่าย บางคนลึกซึ้งถึงจิตวิญญาณ
แต่สิ่งหนึ่งที่ได้ออกมา เรารักพระองค์ เราเชื่อฟังคำสอนพระองค์
บางคนอาจจะเห็นว่าพระองค์ห้าม เค้าก็ไม่ทำ เพราะเชื่อฟัง ถ่อมตน โดยไม่มีคำถาม
แต่บางคนอาจจะเข้าใจลึกซึ้งกว่านั้น แล้วก็เชื่อฟังพระองค์ เข้าใจพระองค์
แล้วอะไรเป็นสิ่งที่แตกต่างคะ มันไม่เหมือนกันหรือที่บทสรุป
ว่า รักพระองค์ เชื่อพระองค์ ทำตามพระองค์ ยำเกรงพระองค์
แล้วมนุษย์เราเองก็รู้ถึง พระปรีชาญาณ อันประเสริฐของพระเจ้า
พระองค์ปรีชาญาณเกินกว่ามนุษย์จะเข้าใจ และคาดเดา
ถ้าเช่นนั้นการที่คำสอนของพระองค์ พระวจนะของพระองค์ในพระคัมภีร์
ตกไปอยู่กับผู้ใด ผู้นั้นจะอ่านและเข้าใจออกมาเป็นเช่นไร พระองค์รู้
ไม่สังเกตหรือคะ...ว่าใครก็ตามอ่านพระคัมภีร์
ต่างเพศ ต่างวัย ต่างการศึกษา ต่างทัศนคติ ต่างความคิด
เมื่ออ่านแล้วผลที่ออกมา คือ รักพระองค์ เชื่อฟังพระองค์ วางใจพระองค์ และยำเกรงพระองค์
ใช้พระคัมภีร์เป็นบทสนทนากับพระองค์ เป็นคำปลอบใจจากพระองค์
ถึงแม้บางคนจะอ่านจากตัวอักษร(จากความคิดของคุณ) หรือบางคนจากจิตวิญญาณ
ออกมาในรูปแบบความคิดต่างๆกัน
แต่พระองค์ก็เป็นศูนย์รวมของทุกๆคนที่กล่าวถึง
นี่หรือป่าวคะ ที่จะเรียกว่า พระปรีชาญาณของพระเจ้า
ที่รู้จักมนุษย์บุตรที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นมา
นี่หรือป่าวคะ....คือการเข้าใจพระองค์ ว่าจิตใจของพระองค์จะบอกอะไรเรา
พระองค์คงจะบอกว่า พระองค์ รู้ที่จะสอน ใครอย่างไร คนไหนแบบไหน จะเข้าใจอย่างไร
ถ้าเชื่อในพระปรีชาญาณของพระองค์จริงๆ ไม่น่าจะคิดว่าคนอื่นอ่านแค่คำของพระคัมภีร์นะคะ
เพราะเค้าเหล่านั้น ก็คือลูกของพระองค์ พระเจ้าของเรา ที่รักพระองค์เช่นเดียวกันคุณ
พระเจ้าอวยพรคะ
สำเนาถูกต้อง
และขอคริสต์บางนิกายเฉพาะสาย...ด้วยนะครับ ว่า อย่าสุดโต่ง อย่าหัวรุนแรง มันเสียชื่อคริสตชนคนกันเองนะ :emotion_057:
"จงกระทำทุกสิ่งด้วยความรัก"
"บังเกิดในความรัก ผลคือความรัก"
"ต่อจากความเห็นแรกที่ผมแสดงในกระทู้นี้นะครับ...
ผมมองว่า ต้นมะเดื่อก็ย่อมให้ผลมะเดื่อ ดังนั้นคนต่างศาสนาที่ชอบด่าพระยาห์เว ว่า อุปโหลกเอย ... กิเลสหนาเอย ... เห่อๆ คุณมีความคิดแคบมาก .... ขอให้มองผลของพระบิดาเจ้าที่มองพระองค์ไม่เห็นด้วยตาและยาน(ชานสายตาสั้นๆ)และเกินจะนึกคิดและผู้หว่านเมล็ดดี (หว่านพระบุตร หว่านอำนาจและการอัศจรรย์ ฯ ) แล้วจะรู้ ว่า ต้นดี ย่อมให้ผลดี"
แต่...!!! มันก็ยังมีต่ออีก คือ แล้วความบาปเต็มโลกหละ ....
เห่อๆๆ พระราชกรณียกิจของพระเจ้าในพระธรรมเดิม พระองค์ทรงปฏิเสธสิ่งชั่วร้ายอย่างชัดเจน
และพระธรรมที่สอดคล้องกันคือ คำสอนเรื่องผู้หว่านและเมล็ด ในพันธสัญญาใหม่
(เมล็ดตกดินดี ก็ขึ้นดี ตกบนหนามก็...อืม)
แม๊ฯ จับมาผูกกันได้ ตาบอยเอ๊ยยย 5555
ขอโทษครับ ที่นอกเรื่อง
(คิดอะไรไม่ถูกต้อง แนะนำด้วยแล้วกันนะ ) เหอๆๆๆ
ขออีกหน่อยเถอะ เก็บกฏมานานแล้วววววววว
"มันมีคนที่บอกว่า พระบิดาไม่มีจริง พระยาเวห์ พระจิตเจ้า เป็นเพียงอุปโหลก"
"พระเจ้าของชาว... คือ ธรรมะ ธรรมชาติ"
"และก็เทียบ..เคียงซะงั้น..."
ผมได้รับคำตอบจากพระเจ้าผ่านทางหนังสืออาหารประจำวันว่า
"ธรรมชาติ คือคำที่ใช้เรียก สิ่งที่พระเจ้าทรงสร้าง"
ขออภัยครับ ที่นอกเรื่องกระทู้ หุหุหุ