ความเชื่อเรื่องเทวดาในศาสนาต่าง ๆ
แทบทุกศาสนาในโลกนี้ยอมรับในการมีอยู่ของเทพเทวดา...หรือแม้ไม่เชื่อเรื่องเทวดา อย่างน้อยที่สุด ก็ยังมีการกล่าวถึงในเรื่องของชาวฟ้าชาวสวรรค์ ซึ่งนอกจากความเชื่อเรื่อง ทูตสวรรค์ของทางศาสนาคริสต์แล้ว ศาสนาอื่น ๆ ในโลก ไม่ว่าจะเป็นศาสนาเก่าแก่โบราณอย่างกรีก โรมัน อียิปต์โบราณ หรือศาสนาที่ยังมีผู้นับถือในปัจจุบัน อย่าง ฮินดู อิสลาม ชินโต พุทธ ก็ล้วนแต่มีการพูดถึงเทวดาด้วยกันทั้งสิ้น แต่มีมุมมองที่ต่างกันในรายละเอียด
ความเชื่อเรื่องเทวดาของทางพุทธ และ พราหมณ์
ในทางพุทธนั้น ถ้าเราศึกษาถึงที่มาของเทวดาต่างๆ ที่สังคมไทยรู้จักและนับถือกันอยู่ในปัจจุบันนี้ ก็จะพบว่า เทวดาต่างๆ เกือบทั้งหมดนั้นมาจากคัมภีร์หลักของศาสนาพราหมณ์ - ฮินดู และ พุทธศาสนา และถ้าว่าตามคัมภีร์ชั้นปฐมภูมิของทั้ง 2 ศาสนานี้ต่างก็กล่าวไว้ในทำนองเดียวกันว่า มีสิ่งที่อยู่เหนือประสาทสัมผัสธรรมดาของมนุษย์บางประเภทเรียกว่า "เทวดา" ซึ่งมีคุณสมบัติและความสามารถพิเศษเหนือมนุษย์ธรรมดาอยู่เป็นจำนวนมาก ถึงแม้จะมีการยอมรับตรงกันว่าเทวดามีจริง แต่สถานภาพของเทวดาในพุทธศาสนาและศาสนาฮินดูกลับแตกต่างกันเป็นอย่างมาก เมื่อเทวดามีสถานภาพที่ต่างกัน ทั้ง 2 ศาสนาจึงได้บัญญัติหรือสอนวิธีที่มนุษย์จะพึงปฏิบัติหรือมีปฏิสัมพันธ์ต่อเทวดาไว้ต่างกันอีกด้วย
ศาสนาฮินดู หรือศาสนาอย่างชินโต ที่เป็นศาสนาพหุเทวนิยม เทวดาคือแก่นหลักของศาสนา เทวดาทุกองค์ได้รับการยกย่องในฐานะเทพเจ้า เป็นอำนาจเหนือธรรมชาติที่มีอิทธิพลเหนือมนุษย์ เทวดาคือที่มาของศีลและธรรมของศาสนา แต่ในอีกฝั่งหนึ่ง เช่น ศาสนาพุทธในบางนิกาย เทวดาไม่ใช่แก่นหลักของศาสนา เทวดาไม่ได้อยู่ในฐานะที่ได้รับการยกย่องนับถือจากศาสนิกชนเช่นเดียวกับเทพเจ้าในศาสนาฮินดู เพราะเทวดาไม่มีอิทธิพลให้คุณให้โทษเหนือมนุษย์ แต่เทวดาในทางพุทธศาสนาเป็นเพียงองค์ประกอบหนึ่งที่จะช่วยเติมเต็มความสมบูรณ์ในความเชื่อทางศาสนา หรืออย่างน้อยที่สุด ในความเชื่อ ความเข้าใจของพุทธศาสนิกชนบางหมู่เหล่า เทวดาก็เป็นตัวอย่างที่ดีของ “รางวัล” ที่จะพึงตอบแทนให้แก่ผลกรรมดีที่ศาสนิกชนได้ปฏิบัติไป
ในคัมภีร์พระสุตตันตปิฎก คำว่าเทวดาเป็นคำใช้เรียกชาวสวรรค์ที่มีกำเนิดเป็นโอปปาติกะ คือ มีกำเนิดด้วยการผุดขึ้นทันทีโดยอาศัยอำนาจแห่งกุศลกรรมที่เคยทำไว้เมื่อครั้งยังเป็นมนุษย์หรือสัตว์เดรัจฉานเป็นผู้จัดสรร ถ้าหากต้องการจะใช้เรียกเจาะจงเพศ จะเรียกเทวดาเพศชายว่า เทพบุตร และเรียกเทวดาเพศหญิงว่า เทพธิดา ส่วนในคัมภีร์พระเวทสังหิตา ไม่มีคำเรียกเทวดาเพศชายเป็นคำเฉพาะ คงมีแต่คำเรียกเทวดาเพศหญิง โดยใช้คำว่า เทวี ต่อท้ายชื่อ
ประเด็นที่แตกต่างกันระหว่างเทวดาในคัมภีร์ของทางพุทธกับทางพราหมณ์ คือ เทวดาในคัมภีร์พระสุตตันตปิฎกไม่มีบิดามารดาเป็นผู้ให้กำเนิด แต่มีกรรมดีที่ได้ทำไว้เมื่อครั้งมีชีวิตเป็นผู้ให้กำเนิด ซึ่งการเกิดในลักษณะนี้เรียกว่า "โอปปาติกะ" คือเกิดผุดขึ้นโตเต็มที่ในทันที แม้เมื่อเกิดเป็นเทวดาแล้วก็ยังอยู่ในภาวะของปุถุชนและยังต้องเวียนว่ายตายเกิดเช่นเดียวกับมนุษย์จนกว่าจะสิ้นกิเลสอาสวะ เทวดาจึงอยู่ในฐานะต่ำกว่าพระอริยเจ้า ในขณะที่เทวดาในคัมภีร์พระเวทมีมารดาบิดาเป็นผู้ให้กำเนิด เมื่อเจริญเติบโตถึงวัยหนุ่มสาวแล้วก็คงอยู่ในวัยนี้ตลอดไป ไม่มีการเปลี่ยนแปลง มีชีวิตเป็นอมตะ และมีความยิ่งใหญ่เหนือมนุษย์ทุกระดับ ส่วนความเชื่อเทวดาในสังคมไทยนอกจากยังคงเชื่อและนับถือผีแบบดั้งเดิมแล้ว สังคมไทยก็ได้ยอมรับนับถือเทวดาที่มาจากวัฒนธรรมอื่นโดยเฉพาะวัฒนธรรมอินเดียอีกด้วย และคนส่วนใหญ่ที่นับถือเทวดาก็เพราะหวังพึ่งพาอำนาจจากเทวดาหรือหวังผลประโยชน์จากเทวดาเป็นสำคัญ
เทวดาเหล่านี้ แม้จะมีจิตใจไม่ดีขึ้นมา เช่น คิดอิจฉา หรือผิดลูกเมีย หากยังไม่หมดกรรมที่จะไปจุติใหม่ก็ยังคงสถานะเทวดาต่อไป เช่นการลักลอบเป็นชู้ของพระอินทร์ ในตำนานต่างๆ
มารในพุทธศาสนา และพราหมณ์
มารในพุทธศาสนาไม่ได้เหมือนปีศาจในคริสต์ศาสนาตรงที่ ในทางพุทธ มาร เป็นอีกเผ่าหนึ่งไม่ได้เป็นเทวดาที่เปลี่ยนไปแบบทางคริสต์ ตั้งแต่เกิดจนตายเป็นมาร มีลูกหลานสืบพันธุ์ก็เป็นเผ่ามาร มักแสดงภาพออกมาเป็นยักษ์ จึงมีคำกล่าวเรียกคู่กันในภาษาไทยว่า “ยักษ์มาร” แต่อาจมีจิตใจดีงามกว่าเทพเทวดาบางองค์ สามารถบำเพ็ญเพียรเพื่อเกิดใหม่เป็นเผ่าพันธุ์ที่ดีกว่าได้ แต่เมื่อเกิดเป็นมารก็ยังคงสถานะเป็นมารอยู่ เช่นในเรื่องรามเกียรติ์ ภิเพกที่เป็นยักษ์กลับใจมาเข้าฝ่ายพระราม (แต่ก็ยังเป็นยักษ์อยู่ดี) เป็นต้น
เทวดาพุทธศาสนาและทูตสวรรค์ในคริสตศาสนา
ซึ่งหากเทียบกันแล้วจะเห็นว่าทางเทวดาของทางพุทธ จะแตกต่างจากทูตสวรรค์ของคริสต์ และเป็นที่มาของความสับสนของบรรดาการ์ตูนและเกมส์ที่ผู้แต่งหรือผู้เขียนเป็นพุทธหรือชินโต แต่อยากเอาเรื่องทูตสวรรค์คริสต์มาใช้ แต่กลับเอามาใช้ในบริบทความเชื่อเดิมของตัวเองไม่ใช่ตามความถูกต้องของทูตสวรรค์ของคริสตศาสนา
ในทางพุทธ ในสวรรค์เทวดาบางพวกยังเสพกาม มีนางอัปสรเป็นนางบำเรอเทวดาชาย ในทางฮินดูเทพเทวดาสมรสมีชายา และมีบุตรธิดา แต่ในคริสตศาสนา ทูตสวรรค์ไม่กระทำสิ่งเหล่านี้
มธ 22:29
พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “ท่านคิดผิดแล้ว เพราะไม่เข้าใจพระคัมภีร์ และไม่รู้จักพระอานุภาพของพระเจ้า เมื่อมนุษย์จะกลับคืนชีพ จะไม่มีการแต่งงานเป็นสามีภรรยากันอีก แต่เขาจะเป็นเหมือนทูตสวรรค์
หากจะเปรียบว่าเทวดาของพุทธเหมือนชาวสวรรค์แบบไหนของคริสต์ ก็อาจเทียบได้กับ “นักบุญ” มากกว่า “ทูตสวรรค์” เพราะนักบุญในคริสต์ศาสนา ก็คือศาสนิกชนที่กระทำคุณงามความดี เมื่อเสียชีวิตลงก็ได้รับรางวัลเป็นผลตอบแทนจากคุณงามความดีที่ได้กระทำมา ได้ไปอยู่ในสวรรค์จึงเรียกว่า “นักบุญ” ดังนั้น นักบุญทางคริสต์คือคนในโลกมาก่อนเหมือนเทวดาทางพุทธ แตกต่างจากทูตสวรรค์ที่เป็นจิตที่ถูกพระเจ้าสร้างขึ้นเป็นทูตสวรรค์เลยโดยตรงและไม่เป็นมนุษย์มาก่อน
นอกจากนี้เทวดาทางพุทธจะยังสามารถหมดสถานะเทวดา กลับมาเกิดเป็นมนุษย์ หรือสัตว์ หรืออื่นๆ แต่ทูตสวรรค์จะเป็นจิตตลอดไปเพราะถูกสร้างมาเช่นนั้น หากทำผิดจะกลายเป็นปีศาจ ไม่มีการเกิดมามีเนื้อหนัง เป็นคน หรือสัตว์ ในโลก
นอกจากนี้ ทูตสวรรค์ มีหน้าที่รับใช้พระเจ้า ไม่ต้องการกินดื่ม แต่เทวดาในทางพุทธหรือพราหมณ์ เกิดเป็นเทวดาเพื่อเสวยผลบุญที่ทำความดีมา อาจรับของเซ่นไหว้ ในรูปแบบอาหารต่างๆจากมนุษย์
ทั้งหมดนี้ คือบางส่วนของความแตกต่างที่ไม่เหมือนกัน ของบรรดาทูตสวรรค์และเทวดาในศาสนาอื่น ที่หลายๆคนรวมทั้งคริสตชนเองสับสนกันเสมอๆ แม้เราจะไม่สามารถรู้ทุกอย่างของฟ้าสวรรค์ แต่เราก็มีความรู้ในบางอย่างที่ทำให้ทราบและแยกแยะความแตกต่างได้
สำหรับคริสตชนเราแล้ว ทูตสวรรค์ทุกองค์รักเราและเป็นเพื่อนเรา และท่านเหล่านั้นปรารถนาให้เราทุกคนได้กลับไปอยู่ในสวรรค์ด้วยกันกับพวกท่านนิรันดร เราจงรู้จักขอความช่วยเหลือจากเพื่อนในสวรรค์ที่เต็มใจช่วยเราในกิจการดีตามพระประสงค์ของพระเจ้าทุกประการ
ขอทูตสวรรค์ทั้งหลายช่วยวิงวอนพระเจ้าเพื่อเราด้วยเทอญ