+ My Life My Story My God : part#1 ถึง part # 5

ถาม-ตอบพระคัมภีร์ เรื่องเสริมศรัทธา ความรู้ และสาระ บทความ ในคริสตศาสนา
ตอบกลับโพส
พระเจ้าสถิตย์กับเราเสมอ
~@
โพสต์: 2546
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 10:54 pm

พุธ เม.ย. 02, 2008 2:38 am

"บทความนี้ผมได้เขียนใวเน hi5 ของผม   เวลาผมได้เจอเรื่องราวหรือประสบการ์ณอะไรในชีวิตผมก็จะกลับมาเขียนใว้ในนั้น   เผื่อว่าวันไหนเกิดท้อใจหรือสับสนหาทางออกไม่ได้ผมก็จะกลับมาอ่านเพื่อเป็นกำลังใจต่อไป  และจะยิ่งดีกว่านั้นถ้าได้มีใครที่เกิดท้อใจหรือต้องการกำลังใจหรือกำลังหาคำตอบอะไรสักอย่างมาอ่านแล้วได้อะไรกลับไปบ้างก็คงจะดีไม่น้อย"


รูปภาพ********
กำแพงของชีวิต

********

       ในที่นี้คำว่ากำแพงไม่ได้หมายถึงสิ่งก่อสร้างที่มีลักษณะเป็นแผ่นๆมาตั้งใว้เพื่อกั้นสิ่งต่างๆออกจากกัน  แต่หมายถึงอุปสรรค์ของชีวิตที่เราต้องเจอ..และในความหมายและคุณสมบัติของมันก็สามารถทำให้เราเข้าใจได้ว่า มันก็คือตัวกั้นเราออกจากจุดหมายปลายทางแห่งความฝันที่เรากำลังเดินไป  ประเด็นมันอยู่ที่ว่าเมื่อเราเดินทางตามความฝันของตัวเองแล้วเจอกับกำแพงที่ขวางเราใว้ เราจะทำอย่างไรกับมันดี?  บางคนเลือกที่จะปีนมัน บางคนก็เลือกที่จะใช้เครื่องมืออย่างค้อนเพื่อที่จะทลายมัน หรือบางคนเลือกที่จะพยายามเดินอ้อมเผื่อจะมีลู่ทางอื่นที่สะดวกกว่าสบายกว่า  หรือแม้กระทั่งบางคนก็ท้อแท้เดินหันหลังกลับไปก็มี    หลายคนอาจตั้งคำถามว่าทำไมต้องมีกำแพงมาขวางกั้น ทำไมพระเจ้าต้องกลั่นแกล้ง หรือ ทำไมโชคชะตาช่างเล่นตลก ฯลฯ  ผมอยากจะบอกว่าคนเราชอบความสบาย แต่ความสบายนั้นไม่ทำให้เราเติบโต  ความลำบากสิทำให้เราเติบโต อุปสรรค์ทำให้เราเข้มแข็งขึ้น  ถ้าความฝันของเรามีค่าดุจทองคำก็ต้องมีบางอย่างเพื่อทดสอบเราว่าเรามีคุณค่าพอที่จะคู่ควรกับมันจริงๆ มิเช่นนั้นถ้าเรายังอ่อนแอเพราะไม่เคยเจออุปสรรคอะไรเลยเราก็จะไม่มีความเข้มแข็งพอจะยืนอยู่บนจุดสูงสุดของขีวิตเราได้ ดังนั้นยิ่งความใฝ่ฝันของเรายิ่งใหญ่เพียงใด เราก็ต้องมีความเข้มแข็งพอที่จะแบกรับมันใว้ได้   ดังนั้นการก้าวข้ามผ่านกำแพงนั้นเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทุกคนที่มีความใฝ่ฝันในชีวิตไม่ว่ากำแพงนั้นจะใหญ่สักเท่าไหร่ หรือยาวไกลและมากมายสักเพียงไร ก็ขอให้รู้เถอะว่าพระเจ้าไม่เคยให้การทดสอบที่หนักหนาเกินกว่ากำลังของเราจะรับได้ เพราะเหตุนี้สำหรับผมแล้ว "กำแพง" ไม่ใช่การกลั่นแกล้งจากพระเจ้า แต่เป็น
"ของขวัญ" จากพระองค์
คุณพร้อมที่จะเปลี่ยนมุมมองและเผชิญกับกำแพงของชีวิตอย่างกล้าหาญและไม่หวาดหวั่นหรือยัง?



****

ปล. พี่พีพี ได้รวบรวม บทความทั้ง 5 บท ไว้ในกระทู้เดียวกัน เพราะเป็นกระทู้ที่ไม่ยาว และ เพื่อประหยัดพื้นที่ให้กระทู้อื่นๆ ค่ะ :azn:
แก้ไขล่าสุดโดย Prod Pran เมื่อ พุธ เม.ย. 02, 2008 9:20 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
พระเจ้าสถิตย์กับเราเสมอ
~@
โพสต์: 2546
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 10:54 pm

พุธ เม.ย. 02, 2008 2:40 am

"บทความนี้ผมได้เขียนใวเน hi5 ของผม  เวลาผมได้เจอเรื่องราวหรือประสบการ์ณอะไรในชีวิตผมก็จะกลับมาเขียนใว้ในนั้น  เผื่อว่าวันไหนเกิดท้อใจหรือสับสนหาทางออกไม่ได้ผมก็จะกลับมาอ่านเพื่อเป็นกำลังใจต่อไป  และจะยิ่งดีกว่านั้นถ้าได้มีใครที่เกิดท้อใจหรือต้องการกำลังใจหรือกำลังหาคำตอบอะไรสักอย่างมาอ่านแล้วได้อะไรกลับไปบ้างก็คงจะดีไม่น้อย"


รูปภาพ********
กว้างในที่แคบ

********

      ทุกวันนี้เวลาจะไปไหนมาไหนต้องออกจากบ้านอย่างน้อยก็คือก่อนเวลานัดหมาย 1 ชั่วโมง ยิ่งถ้าต้องผ่านถนนเส้นสาธรหรือเส้นอโศกแล้วละก็ให้กะเผื่อใว้เลย 2 ชั่วโมงเป็นอย่างน้อย  หรือแม้กระทั่งจะขึ้นรถไฟฟ้า BTS ก็คนแน่นแถมรถไฟฟ้าก็ไม่เห็นจะมา 2 นาทีตามที่โม้ใว้ ทำให้บางทีเราก็เริ่มรู้สึกว่า "เฮ้ย...ทำไมคนมันเยอะจังวะ โลกใบนี้คงจุไม่พอซะแล้วละมั้ง"  แต่พอมาลองนึกดูดีๆว่าถ้าบนท้องถนนคนรักษากฏจราจรกันสักนิดมีน้ำใจกันสักหน่อย รักษามารยาทไม่ไปปาดหน้าเค้าแทรกรถคันอื่นเค้า  หรือแม้กระทั่งบน BTS ก็ให้เข้าคิวไม่ไปแซงใคร ไม่ไปเบียดคนที่เค้าจะออก  ถ้าทำได้แบบนี้ทุกอย่างก็จะดีขึ้น รถก็ติดน้อยลง คนก็มีระเบียบมากขึ้นทุกอย่างก็จะดีขึ้นตามๆกันส่งผลให้คนใจเย็นลงรู้จักรอเป็นให้อภัยเป็นเสียสละเป็นและแบ่งปันเป็น ดังนั้นจริงๆแล้วโลกใบนี้หรือถนนไม่ได้แคบหรอก แต่เป็นใจมนุษย์ต่างหากที่แคบ เพราะไม่ว่าต่อให้โลกจะใหญ่กว่าดวงอาทิตย์ 5 เท่า หรือถนนจะมีสัก 10 เลนก็คงไม่เพียงพอตราบเท่าที่มนุษย์ยังมีจิตใจที่คับแคบอยู่อย่างนี้    ทำให้เราเห็นได้ชัดว่าสิ่งที่มนุษย์ส่วนใหญ่เป็น(รวมทั้งผมด้วย)ก็คือกลัวการเปลี่ยนแปลงตนเอง กลัวการรับรู้ว่าตัวเองนั้นผิด ไม่ดี ดังนั้นทางออกก็คือต้องให้สิ่งรอบๆตัวทั้งคน สัตว์ สิ่งของ เปลี่ยนแปลงเพื่อนตนเอง ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ นั่นหมายถึงเราจะต้องเปิดใจเราให้กว่างกว่านี้ ใหโอกาสตนเองและผู้อื่นอย่างเหมาะสมและเท่าเทียมกัน อะไรแบ่งได้ก็แบ่ง อะไรเสียสละได้ก็เสียสละ  เพราะถ้าหากใจเราเปิดกว้างขึ้นแล้ว ความสุขก็จะเข้ามาในใจเราได้มากขึ้น และสามารถแผ่ขยายไปสู่คนอื่นๆได้เช่นกัน


****
พระเจ้าสถิตย์กับเราเสมอ
~@
โพสต์: 2546
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 10:54 pm

พุธ เม.ย. 02, 2008 2:48 am

"บทความนี้ผมได้เขียนใวเน hi5 ของผม  เวลาผมได้เจอเรื่องราวหรือประสบการ์ณอะไรในชีวิตผมก็จะกลับมาเขียนใว้ในนั้น  เผื่อว่าวันไหนเกิดท้อใจหรือสับสนหาทางออกไม่ได้ผมก็จะกลับมาอ่านเพื่อเป็นกำลังใจต่อไป  และจะยิ่งดีกว่านั้นถ้าได้มีใครที่เกิดท้อใจหรือต้องการกำลังใจหรือกำลังหาคำตอบอะไรสักอย่างมาอ่านแล้วได้อะไรกลับไปบ้างก็คงจะดีไม่น้อย"


รูปภาพ********
เพลงสดุดี 23:1-6 

********
 
บทความนี้เป็นส่นหนึ่งของพระคำภีร์ไบเบิ้ลฉบับเก่า(old testament)ซึ่งหลายๆท่านคงจะได้อ่านกันบ้างแล้ว แต่สำหรับผมแล้วบทสดุดีบทนี้เป็นบทสดุดีที่ใหม่เสมอเพราะไม่ว่าผมจะถูกทดสอบเพียงไรหรือถูกผจญมากเพียงไร  บทนี้ก็ยังคงปลอบประโลมจิตใจได้เฉกเช่นเคยทุกครั้ง

"พระเจ้าทรงเลี้ยงดูข้าพเจ้าดุจเลี้ยงแกะข้าพเจ้าจะไม่ขัดสน..
พระองค์ทรงกระทำให้ข้าพเจ้านอนลงที่ทุ่งหญ้าเขียวสดพระองค์ทรงนำข้าพเจ้าไปริมน้ำแดนสงบ ทรงฟื้นจิตวิญญาณของข้าพเจ้าพระองค์ทรงนำข้าพเจ้าไปในทางชอบธรรมเพราะเห็นแก่พระนามของพระองค์แม้ข้าพระองค์จะเดินไปตามหุบเขาเงามัจจุราชข้าพระองค์ไม่กลัวอันตรายใดๆเพราะพระองค์ทรงสถิตกับข้าพระองค์คทาและธารพระกรของพระองค์โชลมข้าพระองค์ พระองค์ทรงเตรียมสำรับให้ข้าพระองค์ต่อหน้าต่อตาศัตรูของข้าพระองค์พระองค์ทรงเจิมศีรษะข้าพระองค์ด้วยน้ำมันขันน้ำของข้าพระองค์ก็ล้นอยู่ แน่ทีเดียวที่ความดีและความรักมั่นคงจะติดตามข้าพเจ้าไปตลอดวันคืนชีวิตของข้าพเจ้าและข้าพเจ้าจะอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้าสืบไปเป็นนิตย์.. "



****
พระเจ้าสถิตย์กับเราเสมอ
~@
โพสต์: 2546
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 10:54 pm

พุธ เม.ย. 02, 2008 2:52 am

"บทความนี้ผมได้เขียนใวเน hi5 ของผม  เวลาผมได้เจอเรื่องราวหรือประสบการ์ณอะไรในชีวิตผมก็จะกลับมาเขียนใว้ในนั้น  เผื่อว่าวันไหนเกิดท้อใจหรือสับสนหาทางออกไม่ได้ผมก็จะกลับมาอ่านเพื่อเป็นกำลังใจต่อไป  และจะยิ่งดีกว่านั้นถ้าได้มีใครที่เกิดท้อใจหรือต้องการกำลังใจหรือกำลังหาคำตอบอะไรสักอย่างมาอ่านแล้วได้อะไรกลับไปบ้างก็คงจะดีไม่น้อย"


รูปภาพ********
ความแตกต่าง 

********
 

เมื่อคนเราพูดถึงความแตกต่างคนเราก็จะนึกถึงสิ่งสองสิ่งขึ้นไปที่ไม่เหมือนกัน และเมื่อมันไม่เหมือนกันแล้ว มันก็จะอยู่ด้วยกันไม่ได้เหมือนที่คนมักจะพูดกันว่า "น้ำก็จะไหลไปรวมกับน้ำ แต่น้ำมันก็จะไหลไปรวมกับน้ำมัน"  แต่เมื่อเราอยู่ในสังคมที่จะต้องมีทั้งน้ำหรือน้ำมันหรืออะไรอย่างอื่นที่จะต้องมาอยู่รวมกันแล้วก็เขย่าๆเข้าด้วยกันนั้น กลับพบว่ามันเป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะสามารถต่างคนต่างอยู่หรือตัวใครตัวมันหรือพวกใครพวกมันได้เพราะมิเช่นนั้นโลกนี้ก็จะหยุดอยู่กับที่  แต่เพื่อความเข้าใจที่มากขึ้นให้เราลองนึกถึงสีดู สีมีแม่สีอยู่ 3 สีคือ สีแดง สีเหลือง และ สีน้ำเงิน(ถ้าเป็นแสงก็คือ สีแดง สีเขียว และ สีน้ำเงิน) ถ้าสีแต่ละสีไม่ถูกนำมาผสมกัน ก็คงไม่มีสีชมพู หรือฟ้าเข้ม ฟ้าอ่อน ฯลฯ งานศิลปะก็คงจะจืดชืดและซ้ำเดิม  เฉกเช่นเดียวกับโลกใบนี้ก็คือพื้นที่แสดงศิลปะของพระเจ้าที่มีมนุษย์เป็นผู้ระบาย  หากมนุษย์ต่างคนต่างอยู่งานศิลปะก็จะไม่เป็นศิลปะ แต่หากมนุษย์ทุกคนยอมรับกันและทำงานร่วมกันอย่างสามัคคีก็จะกลายเป็นสีใหม่ๆมาแต่งวเติมให้ไม่น่าเบื่อแก่โลกใบนี้  เพราะถ้าหากเราจะมัวเอาแต่ตัวเราพวกเรา ไม่เปิดใจยอมรับคนอื่นหรือเพื่อนคนอื่น หรือไม่ให้โอกาสแก่กันและกันแล้ว  โลกใบนี้จะสวยงามไปด้วยสีสันได้อย่างไร 




****
พระเจ้าสถิตย์กับเราเสมอ
~@
โพสต์: 2546
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 10:54 pm

พุธ เม.ย. 02, 2008 4:18 am

+ My Life My Story My God : part#5 " เด็กหนุ่มกับช่างตีดาบ " +


"บทความนี้ผมได้เขียนใวเน hi5 ของผม  เวลาผมได้เจอเรื่องราวหรือประสบการ์ณอะไรในชีวิตผมก็จะกลับมาเขียนใว้ในนั้น  เผื่อว่าวันไหนเกิดท้อใจหรือสับสนหาทางออกไม่ได้ผมก็จะกลับมาอ่านเพื่อเป็นกำลังใจต่อไป  และจะยิ่งดีกว่านั้นถ้าได้มีใครที่เกิดท้อใจหรือต้องการกำลังใจหรือกำลังหาคำตอบอะไรสักอย่างมาอ่านแล้วได้อะไรกลับไปบ้างก็คงจะดีไม่น้อย"


รูปภาพ********
เด็กหนุ่มกับช่างตีดาบ 

********
 

เรื่องราวเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ผมแต่งขึ้นเอง  ก็ลองอ่านดูนะครับ

นานมาแล้วมีเด็กชายหนุ่มคนหนึ่งใฝ่ฝันอยากเป็นอัศวินที่เก่งกาจมาก  จึงวิ่งไปหาช่างตีดาบที่เก่งกาจที่สุดในจักรวรรดิแล้วบอกกับเขาว่า"ท่านักตีดาบ ท่านช่วยตีดาบที่ยอดเยี่ยมที่สุดในจักวรรดิให้ผมหน่อย เพื่อที่ว่าผมจะได้เป็นอัศวินที่เก่งกาจที่สุด" ช่างตีดาบก็เงียบและครุ่นคิดสักพักแล้วก็ตอบตกลง  ชายหนุ่มคนนั้นก็ตื่นเต้นและดีใจเป็นที่สุ แต่ก็ต้องผิดหวังเมื่อช่างตีดาบคนนั้นกลับยื่นดาบไม้หนึ่งอันมาให้ "นี่มันอะไรกัน?" เด็กหนุ่มถามขึ้นมา "ดาบที่เจ้าขอไงละ" ช่างตีดาบตอบ  เด็กหนุ่มโกรธมากพร้อมกับตวาดใส่ช่างตีดาบว่า "ไร้สาระสิ้นดี ข้านี่หลงผิดเอามากที่คิดว่าท่านคือช่างตีดาบมือ 1 แห่งจักวรรดินี้"  ว่าแล้วก็จ่ายเงินจำนวนหนึ่งคว้าดาบไม้นั้นเดินออกไปพร้อมกับคิดในใจว่า "ข้านี่ไม่น่าเสียเงินไอ้ไอ้แก่นั่นเลย "

แต่ทว่าจะโยนทิ้งก็เสียดายเด็กหนุ่มก็เลยต้องทนใช้ดาบไม้นั้นฝึกฝนไป แรกๆก็ดูเหมือนจะไม่ได้เรื่อง หกล้มบ้าง  ดาบไม้ฟาดหัวบ้าง แต่แล้วเวลาผ่านไป 1 ปี  เด็กหนุ่มเริ่มเบื่อกับดาบไม้นั้นแล้วเพราะเริ่มรู้สึกว่าน้ำหนักมันเบาและก็ใช้มันจนคล่องตัว  จึงอยากได้ดาบอันใหม่ที่เป็นดาบจริงๆก็ได้นึกถึงคุณลุงช่างตีดาบนั้นขึ้นมา ในใจแล้วไม่อยากไปหาแต่ทว่าในจักวรรดินี้มีคนนี้เท่านั้นที่ตีดาบเก่งกาจที่สุดก็เลยต้องยอมไป  พอไปถึงทันทีที่ช่างตีดาบเห็นหน้าหนุ่มคนนี้ก็จำได้ทันทีและก่อนที่ชายหนุ่มคนนั้จะพูดอะไร ช่างตีดาบก็พูดว่า "โอ้ 1 ปีที่ผ่านมา ดูเจ้าโตขึ้นเยอะเลยนี่ เป็นยังไงบ้าง  ใช้ดาบไม้นั่นจนคล่องแล้วละสิ  ข้ากำลังเตรียมบางอย่างให้เจ้าอยู่พอดี"  "นี่ท่านจำข้าได้ด้วยหรือ แล้วที่ท่านว่าเตรียมบางอย่างให้ข้า...หมายความว่าท่านรู้ว่าข้าจะมาหาท่านงั้นสิ?" ชายชราผู่เป็นเบอร์ 1 แห่งนักตีดาบยิ้มพร้อมกับหันหลังไปหยิบบางสิ่งมาให้ชายหนุ่ม  "เปิดออกสิ" ช่างตีดาบกล่าว  เด็กหนุ่มเปิดออกพร้อมกับคิดว่าเบื้องหน้านั้นคือดาบที่ตนได้ขอใว้เมื่อปีก่อน แต่กลับต้องผิดหวังเพราะมันคือดาบเหล็กที่อัศวินทั่วไปใช้กัน "อะไรกัน! นี่ท่านเล่นตลกกับข้าอีกแล้วหรือ"  ชายช่างตีดาบผู้นั้นยิ้มแล้วตอบเพียงสั้นๆว่า "ข้ากำลังตีดาบให้เจ้าอยู่แต่เจ้ามองไม่เห็นเอง" เด็กหนุ่มโกรธแค้นมากเพราะคิดว่าตาแก่คนนั้นพูดจาล้อเลียนและเยาะเย้ย  จึงเดินออกจากร้านไปแล้วใช้ดาบนั้นกวัดแกว่งระบายอารมณ์ทันใดนั้นก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น "ฉึบ!"พร้อมกับเสียงร้องอันเจ็บปวดตามมา  เด็กหนุ่มก็คนนั้นตวัดดาบแรงไปหน่อยดาบเลยบาดเอาตรงขาขวาทำให้เคลื่อนไหวไม่ได้ไปหลายวัน  ในขณะที่นอนพักรักษาตัวอยู่นั้นก็พลางนึกขึ้นได้ว่า "นี่ถ้าฉันไม่เคยได้ลองฝึกดาบไม้นั่นมาก่อนละก็ป่านนี้ขาฉันคงขาดไปแล้ว  เพราะกล้ามแขนก็จะไม่มีกำลังพอจะหยุดดาบ  หรือถ้าตาแก่นั่นให้ดาบนี้ก่อนดาบไม้นั่นมา ป่านนี้หัวข้าคงขาดไปแล้ว"พอคิดได้ดังนี้ก็เริ่มรู้สึกเป็นหนีบุญคุณตาแก่ช่างตีเหล็กนั้นขึ้นมาซะแล้ว พอขาหายดีชายหนุ่มก็เริ่มฝึกซ้อมดาบได้อีกครั้ง จนกระทั่งวันเวลาผ่านไปเป็นเดือน จากเดือนเป็นปี  แต่ละปีนั้นเด็กหนุ่มก็จะกลับไปหาช่างตีดาบเพื่อให้ช่างตีดาบนั้นตีดาบใหม่ให้  ในใจก็คงเริ่มหวังว่าสักวันจะได้ดาบที่สุดยอดของจักรวรรดิ์นี้เสียที จนรวมเวลาทั้งสิ้น 9 ปีได้ล่วงเลยไป ก็ไม่มีทีท่าว่าช่างตีเหล็กชราผู้นั้นจะให้ดาบอันเป็นสุดยอดของแผ่นดินแห่งนี้เสียที  ในปีที่ 10 นั้นเด็กหนุ่มซึ่งตอนนี้ได้โตเป็นหนุ่มแล้วก็เดินไปหาช่างตีเหล็กผู้นั้นพร้อมกับถามว่า "ข้าได้วิงวอนให้ท่านตีดาบที่ยอดเยี่ยมที่สุดให้ข้า แต่นี่เวลผ่านไป 10 ปีแล้ว ข้าก็ยังไม่เห็นวี่แววว่าท่านจะให้ข้าเสียที" ช่างตีดาบซึ่งตอนนี้ชรามากแล้วหัวเราะลั่นแล้วตอบว่า" ฮ่า ฮ่า ฮ่า เจ้าหนุ่มน้อย  วันนี้และเป็นวันที่เจ้าจะได้ดาบนั้นเสียที  แต่ก่อนที่ข้าจะให้เจ้านั้นเจ้าจงเอาสิ่งนี้ไปเสียก่อน" ว่าแล้วชายชราก็หยิบสิ่งหนึ่งที่มีผ้าห่อใว้ให้ชายหนุ่มนั้น  ทันทีที่ชายหนุ่มนั้นเปิดออกก็ต้องตกใจอย่างยิ่ง เพราะว่ามันคือดาบสีทองและเงินขนาดใหญ่ ตรงด้ามจับนั้นทำด้วยอัญมณีที่ฝังอย่างปราณีตลงไปในทองคำ  และคมดาบนั้นก้แหลมคมมาก ใบดาบเป็นเหล็กชั้นดีที่สุดเท่าที่จะหาใด้ในโลกนี้ที่ว่ากันว่ามีเพียงแต่กษัติริย์เท่านั้นที่จะครองดาบที่ทำจากเหล็กชนิดนี้ได้ ในขณะที่ชายหนุ่มกำลังตะลึงใลเพลิดเพลินนความงามและความแข็งแกร่งของดาบนี้ชายชราก็พูดแทรกขึ้นมาว่า "เอาละ ทีนี้ก็ถึงเวลาที่เจ้าจะได้ดาบเสียที" ความเพลิดเพลินของชายหนุ่มที่กำลังชื่นชมกับของในมือราวกับชื่นชมสมบัติล้ำค่านั้นหมดลงพร้อมกับถามด้วยเสียงชวนสงสัยว่า "ดาบ?...ท่านหมายถึง  ที่อยู่ในมือข้านี่ไม่ใช่ดาบที่ดีที่สุดในจักวรรดินี้หรอกรึ?" คราวนี้ชายชราเปล่งเสียงหัวเราะออกมาดังลั่น ""
ฮ่าๆๆๆ นี่ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้เจ้าก็ยังคงมองไม่เห็นอยู่ดีสินะ" ว่าแล้วชายชราก็หยิบสิ่งของสิ่งหนึ่งยื่นให้ชายหนุ่ม สิ่งของสิ่งนั้นรูปร่างเป็นสี่เหลี่ยมมีด้ามจับตรางปลายยื่นออกมา แต่รูปทรงดูอย่างไรก็ไม่ใช่ดาบ หรือถ้าใช่ ก็คงเป็นดาบที่รูปทรงแปลกประหลาดมากทีเดียว  "เปิดออกสิ ถึงเวลาแล้ว" ชายหนุ่มก็เปิดออก พร้อมกับพบว่าสิ่งที่อยุ่เบื้องหน้านั่นคือกระจกใบเก่าๆหนึ่งใบที่สะท้อนรูปหน้าของเขาอยู่บนนั้น "ท่านหมายความว่า.." พูดยังไม่ทันจบประโยค ชายชราก็พูดแทรกขึ้นมาว่า "ถูกแล้ว ดาบที่ข้าตีให้เจ้านั้นก็คือตัวเจ้าเอง ส่วนดาบในมือของเจ้าตอนนี้ก็เป็นกระจกที่สะท้อนดาบในตัวเจ้าออกมาให้ตาเจ้าเห็น  ถ้าข้าให้ดาบสีทองที่ดีที่สุดตอนนี้แก่เจ้าไปในวัยเด็ก ข้าเกรงว่าแม้แต่เจ้าจะยกมันออกจากร้านเจ้าก็จะไม่มีแรงพอ ถึงต่อให้ยกออกไปได้ข้าก็เกรงว่าความหนักและความคมของมันจะทำให้เจ้าได้รับอันตราย ข้าจึงให้ดาบไม้เจ้าไปฝึกเพื่อให้มีกำลังแขนเสียก่อน แล้วจึงให้ดาบที่ดีขึ้นใหญ่ขึ่น สวยงามขึ้นและหนักขึ้นคมขึ้นแก่เจ้าไปเรื่อยๆในเวลาต่อมาซึ่งเจ้าก้ได้อดทนไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค์ที่เจอ  และพอมาจนบัดนี้เจ้าได้พิสูจน์ตัวเองแล้วว่าเจ้าสามารถที่จะกวัดแกว่งดาบนี้ได้โดยที่ไม่ป็นอันตรายแก่ตนเองและต่อผู้อื่น ข้าจึงมอบดาบนี้ให้เจ้าเพื่อเป็นกระจกที่สะท้อนดาบที่แท้จริงในตัวเจ้าออกมา  ขอให้เจ้าจงใช้มันเพื่อปกป้องเพื่อพี่น้องและบ้านเมืองด้วยเถิด" 

พระเจ้าทรงมีแผนการ์ณสำหรับมนุษย์ทุกคน  เราไม่มีทางรู้ว่าพระองค์ทรงคิดเช่นเรา แต่สามารถวางใจได้อย่างแน่วแน่ว่า พระองค์จะประทานสิ่งที่ดีที่สุดให้เราเสมอไม่ว่าเราจะรับรู้หรือไม่ก็ตาม
Prod Pran
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 3324
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:54 pm
ที่อยู่: Bangkok

พุธ เม.ย. 02, 2008 9:22 am

เชิญอ่าน บทความดีๆทั้ง ห้าบทความค่ะ :grin:
พระเจ้าสถิตย์กับเราเสมอ
~@
โพสต์: 2546
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 10:54 pm

พุธ เม.ย. 02, 2008 10:09 am

ขอบคุณครับพี่พีพี ตอนแรกกะว่าจะปล่อยไปทีละบทๆ  แต่ไปๆมาๆไม่เอาแล้ว ซัดหมดเลยดีกว่า  555+    ผ่านไปสักพักค่อยเอามาลงอีกทีละ 5 บท
ภาพประจำตัวสมาชิก
ignatius
.
.
โพสต์: 2597
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. ก.พ. 07, 2008 12:48 pm

อังคาร เม.ย. 08, 2008 10:04 pm

ดี ดี คะ ได้ความคิดที่ดีมากเลย ขอบคุณมาก : emo027 :
ตอบกลับโพส