(เครียด)ผมจะยอมรับทฤษฏีวิวัฒนาการได้รึยังครับ

ถาม-ตอบพระคัมภีร์ เรื่องเสริมศรัทธา ความรู้ และสาระ บทความ ในคริสตศาสนา
ภาพประจำตัวสมาชิก
ouroboros
โพสต์: 36
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ย. 26, 2008 8:07 am

ศุกร์ ก.ย. 26, 2008 8:09 am

สวัสดีครับ ผมเป็นสมาชิกแอบอ่านที่รู้สึกขัดแย้งระหว่างเยเนซิสกับวิทยาศาสตร์มาก เรียนชีวะทีไรรู้สึกอึดอัดมาตลอด

แต่วันนี้มีเพื่อนส่งข่าวมาว่า

http://www.catholicnews.com/data/storie ... 804713.htm

Vatican evolution congress to exclude creationism, intelligent design

ทางวาติกันจะจัดประชุมเรื่องวิวัฒนาการแต่แบนไม่ให้นักวิทยาศาสตร์ที่เชื่อใน creationism หรือ intelligent design เข้าร่วม แถมยังบอกด้วยว่าทั้งสองอย่างไม่นับเป็นวิทยาศาสตร์อีก

แสดงว่าองค์สันตะปาปายอมรับวิวัฒนาการแล้วหรือเปล่าครับ ถึงท่านจะเชื่อแล้วผมควรเชื่อด้วยไหม ถ้าไม่เชื่อเหมือนท่านแล้วจะบาปหรือเปล่า ยังรู้สึกทำใจลำบากยังไงชอบกล นับวันศาสจักรเหมือนยอมพวกนี้มากขึ้นเรื่อยๆ : emo036 :

ขอบคุณสำหรับทุกคำแนะนำมากครับ
แก้ไขล่าสุดโดย ouroboros เมื่อ ศุกร์ ก.ย. 26, 2008 11:27 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
Dis volentibus

ศุกร์ ก.ย. 26, 2008 1:05 pm

: xemo028 : อันนี้ขออ่านก่อนนะคะ

เเต่...
ให้ระลึกเสมอว่า ตอนอ่านพระคัมภีร์ภาค พันธสัญญาเดิม โดยเฉพาะ ปฐมกาล (เยเนซิส)
อย่าตีความตามตัวอักษรเด็ดขาด เพราะ พระคัมภีร์เขียนเกี่ยวกับ "ประวัติศาสตร์เเห่งความรอด" ไม่ใช่ "ชีวประวัติของโลก"

ดังนั้น หลายๆเรื่องในปฐมกาล เช่น
พระเจ้าสร้างโลกภายในเจ็ดวัน(1 วัน = 24 ช.ม.) จริงหรือ...ก็ไม่ใช่
เเต่เป็นการบอกว่าอะไรเกิดก่อน เกิดหลัง เเละที่สำคัญ "มันเกิดมาได้ เพราะอะไร" (เพราะพระเจ้าสร้าง) ต่างหาก

ยอมรับว่าเเต่ก่อนข้าพเจ้าก็สงสัย เเละคิดว่ามันขัดกับวิชาที่เรียนเหมือนกัน เเต่ หากมองพระคัมภีร์ ในมุมที่ถูก
จะสังเกตว่า ทุกอย่างใน "พระคัมภีร์" ไปกันได้ดีกับ "วิทยาศาสตร์" ค่ะ  :grin:
แก้ไขล่าสุดโดย Dis volentibus เมื่อ ศุกร์ ก.ย. 26, 2008 1:08 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
Florian
โพสต์: 1513
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ พ.ค. 31, 2006 12:05 pm
ที่อยู่: กรุงเทพมหานคร

ศุกร์ ก.ย. 26, 2008 1:55 pm

พระคัมภีร์ไม่ใช่หนังสือวิทยาศาสตร์ ไม่ใช่แบบเรียนประวัติศาสตร์ และคงไม่ใช่วรรณกรรมเพื่อความบันเทิงอารมณ์แบบนิยายประโลมโลก

แต่พระคัมภีร์เป็นหนังสือแห่งชีวิต เป็นวรรณกรรมและประวัติศาสตร์แห่งความรอดของมนุษยชาติ ถ้าจะอ่านพระคัมภีร์ก็ต้องอ่านตามวัตถุประสงค์ดังกล่าวนี้ จึงจะบรรลุผล  ::017::  ::017::  ::017::
Dis volentibus

ศุกร์ ก.ย. 26, 2008 2:49 pm

มนุษย์กับวิวัฒนาการ

(เทียบบทความใน Encyclopedia of Theology, pp. 186-187 โดย Karl Rahner)

1. ข้อควรสังเกต

ก. วิวัฒนาการ เป็นทฤษฎีกำเนิดโลกมนุษย์ ชาร์ลส์ ดาวิน เป็นบิดาของทฤษฎีนี้ (1809-82)
ในตอนแรก ทฤษฎีนี้ถูกเผยแพร่โดยนักปรัชญาวัตถุนิยมและ อเทวนิยม  พระศาสนจักรจึงต่อต้านมาก
ต่อมาในระยะหลัง ข้อมูลยืนยันความน่าเป็นไปได้ของทฤษฎีนี้มีมากขึ้น จนปัจจุบันนักวิชาการทั่วไปถือว่า
ถ้าไม่ยอมรับทฤษฎีวิวัฒนาการแล้วเราไม่สามารถเข้าใจและอธิบายอะไรต่างๆในโลกที่แลเห็นได้นี้ วิวัฒนาการจึงเริ่มมีความสำคัญ และมีน้าหยักมากกว่าเป็นเพียงทฤษฎีเสียแล้ว เป็น “เงื่อนไข” เพื่อเข้าใจโลกก็ว่าได้พระศาสนจักรในปัจจุบันได้เปลี่ยนท่าทีในเรื่องนี้มาก
พระสันตะปาปาปีโอที่ 12 ได้ให้หลักการไว้ดังนี้ว่า
เมื่อพูดถึงกำเนิดมนุษย์ในแง่ร่างกาย เราอาจจะยอมรับว่าวิวัฒน์มาจากสิ่งมีชีวิตอยู่ก่อนได้ แต่ทว่าวิญญาณมนุษย์นั้นเป็นจิตอมตะ จะวิวัฒน์มาแบบวัตถุหรือมาจากวัตถุที่มีชีวิตอย่างเดียวไม่ได้ มนุษย์อาจมีชีวิตทางด้านชีวะสืบเนื่องมาจากสัตว์ ขั้นต่ำกว่าได้ แต่ทางด้านจิตวิญญาณนั้นต้องมีช่วงขาดตอน ไม่ต่อเนื่องกัน
(“ก้าวกระโดด” ตามภาษาของคุณพ่อเตยาร์ด เดอ ชาร์แด็ง)

อันที่จริงนักบุญเอากัสตินได้พูดเป็นลางล่วงหน้าถึงทฤษฎี วิวัฒนาการแล้ว ท่านกล่าวว่า
เมื่อพระเจ้าทรงสร้างโลก พระองค์ทรงสร้างให้เป็นสสารที่มีความเป็นจริงของตัวเอง มีพลังวิวัฒน์ในตัว ซึ่งท่านเรียกว่า “พันธุเหตุ” (seminal reason) อันเป็นเชื่อให้เกิดชีวิตขึ้นมาได้เมื่อสิ่งแวดล้อมอำนวย

ในสมณสาสน์ Humani Generis (ค.ศ. 1950) พระสันตะปาปาปีโอที่12 ได้ประกาศยอมรับว่า
ทฤษฎีวิวัฒนาการเป็นสมมติฐานหนึ่งที่เชื่อถือได้ 
(valid hypothesis)
“เพื่อให้สอดคล้องกับความเจริญก้าวหน้าของวิชาการทั้งทางโลกและทางธรรม (เทววิทยา) พระศาสนจักรไม่ห้ามผู้เชี่ยวชาญหรือนักวิชาการที่จะศึกษา วิเคราะห์ วิจัย และวิจารณ์ในเรื่องเกี่ยวกับวิวัฒนาการ”


นับตั้งแต่นั้นมา นักเทววิทยาจำนวนมาก เริ่มศึกษาและยอมรับทรรศนะของนักวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับวิวัฒนาการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีการตีพิมพ์เผยแพร่งานของตุณพ่อเตยาร์ด เดอ ชาร์แด็ง สงฆ์คณะเยซูอิต
ซึ่งเป็นทั้งนักวิทยาศาสตร์สาขาโบราณคดี สัตว์โบราณ นักปรัชญา และเทววิทยา

ข. เทววิทยามักจะพูดถึงมนุษย์ประกอบด้วยกายและวิญญาณ วิญญาณเป็นสิ่งสร้างของพระเจ้าโดยตรง ส่วนกายมาจากวิวัฒนาการได้ แต่พึงสังเกตว่า เมื่อพูดถึงกายและวิญญาณในฐานะเป็นวัตถุ (matter) และแบบ (form) ตามหลักอภิปรัชญาวัตถุ-แบบนิยม วัตถุและแบบเป็นเพียงกฎทางเมตะฟิสิกส์ ไม่เป็นสิ่งที่มีอยู่เองเอกเทศ เฉพาะเมื่อรวมกันจึงทำให้เกิดวัตถุภวันต์ (material being) ขึ้น
ดังนั้นเมื่อพูดถึงกำเนิดมนุษย์ ถ้าพูดว่าวิญญาณถูกสร้างจากพระเจ้าโดยตรง ก็หมายความว่า มนุษย์ทั้งครบถูกสร้างจากพระเจ้าโดนตรง ในความหมายที่ว่า แม้มนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐก็จริง แต่มีธรรมชาติแตกต่างจากสัตว์อย่างสิ้นเชิงเพราะมีสติปัญญาและน้ำใจ

ดังนั้น มนุษย์มาจากวิวัฒนาการตามระบบธรรมชาติของสิ่งมีชีวิตอย่างเดียวเหมือนกับสัตว์ไม่ได้ อย่างไรก็ตามเมื่อพูดว่า กายมนุษย์มาจากวิวัฒนาการนั้น พึงเข้าใจให้ถูกต้องว่า มนุษย์ในฐานะเป็นสิ่งสร้างย่อมถือกำเนิดมาจากธรรมชาติเช่นเดียวกับสิ่งอื่นๆ ผิดกันก็ตรงที่ว่า ในกระบวนการวิวัฒนาการของมนุษย์นั้นมีการ “ก้าวกระโดด” จากความเป็นสัตว์ สู่ความเป็นมนุษย์ มิใช่แบบธรรมดาซึ่งเป็นไปได้เองตามธรรมชาติ แต่เป็นการก้าวกระโดดอย่างพิเศษสุด โดยอาศัยพลังของพระเจ้า ซึ่งทำงานอยู่ในสิ่งนั้นสนับสนุนให้วิวัฒน์จนถึงขั้นเป็นมนุษย์ได้

2. คำสอน

ถ้าสมมติว่ามนุษย์มาจากวิวัฒนาการจริง (เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องของเทววิทยา) เราพอจะใช้เหตุผลอธิบายสนับสนุนได้ดังนี้

ก) พระเจ้าทรงเป็นพลังภายในสิ่งนั้น ซึ่งทำงานสนับสนุนการวิวัฒน์ของสิ่งนั้นเพื่อจะได้พัฒนาและก้าวกระโดดข้ามขั้นในความเป็นตัวด้วยตนเอง พลังของพระเจ้ามิได้ทำให้สิ่งนั้นเป็นฝ่ายรับอย่างเดียว แต่เป็นฝ่ายทำงานวิวัฒน์ด้วยตัวเองโดนอาศัยพระเจ้าเป็นฐาน และเป็นเป้าหมายของวิวัฒนาการนั้น การอธิบายวิวัฒนาการมาเป็นมนุษย์ในทำนองอื่นไม่มีความหมาย และเป็นไปไม่ได้ เพราะเท่ากับเป็นวิวัฒนาการจากความบังเอิญหรือขาดเหตุปัจจัยสนับสนุนอย่างเพียงพอ อนึ่ง กายที่วิวัฒน์มาเป็นมนุษย์นั้น เนื่องจากเป็นกายของสิ่งมีชีวิต และมีความรู้สึก จึงมีความพร้อมที่จะพัฒนาสู้ความเป็นจิตที่มีชีวิตภายใน(immanence) และความสำนึก (consciousness) ที่เป็นไปได้เช่นนี้ก็เพราะว่า สิ่งที่วิวัฒน์มาเป็นมนุษย์นั้น เป็นสิ่งสร้างของพระเจ้า พระองค์ทรงเป็นจิตสมบูรณ์ สถิตในสิ่งสร้างทั้งหลาย ความเป็นจิตของพระเจ้าเป็นพื้นฐานและเป็นพลังภายในสนับสนุนความเป็นจิตของมนุษย์

ข)ทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างมีเป้าหมายร่วมกันอยู่อย่างเดียวเท่านั้นคือ ความรอด ความรุ่งเรือง และความสมบูรณ์แห่งอาณาจักรของพระเจ้า  จึงกล่าวได้ว่า นับตั้งแต่ปฐมกาลเมื่อพระเจ้าทรงสร้างโลกนั้น พระองค์ทรงบังคับบัญชาให้ทุกอย่างวิวัฒน์สู่เป้าหมายนี้ วิวัฒนาการจึงเป็นเข็มชี้แผนที่ของพระเจ้า มนุษย์เป็นยอดของวิวัฒนาการในสิ่งสร้าง เพราะเป็นจิตที่มีกาย เป็นความสมบูรณ์ของวิวัฒนาการของโลกวัตถุ

ค) โดยนัยนี้จึงกล่าวได้ว่า พระเจ้า ทรงกำหนดแนววิวัฒนาการของโลกนับตั้งแต่แรกแล้ว ให้พัฒนาและก้าวกระโดดขึ้นสู่ความเป็นที่สมบูรณ์ทีละขั้นๆ จนถึงขั้นมนุษย์ ในมนุษย์โลกได้ก้าวถึงซึ่งความหมายเป็นจิตทีมีชีวิตภายใน เสรีภาพ ประวัติศาสตร์และความสำเร็จ โลกรู้ต้นกำเนิดและเป้าหมายของตนก็โดยทางมนุษย์เท่านั้น

ง) เมื่อพูดถึงการกำเนิดมนุษย์ ไม่ว่าในครรภ์มารดา หรือในท้องธรรมชาติโดยวิธีวิวัฒนาการ เราสามารถพูดได้ว่าเป็น “การสร้างโดยตรง” (immediata creation) ของพระเจ้า เพราะว่าความสามารถพัฒนาและก้าวกระโดดเป็นสิ่งใหม่ อันเป็นสิ่งอยู่เหนือความสามารถของผู้กระทำจะกระทำด้วยตนเองได้ ดังนั้นจึงต้องถือว่าเป็นงานสร้างของพระเจ้าโดยตรงเพราะ พระองค์ทรงเป็นฐานและเป็นพลังทำงานอยู่ภายในผู้กระทำนั้นๆ ผู้กระทำที่ทำให้เกิดสิ่งใหม่ (มนุษย์) นั้นเป็นเพียงเหตุร่วมกับพระเจ้า ในฐานะที่พระองค์ประทานวัตถุ (กาย) ที่จะวิวัฒน์ขึ้นมาเป็นมนุษย์ ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า พระเจ้าทรงเป็นเหตุแท้โดยตรง ส่วนธรรมชาติและพ่อแม่นั้นเป็นเพียงเหตุร่วม

อ้างอิง:มนัส จวบสมัย, 50 บทความเทววิทยาใหม่ ,หน้า172-174 พิมพ์ครั้งที่2 ห.จ.ก. เทพนิมิตการพิมพ์ 1985
แก้ไขล่าสุดโดย Dis volentibus เมื่อ ศุกร์ ก.ย. 26, 2008 2:56 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
yy

ศุกร์ ก.ย. 26, 2008 3:06 pm

ง่ายมากเลยครับ
ในพระคัมภีร์ปฐมกาล
จุดมุ่งหมายที่เขียน คือเขียนให้รู้ว่าพระเจ้าสร้างโลก
เขียนในสมัยของซาโลมอน(อันนี้มีคุณพ่อบอกมา)
เพื่อให้ชาวยิวไม่ทิ้งพระ

แน่นอนสมัยนั้นยังไม่มีรู้จักวิวัฒนาการหรอก
แต่นี่เป็นความรู้ทางวิทยาศาสตร์ที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้
เราต้องยอมรับวิทยาศาสตร์ เพราะเป็นศาสตร์ของเหตุผล
แต่ความเชื่อก็ส่วนความเชื่อ

แน่นอนพระเจ้าสร้างโลก แต่สร้างไม่เหมือนในพระคัมภีร์หรอก
งั้นพระคัมภีร์ก็โกหก?
อย่าคิดอย่างนั้น
คนในสมัยก่อนไม่สามารถอธิบายอย่างที่ดาร์วินอธิบายได้หรอก
ต้องอธิบายเป็นเรื่องเล่า ความจริงก็เป็นตำนานเล่าต่อๆกันมา
คล้ายๆ นิทานพื้นบ้านของไทย
แล้วก็มีคนนำมารวบรวม

เราอย่าอ่านพระคัมภีร์เพื่อหาความจริง หาไม่ได้หรอก
แม้แต่ในพระวรสาร ชีวิตของพระเยซูเจ้าก็ถูกปรุงแต่ง
สรุป คือ พระคัมภีร์ไม่ได้บอกความจริงที่เกิดขึ้นบนโลก
แต่บอกสิ่งที่พระเจ้าต้องการให้เรารู้

แต่พระเจ้าทรงกระทำทุกสิ่งให้เป็นไปได้
อ่านพระคัมภีร์ด้วยสายตาแห่งความเชื่อนะ
อย่าอ่านเอาจริงเอาจัง
ขอพระจิตนำทาง
Buddy
โพสต์: 3057
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ มี.ค. 09, 2005 10:48 am
ที่อยู่: USA

ศุกร์ ก.ย. 26, 2008 8:08 pm

ouroboros เขียน: สวัสดีครับ ผมเป็นสมาชิกแอบอ่านที่รู้สึกขัดแย้งระหว่างเยเนซิสกับวิทยาศาสตร์มาก เรียนชีวะทีไรรู้สึกอึดอัดมาตลอด

แต่วันนี้มีเพื่อนส่งข่าวมาว่า

http://www.catholicnews.com/data/storie ... 804713.htm

Vatican evolution congress to exclude creationism, intelligent design

ทางวาติกันจะจัดประชุมเรื่องวิวัฒนาการแต่แบนไม่ให้นักวิทยาศาสตร์ที่เชื่อใน creationism หรือ intelligent design เข้าร่วม แถมยังบอกด้วยว่าทั้งสองอย่างไม่นับเป็นวิทยาศาสตร์อีก

แสดงว่าองค์สันตะปาปายอมรับวิวัฒนาการแล้วหรือเปล่าครับ ถึงท่านจะเชื่อแล้วผมควรเชื่อด้วยไหม ถ้าไม่เชื่อเหมือนท่านแล้วจะบาปหรือเปล่า ยังรู้สึกทำใจลำบากยังไงชอบกล นับวันศาสจักรเหมือนยอมพวกนี้มากขึ้นเรื่อยๆ : emo036 :

ขอบคุณสำหรับทุกคำแนะนำมากครับ
คือที่เค้าไม่เอากลุ่มพวก creationism and intelligent design เพราะเค้าอยากฟังความเห็นจากนักวิทยาศาสตร์จริงๆ  รับฟังด้วยหัวใจที่เปิดกว้าง  ถ้าเอา creationism กับ intelligent design มา เดี๋ยวก็จะทะเลาะกันเปล่าๆ  และเผลอๆ  นักวิทยาศาสตร์ที่เค้าเชื่อทฤษฎีวิวัฒนาการ  ที่เค้ามีเหตุผลของเค้า  เค้าอาจจะไม่มาร่วมประชุมก็ได้  เพราะเค้าขี้เกียจมาทะเลาะด้วย  ...  คือเค้าต้องการฟังจากคนที่ค้านจริงๆน่ะค่ะ  ไม่ใช่ฟังคนที่สนับสนุน

ในวงการวิชาการ  มันก็จะมีการโต้เถึยงเป็นเรื่องธรรมดา  การรับฟังครั้งนี้  อย่ามองว่า  เป็นการยอม  ผ่อนปรนความเชื่อนะคะ  แต่เป็นการรับฟังมากกว่า  บางคนเชื่อทฤษฎีวิวัฒนาการ  เพราะเค้าไม่อยากเชื่อพระเจ้า  ถ้าให้เค้าได้มาระบายเต็มที่  เราจะเห็นว่า  มันไม่เกียวกับวิชาการ เค้ามีอคติ แต่ถ้าใครที่เชื่อเพราะเค้ามีการสำรวจ  มีการทดลอง  แล้วเค้าเห็นอะไรบางอย่างที่ทำให้เค้าเชื่อ  เราก็ต้องฟังเค้าว่า  เค้าเห็นอะไร ให้เค้าให้เหตุผลแบบวิทยาศาสตร์ ไม่ใช่ไปตั้งกำแพงกับเค้า 

อันนี้เป็นประชุมวิชาการนะคะ  ไม่ใช่ประกาศความเชื่อ  ไม่ต้องคิดมากค่ะ  ::001::

เป็นความใจกว้างของวาติกันในการรับฟังนะคะ  เป็นความทันสมัยของวาติกัน  เพื่อที่จะไม่ไปซ้ำรอยกาลิเลโออีกไงคะ  ...  และท่าทีแบบนี้  เราก็ควรมีด้วย  คือเรารับฟังอย่างใจกว้าง ...  ใครว่า  ศาสนาคริสต์ไม่เป็นวิทยาศาสตร์และงมงาย  เราเปิดกว้างขนาดนี้  ยอมให้คนมาค้านได้ถึงในบ้านแบบนี้  ถ้ายังมองแบบนั้นอีก  ก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว  ::001::

หลายคนมองทฤษฎีวิวัฒนาการ  (ถ้าจริงนะคะ)  ก็ถือเป็นการสร้างของพระเป็นเจ้า  พระองค์อาจทำแบบนั้นก็ได้ในการสร้างมนุษย์  ::001::

เรียนชีววิทยาก็ไม่ต้องสับสนนะคะ  ::001::  และที่จริง  สิ่งที่เรียนๆอยู่  วันนึงมันอาจจะไม่จริงก็ได้  หรือว่า  วันนึงจะรู้ว่า  มันมีอะไรมากกว่านั้น  และเค้ากำลังโต้เถียงกันอยู่  ไม่ใช่แค่เรื่องนี้เรื่องเดียว  สิ่งสำคัญตอนนี้  คือเรียนให้เข้าใจถึงสิ่งที่คนอื่นเค้าศึกษากันมา  เพื่อสร้างกระบวนการเรียนรู้ของเรา  ไม่ใช่เพื่อท่องจำว่า  มันจะเป็นแบบนั้นตลอดไป  ดังนั้น  ไม่ต้องสับสนนะคะ  ::001::

และถ้ายังสับสนอยู่  ขอให้สวดนะคะ  บอกพระองค์ว่า  ลูกสับสน  มันอะไรกันแน่  บอกสิ่งที่อยู่ในใจเรากับพระองค์  ::001::

พระอวยพรนะคะ  ::001::
ภาพประจำตัวสมาชิก
ouroboros
โพสต์: 36
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ย. 26, 2008 8:07 am

ศุกร์ ก.ย. 26, 2008 10:15 pm

ขอบคุณสำหรับทุกคำตอบมากครับ ผมก็อยากเชื่อไปเลยอย่างที่หลายๆคนแนะนำ แต่เรื่องวิวัฒนาการกับการสร้างนี่มันสร้างแต่คำถามตลอด

อย่างแรกคือไม่เข้าใจว่า creationism กับ Intelligent design มันไม่วิทยาศาสตร์ตรงไหนน่ะครับ ทั้งที่เราก็เห็นว่าในบอร์ดมีสมาชิกเอาบทความการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ต่างๆของ Intelligent design อย่าง Dr. Michael Behe กับ Creationism มาแปะอยู่เรื่อยๆ

ไม่เห็นต้องทะเลาะกันเลยนี่ครับ ถ้ามุมมอง creation ถูกกว่าตรงกว่าแย้งไปพวกวิทยาศาสตร์ก็ต้องเงียบแล้ว ดีเสียอีกจะได้ฟังความสองข้างด้วย หรือว่าพวกนักวิทยาศาสตร์บังคับให้วาติกันฟังแต่พวกตัวเอง  ::019::

ที่ไม่อยากเชื่อวิวัฒนาการไม่ใช่เพราะคิดว่าต้องอ่านเยเนซิสตามตัวอักษรหรอกครับ แต่คิดดูแล้วว่า Creation ตามเยเนซิสมีเหตุผลกว่า อดัมต้องมีตัวตนจริงถึงจะมีบาปกำเนิดให้องค์เยซูมาไถ่ มาให้ทางรอดได้ อีกอย่างผมเชื่อว่าพระเจ้าสร้างโลกของสัตว์มาเป็นตัวอย่างกับมนุษย์ มันเลยเหมือนไม่มีเหตุผลให้ชีวิตวิวัฒนาการมาก่อนเป็นร้อยล้านปีเลย
Phulasso
โพสต์: 1236
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.พ. 24, 2006 10:18 am
ที่อยู่: Thailand

ศุกร์ ก.ย. 26, 2008 11:30 pm

ouroboros เขียน: ขอบคุณสำหรับทุกคำตอบมากครับ ผมก็อยากเชื่อไปเลยอย่างที่หลายๆคนแนะนำ แต่เรื่องวิวัฒนาการกับการสร้างนี่มันสร้างแต่คำถามตลอด

อย่างแรกคือไม่เข้าใจว่า creationism กับ Intelligent design มันไม่วิทยาศาสตร์ตรงไหนน่ะครับ ทั้งที่เราก็เห็นว่าในบอร์ดมีสมาชิกเอาบทความการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ต่างๆของ Intelligent design อย่าง Dr. Michael Behe กับ Creationism มาแปะอยู่เรื่อยๆ

ไม่เห็นต้องทะเลาะกันเลยนี่ครับ ถ้ามุมมอง creation ถูกกว่าตรงกว่าแย้งไปพวกวิทยาศาสตร์ก็ต้องเงียบแล้ว ดีเสียอีกจะได้ฟังความสองข้างด้วย หรือว่าพวกนักวิทยาศาสตร์บังคับให้วาติกันฟังแต่พวกตัวเอง  ::019::
ที่ไม่อยากเชื่อวิวัฒนาการไม่ใช่เพราะคิดว่าต้องอ่านเยเนซิสตามตัวอักษรหรอกครับ แต่คิดดูแล้วว่า Creation ตามเยเนซิสมีเหตุผลกว่า อดัมต้องมีตัวตนจริงถึงจะมีบาปกำเนิดให้องค์เยซูมาไถ่ มาให้ทางรอดได้ อีกอย่างผมเชื่อว่าพระเจ้าสร้างโลกของสัตว์มาเป็นตัวอย่างกับมนุษย์ มันเลยเหมือนไม่มีเหตุผลให้ชีวิตวิวัฒนาการมาก่อนเป็นร้อยล้านปีเลย
วิวัฒนาการเป็นผลจากการสังเกตและข้อมูลที่มีอยู่ และขุดค้นเจอตามกาลเวลา
และสรุปเป็น สมมุติฐาน และสะสมข้อมูลมากขึ้น มากขึ้น
จึงกลายเป็นทฤษฐี แต่ทฤษฐีก็ต้องมีการพิศูจน์ต่อไป หาข้อมูลเพิ่มไปเรื่อยๆ
แต่วันนี้ ทฤษฐีนี้อาจจจะอธิบายได้กับพืชและสัตว์
เพราะเป็นวิวัฒนาการ เพื่อการอยู่รอดและมีลูกหลานกระจายพันธุ์

แต่มนุษย์มีมากกว่าเพื่อการอยู่รอด เรามีกิเลส เรามีเมตตา
แต่สัคว์อื่นไม่มี สัคว์มีรัก มีเกลียดได้ แต่ไม่มีการให้อภัย
เพราะฉะนันการเกิดมนุษย์ เป็นการวิวัฒนาการขึ้นพิเศษ
ที่ต่างจากสิ่งมีชีวิตอื่นสิ้นเชิง
เราเรียกตัวเองว่าHomo sapiens
sapiens แปลว่าฉลาด หรือมีปรีชา ซึ่งไม่มีในสิ่งมีชีวิตอื่น
ซึ่งเป็นหลักฐานสำตัญของการมีบาปกำเนิด
และนี่คือสิ่งที่เราเรียกว่า ลูกของพระ
ไม่ต้องห่วงหรอก Evolution Theory ยังไม่สมยูรณ์
ไม่เป็นที่ยอมรับหรอก เป็นแค่แนวคิดหนึ่งเท่านั้น
ดีกว่าทฤษฐีมนุษย์ต่างด่าวหน่อยเดียว
Buddy
โพสต์: 3057
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ มี.ค. 09, 2005 10:48 am
ที่อยู่: USA

เสาร์ ก.ย. 27, 2008 7:13 am

ouroboros เขียน: ขอบคุณสำหรับทุกคำตอบมากครับ ผมก็อยากเชื่อไปเลยอย่างที่หลายๆคนแนะนำ แต่เรื่องวิวัฒนาการกับการสร้างนี่มันสร้างแต่คำถามตลอด

อย่างแรกคือไม่เข้าใจว่า creationism กับ Intelligent design มันไม่วิทยาศาสตร์ตรงไหนน่ะครับ ทั้งที่เราก็เห็นว่าในบอร์ดมีสมาชิกเอาบทความการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ต่างๆของ Intelligent design อย่าง Dr. Michael Behe กับ Creationism มาแปะอยู่เรื่อยๆ

ไม่เห็นต้องทะเลาะกันเลยนี่ครับ ถ้ามุมมอง creation ถูกกว่าตรงกว่าแย้งไปพวกวิทยาศาสตร์ก็ต้องเงียบแล้ว ดีเสียอีกจะได้ฟังความสองข้างด้วย หรือว่าพวกนักวิทยาศาสตร์บังคับให้วาติกันฟังแต่พวกตัวเอง  ::019::

ที่ไม่อยากเชื่อวิวัฒนาการไม่ใช่เพราะคิดว่าต้องอ่านเยเนซิสตามตัวอักษรหรอกครับ แต่คิดดูแล้วว่า Creation ตามเยเนซิสมีเหตุผลกว่า อดัมต้องมีตัวตนจริงถึงจะมีบาปกำเนิดให้องค์เยซูมาไถ่ มาให้ทางรอดได้ อีกอย่างผมเชื่อว่าพระเจ้าสร้างโลกของสัตว์มาเป็นตัวอย่างกับมนุษย์ มันเลยเหมือนไม่มีเหตุผลให้ชีวิตวิวัฒนาการมาก่อนเป็นร้อยล้านปีเลย

ก็บอกแล้วไงจ้ะว่า  เค้าพยายามทำให้บรรยากาศรู้สึกปลอดภัยที่จะแสดงความคิดเห็นน่ะจ้ะ  ถ้าเอานักวิทยาศาสตร์กลุ่ม creationism and intelligent design มา  ก็จะมาแย้งกันอีกน่ะสิคะ  ...  ไม่ใช่ว่า  ไม่เป็นวิทยาศาสตร์นะ  แต่พี่ว่า  อันนี้เป็นการสร้างบรรยากาศให้รู้สึกเสรีในการแสดงความคิดเห็น  และเราได้รับฟังเค้าจ้ะ  ::001::

การที่จะทำให้ใครเงียบ  เราต้องฟังเค้าก่อนนะจ้ะ  ไม่งั้นนะ  ถึงแม้ว่า เหตุผลเราจะดีแค่ไหนก็ตาม  เค้าก็ไม่เงียบหรอกจ้ะ  ::001::

การรับฟัง  เราต้องสร้างบรรยากาศให้เค้ารู้สึกสบายและปลอดภัยที่จะแสดงความคิดเห็นจ้ะ  นั่นคือ  เป็นการบอกนัยๆว่า  มาได้เลยนะ  อยากพูดอะไรก็พูดมา  ไม่มีโดนด่า  โดนแย้ง  อยากพูดอะไรก็พูดเต็มที่   พวกกลุ่ม creationism and intelligent design เค้าไม่มากันนะ  เรามากันได้เลย  ปลอดภัย  ไม่มีโดนด่า  ไม่มีแย้ง  มีแต่เห็นด้วย  แต่นั่นไม่ได้แปลว่า  พระศาสนจักรเห็นด้วยนะคะ  แต่รับฟังค่ะ   ::001::  วาติกันคงฟัง creationsim and intelligent design มาเยอะแล้วมั้งคะ  หรือไม่ก็อาจจะจัดประชุมอีกครั้ง  ให้เอาพวก creationism and intelligent design มาเท่านั้น  ::001::

เราไม่สนับสนุนทฤษฎีวิวัฒนาการก็ไม่เป็นไร  แต่เราต้องฟังเค้า  เพราะอย่างน้อยเป็นการให้เกียรติและเคารพความคิดเค้า  ก็เหมือนเรื่องบาปทั่วไปน่ะค่ะ  อย่างคนไปทำแท้งมา  พระศาสนจักรว่าอะไรมั้ย  ก็เหมือนบิดาใจดีที่รับฟังอย่างเข้าใจ  ไม่ใช่ด่าอย่างเดียว  หรือแย้งอย่างเดียว  จริงอยู่  เราไม่เห็นด้วย  แต่เราก็ต้องฟังเค้าว่า  เค้าคิดยังไง  ทำไมถึงไปทำ  อันนี้เป็นการอภิบาลทั่วๆไปน่ะค่ะ   ::001:: 

อันนี้คือ  ความใจกว้างในการรับฟังค่ะ   ::001::  อย่าลืมว่า คนที่ไม่เชื่อพระเจ้า  หรือคนที่สนับสนุนทฤษฎีวิวัฒนาการ  พระเป็นเจ้าก็รักเค้าเหมือนกันนะคะ   ::001::
แก้ไขล่าสุดโดย Buddy เมื่อ เสาร์ ก.ย. 27, 2008 9:39 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
พระเจ้าสถิตย์กับเราเสมอ
~@
โพสต์: 2546
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 10:54 pm

เสาร์ ก.ย. 27, 2008 2:22 pm

ผมกลับคิดว่าถ้ามนุษย์มาจากลิงจริง หรือมาจากสัตว์เซลล์เดียวหรืออะไรก็ตามแต่จริง  ก็ไม่เห็นว่าจะขัดกับความเชื่อตรงไหน      เพราะถึงแม้ว่าจะมาจากตัวอะไรถึงยังไงพระองค์ก็สร้างไอ้ตัวนั้นขึ้นมาอยู่ดี อาจจะเป็นหนึ่งในกระบวนการสร้างเพื่อเตรียมสภาพความเป็นมนุษย์  เช่นเดียวกับกำเนิดจักรวาลบิ๊กแบงก็เป็นเพียงวิธีที่พระเจ้าสร้างจักรวาล

ไม่คิดว่าเราไม่น่าจะมากังวลเกี่ยวกับวิธีว่าสร้างอย่างไร เพราะยังไงพระองค์ก็สร้างอยู่ดีครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Zaliaus
โพสต์: 640
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ พ.ค. 07, 2007 1:03 am
ที่อยู่: ...

เสาร์ ก.ย. 27, 2008 7:30 pm

ส่วนตัวผม ไม่ค่อยคิดเรื่องพวกนี้หรอกครับ เหนื่อยอ่ะ....

อยู่กับชีวิตปัจจุบันของเรา ทุกๆวันนี่แหละครับ

พระพรและความมหัศจรรย์ของพระเจ้า สามารถสัมผัสได้ทุกขณะที่เราหายใจ

เลยไม่ค่อยรู้สึกอยากไปเจาะเวลาหาอดีตอะไรมาก เดี๋ยวจะเหนื่อย
Viridian
โพสต์: 2762
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ก.ค. 30, 2008 11:40 pm

เสาร์ ก.ย. 27, 2008 9:02 pm

ในพระคัมภีร์บอกว่า พระองค์ทรงสร้างมนุษย์ก็จริง
แต่...ไม่ได้บอกสักหน่อย ว่าทรงใช้วิธีการอะไรในการสร้างมนุษย์ (ซึ่งอาจจะเป็นทฤษฎีวิวัฒนาการก็ได้) จริงไหม??? :grin:
อีกอย่าง วันที่หกของพระเจ้า แท้จริงกินเวลากี่ร้อยกี่พันปี ไม่มีใครรู้ (นอกจาพระผู้สร้างเท่านั้น)

ฉะนั้น สบายใจเถอะค่ะ อย่าคิดมาก

ป.ล. อันนี้พูดอย่างคนที่ไม่มีความรู้ทางวิทยาศาสตร์เลยนะคะ
Zaliaus เขียน: ส่วนตัวผม ไม่ค่อยคิดเรื่องพวกนี้หรอกครับ เหนื่อยอ่ะ....

อยู่กับชีวิตปัจจุบันของเรา ทุกๆวันนี่แหละครับ

พระพรและความมหัศจรรย์ของพระเจ้า สามารถสัมผัสได้ทุกขณะที่เราหายใจ

เลยไม่ค่อยรู้สึกอยากไปเจาะเวลาหาอดีตอะไรมาก เดี๋ยวจะเหนื่อย
เห็นด้วยค่ะ : xemo026 :
KuRapiKa
โพสต์: 383
ลงทะเบียนเมื่อ: เสาร์ ส.ค. 30, 2008 10:49 am
ติดต่อ:

เสาร์ ก.ย. 27, 2008 11:13 pm

Viridian เขียน: ในพระคัมภีร์บอกว่า พระองค์ทรงสร้างมนุษย์ก็จริง
แต่...ไม่ได้บอกสักหน่อย ว่าทรงใช้วิธีการอะไรในการสร้างมนุษย์ (ซึ่งอาจจะเป็นทฤษฎีวิวัฒนาการก็ได้) จริงไหม??? :grin:
อีกอย่าง วันที่หกของพระเจ้า แท้จริงกินเวลากี่ร้อยกี่พันปี ไม่มีใครรู้ (นอกจาพระผู้สร้างเท่านั้น)

ฉะนั้น สบายใจเถอะค่ะ อย่าคิดมาก

ป.ล. อันนี้พูดอย่างคนที่ไม่มีความรู้ทางวิทยาศาสตร์เลยนะคะ
Zaliaus เขียน: ส่วนตัวผม ไม่ค่อยคิดเรื่องพวกนี้หรอกครับ เหนื่อยอ่ะ....

อยู่กับชีวิตปัจจุบันของเรา ทุกๆวันนี่แหละครับ

พระพรและความมหัศจรรย์ของพระเจ้า สามารถสัมผัสได้ทุกขณะที่เราหายใจ

เลยไม่ค่อยรู้สึกอยากไปเจาะเวลาหาอดีตอะไรมาก เดี๋ยวจะเหนื่อย
เห็นด้วยค่ะ : xemo026 :
โดนใจมากครับพี่เท็น

เห็นด้วยครับผม  ::001::
ภาพประจำตัวสมาชิก
ouroboros
โพสต์: 36
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ย. 26, 2008 8:07 am

อาทิตย์ ก.ย. 28, 2008 5:50 am

Zaliaus เขียน: ส่วนตัวผม ไม่ค่อยคิดเรื่องพวกนี้หรอกครับ เหนื่อยอ่ะ....

อยู่กับชีวิตปัจจุบันของเรา ทุกๆวันนี่แหละครับ

พระพรและความมหัศจรรย์ของพระเจ้า สามารถสัมผัสได้ทุกขณะที่เราหายใจ

เลยไม่ค่อยรู้สึกอยากไปเจาะเวลาหาอดีตอะไรมาก เดี๋ยวจะเหนื่อย
แต่นี่คือที่พวกวิทยาศาสตร์บอกว่าไม่ใช่ไงครับ ต่อให้เราเห็นความงดงามในการสร้างอยู่ในทุกสิ่ง แต่เขาจะบอกว่าพิสูจน์แล้วและมีหลักฐานเป็นตั้งๆว่าทุกอย่างเกิดเพราะธรรมชาติ คนเป็นแค่สัตว์ที่ดีกว่าอย่างอื่นนิดหน่อยไม่มีพระเจ้ายุ่งเกี่ยว อย่างพี่ †Ecclēsia ว่าพวกนักปรัชญาวัตถุนิยมและ อเทวนิยมถึงป่าวประกาศว่าการค้นพบวิวัฒนาการคือเริ่มต้นจุดจบของคริสตศาสนา ประเทศยุโรปทุกวันนี้ที่ไหนยอมรับวิวัฒนาการคนไร้ศาสนาก็เพิ่มจำนวน โบสถ์เริ่มเสื่อมถอย  : xemo023 :

วิธีสร้างสำคัญเพราะมันบอกว่าผู้สร้างเป็นแบบไหน : emo045 : ผมสนใจครีเอชั่นเพราะเชื่อว่าอดีตต้องเปิดเผยความรักของพระองค์ในการสร้าง แต่พวกนักวิวัฒนาการเถียงว่าเท่าที่ค้นพบทุกอย่างมันโหดร้าย ฆ่ากันไปมาจนได้เป็นคน ฉะนั้นเท่ากับพระเจ้าโหดร้ายเพราะไม่มีเหตุผลให้สัตว์กินสัตว์ก่อนจะมาถึงอดัม ฟังแล้วไม่ชอบเลย เรื่องนี้จะค้านด้วยคัมภีร์อย่างเดียวไม่ได้ต้องมีความจริงวิทยาศาสตร์อีกไม่งั้นเขาหาว่าชาวคริสต์งมงาย เชื่อเพราะคัมภีร์บอกอย่างเดียว  : emo034 :
Viridian เขียน: ในพระคัมภีร์บอกว่า พระองค์ทรงสร้างมนุษย์ก็จริง
แต่...ไม่ได้บอกสักหน่อย ว่าทรงใช้วิธีการอะไรในการสร้างมนุษย์ (ซึ่งอาจจะเป็นทฤษฎีวิวัฒนาการก็ได้) จริงไหม??? :grin:
อีกอย่าง วันที่หกของพระเจ้า แท้จริงกินเวลากี่ร้อยกี่พันปี ไม่มีใครรู้ (นอกจาพระผู้สร้างเท่านั้น)

ฉะนั้น สบายใจเถอะค่ะ อย่าคิดมาก

ป.ล. อันนี้พูดอย่างคนที่ไม่มีความรู้ทางวิทยาศาสตร์เลยนะคะ
ผมเคยถามแพสเตอร์ท่านหนึ่งเขาบอกว่า วัน ในเยเนซิส = 1 วันแน่นอน เพราะทุกที่ในพันธสัญญาเก่าที่มีคำว่า Yom จะหมายถึง 1 วัน 24 ชั่วโมงตลอด สำหรับประโยคว่า 1 วันของพระเจ้า = พันปี ท่านบอกมาจากพันธสัญญาใหม่ที่พูดคนละเรื่อง

พระบุตรเองก็ตรัสใน Mark 10:6 ว่า คนถูกสร้างพร้อมกาลกำเนิดยันยันเยเนซิสได้ ที่สำคัญการที่พระบุตรจะมาล้างบาปกำเนิดให้มนุษย์ได้ การล่อลวงในสวนอีเด็นต้องเกิดขึ้นจริง อดัมต้องมีตัวตนจริงไม่งั้นการเสียสละก็สูญเปล่า ผมเชื่อเหมือนทุกคนว่าพระคัมภีร์เน้นที่การรอด แต่การรอดต้องขึ้นกับประวัติศาสตร์ที่เป็นจริงก่อนหน้า ::011::

อยากสบายใจ อยากเชื่อด้วยศรัทธาอย่างเดียวแต่ก็ไม่ได้เพราะความจริงอื่นต้องสอดคล้องกันด้วย ผมเลยอยากให้ creationism ชะ พวกวิวัฒนาการ สักที แต่พอวาติกันยอมอย่างนี้เลยไม่สบายใจ

ถ้าทำใครโกรธก็ขอโทษด้วยครับ มันอึดอัด  แต่ก็ขอบคุณสำหรับทุกกำลังใจ ขอพระเจ้าอวยพรพี่ๆทุกคน
ภาพประจำตัวสมาชิก
sasuke
~@
โพสต์: 1120
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ธ.ค. 06, 2006 12:00 am
ที่อยู่: ใต้เสื้อคลุมของแม่

อาทิตย์ ก.ย. 28, 2008 6:05 am

^

ยังไม่เข้าใจเรื่อง 1 วัน = 24ชม.

รบกวนช่วยอธิบายนิดนึง เพราะผมเข้าใจว่า สมัยนั้นไม่มีการอ้างอิงทางเทววิทยานะครับ : emo073 :
ภาพประจำตัวสมาชิก
ouroboros
โพสต์: 36
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ย. 26, 2008 8:07 am

อาทิตย์ ก.ย. 28, 2008 6:51 am

คือ ดอกเตอร์ Ting Wang จาก Stanford กล่าวว่าจากฮิบรูแล้วมันอย่างนี้ครับ

‘In Genesis 1, yôm comes with “evening” and “morning”, and is modified by a number. So it’s obvious that the Hebrew text is describing a 24-hour day—the exegetical burden of proof rests crushingly upon those who view otherwise (notice too that in Jeremiah 33:17–22, God’s covenant with the day and the night, so that both will come at the appointed time, is as unalterable as the promise that a son of David will reign). But no amount of evidence will convince those who are persuaded to play devil’s advocate—just like the serpent in Genesis 3, they must ask, “Did God really say?”’

ในเยเนซิส 1 คำว่า Yom หรือวันมีเย็นกับเช้า กำกับจึงต้องหมายถึง 24 ชั่วโมง

'If God had wanted to tell us that the creation events took place a long time in the past, there were several ways He could have said it:

yamim (plural of yôm) alone or with 'evening and morning', would have meant 'and it was days of evening and morning'. This would have been the simplest way, and could have signified many days and so the possibility of a vast age.

qedem by itself or with 'days' would have meant 'and it was from days of old'.

olam with 'days' would also have meant 'and it was from days of old'.

So if God had intended to communicate an ancient creation to us, there were at least three constructions He could have used to tell us this. However, God chose not to use any of these.'

ถ้ามากกว่าหนึ่งวัน ชาวยิวโบราณมีคำเช่น yayim = days อยู่ ทุกครั้งใช้คำว่า Yom ในพันธสัญญาเก่าหมายถึง 24 ชั่วโมงทุกครั้ง อย่างการถือวันซับบาธที่เทียบมาจากการสร้างก็ใช้ Yom

'Six days shalt thou labour, and do all thy work: But the seventh day is the sabbath of the LORD thy God: in it thou shalt not do any work, thou, nor thy son, not thy daughter, thy manservant, nor thy maidservant, nor thy cattle, nor thy stranger that is within thy gates: For in six days the LORD made heaven and earth, the sea, and all that in them is, and rested the seventh day: wherefore the LORD blessed the sabbath day, and hallowed it.'

รูปภาพ
Buddy
โพสต์: 3057
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ มี.ค. 09, 2005 10:48 am
ที่อยู่: USA

อาทิตย์ ก.ย. 28, 2008 8:08 am

ouroboros เขียน:
อยากสบายใจ อยากเชื่อด้วยศรัทธาอย่างเดียวแต่ก็ไม่ได้เพราะความจริงอื่นต้องสอดคล้องกันด้วย ผมเลยอยากให้ creationism ชะ พวกวิวัฒนาการ สักที แต่พอวาติกันยอมอย่างนี้เลยไม่สบายใจ

ถ้าทำใครโกรธก็ขอโทษด้วยครับ มันอึดอัด  แต่ก็ขอบคุณสำหรับทุกกำลังใจ ขอพระเจ้าอวยพรพี่ๆทุกคน
อ๋อ  เข้าใจแล้วว่า  ทำไมการที่ creationism ชนะ  ถึงสำคัญกับน้องมากๆ  อย่างนี้นี่เอง  ::001::

วาติกันไม่ได้ยอมนะคะ  แต่เปิดกว้าง  เป็นผู้ใหญ่  เป็นพระบิดาใจดี  ไม่ใช่คนแก่หัวดื้อเอาแต่ใจ  ไม่ฟังใคร  ::001::

พระบิดาเราใจดีนะคะ  พระองค์ไปโอบอุ้มลูกคนเล็ก  ให้เงินคนที่ทำงานตั้งแต่เช้าเท่ากับคนที่มาทำงานชั่วโมงเดียวตอนบ่าย  ::001::

และอีกอย่างนะคะ  ทั้งวิทยาศาสตร์  ทั้งเทววิทยา  ก็ไม่ได้รู้ทุกเรื่องนะคะ  วิทยาศาสตร์รู้เท่าที่ความสามารถมนุษย์จะหาคำตอบได้  ถ้าเป็นเทววิทยา  ก็จะบอกว่า  รู้เท่าที่พระเจ้าเผยแสดง  เทววิทยาเรียนเกี่ยวกับพระเจ้า  แต่ก็ไม่ได้รู้ทุกเรื่องของพระเจ้านะคะ  ถ้าพระองค์ไม่เผยแสดง  ก็ไม่รู้  จริงมั้ยคะ  ::001::

พระอวยพรนะคะ  ::001::
sakda88
โพสต์: 317
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. มิ.ย. 30, 2005 11:52 am
ที่อยู่: Bangkok

อาทิตย์ ก.ย. 28, 2008 9:15 am

วิศวกรรมพันธุศาสตร์ (genetic engineering) อาจให้คำตอบเรื่องนี้ได้ดีขึ้น
คำถามที่จะตามมาคือ  แหล่งกำเนิดของยีนเริ่มต้นมาจากที่ไหน ?
ภาพประจำตัวสมาชิก
Zaliaus
โพสต์: 640
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ พ.ค. 07, 2007 1:03 am
ที่อยู่: ...

อาทิตย์ ก.ย. 28, 2008 4:15 pm

sakda88 เขียน: วิศวกรรมพันธุศาสตร์ (genetic engineering) อาจให้คำตอบเรื่องนี้ได้ดีขึ้น
คำถามที่จะตามมาคือ  แหล่งกำเนิดของยีนเริ่มต้นมาจากที่ไหน ?
อันนี้ก็ไม่รู้นะครับว่ามาจากไหน

แต่ตอบง่ายๆแบบผู้เชื่อคือ มาจากพระเจ้านั่นแหละ

น่าสนใจมากกว่าที่ว่าถ้าหากเราศึกษาดีดี มันเป็นเรื่องน่ามหัศจรรย์มาก

ที่สิ่งเล็กๆ อย่างเช่น nucleaus ของเซลล์ ที่เล็กจนเรามองไม่เห็น 

สามารถเก็บข้อมูลทุกลักษณะเกี่ยวกับตัวเราทั้งหมด เป็นไปได้ไงอ่ะ

แปลกมากกก!!  ไมโครชิฟของมนุษย์ เล็กแต่ไหนก็ทำไม่ได้

มันคงไม่บังเอิญใช้มั้ยครับ ขนาดไมโครชิฟยังไม่บังเอิญเลย
†mommomza†
โพสต์: 207
ลงทะเบียนเมื่อ: เสาร์ พ.ค. 17, 2008 2:13 pm

อาทิตย์ ก.ย. 28, 2008 4:28 pm

^.^
ภาพประจำตัวสมาชิก
ouroboros
โพสต์: 36
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ย. 26, 2008 8:07 am

จันทร์ ก.ย. 29, 2008 1:39 am

sakda88 เขียน: วิศวกรรมพันธุศาสตร์ (genetic engineering) อาจให้คำตอบเรื่องนี้ได้ดีขึ้น
คำถามที่จะตามมาคือ  แหล่งกำเนิดของยีนเริ่มต้นมาจากที่ไหน ?
Zaliaus เขียน:
อันนี้ก็ไม่รู้นะครับว่ามาจากไหน

แต่ตอบง่ายๆแบบผู้เชื่อคือ มาจากพระเจ้านั่นแหละ

น่าสนใจมากกว่าที่ว่าถ้าหากเราศึกษาดีดี มันเป็นเรื่องน่ามหัศจรรย์มาก

ที่สิ่งเล็กๆ อย่างเช่น nucleaus ของเซลล์ ที่เล็กจนเรามองไม่เห็น 

สามารถเก็บข้อมูลทุกลักษณะเกี่ยวกับตัวเราทั้งหมด เป็นไปได้ไงอ่ะ

แปลกมากกก!!  ไมโครชิฟของมนุษย์ เล็กแต่ไหนก็ทำไม่ได้

มันคงไม่บังเอิญใช้มั้ยครับ ขนาดไมโครชิฟยังไม่บังเอิญเลย
เราเคยพูดอย่างนี้กับความพิศวงของดวงตา,DNAมาหลายปี แล้วพวกนักวิทยาศาสตร์ก็เข้ามาบอกว่าเขาพบคำตอบแล้ว มีหลักฐานแล้ว มันวิวัฒนาการมา ก็หัวเราะชาวคริสต์ว่างมงาย ไม่ศึกษาอีก

ถึงต้องมีนักวิทยาศาสตร์ creationism, intelligent design ที่เชื่อพระเจ้าพยายามพิสูจน์ว่าไอ้หลักฐานพวกนั้นมันของเก๊ทั้งเพไงครับ เพราะวิวัฒนาการมันไม่มีทางเข้ากับทางรอดที่พระสอนไว้ในพระคัมภีร์ได้

แต่ถ้าไม่ให้ความจริงพูด ทางวาติกันท่านอาจจะไม่ทราบ โดนหลอกก็ได้
แก้ไขล่าสุดโดย ouroboros เมื่อ จันทร์ ก.ย. 29, 2008 1:48 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
sasuke
~@
โพสต์: 1120
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ธ.ค. 06, 2006 12:00 am
ที่อยู่: ใต้เสื้อคลุมของแม่

จันทร์ ก.ย. 29, 2008 1:54 am

โอเค ผมเก็ตหลายๆอย่างละครับ  :grin:

กำลังคิดในแง่ดีว่า ทางวาติกันเค้าก็มีหน่วยงานที่คอยคัดกรองเรื่องวิทยาศาสตร์อยู่เหมือนกัน และมีความคิดว่า... เค้าคงไม่อยากที่จะให้นักวิทยาศาสตร์มีความคิดต่างกันเข้าไปทะเลาะกันในที่ประชุม อาจจะเพราะว่าอยาก"ฟัง" เหตุผลของทางสายวิวัฒนาการเพื่อเก็บข้อมูลไว้ศึกษาต่อไปครับ

ผมค่อนข้างมองอะไรลึกๆสำหรับโป๊ปองค์นี้ไว้ก่อน เพราะโป๊ปองค์นี้ ผมว่าค่อนข้างแข็งแกร่งด้านข้อมูลและสถานการณ์ปัจจุบันเลยทีเดียว ถึงขั้นออก"บาปต้น7ประการยุคใหม่" ซึ่งเป็นสิ่งที่ชี้ชัดว่าโป๊ปองค์นี้รู้ทันโลก และสั่งสอนให้ประชากรของท่านรู้ทันด้วยครับ
taiyo
โพสต์: 658
ลงทะเบียนเมื่อ: เสาร์ เม.ย. 22, 2006 12:01 am

จันทร์ ก.ย. 29, 2008 2:36 am

ouroboros เขียน: คือ ดอกเตอร์ Ting Wang จาก Stanford กล่าวว่าจากฮิบรูแล้วมันอย่างนี้ครับ

‘In Genesis 1, yôm comes with “evening” and “morning”, and is modified by a number. So it’s obvious that the Hebrew text is describing a 24-hour day—the exegetical burden of proof rests crushingly upon those who view otherwise (notice too that in Jeremiah 33:17–22, God’s covenant with the day and the night, so that both will come at the appointed time, is as unalterable as the promise that a son of David will reign). But no amount of evidence will convince those who are persuaded to play devil’s advocate—just like the serpent in Genesis 3, they must ask, “Did God really say?”’

ในเยเนซิส 1 คำว่า Yom หรือวันมีเย็นกับเช้า กำกับจึงต้องหมายถึง 24 ชั่วโมง

'If God had wanted to tell us that the creation events took place a long time in the past, there were several ways He could have said it:

yamim (plural of yôm) alone or with 'evening and morning', would have meant 'and it was days of evening and morning'. This would have been the simplest way, and could have signified many days and so the possibility of a vast age.

qedem by itself or with 'days' would have meant 'and it was from days of old'.

olam with 'days' would also have meant 'and it was from days of old'.

So if God had intended to communicate an ancient creation to us, there were at least three constructions He could have used to tell us this. However, God chose not to use any of these.'

ถ้ามากกว่าหนึ่งวัน ชาวยิวโบราณมีคำเช่น yayim = days อยู่ ทุกครั้งใช้คำว่า Yom ในพันธสัญญาเก่าหมายถึง 24 ชั่วโมงทุกครั้ง อย่างการถือวันซับบาธที่เทียบมาจากการสร้างก็ใช้ Yom

'Six days shalt thou labour, and do all thy work: But the seventh day is the sabbath of the LORD thy God: in it thou shalt not do any work, thou, nor thy son, not thy daughter, thy manservant, nor thy maidservant, nor thy cattle, nor thy stranger that is within thy gates: For in six days the LORD made heaven and earth, the sea, and all that in them is, and rested the seventh day: wherefore the LORD blessed the sabbath day, and hallowed it.'

รูปภาพ
อ่านนี่ดูนะครับ
http://www.godandscience.org/youngearth/genesis.html
http://www.christiananswers.net/q-eden/edn-c002.html
ถ้าไปก๊อปมามันจะยาว แล้วดูไม่สวย อิอิ
แก้ไขล่าสุดโดย taiyo เมื่อ จันทร์ ก.ย. 29, 2008 2:46 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
ouroboros
โพสต์: 36
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ย. 26, 2008 8:07 am

จันทร์ ก.ย. 29, 2008 3:07 am

taiyo เขียน: อ่านนี่ดูนะครับ
http://www.godandscience.org/youngearth/genesis.html
http://www.christiananswers.net/q-eden/edn-c002.html
ถ้าไปก๊อปมามันจะยาว แล้วดูไม่สวย อิอิ
พระอวยพรครับพี่ Taiyo เว็บในไทยที่ยืนหยัดเรื่อง Yom = วัน กับ วิวัฒนาการอย่างที่ให้มามันหายากจริงๆ  ::001::
รูปภาพ
แก้ไขล่าสุดโดย ouroboros เมื่อ จันทร์ ก.ย. 29, 2008 4:35 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
Zaliaus
โพสต์: 640
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ พ.ค. 07, 2007 1:03 am
ที่อยู่: ...

อังคาร ก.ย. 30, 2008 6:55 pm

เชื่อ? หรือ ไม่เชื่อ?

ถ้าไม่มีความรักต่อกันและก็ไม่มีประโยชน์

ยอมรับ หรือ ไม่ยอมรับ ?

ไม่มีความรักก็ไร้ประโยชน์

เอาชนะกันไปแล้วได้อาราย...

กว่าจะค้นพบได้ ก็ต้องเสียอะไรบางอย่างที่ เอาคืนมาไม่ได้แล้ว

เหมือนกับผู้ชนะที่ยืนอยู่บนซากปรักหักพัง ของตน

ก็ต้องหันมาเริ่มสร้างสิ่งเดิม ที่เคยมีอยู่แล้วกันใหม่
เอส

พุธ ต.ค. 01, 2008 3:45 am

ouroboros เขียน:
sakda88 เขียน: วิศวกรรมพันธุศาสตร์ (genetic engineering) อาจให้คำตอบเรื่องนี้ได้ดีขึ้น
คำถามที่จะตามมาคือ  แหล่งกำเนิดของยีนเริ่มต้นมาจากที่ไหน ?
Zaliaus เขียน:
อันนี้ก็ไม่รู้นะครับว่ามาจากไหน

แต่ตอบง่ายๆแบบผู้เชื่อคือ มาจากพระเจ้านั่นแหละ

น่าสนใจมากกว่าที่ว่าถ้าหากเราศึกษาดีดี มันเป็นเรื่องน่ามหัศจรรย์มาก

ที่สิ่งเล็กๆ อย่างเช่น nucleaus ของเซลล์ ที่เล็กจนเรามองไม่เห็น 

สามารถเก็บข้อมูลทุกลักษณะเกี่ยวกับตัวเราทั้งหมด เป็นไปได้ไงอ่ะ

แปลกมากกก!!  ไมโครชิฟของมนุษย์ เล็กแต่ไหนก็ทำไม่ได้

มันคงไม่บังเอิญใช้มั้ยครับ ขนาดไมโครชิฟยังไม่บังเอิญเลย
เราเคยพูดอย่างนี้กับความพิศวงของดวงตา,DNAมาหลายปี แล้วพวกนักวิทยาศาสตร์ก็เข้ามาบอกว่าเขาพบคำตอบแล้ว มีหลักฐานแล้ว มันวิวัฒนาการมา ก็หัวเราะชาวคริสต์ว่างมงาย ไม่ศึกษาอีก

ถึงต้องมีนักวิทยาศาสตร์ creationism, intelligent design ที่เชื่อพระเจ้าพยายามพิสูจน์ว่าไอ้หลักฐานพวกนั้นมันของเก๊ทั้งเพไงครับ เพราะวิวัฒนาการมันไม่มีทางเข้ากับทางรอดที่พระสอนไว้ในพระคัมภีร์ได้

แต่ถ้าไม่ให้ความจริงพูด ทางวาติกันท่านอาจจะไม่ทราบ โดนหลอกก็ได้


เรื่องนี้ละเอียดอ่อนมากเลยนะคะ...........
ต้องบอกก่อนว่านักวิทยาศาสตร์ที่ศึกษาเกี่ยวกับทฤษฎีวิวัฒนาการ  ไม่ใช่ทุกคนหรอกนะคะที่เป็นศัตรูกับพระเจ้า  นักวิทยาศาสตร์หลายคนก็รักและเชื่อในพระเจ้ามากมาย  แต่คุณควรเข้าใจด้วยว่าวิทยาศาสตร์เป็นศาสตร์เกี่ยวกับการใช้เหตุผล  เราไม่ได้บอกว่าศาสนาคริสต์งมงาย  เพราะไม่อย่างนั้นดิฉันเองก็งมงายเหมือนกัน  เพียงแต่อยากให้คุณเข้าใจว่า  เราไม่เคยคิดเป็นศัตรูกับใครจริงๆ  นักวิทยาศาสตร์บางคนอุทิศเวลาทั้งชีวิตเพื่อการศึกษา  พระเจ้าเป็นผู้สร้างสรรพสิ่ง  ดิฉันเชื่อ  เพราะไม่อย่างนั้นมันจะมี singularity ก่อนที่จะเกิดบิ๊กแบงเป็นจักรวาลได้ยังไง  เห็นไหมคะ ว่าถึงที่สุดแล้ว วิทยาศาสตร์ก็หาคำตอบสุดท้ายจริงๆไม่ได้ว่า singularity มาจากไหน  ในความคิดของดิฉันขอเสนอแบบคริสต์ + วิทยาศาสตร์นะคะ  การเกิดสารอินทรีย์ยุคแรกๆ เชื่อว่ามาจากสารอนินทรีย์  โดยกระบวนการที่บังเอิญที่สุดที่ทำให้เกิดปฏิกิริยาของธาตุเหล่านั้น  หลายคนอาจทราบแล้วว่าส่วนประกอบของปฏิกิริยานั้นคือมีการกระทำในอุณหภูมิสูง เพราะโลกขณะนั้นยังร้อนอยู่ ประกอบกับกระแสไฟฟ้าที่มาจากฟ้าแลปฟ้าผ่า  คิดดูสิคะ  อะไรจะบังเอิญที่จะเกิดปฏิริยานั้นได้ขนาดนั้น  ก็ต้องเป็นด้วยอำนาจของพระเจ้านี่แหละค่ะที่ทำให้เกิดปฏิกิริยาเหล่านั้นได้  การวิวัฒนาการมันใช้เวลาหลายล้านปีนะคะ ในทุกครั้งที่มีการเกิดสิ่งมีชีวิตชนิดใหม่ ทางวิทยาศาสตร์บอกว่าเกิดขึ้นโดยการเปลี่ยนแปลงทรัพยากรในถิ่นนั้น แล้วมีการแก่งแย่งเพื่อให้ได้ทรัพยากรนั้นมาแต่ไม่ใช่หมายถึงการฆ่ากันอย่างเดียว พวกที่ขี้เกียจแย่งก็ปรับตัวไปหาแหล่งทรัพยากรใหม่ การปรับตัวตรงนี้บังเอิญสามารถถ่ายทอดสู่รุ่นลูกรุ่นหลานได้  จึงได้รุ่นลูกรุ่นหลานที่แตกต่างจากบรรพบุรุษ  ลองคิดดูนะคะ อะไรที่จะทำให้เกิดความบังเอิญซ้ำๆได้มากขนาดนี้  ถ้าไม่ใช่พระเป็นเจ้า  ในการเรียนการสอนวิชาวิวัฒนาการไม่มีเลยสักครั้งที่อาจารย์จะสอนให้เกลียดศาสนาคริสต์  ส่วนในเรื่องหนึ่งวันในพระคัมภีร์ไม่ขอเถียงนะคะเพราะไม่มีความรู้ และเอสยังไม่เข้าใจเลยค่ะว่าทฤษฎีวิวัฒนาการไม่เข้ากับทางรอดที่พระองค์สอนไว้ยังไง แค่ไม่เข้ากับเวลาในพระคัมภีร์เท่านั้นหรือคะ  ถ้าอย่างนั้นเราก็ไม่ได้เค้าใจคำสอนของพระองค์จริงๆนะสิ  ช่วยอธิบายให้หน่อยนะคะ  เอสก็แค่อยากเสนอความเห็นส่วนตัวในฐานะที่คลุกคลีกับวงการวิทยาศาสตร์นะคะ  หากมีอะไรที่ทำให้ทุกคนไม่สบายใจก็ขอโทษด้วย  โดยส่วนตัวแล้ว  ไม่เคยเป็นศัตรูกับศาสนาคริสต์จริงๆ  เพราะเอสเองยังเชื่อในพระเจ้า  ยังสวดวันทามารีอาอยู่เลย  ถ้าทำให้ทุกคนไม่บายใจก็ขอโทษด้วยนะคะ  ไม่ได้มีเจตนาชวนทะเลาะเลย  ::001::
ภาพประจำตัวสมาชิก
ouroboros
โพสต์: 36
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ย. 26, 2008 8:07 am

พุธ ต.ค. 01, 2008 10:14 am

เอส เขียน: เรื่องนี้ละเอียดอ่อนมากเลยนะคะ...........
ต้องบอกก่อนว่านักวิทยาศาสตร์ที่ศึกษาเกี่ยวกับทฤษฎีวิวัฒนาการ  ไม่ใช่ทุกคนหรอกนะคะที่เป็นศัตรูกับพระเจ้า  นักวิทยาศาสตร์หลายคนก็รักและเชื่อในพระเจ้ามากมาย  แต่คุณควรเข้าใจด้วยว่าวิทยาศาสตร์เป็นศาสตร์เกี่ยวกับการใช้เหตุผล  เราไม่ได้บอกว่าศาสนาคริสต์งมงาย  เพราะไม่อย่างนั้นดิฉันเองก็งมงายเหมือนกัน  เพียงแต่อยากให้คุณเข้าใจว่า  เราไม่เคยคิดเป็นศัตรูกับใครจริงๆ  นักวิทยาศาสตร์บางคนอุทิศเวลาทั้งชีวิตเพื่อการศึกษา  พระเจ้าเป็นผู้สร้างสรรพสิ่ง  ดิฉันเชื่อ  เพราะไม่อย่างนั้นมันจะมี singularity ก่อนที่จะเกิดบิ๊กแบงเป็นจักรวาลได้ยังไง  เห็นไหมคะ ว่าถึงที่สุดแล้ว วิทยาศาสตร์ก็หาคำตอบสุดท้ายจริงๆไม่ได้ว่า singularity มาจากไหน  ในความคิดของดิฉันขอเสนอแบบคริสต์ + วิทยาศาสตร์นะคะ  การเกิดสารอินทรีย์ยุคแรกๆ เชื่อว่ามาจากสารอนินทรีย์  โดยกระบวนการที่บังเอิญที่สุดที่ทำให้เกิดปฏิกิริยาของธาตุเหล่านั้น  หลายคนอาจทราบแล้วว่าส่วนประกอบของปฏิกิริยานั้นคือมีการกระทำในอุณหภูมิสูง เพราะโลกขณะนั้นยังร้อนอยู่ ประกอบกับกระแสไฟฟ้าที่มาจากฟ้าแลปฟ้าผ่า  คิดดูสิคะ  อะไรจะบังเอิญที่จะเกิดปฏิริยานั้นได้ขนาดนั้น  ก็ต้องเป็นด้วยอำนาจของพระเจ้านี่แหละค่ะที่ทำให้เกิดปฏิกิริยาเหล่านั้นได้  การวิวัฒนาการมันใช้เวลาหลายล้านปีนะคะ ในทุกครั้งที่มีการเกิดสิ่งมีชีวิตชนิดใหม่ ทางวิทยาศาสตร์บอกว่าเกิดขึ้นโดยการเปลี่ยนแปลงทรัพยากรในถิ่นนั้น แล้วมีการแก่งแย่งเพื่อให้ได้ทรัพยากรนั้นมาแต่ไม่ใช่หมายถึงการฆ่ากันอย่างเดียว พวกที่ขี้เกียจแย่งก็ปรับตัวไปหาแหล่งทรัพยากรใหม่ การปรับตัวตรงนี้บังเอิญสามารถถ่ายทอดสู่รุ่นลูกรุ่นหลานได้  จึงได้รุ่นลูกรุ่นหลานที่แตกต่างจากบรรพบุรุษ  ลองคิดดูนะคะ อะไรที่จะทำให้เกิดความบังเอิญซ้ำๆได้มากขนาดนี้  ถ้าไม่ใช่พระเป็นเจ้า  ในการเรียนการสอนวิชาวิวัฒนาการไม่มีเลยสักครั้งที่อาจารย์จะสอนให้เกลียดศาสนาคริสต์  ส่วนในเรื่องหนึ่งวันในพระคัมภีร์ไม่ขอเถียงนะคะเพราะไม่มีความรู้ และเอสยังไม่เข้าใจเลยค่ะว่าทฤษฎีวิวัฒนาการไม่เข้ากับทางรอดที่พระองค์สอนไว้ยังไง แค่ไม่เข้ากับเวลาในพระคัมภีร์เท่านั้นหรือคะ  ถ้าอย่างนั้นเราก็ไม่ได้เค้าใจคำสอนของพระองค์จริงๆนะสิ   ช่วยอธิบายให้หน่อยนะคะ  เอสก็แค่อยากเสนอความเห็นส่วนตัวในฐานะที่คลุกคลีกับวงการวิทยาศาสตร์นะคะ  หากมีอะไรที่ทำให้ทุกคนไม่สบายใจก็ขอโทษด้วย  โดยส่วนตัวแล้ว  ไม่เคยเป็นศัตรูกับศาสนาคริสต์จริงๆ  เพราะเอสเองยังเชื่อในพระเจ้า  ยังสวดวันทามารีอาอยู่เลย  ถ้าทำให้ทุกคนไม่บายใจก็ขอโทษด้วยนะคะ  ไม่ได้มีเจตนาชวนทะเลาะเลย   ::001::
พระบุตรได้ตรัสยืนยันเยเนซิสใน Matthew 19:4–5: “And He answered and said to them, ‘Have you not read that He who made them at the beginning “made them male and female,” and said, “For this reason a man shall leave his father and mother and be joined to his wife, and the two shall become one flesh”?’”

พระบุตรมาล้างบาปของอดัมให้มนุษย์ ฉะนั้นอดัมต้องมีจริงครับ ฉะนั้นวิวัฒนาการเกิดขึ้นไม่ได้ พระจึงย้ำเตือนแล้วให้มนุษย์มีศรัทธา

John 3:12 “If I have told you earthly things, and you do not believe, how will you believe if I tell you of heavenly things?”

Evolution มีแต่สัตว์กินสัตว์ ไม่ใช่ Creation ที่ And God saw that it was good. แน่ๆ

รูปภาพ

รูปภาพ


ไม่โกรธหรอกครับ พระอวยพร  ::001::
Buddy
โพสต์: 3057
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ มี.ค. 09, 2005 10:48 am
ที่อยู่: USA

พุธ ต.ค. 01, 2008 11:52 am

ouroboros เขียน:
แต่ถ้าไม่ให้ความจริงพูด ทางวาติกันท่านอาจจะไม่ทราบ โดนหลอกก็ได้
วาติกันไม่ได้โง่ขนาดนั้นหรอกค่ะ  ไม่ต้องไปห่วงเค้า  ::001::

น้องไม่ได้เป็นคาทอลิกใช่มั้ยคะ  ::001::
เอส เขียน:
ouroboros เขียน:
sakda88 เขียน: วิศวกรรมพันธุศาสตร์ (genetic engineering) อาจให้คำตอบเรื่องนี้ได้ดีขึ้น
คำถามที่จะตามมาคือ  แหล่งกำเนิดของยีนเริ่มต้นมาจากที่ไหน ?
Zaliaus เขียน:
อันนี้ก็ไม่รู้นะครับว่ามาจากไหน

แต่ตอบง่ายๆแบบผู้เชื่อคือ มาจากพระเจ้านั่นแหละ

น่าสนใจมากกว่าที่ว่าถ้าหากเราศึกษาดีดี มันเป็นเรื่องน่ามหัศจรรย์มาก

ที่สิ่งเล็กๆ อย่างเช่น nucleaus ของเซลล์ ที่เล็กจนเรามองไม่เห็น 

สามารถเก็บข้อมูลทุกลักษณะเกี่ยวกับตัวเราทั้งหมด เป็นไปได้ไงอ่ะ

แปลกมากกก!!  ไมโครชิฟของมนุษย์ เล็กแต่ไหนก็ทำไม่ได้

มันคงไม่บังเอิญใช้มั้ยครับ ขนาดไมโครชิฟยังไม่บังเอิญเลย
เราเคยพูดอย่างนี้กับความพิศวงของดวงตา,DNAมาหลายปี แล้วพวกนักวิทยาศาสตร์ก็เข้ามาบอกว่าเขาพบคำตอบแล้ว มีหลักฐานแล้ว มันวิวัฒนาการมา ก็หัวเราะชาวคริสต์ว่างมงาย ไม่ศึกษาอีก

ถึงต้องมีนักวิทยาศาสตร์ creationism, intelligent design ที่เชื่อพระเจ้าพยายามพิสูจน์ว่าไอ้หลักฐานพวกนั้นมันของเก๊ทั้งเพไงครับ เพราะวิวัฒนาการมันไม่มีทางเข้ากับทางรอดที่พระสอนไว้ในพระคัมภีร์ได้

แต่ถ้าไม่ให้ความจริงพูด ทางวาติกันท่านอาจจะไม่ทราบ โดนหลอกก็ได้


เอสยังไม่เข้าใจเลยค่ะว่าทฤษฎีวิวัฒนาการไม่เข้ากับทางรอดที่พระองค์สอนไว้ยังไง
เข้าใจว่า  คงเป็นเพราะไม่เชื่อว่า  พระเจ้ามีจริงแต่แรกน่ะค่ะ  เรื่องอื่นๆก็เลยตามมาทีหลัง ..

และอีกอย่าง  ก็คงเหมือนกับว่า  "ไหนบอกว่า  พระเจ้าสร้างโลก  ไม่จริงนี่นา  เห็นมั้ย  วิวัฒนาการชัดๆ"  ประมาณนี้น่ะค่ะ  และพอมีเรื่องที่ไม่จริงแล้ว  ก็เหมือนพระเจ้าโกหก  เหมือนพระเจ้าไม่มีจริง  เมื่อคนไม่เชื่อในพระเจ้าแล้ว  มันก็เลยเกี่ยวกับความรอดด้วยประการฉะนี้น่ะค่ะ  ::001::
KuRapiKa
โพสต์: 383
ลงทะเบียนเมื่อ: เสาร์ ส.ค. 30, 2008 10:49 am
ติดต่อ:

พุธ ต.ค. 01, 2008 1:32 pm

Buddy เขียน:
เข้าใจว่า  คงเป็นเพราะไม่เชื่อว่า  พระเจ้ามีจริงแต่แรกน่ะค่ะ  เรื่องอื่นๆก็เลยตามมาทีหลัง ..

และอีกอย่าง  ก็คงเหมือนกับว่า  "ไหนบอกว่า  พระเจ้าสร้างโลก  ไม่จริงนี่นา  เห็นมั้ย  วิวัฒนาการชัดๆ"  ประมาณนี้น่ะค่ะ  และพอมีเรื่องที่ไม่จริงแล้ว  ก็เหมือนพระเจ้าโกหก  เหมือนพระเจ้าไม่มีจริง  เมื่อคนไม่เชื่อในพระเจ้าแล้ว  มันก็เลยเกี่ยวกับความรอดด้วยประการฉะนี้น่ะค่ะ   ::001::

โดนใจค๊าบ  :angel:
เอส

พุธ ต.ค. 01, 2008 7:26 pm

Buddy เขียน:
ouroboros เขียน:
แต่ถ้าไม่ให้ความจริงพูด ทางวาติกันท่านอาจจะไม่ทราบ โดนหลอกก็ได้
วาติกันไม่ได้โง่ขนาดนั้นหรอกค่ะ  ไม่ต้องไปห่วงเค้า   ::001::

น้องไม่ได้เป็นคาทอลิกใช่มั้ยคะ   ::001::
เอส เขียน:
ouroboros เขียน: เราเคยพูดอย่างนี้กับความพิศวงของดวงตา,DNAมาหลายปี แล้วพวกนักวิทยาศาสตร์ก็เข้ามาบอกว่าเขาพบคำตอบแล้ว มีหลักฐานแล้ว มันวิวัฒนาการมา ก็หัวเราะชาวคริสต์ว่างมงาย ไม่ศึกษาอีก

ถึงต้องมีนักวิทยาศาสตร์ creationism, intelligent design ที่เชื่อพระเจ้าพยายามพิสูจน์ว่าไอ้หลักฐานพวกนั้นมันของเก๊ทั้งเพไงครับ เพราะวิวัฒนาการมันไม่มีทางเข้ากับทางรอดที่พระสอนไว้ในพระคัมภีร์ได้

แต่ถ้าไม่ให้ความจริงพูด ทางวาติกันท่านอาจจะไม่ทราบ โดนหลอกก็ได้


เอสยังไม่เข้าใจเลยค่ะว่าทฤษฎีวิวัฒนาการไม่เข้ากับทางรอดที่พระองค์สอนไว้ยังไง
เข้าใจว่า  คงเป็นเพราะไม่เชื่อว่า  พระเจ้ามีจริงแต่แรกน่ะค่ะ  เรื่องอื่นๆก็เลยตามมาทีหลัง ..

และอีกอย่าง  ก็คงเหมือนกับว่า  "ไหนบอกว่า  พระเจ้าสร้างโลก  ไม่จริงนี่นา  เห็นมั้ย  วิวัฒนาการชัดๆ"  ประมาณนี้น่ะค่ะ  และพอมีเรื่องที่ไม่จริงแล้ว  ก็เหมือนพระเจ้าโกหก  เหมือนพระเจ้าไม่มีจริง  เมื่อคนไม่เชื่อในพระเจ้าแล้ว  มันก็เลยเกี่ยวกับความรอดด้วยประการฉะนี้น่ะค่ะ   ::001::

แล้วเราจะเชื่อในทฤษฎีวิวัฒนาการ ไปพร้อมๆกับความเชื่อในพระเจ้าได้ไหมคะ  ถ้าอย่างนั้นนักวิทยาศาสตร์ต้องถูกกีดกันจากศาสนาคริสต์เหมือนเมื่อก่อนหรือคะ   ::002::  ไม่อาวเค้าไม่ยอม   : xemo023 :  
ตอบกลับโพส