(เครียด)ผมจะยอมรับทฤษฏีวิวัฒนาการได้รึยังครับ

ถาม-ตอบพระคัมภีร์ เรื่องเสริมศรัทธา ความรู้ และสาระ บทความ ในคริสตศาสนา
ภาพประจำตัวสมาชิก
sasuke
~@
โพสต์: 1120
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ธ.ค. 06, 2006 12:00 am
ที่อยู่: ใต้เสื้อคลุมของแม่

พุธ ต.ค. 01, 2008 8:48 pm

เอส เขียน: แล้วเราจะเชื่อในทฤษฎีวิวัฒนาการ ไปพร้อมๆกับความเชื่อในพระเจ้าได้ไหมคะ  ถ้าอย่างนั้นนักวิทยาศาสตร์ต้องถูกกีดกันจากศาสนาคริสต์เหมือนเมื่อก่อนหรือคะ   ::002::  ไม่อาวเค้าไม่ยอม   : xemo023 :  

ก่อนตอบขอเกริ่นนิดนึงนะครับ  ::001::


กระบวนการทางวิทยาศาสตร์จะมีขั้นตอนอยู่3ขั้นใหญ่ๆครับ คือ...

1. ตั้งสมมติฐาน
ในขั้นนี้ เราอยากจะรู้อะไรก็ตั้งสมมติฐานเอาไว้ เช่นว่า "กบบินได้" "เต่ากินคนเป็นอาหาร" ฯลฯ (อาจจะตั้งให้บ้าบอกว่านี้ก็ได้ เพราะยังไงเราก็ต้องพิสูจน์อยู่แล้วว่าจริงหรือไม่จริง ไม่แน่ว่ากบอาจจะบินได้ก็เป็นได้ (ฮา))

2. ทดลอง
เป็นการหาข้อเท็จจริงของสมมติฐานที่เราตั้งขึ้น โดยการหาข้อมูล ทำสถิติ หรือทดลองเอง อย่างถ้าเป็นตัวอย่างข้างต้นก็อาจจะทดลองแบบว่า ลองจับกบไปโยนจากดาดฟ้าตึดดูซิ ดูว่ามันจะบินรึเปล่า หรือว่า ลองจับเต่าสักฝูงไปขังรวมกับคนดูซิ ดูว่ามันจะกัดกินแทะคนจยตายรึเปล่า ฯลฯ ขั้นตอนนี้สำคัญมากครับ เพราะเป็นการพิสูจน์ว่าสมมิตฐานเราถูกต้องหรือไม่ ขั้นตอนนี้ถ้าสามารถทำการทดลองได้จะดีมากลยครับ เพราะจะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือมากๆ

3. สรุป
ก็คือการนำข้อมูลต่างๆที่ได้ นำมาสรุปผลว่าสมมติฐานของเรามีความน่าเชื่อถือแค่ไหนครับ

-----------------------------------------

เอาล่ะครับ... หลังจากที่กล่าวไปเสียยืดยาว เข้าประเด็นที่ผมต้องการสื่อเลยดีกว่า
หลังจากที่สมมติฐานผ่านกระบวนการทางวิทยาศาสตร์แล้ว ถ้าการทดลองมีข้อมูลหลักฐานเพียงพอ(ตามที่ผู้ทดลองกำหนดเกณฑ์ไว้) ก็จะสามารถสรุปสมมติฐานนั้นเป็นทฤษฎี (Theory) ได้ แต่ความวุ่นวายยังไม่จบแค่นั้นครับ  : emo102 : หลังจากที่เราได้ทฤษฎีแล้ว เราสามารถพิสูจน์ทฤษฎีนั้นได้อีก เพื่ออัพเกรดให้ทฤษฎีนั้นให้กลายเป็นกฎ(Law) โดยที่ทฤษฎีนั้นจะต้องเป็นจริงสำหรับทุกๆสิ่งในเอกภพถึงจะอัพเกรดกลายเป็นกฎได้ ฟังดูวุ่นวายแฮะ...

เอาล่ะประเด็นจริงๆละครับ : emo044 :
ที่ผมจะบอกก็คือ ทฤษฎีการวิวัฒนาการ ไม่ว่าจะเป็นของลามาร์คหรือว่าดาร์วิน เค้าใช้วิธีการสำรวจเก็บข้อมูลต่างๆ แล้วก็สรุปทฎษฎีออกมา และจุดอ่อนของตัวทฤษฎีคือมันยังไม่ได้รับการพิสูจน์โดยการทดลองว่าเป็นจริง100% มันคือสมมติฐานที่มีหลักฐานมารองรับว่า สำหรับหลักฐานภายในขอบเขตที่เค้าศึกษานั้นทำให้สมมติฐานนี้เป็นจริง ทำให้ทฤษฎีนี้มีความน่าเชื่อถือ แต่ทฤษฎีก็คือทฎษฎีครับ เราพูดกันได้แค่ว่ามันน่าเชื่อถือเพียงไหน เราไม่สรุปว่ามันเป็นจริงพร่ำเพรื่อ เพราะทฤษฎีนั้นไม่ใช่กฎครับ


"วิทยาศาสตร์" ควรยอมรับอะไรอย่างมีเหตุผลนะครับ ศึกษาก่อนจึงยอมรับ
ตัวอย่างทฤษฎีที่มักจะมีให้เห็นตามหน้าหนังสือพิมพ์ บ้านใครรับนสพ.ไทยรัฐ เปิดไปดูหน้า7คอลัมน์วิทยาศาสตร์จะเจอทฤษฎีที่สำรวจจากสถิติเต็มไปหมด เคยอ่านเจอ "ออกกำลังมากอายุจะสั้น" (เซ็งเป็ดครับ แล้วผมจะออกกำลังกายไปทำไมเนี่ย)

ขอพระเจ้าอวยพรทุกคนนะครับ

ปล. ยาวไปป่าวเนี่ย อุตส่าห์พิมพ์ตั้งนาน
Buddy
โพสต์: 3057
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ มี.ค. 09, 2005 10:48 am
ที่อยู่: USA

พุธ ต.ค. 01, 2008 10:49 pm

เอส เขียน: แล้วเราจะเชื่อในทฤษฎีวิวัฒนาการ ไปพร้อมๆกับความเชื่อในพระเจ้าได้ไหมคะ  ถ้าอย่างนั้นนักวิทยาศาสตร์ต้องถูกกีดกันจากศาสนาคริสต์เหมือนเมื่อก่อนหรือคะ   ::002::  ไม่อาวเค้าไม่ยอม   : xemo023 :  
วิทยาศาสตร์กับศาสนาทำไมจะไปกันไม่ได้คะ พระเป็นเจ้าสร้างเรามาทุกอย่างนะคะ สมอง สติปัญญา พระองค์ให้เราหมด การคิดแบบวิทยาศาสตร์พระองค์ก็ให้เรามา  และที่สำคัญนะคะ  ทุกอย่างที่พระองค์ให้เรามา  เป็นพระพรที่ทำให้เราไปหาพระองค์ได้ทั้งนั้นค่ะ  ...  วิทยาศาสตร์ก็เป็นพระพรอย่างนึงที่ทำให้เราไปหาพระเป็นเจ้าได้  เพราะพระองค์ยิ่งใหญ่  รู้ทุกอย่าง  ไม่ได้รู้แค่วิชาปรัชญาและเทววิทยาเท่านั้นนะคะ  ::001::

พระสงฆ์หลายท่านเรียนวิทยาศาสตร์นะคะ  เรียนวิศวะก็มี  โดยเฉพาะคณะเยซูอิต  และเค้าเรียนกันระดับ PhD  ตอนนี้ก็รู้จักพ่อเยซูอิตองค์นึงเหมือนกัน  เรียนปริญญาเอกทาง Neurobiology อยู่  มีหลายองค์ที่เรียนแบบนี้นะคะ  ไม่ได้เรียนแค่ปรัชญาและเทววิทยาเท่านั้นค่ะ  ลองอ่านที่นี่นะคะ  http://www.jesuit.org/WhoAreJesuits/Sci ... fault.aspx

และอย่างเมนเดลเอง ที่เป็นบิดาวิชาพันธุศาสตร์ ก็เป็นพระสงฆ์คาทอลิกค่ะ  ::001::

สมัยก่อนที่อาจจะกีดกัน  ส่วนนึงเพราะความกลัว  แต่พระเป็นเจ้าก็ให้เราผ่านตรงนั้นมาได้  และมาสู่ยุคที่เปิดกว้าง  ไม่กลัว  และไม่จำกัดการหาความรู้  โดยพื้นฐานที่ว่า  พระเป็นเจ้ายิ่งใหญ่และไม่มีขอบเขต  ไม่มีใครจะมาใหญ่กว่าได้  ::001::
ภาพประจำตัวสมาชิก
bb_z
โพสต์: 77
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ก.ย. 29, 2008 1:58 pm

พฤหัสฯ. ต.ค. 02, 2008 5:41 pm

sasuke เขียน:
เอส เขียน: แล้วเราจะเชื่อในทฤษฎีวิวัฒนาการ ไปพร้อมๆกับความเชื่อในพระเจ้าได้ไหมคะ  ถ้าอย่างนั้นนักวิทยาศาสตร์ต้องถูกกีดกันจากศาสนาคริสต์เหมือนเมื่อก่อนหรือคะ   ::002::  ไม่อาวเค้าไม่ยอม   : xemo023 :  

ก่อนตอบขอเกริ่นนิดนึงนะครับ  ::001::


กระบวนการทางวิทยาศาสตร์จะมีขั้นตอนอยู่3ขั้นใหญ่ๆครับ คือ...

1. ตั้งสมมติฐาน
ในขั้นนี้ เราอยากจะรู้อะไรก็ตั้งสมมติฐานเอาไว้ เช่นว่า "กบบินได้" "เต่ากินคนเป็นอาหาร" ฯลฯ (อาจจะตั้งให้บ้าบอกว่านี้ก็ได้ เพราะยังไงเราก็ต้องพิสูจน์อยู่แล้วว่าจริงหรือไม่จริง ไม่แน่ว่ากบอาจจะบินได้ก็เป็นได้ (ฮา))

2. ทดลอง
เป็นการหาข้อเท็จจริงของสมมติฐานที่เราตั้งขึ้น โดยการหาข้อมูล ทำสถิติ หรือทดลองเอง อย่างถ้าเป็นตัวอย่างข้างต้นก็อาจจะทดลองแบบว่า ลองจับกบไปโยนจากดาดฟ้าตึดดูซิ ดูว่ามันจะบินรึเปล่า หรือว่า ลองจับเต่าสักฝูงไปขังรวมกับคนดูซิ ดูว่ามันจะกัดกินแทะคนจยตายรึเปล่า ฯลฯ ขั้นตอนนี้สำคัญมากครับ เพราะเป็นการพิสูจน์ว่าสมมิตฐานเราถูกต้องหรือไม่ ขั้นตอนนี้ถ้าสามารถทำการทดลองได้จะดีมากลยครับ เพราะจะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือมากๆ

3. สรุป
ก็คือการนำข้อมูลต่างๆที่ได้ นำมาสรุปผลว่าสมมติฐานของเรามีความน่าเชื่อถือแค่ไหนครับ

-----------------------------------------

เอาล่ะครับ... หลังจากที่กล่าวไปเสียยืดยาว เข้าประเด็นที่ผมต้องการสื่อเลยดีกว่า
หลังจากที่สมมติฐานผ่านกระบวนการทางวิทยาศาสตร์แล้ว ถ้าการทดลองมีข้อมูลหลักฐานเพียงพอ(ตามที่ผู้ทดลองกำหนดเกณฑ์ไว้) ก็จะสามารถสรุปสมมติฐานนั้นเป็นทฤษฎี (Theory) ได้ แต่ความวุ่นวายยังไม่จบแค่นั้นครับ  : emo102 : หลังจากที่เราได้ทฤษฎีแล้ว เราสามารถพิสูจน์ทฤษฎีนั้นได้อีก เพื่ออัพเกรดให้ทฤษฎีนั้นให้กลายเป็นกฎ(Law) โดยที่ทฤษฎีนั้นจะต้องเป็นจริงสำหรับทุกๆสิ่งในเอกภพถึงจะอัพเกรดกลายเป็นกฎได้ ฟังดูวุ่นวายแฮะ...

เอาล่ะประเด็นจริงๆละครับ : emo044 :
ที่ผมจะบอกก็คือ ทฤษฎีการวิวัฒนาการ ไม่ว่าจะเป็นของลามาร์คหรือว่าดาร์วิน เค้าใช้วิธีการสำรวจเก็บข้อมูลต่างๆ แล้วก็สรุปทฎษฎีออกมา และจุดอ่อนของตัวทฤษฎีคือมันยังไม่ได้รับการพิสูจน์โดยการทดลองว่าเป็นจริง100% มันคือสมมติฐานที่มีหลักฐานมารองรับว่า สำหรับหลักฐานภายในขอบเขตที่เค้าศึกษานั้นทำให้สมมติฐานนี้เป็นจริง ทำให้ทฤษฎีนี้มีความน่าเชื่อถือ แต่ทฤษฎีก็คือทฎษฎีครับ เราพูดกันได้แค่ว่ามันน่าเชื่อถือเพียงไหน เราไม่สรุปว่ามันเป็นจริงพร่ำเพรื่อ เพราะทฤษฎีนั้นไม่ใช่กฎครับ


"วิทยาศาสตร์" ควรยอมรับอะไรอย่างมีเหตุผลนะครับ ศึกษาก่อนจึงยอมรับ
ตัวอย่างทฤษฎีที่มักจะมีให้เห็นตามหน้าหนังสือพิมพ์ บ้านใครรับนสพ.ไทยรัฐ เปิดไปดูหน้า7คอลัมน์วิทยาศาสตร์จะเจอทฤษฎีที่สำรวจจากสถิติเต็มไปหมด เคยอ่านเจอ "ออกกำลังมากอายุจะสั้น" (เซ็งเป็ดครับ แล้วผมจะออกกำลังกายไปทำไมเนี่ย)

ขอพระเจ้าอวยพรทุกคนนะครับ

ปล. ยาวไปป่าวเนี่ย อุตส่าห์พิมพ์ตั้งนาน
กฎของเมนเดล
ภาพประจำตัวสมาชิก
Holy
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 10011
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:06 pm

พฤหัสฯ. ต.ค. 02, 2008 9:09 pm

bb_z เขียน:

แต่ทฤษฎีก็คือทฎษฎีครับ เราพูดกันได้แค่ว่ามันน่าเชื่อถือเพียงไหน เราไม่สรุปว่ามันเป็นจริงพร่ำเพรื่อ เพราะทฤษฎีนั้นไม่ใช่กฎครับ
แล้วพระเจ้า เชื่อถือได้เพียงไหนครับ พระเจ้าเป็นกฎเหรอครับ
ใช่ครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Zaliaus
โพสต์: 640
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ พ.ค. 07, 2007 1:03 am
ที่อยู่: ...

พฤหัสฯ. ต.ค. 02, 2008 10:11 pm

Holy เขียน:
bb_z เขียน:

แต่ทฤษฎีก็คือทฎษฎีครับ เราพูดกันได้แค่ว่ามันน่าเชื่อถือเพียงไหน เราไม่สรุปว่ามันเป็นจริงพร่ำเพรื่อ เพราะทฤษฎีนั้นไม่ใช่กฎครับ
แล้วพระเจ้า เชื่อถือได้เพียงไหนครับ พระเจ้าเป็นกฎเหรอครับ
ใช่ครับ
พระเจ้าสร้างกฏนั้นครับ

เราเชื่อหัวปักหัวปำว่ากฏนั่นเป็นจริง....

แต่เราไม่เคยจะเชื่อถึงผู้ที่สร้างกฏขึ้นมา 

น่าสงสารพระองค์อ่ะนะ
ภาพประจำตัวสมาชิก
ouroboros
โพสต์: 36
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ย. 26, 2008 8:07 am

ศุกร์ ต.ค. 03, 2008 1:00 am

Zaliaus เขียน:
Holy เขียน:
bb_z เขียน:

แต่ทฤษฎีก็คือทฎษฎีครับ เราพูดกันได้แค่ว่ามันน่าเชื่อถือเพียงไหน เราไม่สรุปว่ามันเป็นจริงพร่ำเพรื่อ เพราะทฤษฎีนั้นไม่ใช่กฎครับ
แล้วพระเจ้า เชื่อถือได้เพียงไหนครับ พระเจ้าเป็นกฎเหรอครับ
ใช่ครับ
พระเจ้าสร้างกฏนั้นครับ

เราเชื่อหัวปักหัวปำว่ากฏนั่นเป็นจริง....

แต่เราไม่เคยจะเชื่อถึงผู้ที่สร้างกฏขึ้นมา 

น่าสงสารพระองค์อ่ะนะ
ตอบพี่ Buddy ไม่ได้เป็นคาทอลิกครับ แต่เชื่อว่าเราใช้พระวจนะเดียวกัน ความหมายย่อมตรงกัน ทางรอดเดียวกันผ่านพระบุตร ::001::

พวกนักวิทยาศาสตร์บูชาดาร์วินมากครับ ถ้าเขาเรียกอะไรว่า ทฤษฏีแล้ว มันไม่ใช่แค่น่าเชื่อถือแค่ไหนแต่ถือเป็นความจริงเลยทีเดียว ต่อให้มีอะไรเพิ่มเข้ามาก็เป็นเรื่องเล็กน้อยที่ล้มทฤษฏีไม่ได้ เช่นฮอคิงกับทฤษฏีไอนสไตน์ ทฤษฏี ในวิทยาศาสตร์เท่ากับความจริง อธิบายความจริงได้ นักวิทยาศาสตร์ที่เชื่อพระเจ้าถึงต้องสร้างสาขาใหม่อย่าง Creation science หรือ Intelligence design ขึ้นเพื่อต่อต้าน

พวกนักวิทยาศาสตร์นั่นแหละที่บอกว่า"กฏ"เป็นสิ่งล้มล้างพระเจ้า เพราะมันขัดกับที่พระเจ้าตรัส ขัดกับทางรอดที่พระองค์ให้ อย่างวิวัฒนาการ สัตว์กินสัตว์ แข็งแรงฆ่าอ่อนแอจนมาเป็นคน มันขัดกับ Gen.1:31 "God saw every thing that he had made, and, behold, it was very good" ขัดกับบาปกำเนิดของอาดัมและการเสียสละของพระบุตร 100% ซึ่งเขาก็อ้างกฏเมนเดลนี่แหละว่า DNA เป็นหลักฐานว่าอาดัมไม่มีตัวตน ไม่มีบาปกำเนิด

เชื่อใน Microevolution ว่าหมาเป็นหมาได้ แต่ลิงเป็นคนไม่ได้แน่นอนครับ คิดว่าคนที่นี่คงเหมือนผมใช่มะครับ  ::017::
แก้ไขล่าสุดโดย ouroboros เมื่อ ศุกร์ ต.ค. 03, 2008 5:26 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
Buddy
โพสต์: 3057
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ มี.ค. 09, 2005 10:48 am
ที่อยู่: USA

ศุกร์ ต.ค. 03, 2008 9:00 am

ouroboros เขียน:
ตอบพี่ Buddy ไม่ได้เป็นคาทอลิกครับ แต่เชื่อว่าเราใช้พระวจนะเดียวกัน ความหมายย่อมตรงกัน ทางรอดเดียวกันผ่านพระบุตร ::001::

พวกนักวิทยาศาสตร์บูชาดาร์วินมากครับ ถ้าเขาเรียกอะไรว่า ทฤษฏีแล้ว มันไม่ใช่แค่น่าเชื่อถือแค่ไหนแต่ถือเป็นความจริงเลยทีเดียว ต่อให้มีอะไรเพิ่มเข้ามาก็เป็นเรื่องเล็กน้อยที่ล้มทฤษฏีไม่ได้ เช่นฮอคิงกับทฤษฏีไอนสไตน์ ทฤษฏี ในวิทยาศาสตร์เท่ากับความจริง อธิบายความจริงได้ นักวิทยาศาสตร์ที่เชื่อพระเจ้าถึงต้องสร้างสาขาใหม่อย่าง Creation science หรือ Intelligence design ขึ้นเพื่อต่อต้าน

พวกนักวิทยาศาสตร์นั่นแหละที่บอกว่า"กฏ"เป็นสิ่งล้มล้างพระเจ้า เพราะมันขัดกับที่พระเจ้าตรัส ขัดกับทางรอดที่พระองค์ให้ อย่างวิวัฒนาการ สัตว์กินสัตว์ แข็งแรงฆ่าอ่อนแอจนมาเป็นคน มันขัดกับ Gen.1:31 "God saw every thing that he had made, and, behold, it was very good" ขัดกับบาปกำเนิดของอาดัมและการเสียสละของพระบุตร 100% ซึ่งเขาก็อ้างกฏเมนเดลนี่แหละว่า DNA เป็นหลักฐานว่าอาดัมไม่มีตัวตน ไม่มีบาปกำเนิด

เชื่อใน Microevolution ว่าหมาเป็นหมาได้ แต่ลิงเป็นคนไม่ได้แน่นอนครับ คิดว่าคนที่นี่คงเหมือนผมใช่มะครับ  ::017::
วันนี้ได้มีโอกาสเห็นเรื่อง intelligent design และก็พอเข้าใจจุดประสงค์ จขกท.  ... ประมาณปี 2006 วาติกันประกาศออกมาว่า intelligent design ไม่เป็นวิทยาศาสตร์  ::001:: ซึ่งทาง Evangilical church จะไม่ค่อยพอใจวาติกันเท่าไหร่ว่า  ทำไมประกาศมาแบบนี้  ::001::

แต่พี่ไม่สามารถคุยอะไรมากกว่านี้นะคะ  เพราะไม่มีเวลาอ่านรายละเอียดจริงๆ และไม่มีข้อมูลพอที่จะคุยได้จริงๆ  ไม่ใช่ไม่อยากคุยด้วยนะคะ  อย่าเข้าใจผิด  พี่ก็มาโพสต์เท่าที่รู้ข้อมูลมาน่ะค่ะ  โทษทีนะคะ  ::001::
Buddy
โพสต์: 3057
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ มี.ค. 09, 2005 10:48 am
ที่อยู่: USA

ศุกร์ ต.ค. 03, 2008 9:04 am

[quote="bb_z"]
กฎของเมนเดล
ภาพประจำตัวสมาชิก
ouroboros
โพสต์: 36
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ย. 26, 2008 8:07 am

ศุกร์ ต.ค. 03, 2008 9:33 am

ไม่เป็นไรฮะพี่  ::001:: พี่ช่วยเคลียร์ผมได้มากเลย หวังว่าจะได้คุยกันต่อโอกาสหน้าครับ

พระอวยพร
francisco xavier
โพสต์: 300
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 19, 2007 11:40 am

ศุกร์ ต.ค. 03, 2008 11:45 am

ส่วนตัวนะครับ (ตามที่สมองน้อย ๆ ของผมจะใคร่ครวญหาเหตุผลได้) ผมไม่เชื่อทฤษฎีวิวัฒนาการครับ ผมไม่เชื่อจริง ๆ แต่ได้โปรดอย่าถามผมนะครับว่าทำไมถึงไม่เชื่อ ผมไม่สามารถให้คำอธิบายได้ครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Zaliaus
โพสต์: 640
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ พ.ค. 07, 2007 1:03 am
ที่อยู่: ...

ศุกร์ ต.ค. 03, 2008 4:41 pm

เชื่อหรือไม่เชื่อทฤษฎีวิวัฒนาการ ก้ไม่ได้หมายความว่าจะขึ้นสวรรค์หรือไม่ขึ้นสวรรค์

ผมอยากขึ้นสวรรค์อ่า.....แค่นั้นแหละ
†mommomza†
โพสต์: 207
ลงทะเบียนเมื่อ: เสาร์ พ.ค. 17, 2008 2:13 pm

ศุกร์ ต.ค. 03, 2008 6:00 pm

นั่นสินะ
Like a Heaven
.
.
โพสต์: 1739
ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ ต.ค. 28, 2007 5:58 pm
ที่อยู่: In the Christ

พุธ ต.ค. 08, 2008 12:14 am

Holy เขียน:
bb_z เขียน:

แต่ทฤษฎีก็คือทฎษฎีครับ เราพูดกันได้แค่ว่ามันน่าเชื่อถือเพียงไหน เราไม่สรุปว่ามันเป็นจริงพร่ำเพรื่อ เพราะทฤษฎีนั้นไม่ใช่กฎครับ
แล้วพระเจ้า เชื่อถือได้เพียงไหนครับ พระเจ้าเป็นกฎเหรอครับ
ใช่ครับ
ฮ่าๆๆ มันโดนใจวัยโจ๋จริงๆเลยครับพี่ปอ อิๆ
ภาพประจำตัวสมาชิก
bb_z
โพสต์: 77
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ก.ย. 29, 2008 1:58 pm

จันทร์ ต.ค. 27, 2008 4:05 pm

กฎคือความจริง ที่ไม่สามารถโต้แย้งได้
ทฤษฎีเกิดจากสมมุติฐานแล้ว ทดลองซ้ำไปซ้ำมาก็ยังได้ผลลัพธ์เช่นเดิม จึงถึอว่าเป็นทฤษฎี แต่ก็อาจมีข้อโต้แย้งได้(ถ้ามี)
สมมุติฐาน คือ สมมุติฐาน

ผมขอเชื่อทฤษฎีวิวัมนาการดีกว่า เชื่อสมมุติฐาน ที่ยังไม่ได้ทดลองแล้วมีบางคนมาตั้งเป็นกฎ  :tongue:

ปล.ถามดีๆ ทำไมต้องตอบกวนๆด้วย
แก้ไขล่าสุดโดย bb_z เมื่อ จันทร์ ต.ค. 27, 2008 4:11 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
bb_z
โพสต์: 77
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ก.ย. 29, 2008 1:58 pm

จันทร์ ต.ค. 27, 2008 4:06 pm

1. ตั้งสมมติฐาน
ในขั้นนี้ เราอยากจะรู้อะไรก็ตั้งสมมติฐานเอาไว้ เช่นว่า "กบบินได้" "เต่ากินคนเป็นอาหาร" ฯลฯ (อาจจะตั้งให้บ้าบอกว่านี้ก็ได้ เพราะยังไงเราก็ต้องพิสูจน์อยู่แล้วว่าจริงหรือไม่จริง ไม่แน่ว่ากบอาจจะบินได้ก็เป็นได้ (ฮา))
"พระเจ้าสร้างโลก " (ฮาบ้าง)

สมัยก่อนที่อาจจะกีดกัน  ส่วนนึงเพราะความกลัว  แต่พระเป็นเจ้าก็ให้เราผ่านตรงนั้นมาได้  และมาสู่ยุคที่เปิดกว้าง  ไม่กลัว  และไม่จำกัดการหาความรู้  โดยพื้นฐานที่ว่า  พระเป็นเจ้ายิ่งใหญ่และไม่มีขอบเขต  ไม่มีใครจะมาใหญ่กว่าได้
กีดกันเพราะความกลัว กลัวอะไรเหรอครับ กลัวว่าจะมีใครมาใหญ่กว่าพระเจ้าหรือป่าวครับ แล้วที่ผ่านตรงนั้นมาได้ ต้องข้ามศพคนที่มีความรู้ความสามารถด้านวิทยาศาสตร์ ดาราศาตร์มากี่ศพละครับ

น้องเข้าใจข้อแตกต่างของกฎกับทฤษฎีมั้ยคะ  ถ้าไม่เข้าใจอย่าพูดมั่วๆนะจ้ะ
ผมผิดเองครับ ตอนนี้ผมเข้าใจแล้วครับ ขอบคุณครับ
แก้ไขล่าสุดโดย bb_z เมื่อ จันทร์ ต.ค. 27, 2008 4:09 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
bb_z
โพสต์: 77
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ก.ย. 29, 2008 1:58 pm

อังคาร ต.ค. 28, 2008 4:28 pm

พระเจ้าสร้างกฏนั้นครับ

เราเชื่อหัวปักหัวปำว่ากฏนั่นเป็นจริง....

แต่เราไม่เคยจะเชื่อถึงผู้ที่สร้างกฏขึ้นมา 

น่าสงสารพระองค์อ่ะนะ
แล้วจริงหรือเปล่าครับที่สมัยก่อนศาสนาคริสต์เชื่อว่าโลกเป็นศูนย์กลางของจักรวาล ใครคิดว่าไม่ใช่ ก็ไม่กล้าทำไร เพราะกลัวอำนาจถูกคริสต์จักร
ทุกวันนี้เรารู้แล้วว่าโลกไม่ได้เป็นศูนย์กลางของจักรวาล

ดังนั้นเราทำไมยังเชื่อผู้ที่ส้รางกฎนี้ขึ้นมาละครับ หรือว่าพวกคุณเชื่อว่าโลกเป็นศูนย์กลางของจักรวาล เพราะว่า ไม่ได้พิสูจน์ด้วยตัวเอง ???
ภาพประจำตัวสมาชิก
Nura
โพสต์: 177
ลงทะเบียนเมื่อ: เสาร์ ต.ค. 18, 2008 2:48 am

อังคาร ต.ค. 28, 2008 7:41 pm

เราไล่อ่านข้อความของเพื่อนๆ ไม่แน่ใจว่าเราจับประเด็นได้ครบรึเปล่า  แต่ว่ามีอย่างหนึ่งที่เราอยากจะแบ่งปัน (ถ้าซ้ำซ้อนกับคนที่ได้แสดงความคิดเห็นก่อนหน้าก็ขออภัยนะคะ) กล่าวคือ ความสัมพันธ์ระหว่างคำว่านักวิทยาศาสตร์ Evolution และ Creationism คงไม่สามารถเชื่อมโยงได้ว่า นักวิทยาศาสตร์นั้นล้วนแต่เชื่อในทฤษฎีวิวัฒนาการทั้งสิ้น  ยังมีนักวิทยาศาสตร์อีกมากที่เชื่อใน Creationism และมีอีกจำนวนไม่น้อยที่เชื่อเกี่ยวกับ Theistic evolution ซึ่งก็คือกระบวนการวิวัฒนาการโดยมีพระเจ้าควบคุม  ทั้งนี้ทั้งนั้นก็คือความพยายามเข้าใจในเรื่องเกี่ยวกับการกำเนิดจักรวาลและสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย 

เราเห็นว่า การเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ในประเทศไทยและอาจจะรวมถึงหลายประเทศในโลกอาจทำหน้าที่ได้ไม่สมบูรณ์นัก กล่าวคือนำเสนอเฉพาะทฤษฎีวิวัฒนาการโดยไม่ได้เอ่ยถึงทฤษฏีอื่นที่ได้รับการยอมรับเช่นกัน  นอกจากนี้ยังไม่ได้กล่าวถึงข้อจำกัดของทฤษฏีว่าไม่ประสบความสำเร็จในการอธิบายหลักฐานบางอย่างที่มีการค้นพบอย่างไร  เช่น เพราะเหตุใดกรดอะมิโนในสิ่งมีชีวิตแทบทั้งหมดจึงมีโครงสร้างแบบ L  (L enantiomer) ไม่ใช่โครงสร้างที่เป็น mirror image ของมัน (D enantiomer) ถ้าอธิบายว่ามันเกิดเนื่องมาจากการสังเคราะห์โดยมีเอนไซม์เป็นตัวเร่งจึงมีความจำเพาะกับโครงสร้างแบบ L แล้วใครเล่าเป็นผู้กำหนดสิ่งนั้น  การทดลองของ Miller ที่มีครอบแก้วที่บรรจุไปด้วยก๊าซไฮโดรเจน มีเทน และแอมโมเนีย และอื่นๆแล้วยิงกระแสไฟฟ้าเข้าไปแล้วพบว่ามีโมเลกุลของสารอินทรีย์ รวมถึงกรดอะมิโนด้วยนั้น ก็มักถูกละเลยในสภาพการทดลองเช่นนั้นได้ผลิตกรดอะมิโนที่พบมีทั้งแบบ D และ L ในสัดส่วนที่ไม่ต่างกัน เช่นนี้แล้วการที่เราพบกรดอะมิโนที่เป็นองค์ประกอบของสิ่งมีชีวิตแทบทั้งสิ้นเป็นชนิด L เกิดขึ้นได้อย่างไร และเกิดตอนไหน ทฤษฎีวิวัฒนาการอธิบายอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนี้  หลักฐานเหล่านี้บ่งชี้ไปถึง Intelligent design หรือไม่

จากการที่ในชั้นเรียนสอนแต่ทฤษฏีวิวัฒนาการ และอธิบายแต่ความสอดคล้องของทฤษฎีวิวัฒนากับหลักฐานที่ค้นพบ โดยละเลยความไม่สอดคล้องหลายๆอย่างไป นักเรียนส่วนใหญ่จึงเริ่มยึดถีอหรือรู้สึกว่าทฤษฎีวิวัฒนาการเป็นข้อเท็จจริง (fact) ไม่ใช่เป็นเพียงแต่ทฤษฎี (theory)  ทั้งนี้ เราเห็นว่าในขณะนี้คงไม่มีสามารถตัดสินว่าทฤษฎีใดที่ถูกต้องสมบูรณ์ เนื่องจากความรู้ความเข้าใจของมนุษย์ในเรื่องนี้ยังไม่ก้าวหน้าเพียงนั้น  การที่นักวิทยาศาสตร์หรือใครๆจะเลือกข้างถือหางทฤษฎีใดก็อยู่บนบรรทัดฐานของความเชื่อความศรัทธาในทฤษฎีนั้นๆ ไม่ได้มีความแตกต่างกันเลยระหว่าง Evolution ที่คนเราเชื่อในสิ่งที่ดาร์วินและนักวิทยาศาสตร์บางกลุ่มได้บอกไว้ หรือ Creationism ที่คนเราเชื่อในเรื่องที่พระเจ้าได้เผยไว้ให้มนุษย์ได้รับรู้ผ่านพระคัมภีร์ 

ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะเชื่อในสิ่งที่เราต้องการ แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องเคารพถึงสิทธิของผู้อื่นโดยการให้โอกาสให้ผู้อื่นได้แสดงความเชื่อของตนเองเช่นกัน สิ่งที่สำคัญคือเราต้องพิจารณาความเชื่อต่างๆโดยปราศจากอคติ ไม่ตัดสินใครก่อนโดยไม่เข้าใจว่าสิ่งที่ผู้อื่นเชื่อนั้นคืออะไร และมีที่มาที่ไปอย่างไร  ขอพระเจ้าอวยพรให้ทุกคนที่ค้นหาความจริงค่ะ

ขอโทษนะถ้าเราเขียนยาวไป
ภาพประจำตัวสมาชิก
Nura
โพสต์: 177
ลงทะเบียนเมื่อ: เสาร์ ต.ค. 18, 2008 2:48 am

อังคาร ต.ค. 28, 2008 8:18 pm

ขอต่ออีกนิดหนึ่งนะคะ  เพราะเห็นว่าเป็นประเด็นที่คนมักพิจารณาสืบเนื่องกัน คือเรื่องโลกกลม  เรื่องนี้ได้มีคนจำนวนไม่น้อยที่ได้นำเอามาโยงกับ creationism  กลายเป็น package ความเชื่อของศาสนาคริสต์  สิ่งที่อยู่เบื้องหลังที่ไม่ค่่อยมีคนกล่าวถึงก็คือ ที่มาของความเชื่อทั้งสองนี้ไม่ได้มาจากที่เดียวกัน  แน่นอน creationism มาจากจากพระเจ้าที่ทรงเผยให้มนุษย์ได้รับรู้ผ่านทางพระคัมภีร์  ในทางกลับกันพระคัมภีร์ไม่ได้กล่าวว่าโลกแบนแต่อย่างใด โลกแบนเป็นความเชื่อของมนุษย์ในอดีตที่ยังไม่มีข้อพิสูจน์มากมายอย่างที่เรามีในปัจจุบัน  มนุษย์ที่กล่าวถึงนี้ก็รวมไปถึงพระศาสนจักรในยุคกลางด้วย เพราะอย่างไรก็ดีมนุษย์ก็คือมนุษย์ไม่ได้มีความรู้รอบในทุกสิ่งเช่นพระเจ้า  เมื่อมีการค้นพบหลักฐานหลายอย่างในเวลาต่อมา ความเชื่อในทฤษฎีโลกแบนก็ได้เสื่อมคลายไป  สิ่งที่น่าเสียดายก็คือทฤษฎี creationism ซึ่งถูก treat เหมือนของใน package เดียวกันก็ถูกละเลยไปด้วย

สิ่งหนึ่งที่เราต้องคำนึงถึงตลอดเวลาคือ ต้นกำเนิดของสิ่งที่เรากำลังพิจารณาว่ามาจากพระเจ้าผู้สร้างกฎ หรือมนุษย์ตัวน้อยๆในกล่องอย่างพวกเรา
ภาพประจำตัวสมาชิก
Immanuel (MichaelPaul)
~@
โพสต์: 2887
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 8:49 pm
ที่อยู่: กรุงเทพมหานคร

พุธ ต.ค. 29, 2008 1:10 am

bb_z เขียน:
พระเจ้าสร้างกฏนั้นครับ

เราเชื่อหัวปักหัวปำว่ากฏนั่นเป็นจริง....

แต่เราไม่เคยจะเชื่อถึงผู้ที่สร้างกฏขึ้นมา 

น่าสงสารพระองค์อ่ะนะ
แล้วจริงหรือเปล่าครับที่สมัยก่อนศาสนาคริสต์เชื่อว่าโลกเป็นศูนย์กลางของจักรวาล ใครคิดว่าไม่ใช่ ก็ไม่กล้าทำไร เพราะกลัวอำนาจถูกคริสต์จักร
ทุกวันนี้เรารู้แล้วว่าโลกไม่ได้เป็นศูนย์กลางของจักรวาล

ดังนั้นเราทำไมยังเชื่อผู้ที่ส้รางกฎนี้ขึ้นมาละครับ หรือว่าพวกคุณเชื่อว่าโลกเป็นศูนย์กลางของจักรวาล เพราะว่า ไม่ได้พิสูจน์ด้วยตัวเอง ???
เฮ้ออ คุณครับ คุณคิดว่าถ้าพระเจ้าสอนเรื่องระบบสุริยจักรวาลให้คนเมื่อ 2000 ปีก่อน เค้าจะเข้าใจไหมครับ

พระคัมภีร์มุ่งสอนเรื่องจิตใจครับ ถ้าจะเอาหลักวิทบาศาสตร์ก็ไปหาเอาที่หนังสือวิทยาศาสตร์ครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
bb_z
โพสต์: 77
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ก.ย. 29, 2008 1:58 pm

พุธ ต.ค. 29, 2008 2:07 am

เฮ้ออ คุณครับ คุณคิดว่าถ้าพระเจ้าสอนเรื่องระบบสุริยจักรวาลให้คนเมื่อ 2000 ปีก่อน เค้าจะเข้าใจไหมครับ

พระคัมภีร์มุ่งสอนเรื่องจิตใจครับ ถ้าจะเอาหลักวิทบาศาสตร์ก็ไปหาเอาที่หนังสือวิทยาศาสตร์ครับ
ทำไมคุณคิดยังงั้นละครับ อะไรทำให้คุณคิดว่า มนุษย์ยุคปัจจุบัน ฉลาดกว่า มนุษย์เมื่อสองพันปีก่อนครับ ขอเหตุผลที่ทำให้คิดเช่นนี้ด้วย
Buddy
โพสต์: 3057
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ มี.ค. 09, 2005 10:48 am
ที่อยู่: USA

พุธ ต.ค. 29, 2008 5:36 am

bb_z เขียน:
เฮ้ออ คุณครับ คุณคิดว่าถ้าพระเจ้าสอนเรื่องระบบสุริยจักรวาลให้คนเมื่อ 2000 ปีก่อน เค้าจะเข้าใจไหมครับ

พระคัมภีร์มุ่งสอนเรื่องจิตใจครับ ถ้าจะเอาหลักวิทบาศาสตร์ก็ไปหาเอาที่หนังสือวิทยาศาสตร์ครับ
ทำไมคุณคิดยังงั้นละครับ อะไรทำให้คุณคิดว่า มนุษย์ยุคปัจจุบัน ฉลาดกว่า มนุษย์เมื่อสองพันปีก่อนครับ ขอเหตุผลที่ทำให้คิดเช่นนี้ด้วย
มนุษย์ปัจจุบันอาจไม่ได้ฉลาดกว่า  แต่ด้วยความรู้ที่สั่งสมมา ทำให้เรารู้มากขึ้น  เข้าใจมากขึ้น
bb_z เขียน:
พระเจ้าสร้างกฏนั้นครับ

เราเชื่อหัวปักหัวปำว่ากฏนั่นเป็นจริง....

แต่เราไม่เคยจะเชื่อถึงผู้ที่สร้างกฏขึ้นมา 

น่าสงสารพระองค์อ่ะนะ
แล้วจริงหรือเปล่าครับที่สมัยก่อนศาสนาคริสต์เชื่อว่าโลกเป็นศูนย์กลางของจักรวาล ใครคิดว่าไม่ใช่ ก็ไม่กล้าทำไร เพราะกลัวอำนาจถูกคริสต์จักร
ทุกวันนี้เรารู้แล้วว่าโลกไม่ได้เป็นศูนย์กลางของจักรวาล

ดังนั้นเราทำไมยังเชื่อผู้ที่ส้รางกฎนี้ขึ้นมาละครับ หรือว่าพวกคุณเชื่อว่าโลกเป็นศูนย์กลางของจักรวาล เพราะว่า ไม่ได้พิสูจน์ด้วยตัวเอง ???
ใช่ค่ะ เป็นแบบนั้นจริงๆ  เพราะความ "กลัว"  ของคน  ทำให้เป็นแบบนั้น  แล้วไงเหรอคะ  ตอนนี้ก็ไม่เป็นแบบนั้นแล้วนี่คะ ทุกอย่างมันเปลี่ยนได้  เมื่อเรารู้และเข้าใจมากขึ้น  น้องจะไปเอาอะไรกับเรื่องเมื่อหลายร้อยปีที่แล้วคะ ....  ศาสนาคริสต์เป็นศาสนาที่มีความสัมพันธ์กับพระเป็นเจ้า โดยเฉพาะคาทอลิก  เป็นศาสนาที่ dynamic ไม่ได้แปลว่า  เราปลิ้นปล้อน  วันนี้บอกอย่าง  พรุ่งนี้บอกอย่าง  แต่ความรัก  ความสัมพันธ์  ทำให้เราได้เรียนรู้และเข้าใจอะไรมากขึ้น  จากแต่ก่อนเข้าใจผิด  ก็ค่อยๆมาปรับกัน  เหมือนคนคบกันน่ะค่ะ  ตอนแรกคิดแบบนึง  ต่อมาเข้าใจกันมากขึ้น  เราก็รู้มากขึ้น  อันนี้เป็นเรื่องปกติ  ไม่ใช่อัศจรรย์อะไร

เรื่องนี้ก็เหมือนวิทยาศาสตร์  สมัยก่อนเมื่อไม่นานมานี้ เราเชื่อว่า  เซลล์สมองในผู้ใหญ่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้  เมื่อมีคนเจออะไรมากขึ้น  เค้าก็เริ่มเห็น adult neuronal plasticity แล้วความคิดเค้าก็เปลี่ยนกัน  ก็ต้องมารื้อตำรากันใหม่  คนที่เรียนจบไปนาน  ไม่ได้อ่านเพิ่ม  เค้าก็ยังเข้าใจและเชื่ออยู่ว่า  เซลล์สมองในผู้ใหญ่พัฒนาไม่ได้ ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้  และเข้าใจว่า  มันเป็นความจริงที่ไม่เปลี่ยน  แต่คนรุ่นใหม่ก็เข้าใจว่า  มันไม่ได้เป็นแบบนั้น  อันนี้เรื่องวิทยาศาสตร์นะคะ  อย่างที่อธิบายให้ฟัง  เคยทำการทดลองมั้ยคะ  ถ้าเป็นกรณีนี้นะ

ผลการทดลอง:  เจอการเปลี่ยนแปลงใน adult neurons
อภิปรายผล:  ตรงนี้แหละที่ขึ้นกับความเชื่อและความดื้อด้านของคน  จะมี 2 พวก  คือ  1)  แสดงว่า  เกิดplasticity ได้ใน adult neurons นี่นา  แต่คนที่ไม่เชื่อก็จะบอก  มันไม่ใช่นะ  เป็น artifact จากเครื่องรึเปล่า  หรือเหตุผลอะไรก็ว่าไป  เอามาอ้าง  แล้วเค้าก็ทดลองกันเพิ่ม

ถามว่า  คนที่เค้าจะเถึยงกันแบบนี้ได้เนี่ย  ความรู้เค้าก็ต้องมีมากพอควร  จบอนุบาลจะไปเถียงได้มั้ย  ก็คงไม่ได้นะคะ  และจะเอามาเป็นข้ออ้างได้มั้ยว่า  อันไหนเป็นวิทยาศาสตร์  อันไหนไม่เป็น 

ดังนั้น  เรื่องทฤษฎีวิวัฒนาการ  ในระดับคนที่ไม่ได้อยู่ในวงการ  ไม่ได้ค้นคว้าทดลองอะไรซักอย่าง  หรือไม่เคยอ่าน journal article เลยเนี่ย  แต่ละคนก็เอาความเชื่อของตัวเองมาเถียงทั้งนั้น  อย่างมากก็แค่ถือหางนักวิทยาศาสตร์ที่คิดตรงกับตัวเอง  มันน่าเถียงกันมั้ยคะ ... อย่างนักวิทยาศาสตร์เค้าเถียงกันนะ  เค้าก็มีข้อมูลของเค้า  มี research ของเค้า  ไม่ได้เถียงกันมั่วๆ  และเค้าเถียงอย่างเคารพซึ่งกันและกัน  เคารพความคิดกัน  ไม่ดูถูก  ไม่ยั่วยุ  สมกับที่มีการศึกษา  เอาหลักฐานงานวิจัยมาหักล้างกัน

คนที่เชื่อพระเจ้าก็เคารพคนที่ไม่เชื่อ  ถ้าเค้าถามก็ตอบ  ไม่ได้ไปว่า  เค้าผิด  คนที่ไม่เชื่อพระเจ้าก็มีเหตุผลของตัวเอง  ซึ่งทุกคนก็ยอมรับ  ไม่มีใครไปบังคับให้มาเชื่อ 

ถ้าจะอยากเป็นนักวิทยาศาสตร์กัน  ก็หัดที่จะเถียงแบบนักวิทยาศาสตร์นะคะ  ดูการหักล้างที่เหตุผล  และก็ควรมีความฉลาดในการเข้าใจและ ประมวลผลเหตุผลด้วย  ไม่ใช่เถียงเอามันส์  ถ้าไม่เข้าใจ  ก็ควรมีมารยาท  ที่จะถามอย่างสุภาพ  ไม่ยั่วยุ 

เรื่องกฎนะคะ  ภาษาศาสนากับวิทยาศาสตร์  เราคุยกันคนละเรื่อง  อย่างที่เค้าพูดว่า  กฎแห่งความรัก  กฎแห่งหัวใจ  มันไม่ใช่นิยามนั้นนะคะ

และอย่างกฎของนิวตันเนี่ย  ก็ไม่เป็นจริงทุกกรณีนะคะ  จะจริงเฉพาะคนที่เรียนระดับพื้นฐาน  ไม่แน่ใจหลักสูตรใหม่เป็นยังไง  คือถ้าแบบเก่า  จบ ม.6 ก็ยังว่า  กฎนิวตันจริงเสมออยู่  แต่พอเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว  ก็เริ่มไม่จริงแล้ว  มีข้อยกเว้น

ก็ลองถามตัวเองนะคะว่า  ตัวเองอยู่ระดับไหน  เป็นระดับที่จะเถียงเรื่องงานวิจัยระดับโลกได้มั้ย  ถ้ามั่นใจว่าได้  ก็เถียงต่อนะคะ 
แก้ไขล่าสุดโดย Buddy เมื่อ พุธ ต.ค. 29, 2008 6:44 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
P
.
.
โพสต์: 1383
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 10:10 pm
ที่อยู่: เมืองไทย

พุธ ต.ค. 29, 2008 7:53 am

คราย

ครายบังอาจมาสอนว่าโลกเป็นศูนย์กลางของจักรวาล

ผมต๊ะหาก เป็นศูนย์กลางของจักรวาลลลล

::020::
แก้ไขล่าสุดโดย Anonymous เมื่อ พุธ ต.ค. 29, 2008 7:54 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
silver
โพสต์: 15
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ต.ค. 29, 2008 8:33 am

พุธ ต.ค. 29, 2008 8:45 am

ดูสารคดีวิทย์ทาง UBC ก็ยังสรุปไม่ได้ เรื่องทฤษฎีวิวัฒนาการก็มีการเปลี่ยนแปลงอยู่เรื่อย ถ้าจะไม่ผิด ประมาณเดือนมิถุนายนปีนี้ ก็มีนักวิทย์ที่ปารีสมั่ง มาออกข่าวเรื่องสายพันธุ์ของมนุษย์นั้น มาจากอีกสายพันธุ์หนึ่ง โดยได้เสนอหลักฐาน ซึ่งหักล้างกับข้อมูลเดิม อ่านใน นสพ.คมชัดลึก(จำรายละเอียดไม่ได้หมด แต่ก็ประมาณนี้แหละ จำชื่อสายพันธุ์ไม่ได้ ::006::

เอาเป็นว่าง ให้นักวิทยาศาสตร์เถียงกันให้เคลียร์ก่อนแล้วค่อยคุยดีกว่า
Batholomew
~@
โพสต์: 12724
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 2:28 pm
ที่อยู่: Thailand

พุธ ต.ค. 29, 2008 10:03 am

P เขียน: คราย

ครายบังอาจมาสอนว่าโลกเป็นศูนย์กลางของจักรวาล

ผมต๊ะหาก เป็นศูนย์กลางของจักรวาลลลล

::020::
ออกทะเลตลอดอ่ะ ชายน้อย ::010::
Dis volentibus

พุธ ต.ค. 29, 2008 12:15 pm

Buddy เขียน: เรื่องกฎนะคะ  ภาษาศาสนากับวิทยาศาสตร์  เราคุยกันคนละเรื่อง  อย่างที่เค้าพูดว่า  กฎแห่งความรัก  กฎแห่งหัวใจ  มันไม่ใช่นิยามนั้นนะคะ

และอย่างกฎของนิวตันเนี่ย  ก็ไม่เป็นจริงทุกกรณีนะคะ  จะจริงเฉพาะคนที่เรียนระดับพื้นฐาน  ไม่แน่ใจหลักสูตรใหม่เป็นยังไง  คือถ้าแบบเก่า  จบ ม.6 ก็ยังว่า  กฎนิวตันจริงเสมออยู่  แต่พอเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว  ก็เริ่มไม่จริงแล้ว  มีข้อยกเว้น

ก็ลองถามตัวเองนะคะว่า  ตัวเองอยู่ระดับไหน  เป็นระดับที่จะเถียงเรื่องงานวิจัยระดับโลกได้มั้ย  ถ้ามั่นใจว่าได้  ก็เถียงต่อนะคะ 

เรื่องกฎของนิวตันไม่จริงเสมอไป...กำลังจะเจอเร็วๆนี้  ::006::
อาจารย์ที่สอนเคยพูดไว้ว่า "อย่าเชื่อผลการทดลองใดๆอย่างสนิทใจ จนกว่าเราจะได้พิสูจน์เอง"
เเต่อาจารย์ก็พูดเหมือนกันว่า "ให้รับฟังไว้ก่อน"
ภาพประจำตัวสมาชิก
Immanuel (MichaelPaul)
~@
โพสต์: 2887
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 8:49 pm
ที่อยู่: กรุงเทพมหานคร

พุธ ต.ค. 29, 2008 1:43 pm

bb_z เขียน:
เฮ้ออ คุณครับ คุณคิดว่าถ้าพระเจ้าสอนเรื่องระบบสุริยจักรวาลให้คนเมื่อ 2000 ปีก่อน เค้าจะเข้าใจไหมครับ

พระคัมภีร์มุ่งสอนเรื่องจิตใจครับ ถ้าจะเอาหลักวิทบาศาสตร์ก็ไปหาเอาที่หนังสือวิทยาศาสตร์ครับ
ทำไมคุณคิดยังงั้นละครับ อะไรทำให้คุณคิดว่า มนุษย์ยุคปัจจุบัน ฉลาดกว่า มนุษย์เมื่อสองพันปีก่อนครับ ขอเหตุผลที่ทำให้คิดเช่นนี้ด้วย
ผมว่าใช้สมองอันมีรอยหยักของคุณก็น่าจะเข้าใจนะครับไม่ต้องมาถามผมหรอก คิดง่ายๆไม่ต้องซับซ้อนอะไรมากเลยครับว่า สอนเรื่องระบบสุริยจักรวาลที่พวกเราเรียนรู้ในตอนนี้ให้คนเมื่อ 2000 ปีก่อนฟัง เค้าจะเข้าใจไหม หรือคิดง่ายๆ 2000 ปีก่อนมีคอมพิวเตอร์ไหม
เฮ้อ แค่นียังต้องถาม
ภาพประจำตัวสมาชิก
Immanuel (MichaelPaul)
~@
โพสต์: 2887
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 8:49 pm
ที่อยู่: กรุงเทพมหานคร

พุธ ต.ค. 29, 2008 1:59 pm

bb_z เขียน:
1. ตั้งสมมติฐาน
ในขั้นนี้ เราอยากจะรู้อะไรก็ตั้งสมมติฐานเอาไว้ เช่นว่า "กบบินได้" "เต่ากินคนเป็นอาหาร" ฯลฯ (อาจจะตั้งให้บ้าบอกว่านี้ก็ได้ เพราะยังไงเราก็ต้องพิสูจน์อยู่แล้วว่าจริงหรือไม่จริง ไม่แน่ว่ากบอาจจะบินได้ก็เป็นได้ (ฮา))
"พระเจ้าสร้างโลก " (ฮาบ้าง)


  ฮาอะไรไม่ทราบครับ ถ้าจะบอกว่าโลกเกิดขึ้นโดยวิธีกลุ่มก้อนก๊าซรวมตัวกัน หรือ แตกออกมาจากดวงอาทิตย์ หรือบลาๆๆๆๆ นั้น คุณช่วยลองอธิบายมาทีว่ามีอะไรบ้างที่เกิดขึ้นโดยไม่มีสาเหตุ
การสร้างโลกไม่ว่าจะเกิดมายังไง (กลุ่มก๊าซ หรือ แตกมาจากดาวอื่น) มันก็มีสาเหตุครับ เพราะพระองค์ทรงพอพระทัยให้เป็นเช่นนั้นครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
ignatius
.
.
โพสต์: 2597
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. ก.พ. 07, 2008 12:48 pm

พฤหัสฯ. ต.ค. 30, 2008 8:29 am

Batholomew เขียน:
P เขียน: คราย

ครายบังอาจมาสอนว่าโลกเป็นศูนย์กลางของจักรวาล

ผมต๊ะหาก เป็นศูนย์กลางของจักรวาลลลล

::020::
ออกทะเลตลอดอ่ะ ชายน้อย ::010::
ท่านมิว...งั้น "ชายน้อย" ก็อยู่ คณะเดียวกับเราซิคับ..ไหงลืมจิตตารมณ์คณะรักสมุทรฯไปได้  : emo036 : ::010::
Batholomew
~@
โพสต์: 12724
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 2:28 pm
ที่อยู่: Thailand

พฤหัสฯ. ต.ค. 30, 2008 10:51 am

ignatius เขียน:
Batholomew เขียน:
P เขียน: คราย

ครายบังอาจมาสอนว่าโลกเป็นศูนย์กลางของจักรวาล

ผมต๊ะหาก เป็นศูนย์กลางของจักรวาลลลล

::020::
ออกทะเลตลอดอ่ะ ชายน้อย ::010::
ท่านมิว...งั้น "ชายน้อย" ก็อยู่ คณะเดียวกับเราซิคับ..ไหงลืมจิตตารมณ์คณะรักสมุทรฯไปได้  : emo036 : ::010::
ชายน้อยเค้าออกทะเลตั้งแต่ยังไม่ตั้งคณะอ่ะครับ แต่ยังไม่ได้เข้ามาในคณะเรา ::011::
ภาพประจำตัวสมาชิก
ignatius
.
.
โพสต์: 2597
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. ก.พ. 07, 2008 12:48 pm

ศุกร์ ต.ค. 31, 2008 2:05 am

Batholomew เขียน:
ignatius เขียน:
Batholomew เขียน: ออกทะเลตลอดอ่ะ ชายน้อย ::010::
ท่านมิว...งั้น "ชายน้อย" ก็อยู่ คณะเดียวกับเราซิคับ..ไหงลืมจิตตารมณ์คณะรักสมุทรฯไปได้  : emo036 : ::010::
ชายน้อยเค้าออกทะเลตั้งแต่ยังไม่ตั้งคณะอ่ะครับ แต่ยังไม่ได้เข้ามาในคณะเรา ::011::
อ่า......5 ::011:: ขอบคุณคร๊าบที่แจ้งแถลงไข.. ::020::
ตอบกลับโพส