*** ท่าน เป็นดินประเภทใด ***
-
- Defender of lawS
- โพสต์: 3324
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:54 pm
- ที่อยู่: Bangkok
3.เมล็ดตกกลางหนาม
7บ้างก็ตกที่กลางต้นหนาม ต้นหนามก็งอกขึ้นมาด้วยปกคลุมเสีย... 14ที่ตกกลางหนามนั้นได้แก่คนเหล่านั้นที่ได้ยินแล้วออกไป และความปรารภปรารมภ์ ทรัพย์สมบัติ ความสนุกสนานแห่งชีวิตนี้ก็ปกคลุมเขา ผลของเขาจึงไม่เติบโต (ข้อ 7, 14 )
พืชที่งอกกลางหนามก็อันตรายมาก เขาเป็นได้แค่บอนไซ (Bonsai) ไม่สามารถเจริญเติบโตได้เพราะอุปสรรคมากมาย บรรดาอุปสรรคนั้นคือขวากหนามที่ทำให้จิตวิญญาณเขาโตไม่ได้ เราเรียกยุคนี้ว่า ยุคโลกาวิวัฒน์ หรือยุคโลกไร้พรมแดนหรือ ยุคบริโภคนิยม ผู้คนรักการเสพ ชอบจับจ่ายกันอย่างไม่อั้น เพิ่มกิเลสตัณหา และความอยากอย่างไม่หยุดยั้ง เป็นยุคที่แข่งขันกันร้ายกาจจริงๆ คนลุ่มหลงงมงายยอมเป็นทาสของวัตถุ บูชาทรัพย์สมบัติ ทำงานหาเงินกันหามรุ่งหามค่ำ ตักตวงกันอย่างไม่รู้จักพอ ชีวิตตกเป็นทาสของเทคโนโลยีนาๆ ชนิดจนกระทั่งคนขาดความเป็นตัวของตัวเอง พวกเขาเกือบจะหมดศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ เด็กและเยาวชน รักสนุกสนาน ปล่อยตัวและจิตใจให้สนุกกันสุดๆ สถานเริงรมย์ รูปแบบแปลกๆเกิดขึ้นมากมาย กิน-ดื่มกันจนจุก เที่ยวจนตาย เป็นต้น ที่กล่าวมานี้คือปัญหาใหญ่ของสังคมไทยและของคริสตชนในปัจจุบันเช่นกันเพราะแม้จะเลือกคู่ครองก็ต้องเอาวัตถุมาวางเป็นเดิมพันแทนความเชื่อศรัทธาองค์พระผู้เป็นเจ้า
ฉันสังเกตชีวิตคริสตชนที่ผ่านเข้ามาในชีวิต คือพวกเขามีแต่ความห่วง เช่นห่วงกายภาพของตัวเองและบริวาร ฉันรู้จักคริสเตียนที่ร่ำรวยขั้นมหาเศรษฐีหลายคน เมื่อเราร่วมกลุ่มกันภาวนา พวกเขายังขอให้ช่วยวิงวอนขอทรัพย์สินให้มากยิ่งๆ ขึ้นแก่ลูกๆ แทนที่จะให้ช่วยกันวิงวอนให้ลูกเติบโตในพระเยซูเจ้า ดำเนินชีวิตเป็นคริสตชนที่ยำเกรงพระเจ้า หรือ วิงวอนขอสติปัญญาให้พวกเขาจะรักษาทรัพย์สินไว้ได้ และให้มีใจเมตตาใช้ทรัพย์เพื่อพันธกิจของพระเจ้า
จึงไม่แปลกที่คริสตชนชอบส่ำสมความร่ำรวยในโลกนี้ แข่งขัน เอารัดเอาเปรียบ เข่นฆ่ากันทางอารมณ์ ส่ำสม เหมือนกับเขาจะไม่ตายจากโลกนี้
แก้ไขล่าสุดโดย Holy เมื่อ อาทิตย์ พ.ย. 09, 2008 9:23 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ขอบคุณพี่พีพีมากค่ะ
"เมล็ด = พระวจนะของพระเจ้า
ดิน = ใจของมนุษย์ (จิตวิญญาณ)"
ดังนั้น เมื่อเมล็ดตกลงในดิน (หรือเมื่อจิตวิญญาณของเราที่ได้รับพระวจนะของพระเจ้า) จะเจริญงอกงามแค่ไหน ผลมากมายเพียงใดนั้น
ขึ้นอยู่กับว่าเราเองที่จะเปิดใจยอมรับพระวจนะของพระเจ้าให้เข้ามาในชีวิต เรียนรู้ เข้าใจ ปฏิบัติตาม และสามารถนำไปพัฒนาใช้ในชีวิตได้มากน้อยแค่ไหนจ๊ะ
ส่วนเมล็ดที่หว่านลงในดินดี หมายถึงบุคคลที่ฟังพระวาจาและเข้าใจ จึงเกิดผลร้อยเท่าบ้าง หกสิบเท่าบ้าง สามสิบเท่าบ้าง (มัทธิว 13:23)
จากบทความนี้ ได้กล่าวไว้ว่า...Phulasso เขียน: บ้างก็ตกที่ดินดี จึงงอกขึ้นเกิดผลร้อยเท่า........ หกสิบเท่าบ้าง สามสิบเท่าบ้าง
ขอโปรดอธิบายเพิ่มเติมด้วย ว่าทำไมเมื่อตกในดินดีจึงเกิดผลไม่เท่ากัน
ขอบคุณครับ :huh:
"เมล็ด = พระวจนะของพระเจ้า
ดิน = ใจของมนุษย์ (จิตวิญญาณ)"
ดังนั้น เมื่อเมล็ดตกลงในดิน (หรือเมื่อจิตวิญญาณของเราที่ได้รับพระวจนะของพระเจ้า) จะเจริญงอกงามแค่ไหน ผลมากมายเพียงใดนั้น
ขึ้นอยู่กับว่าเราเองที่จะเปิดใจยอมรับพระวจนะของพระเจ้าให้เข้ามาในชีวิต เรียนรู้ เข้าใจ ปฏิบัติตาม และสามารถนำไปพัฒนาใช้ในชีวิตได้มากน้อยแค่ไหนจ๊ะ
ส่วนเมล็ดที่หว่านลงในดินดี หมายถึงบุคคลที่ฟังพระวาจาและเข้าใจ จึงเกิดผลร้อยเท่าบ้าง หกสิบเท่าบ้าง สามสิบเท่าบ้าง (มัทธิว 13:23)
แก้ไขล่าสุดโดย Viridian เมื่อ อาทิตย์ พ.ย. 09, 2008 8:59 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
- Ministry Of Men
- โพสต์: 3972
- ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ เม.ย. 18, 2007 3:09 pm
แล้วไม่นาน พื้นซีเมนต์นั้นก็ถูกรื้อทำลาย และนำไปเป็นหิน แล้วนำไปราดพื้นซีเมนต์ใหม่†Ecclēsia เขียน: กลัวตัวเองเป็นเมล็ด ที่ตกลงบนพื้นซีเมนต์
ทีนี้เมล็ดที่ปะปนอยู่ในหินนั้น ก็กลายเป็นอยู่ในเนื้อพื้นซีเมนต์ ไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดอีกเลย
สำหรับเจนน่ะ ไม่จริงหรอกจ้า†Ecclēsia เขียน: กลัวตัวเองเป็นเมล็ด ที่ตกลงบนพื้นซีเมนต์
ช่างคิดนักนะเคร่งแต่ไม่เครียด เขียน:แล้วไม่นาน พื้นซีเมนต์นั้นก็ถูกรื้อทำลาย และนำไปเป็นหิน แล้วนำไปราดพื้นซีเมนต์ใหม่†Ecclēsia เขียน: กลัวตัวเองเป็นเมล็ด ที่ตกลงบนพื้นซีเมนต์
ทีนี้เมล็ดที่ปะปนอยู่ในหินนั้น ก็กลายเป็นอยู่ในเนื้อพื้นซีเมนต์ ไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดอีกเลย
แก้ไขล่าสุดโดย Viridian เมื่อ อาทิตย์ พ.ย. 09, 2008 10:35 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
-
- ~@
- โพสต์: 8259
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:56 pm
- ที่อยู่: Bangkok
แต่ว่าเมื่อวันเวลาผ่านไปเป็นหมื่นปี มีคนยุคหลังมาค้นพบ คงจะเป็นประโยชน์ที่เขาจะหา DNA สายพันธุ์ ฮะเคร่งแต่ไม่เครียด เขียน:แล้วไม่นาน พื้นซีเมนต์นั้นก็ถูกรื้อทำลาย และนำไปเป็นหิน แล้วนำไปราดพื้นซีเมนต์ใหม่†Ecclēsia เขียน: กลัวตัวเองเป็นเมล็ด ที่ตกลงบนพื้นซีเมนต์
ทีนี้เมล็ดที่ปะปนอยู่ในหินนั้น ก็กลายเป็นอยู่ในเนื้อพื้นซีเมนต์ ไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดอีกเลย
-
- ~@
- โพสต์: 8259
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:56 pm
- ที่อยู่: Bangkok
เห็นด้วยกับคำตอบของคุณ Viridian อยากเพิ่มเติมอีกนิด หนึ่ง ในมุมมองของเจี๊ยบก็คือ ขึ้นอยู่กับพระเมตตา และน้ำพระทัยของพระเจ้าครับViridian เขียน:จากบทความนี้ ได้กล่าวไว้ว่า...Phulasso เขียน: บ้างก็ตกที่ดินดี จึงงอกขึ้นเกิดผลร้อยเท่า........ หกสิบเท่าบ้าง สามสิบเท่าบ้าง
ขอโปรดอธิบายเพิ่มเติมด้วย ว่าทำไมเมื่อตกในดินดีจึงเกิดผลไม่เท่ากัน
"เมล็ด = พระวจนะของพระเจ้า
ดิน = ใจของมนุษย์ (จิตวิญญาณ)"
ดังนั้น เมื่อเมล็ดตกลงในดิน (หรือเมื่อจิตวิญญาณของเราที่ได้รับพระวจนะของพระเจ้า) จะเจริญงอกงามแค่ไหน ผลมากมายเพียงใดนั้น
ขึ้นอยู่กับว่าเราเองที่จะเปิดใจยอมรับพระวจนะของพระเจ้าให้เข้ามาในชีวิต เรียนรู้ เข้าใจ ปฏิบัติตาม และสามารถนำไปพัฒนาใช้ในชีวิตได้มากน้อยแค่ไหนจ๊ะ
แต่อย่างไรก็ตามให้ดูที่ผลว่า ดินดี เมล็ดว่านลงไปก็เกิดผล เปรียบเสมือน เราค้าขาย ได้กำไร 100% รวยไป ได้ 60% ก็ยังรวย
และ 30% ก็เศรษฐกิจพอเพียง สรุปสั้นๆง่าย จะได้ผลกี่เท่า ถึงแม้ไม่เท่ากัน ก็คิดเกิดผลครับ :cheesy:
อือมม พอพี่เจี๊ยบพูดแบบนี้ หนูก็เลยมานั่งคิดๆ ว่า "ดินดี" แต่ละดิน ก็มีคุณสมบัติที่แตกต่างกันJeab Agape เขียน:เห็นด้วยกับคำตอบของคุณ Viridian อยากเพิ่มเติมอีกนิด หนึ่ง ในมุมมองของเจี๊ยบก็คือ ขึ้นอยู่กับพระเมตตา และน้ำพระทัยของพระเจ้าครับViridian เขียน:จากบทความนี้ ได้กล่าวไว้ว่า...Phulasso เขียน: บ้างก็ตกที่ดินดี จึงงอกขึ้นเกิดผลร้อยเท่า........ หกสิบเท่าบ้าง สามสิบเท่าบ้าง
ขอโปรดอธิบายเพิ่มเติมด้วย ว่าทำไมเมื่อตกในดินดีจึงเกิดผลไม่เท่ากัน
"เมล็ด = พระวจนะของพระเจ้า
ดิน = ใจของมนุษย์ (จิตวิญญาณ)"
ดังนั้น เมื่อเมล็ดตกลงในดิน (หรือเมื่อจิตวิญญาณของเราที่ได้รับพระวจนะของพระเจ้า) จะเจริญงอกงามแค่ไหน ผลมากมายเพียงใดนั้น
ขึ้นอยู่กับว่าเราเองที่จะเปิดใจยอมรับพระวจนะของพระเจ้าให้เข้ามาในชีวิต เรียนรู้ เข้าใจ ปฏิบัติตาม และสามารถนำไปพัฒนาใช้ในชีวิตได้มากน้อยแค่ไหนจ๊ะ
ต้นไม้แต่ละชนิด ก็ต้องการดินที่มีคุณสมบัติที่แตกต่างกัน เฉกเช่นเดียวกับกระแสเรียกที่พระเป็นเจ้ามีต่อเราแต่ละคน
ดอกผลของต้นไม้แต่ละชนิด ก็เหมือนกับว่า เราเอาพระวจนะของพระเจ้า ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ในรูปแบบไหนนั่นเอง
และคำพูดของพี่เจี๊ยบก็ทำหนูก็คิดได้อีกว่า...
แม้จะเป็นดินชนิดเดียวกัน แต่ต่างภูมิประเทศ ก็มีอาหารและแร่ธาตุในดินไม่เท่ากัน (ทำให้ผลออกมาไม่เท่ากัน)
แต่อย่างไรก็ดี ไม่ว่าจะมีแร่ธาตุในดินมากหรือน้อย เมื่อต้นไม้ดูดเอาแร่ธาตุจากดินไปหมด
เมื่อดินไม่มีอาหารไปหล่อเลี้ยงต้นไม้แล้ว ต้นไม้ก็ต้องกลับไปเหี่ยวเฉาตายอยู่ดี
ดังนั้น หากจะให้เมล็ดพันธุ์นั้นเติบโตได้ผลงอกงาม ออกดอกออกผลอยู่เสมอ
เราจะหวังเพิ่งแต่คุณสมบัติเดิมของดินไม่ได้ (และไม่ได้ขึ้นอยู่กับคุณสมบัติเดิมของดินเท่านั้น)
เราต้องหมั่น "ใส่ปุ๋ย"และ "พรวนดิน" ด้วย
ปุ๋ย = ความรัก
แม้เราจะทำกิจการดีมากมาย แต่หากไม่ได้กระทำกิจการเหล่านั้นด้วยความรัก กิจการดีเหล่านั้นย่อมไม่มีประโยชน์
พี่น้อง ท่านทั้งหลายจงพยายามแสวงหาพระพรพิเศษที่ประเสริฐยิ่งกว่านี้เถิด ข้าพเจ้าจะขอชี้ทางที่ดีกว่าให้ท่าน
แม้ข้าพเจ้าพูดภาษาของมนุษย์และของทูตสวรรค์ได้ ถ้าไม่มีความรัก ข้าพเจ้าก็เป็นแต่เพียงฉาบหรือฉิ่งที่ส่งเสียงอึกทึก แม้ข้าพเจ้าจะประกาศพระวาจา เข้าใจธรรมล้ำลึกทุกข้อ และมีความรู้ทุกอย่าง หรือมีความเชื่อพอที่จะเคลื่อนภูเขาได้ ถ้าไม่มีความรัก ข้าพเจ้าก็ไม่มีความสำคัญแต่อย่างใด แม้ข้าพเจ้าจะแจกจ่ายทรัพย์สินทั้งปวงให้แก่คนยากจน หรือยอมมอบตนเอง ให้นำไปเผาไฟเสีย ถ้าไม่มีความรัก ข้าพเจ้าก็มิได้รับประโยชน์ใด (1โครินธ์ 13:1-3)
พรวนดิน = การสวดภาวนา
การสวดภาวนาถือว่าเป็นการสร้างความสัมพันธ์กับพระเป็นเจ้า ให้เราได้ใกล้ชิดกับพระองค์มากขึ้น
และช่วยให้จิตวิญญาณของเราได้เติบโตขึ้นด้วยค่ะ ทั้งด้านความเชื่อ ความไว้ใจ และความรัก
มีพระสมณสาสน์เรื่องพระจิตเจ้า ที่องค์สมเด็จพระสันตะปาปา ยอห์น ปอล ที่ 2 ทรงเขียนไว้เมื่อวันที่ (18 พฤษภาคม 1986) ว่า
"พระจิตเจ้าทรงเป็นพระบุคคลในฐานะที่เป็นของประทาน หรือทรงเป็นพระบุคคลในฐานะที่เป็นความรัก"
ดังนั้นเราเข้าใจว่า ถ้าพระองค์เป็นความรักหมายถึงการให้ การอุทิศตนรับใช้ผู้อื่น และเราทราบว่าพระจิตเจ้าทรงเป็นแบบฉบับที่ดีที่สุดของผู้ให้ พระองค์ประทานพระคุณ 7 ประการแก่มนุษย์ คือ พระดำริ สติปัญญา ความคิดอ่าน พละกำลัง ความรู้ ความศรัทธา และความยำเกรงพระเจ้า และพระจิตเจ้าก็ได้ประทานพระคุณเหล่านี้ให้แก่พระเยซูเจ้าอย่างสมบูรณ์ ดังที่เราเห็นในกิจการและพระวาจาของพระคริสตเจ้าอย่างชัดเจน พระจิตเจ้ายังประทานพระคุณเหล่านี้ ให้แก่เราเพื่อให้เราสามารถมีความรู้สึกและทำกิจการเช่นเดียวกับพระคริสตเจ้าได้
(ที่มา : http://www.catholic.or.th/events/news/n ... ws008.html)
หนูว่าถ้าหมั่นพรวนดินและใส่ปุ๋ย ต่อให้เป็นดินดีธรรมดา ก็สามารถพัฒนาให้ออกดอกออกผลได้มากไม่แพ้ดินสีดาเจ้าค่ะ
แก้ไขล่าสุดโดย Viridian เมื่อ จันทร์ พ.ย. 10, 2008 3:08 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
มีความคล้ายคลึง ก็ได้ครับ
เช่น ดินแต่ละประเภท กับ บัว 4 เหล่า เป็นการจำแนกคนออกเป็นส่วนๆ ที่ต่างกัน
แต่โดยแก่นอันเป็นสาระแล้ว บางเรื่องก็ไม่ได้ครับ
เช่น ดินกับเมล็ดพืช หมายถึง มนุษย์กับความเชื่อ
ในขณะที่บัวกับการพ้นน้ำ หมายถึง มนุษย์กับการหลุดพ้นด้วยปัญญา
สำหรับชาวเราแล้ว
การเป็นดินที่ดีเหมาะแก่เมล็ดพันธุ์ความเชื่อแล้ว ไม่ได้อยู่ที่ตัวดินอย่างเดียวครับ
สิ่งสำคัญที่สุดคือ น้ำำพระทัยของพระองค์ที่จะทรงโปรยปรายลงมาให้แผ่่นดินชุ่มฉ่ำ แล้วเมล็ดเหล่านั้นจึงงอกงามได้ อาเมน
เช่น ดินแต่ละประเภท กับ บัว 4 เหล่า เป็นการจำแนกคนออกเป็นส่วนๆ ที่ต่างกัน
แต่โดยแก่นอันเป็นสาระแล้ว บางเรื่องก็ไม่ได้ครับ
เช่น ดินกับเมล็ดพืช หมายถึง มนุษย์กับความเชื่อ
ในขณะที่บัวกับการพ้นน้ำ หมายถึง มนุษย์กับการหลุดพ้นด้วยปัญญา
สำหรับชาวเราแล้ว
การเป็นดินที่ดีเหมาะแก่เมล็ดพันธุ์ความเชื่อแล้ว ไม่ได้อยู่ที่ตัวดินอย่างเดียวครับ
สิ่งสำคัญที่สุดคือ น้ำำพระทัยของพระองค์ที่จะทรงโปรยปรายลงมาให้แผ่่นดินชุ่มฉ่ำ แล้วเมล็ดเหล่านั้นจึงงอกงามได้ อาเมน
เรื่องนี้มีจุดเหมือนอย่างเดียวคือ การนำสิ่งใกล้ตัวมาเปรียบเทียบคนฟังธรรมEdwardius เขียน: มีความคล้ายคลึง ก็ได้ครับ
เช่น ดินแต่ละประเภท กับ บัว 4 เหล่า เป็นการจำแนกคนออกเป็นส่วนๆ ที่ต่างกัน
แต่โดยแก่นอันเป็นสาระแล้ว บางเรื่องก็ไม่ได้ครับ
เช่น ดินกับเมล็ดพืช หมายถึง มนุษย์กับความเชื่อ
ในขณะที่บัวกับการพ้นน้ำ หมายถึง มนุษย์กับการหลุดพ้นด้วยปัญญา
สำหรับชาวเราแล้ว
การเป็นดินที่ดีเหมาะแก่เมล็ดพันธุ์ความเชื่อแล้ว ไม่ได้อยู่ที่ตัวดินอย่างเดียวครับ
สิ่งสำคัญที่สุดคือ น้ำำพระทัยของพระองค์ที่จะทรงโปรยปรายลงมาให้แผ่่นดินชุ่มฉ่ำ แล้วเมล็ดเหล่านั้นจึงงอกงามได้ อาเมน
แต่มุมมองของทั้ง2นั้น แตกต่างกันมากครับ
-
- ~@
- โพสต์: 8259
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:56 pm
- ที่อยู่: Bangkok
เป็นดินเนื้องทอง ( กำลังออนแอร์ที่ ช่อง 3 )ครับ