ขอถามผู้เชี่ยวชาญพระคัมภีน์หรือผู้รู้หน่อยค่ะ
หนึ่งในข้อห้ามของพระเจ้าคือ ห้ามผิดประเวณี ที่ไม่เข้าใจคือ พระราชาโซโลมอนมีหระมเหสี 700 พระองค์ (หรือ 700 กว่าพระองค์ จำตัวเลขไม่ได้แล้ว) นี่ไม่ถือว่าผิดประเวณีหรือคะ
หรือว่าในอดีตไม่ผิด ในปัจจุบันนั้นผิด ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงๆ อะไรเป็นเกณฑ์ในการตัดสินอยู่ตรงไหนคะ
จริงๆแม้แต่อับราฮัม ยาโคบ ดาวิดก็มีภรรยาหลายคน ดังนั้น ถ้าผู้หญิง 1คนจะมีสามี 700 คนโดยความยินยอมของสามีทั้งหลาย (เข้าใจว่าเหล่าพระมเหสีของโซโลมอนยินยอมเหมือนกัน) ก็ไม่ผิดประเวณีเหมือนกันใช่ไหมคะ
ด้วยความรักพระเจ้าและเชื่อฟังพระองค์อย่างสุดใจ
หรือว่าในอดีตไม่ผิด ในปัจจุบันนั้นผิด ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงๆ อะไรเป็นเกณฑ์ในการตัดสินอยู่ตรงไหนคะ
จริงๆแม้แต่อับราฮัม ยาโคบ ดาวิดก็มีภรรยาหลายคน ดังนั้น ถ้าผู้หญิง 1คนจะมีสามี 700 คนโดยความยินยอมของสามีทั้งหลาย (เข้าใจว่าเหล่าพระมเหสีของโซโลมอนยินยอมเหมือนกัน) ก็ไม่ผิดประเวณีเหมือนกันใช่ไหมคะ
ด้วยความรักพระเจ้าและเชื่อฟังพระองค์อย่างสุดใจ
ต้องบอกว่า ยุคสมัย และการตีความของสังคมต่างกันครับ
เรื่องนี้ถ้าใช้เฉพาะความรู้ด้านพระคัมภีร์ โดยไม่ดูองค์ประกอบด้านสังคมวิทยา มานุษยวิทยา และประวัติศาสตร์แล้ว คงตีกันไม่รู้จบ
การมีภรรยาคนเดียวในโลกคริสเตียน มีรากฐานมาจากพระคัมภีร์ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับนักบุญเปาโลครับ
แต่การมีภรรยาคนเดียวยังไม่ได้เป็นหลักปฏิบัติที่แพร่หลายในยุคนั้น
สำหรับพระศาสนจักรคาทอลิกต้องกลับไปดูที่ประวัติศาสตร์ และพัฒนาการของศีลสมรสที่มีแบบแผนแล้วครับ
การที่คนโบราณนิยมมีภรรยาหลายคน ทั้งในระดับสังคมชั้นล่าง และสังคมชั้นบน
ก็เป็นความเชื่อ และวิถีปฏิบัติที่สืบเนื่อง และผสมปนเปกันมา
จะเห็นได้ว่า ทั้งในอิยิปต์ ออตโตมาน กรีก ยูเดีย และอื่นๆ ในบริเวณนั้น และไกลออกไป
วัฒนธรรมการที่ชายมีภรรยามากไม่เป็นปัญหาของการดำรงชีวิตครับ
แต่การที่หญิงจะมีสามีมาก หมายถึง มากคนในคราวเดียวโดยที่สามีแต่ละคนยังมีชีวิตอยู่นั้น
สังคมบางแห่ง (น้อยมาก) อาจรับได้ แต่ถือเป็นสิ่งผิดจารีตอย่างยิ่งของชาวยิวครับ
ส่วนข้อพระคัมภีร์ ต้องให้นักค้นทั้งหลายช่วยสรรหามาตอบให้หละครับ
กระผมขอไปหาภริยาคู่บุญก่อนละกัน แต่ถ้าได้สามีแทน ก็จะมาบอกต่อไปครับ
555+
เรื่องนี้ถ้าใช้เฉพาะความรู้ด้านพระคัมภีร์ โดยไม่ดูองค์ประกอบด้านสังคมวิทยา มานุษยวิทยา และประวัติศาสตร์แล้ว คงตีกันไม่รู้จบ
การมีภรรยาคนเดียวในโลกคริสเตียน มีรากฐานมาจากพระคัมภีร์ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับนักบุญเปาโลครับ
แต่การมีภรรยาคนเดียวยังไม่ได้เป็นหลักปฏิบัติที่แพร่หลายในยุคนั้น
สำหรับพระศาสนจักรคาทอลิกต้องกลับไปดูที่ประวัติศาสตร์ และพัฒนาการของศีลสมรสที่มีแบบแผนแล้วครับ
การที่คนโบราณนิยมมีภรรยาหลายคน ทั้งในระดับสังคมชั้นล่าง และสังคมชั้นบน
ก็เป็นความเชื่อ และวิถีปฏิบัติที่สืบเนื่อง และผสมปนเปกันมา
จะเห็นได้ว่า ทั้งในอิยิปต์ ออตโตมาน กรีก ยูเดีย และอื่นๆ ในบริเวณนั้น และไกลออกไป
วัฒนธรรมการที่ชายมีภรรยามากไม่เป็นปัญหาของการดำรงชีวิตครับ
แต่การที่หญิงจะมีสามีมาก หมายถึง มากคนในคราวเดียวโดยที่สามีแต่ละคนยังมีชีวิตอยู่นั้น
สังคมบางแห่ง (น้อยมาก) อาจรับได้ แต่ถือเป็นสิ่งผิดจารีตอย่างยิ่งของชาวยิวครับ
ส่วนข้อพระคัมภีร์ ต้องให้นักค้นทั้งหลายช่วยสรรหามาตอบให้หละครับ
กระผมขอไปหาภริยาคู่บุญก่อนละกัน แต่ถ้าได้สามีแทน ก็จะมาบอกต่อไปครับ
555+
มันไม่ใช่แค่เรื่องยินยอมหรือไม่ยินยอมครับ
คุณอาจลืมไป และเอาสังคมปัจจุบัน ในการทำความเข้าใจสังคมเหมื่อหลายพันปีก่อน ซึ่งจะทำให้สามารถเข้าใจอะไรต่างๆผิดได้ง่ายครับ
ลองนึกตามนะครับ
สมัยนี้ผู้หญิงอยู่คนเดียวได้ไหมครับ ลำพังผู้หญิงตัวคนเดียวสามารถมีบ้านของตัวเอง หรืออยู่บ้านคนเดียวได้ไหม สามารถเลี้ยงตัวเองได้ไหม และปลอดภัยไหมในบ้านตัวเองถ้าอยู่คนเดียว คำตอบคือได้สบายครับ ถ้ามีอะไรไม่ชอบมาพากล คุณสามารถกดมือถือแจ้งตำรวจได้ ถ้ามีผู้หญิงสักคนโดนใครทำร้ายเช่นฆ่า ปล้น ข่มขืน มันจะรู้กันทั่วเป็นข่าวหน้าหนึ่ง
ผู้หญิงสามารถทำอาชีพอะไรได้บ้างครับ เยอะแยะมากมายหลายหลาก เอาแค่สมัยนี้ช่องกรอกอาชีพมีเป็นพรืดหลาย10ประเภทแยกย่อยต่างกันไป มีงานมากมายหลายชนิดที่ผู้หญิงทำได้ดีกว่าผู้ชาย
แล้วสมัย2000ปี-4000ปีก่อนล่ะครับ
ผู้หญิงอยู่คนเดียวไม่ได้ครับ เธอไม่มีอาชีพอะไรให้เลือกมาก เพราะสมัยก่อนมีแค่ เลี้ยงสัตว์ เพาะปลูก งานช่าง และขายของ ซึ่งส่วนมากเป็นงานใช้แรงงาน เอาเข้าจริงทำสู้ผู้ชายไม่ได้เลย และเรื่องจะมีบ้านเองไม่ต้องพูดถึง เรื่องจะมีเงินที่หาได้เองก็แสนยาก เธอทำได้มากกว่าผู้ชายอย่างมากก็เรื่องเป็นแม่ค้า แต่........ถ้ามีโจรมาวิ่งราว มาปล้น เธอไม่สามารถกดมือถืออะไรทั้งนั้น เธอมีที่พึ่งอย่่างเดียวคือ ผู้ชายในบ้าน ถ้าเธอไม่มี ผู้หญิงก็คือเหยื่อของความป่าเถื่อนในสมัยโบราณ ชนิดถูกฆ่าตายทิ้งศพไว้เป็นเหยื่อแร้งกาเป็นปีไม่มีใครรู้ จะถูกฉุดไปข่มขืน จะอะไรยังไง ไม่มีตำรวจมาคอยจับโจรให้โหร191 ไม่มีเสาไฟฟ้าให้ถนนสว่าง ไม่มีอะไรเลย แรงกายล้วนๆ ดังนั้น เพศที่ร่างกายมีกำลังน้อยกว่า เสียเปรียบโดยสมบูรณ์
สรุปคือ ผู้หญิงสมัยก่อนแทบจะอยู่โดยไม่มีผู้ชายดูแลไม่ได้เลย
ดังนั้น สถานภาพของหญิงและชายสมัยนั้น คนละเรื่องกับสมัยนี้โดยสิ้นเชิงครับ
สมัยนั้นผู้หญิงยังไงก็ต้องพึ่งผู้ชาย เมื่อเด็กก็อยู่กับพ่อแม่ เมื่อโตเป็นสาวต้องหาสามีดูแล ดังนั้น คำว่าผู้หญิงเต็มใจเป็นเมียน้อยหรือสนมในสมัยก่อนนั้น เป็นเรื่องธรรมดา และไม่ถือว่าผิดศีลธรรม เพราะสถานภาพของชายและหญิงที่เป็นสามีภรรยาสมัยก่อน คือยกย่องสามีเป็นใหญ่และเป็นนาย เช่นนางซารา เรียกอับราฮัมสามีของเธอว่า "นาย"
ดังนั้นเมื่อเป็นผัวเมียกัน ผู้ชายเป็นผู้ปกครองโดยอัตโนมัติ และผู้หญิงเป็นผู้ถูกดูแลโดยอัตโนมัติ ดังนั้น การมีผู้ใต้ปกครองหลายคนไม่ใช่ปัญหา แต่การมีเจ้านายหลายคนคือปัญหา
ถ้าผู้หญิงมีสามี2คน และ2คนสั่งให้เธอทำอะไรที่ต่างกัน เธอจะต้องฟังใคร แต่สามี1คน สั่งภรรยา2คนให้ทำอะไรต่างกัน มันไม่ใช่ปัญหาเลย
ดังนั้น ตั้งแต่ก่อนมีพระคัมภีร์ โลกเกือบทั้งใบ มนุษย์เกือบทั้งหมดในสมยโบราณ เห็นว่า การที่ชายมีเมียมากกว่า1 คือเรื่องธรรมดาครับ เขาสามารถรับภรรยาเพิ่มได้ตราบเท่าที่สามารถดูแลภรรยาทุกคนให้อยู่ดีมีสุขได้ และพวกเธอยินยอม
ที่สำคัญ ยุคสมัยก่อนคือยุค สงครามมีความชอบธรรมครับ การที่คุณไปรบพุ่งตีใคร เขาไม่ด่าคุณเลวเหมือนสมัยนี้ด้วย แถมยกย่องเป็นมหาราชอีก แล้วเมื่อคุณรบชนะ คุณสามารถยึดเอาทุกอย่างของคนแพ้มาได้ ไม่มีใครด่าคุณเหมือนสมัยนี้ และมันส่งผล2อย่างชัดเจนคือ
1ผู้ชายมีน้อยกว่าผู้หญิงมาก
2ข้าทาสบริวารคือสิ่งที่ผู้ชนะสามารถยึดเอาไปได้ ดังนั้นผู้หญิงของฝ่ายแพ้อาจประสบชะตากรรมที่แย่กว่าตาย
ดังนั้น การที่ผู้ชายมีภรรยาหลายคนในสมัยโบราณ ไม่มีใครคิดว่าเป็นการผิดประเวณีเลย
เอาง่ายๆเลยว่า เมืองไทยเองพูดเสมอว่าเป็นเมืองพุทธ ในศีล5มีข้อห้ามผิดลูกผิดเมีย
แต่กษัตริย์ไทยตลอดจนชายไทยทั่วไปมีภรรยาหลายคน และมีนางสนมมากมาย จนมาถึงสมัยร.6 เลยทีเดียว ไม่มีใครคิดว่าพระองค์ผิดศีลข้อกาเม
ดังนั้นคุณต้องเข้าใจว่า การมีภรรยาหลายคน แต่มีสามีได้คนเดียว คือมาตรฐานการแต่งงาน และมาตรฐานศีลธรรมในสมัยก่อน
ในพระคัมภีร์ทั้งเล่ม อาจจะกล่าวได้ว่า มาตรฐานและคุณค่าตลอดจนสิทธิของผู้หญิงถูกยกขึ้นโดยพระเยซูเพียงผู้เดียว อย่างโดดเด่นเห็นชัดที่สุด และแม้แต่น.ท่านอื่นๆในบทจดหมายหลายฉบับที่ตามมายังมีมุมมมองที่ติดประเพณีเดิมๆที่ผู้หญิงต้องเชื่อฟังผู้ชายอยู่เลย
ดังนั้นเมื่อมีการตีความข้อคำสอนส่วนพระธรรมใหม่ คือส่วนที่พระเยซูคริสต์ตรัสถึงการเป็นสามีภรรยา พระศาสนจักรจึงเข้าสู่ยุคที่ตีความพระคัมภีร์โดยอิงส่วนพระธรรมใหม่ ให้มีสามีและภรรยาเพียงคนเดียวขึ้น และคำว่าล่วงประเวณีในพระธรรมเดิมก็ถูกยกมาตรฐานตามมาและตีความในบริบทสังคมยุคใหม่ให้กลายเป็นผัวเดียวเมียเดียว
ยิ่งปัจจุบัน เมื่อสภาพสังคมเปลี่ยนไป ผู้หญิงไม่ได้ต้องพึ่งแต่ผู้ชาย และเราไม่ต้องทำสงครามตลอดเวลาจนผู้ชายร่อยหรอ สถานภาพของชายหญิงคือเท่ากัน แต่งงานแล้วไม่ใช่ว่าใครต้องพึ่งใคร แต่ทั้งสองต้องช่วยกัน สังคมทั่วไปก็ขานรับการมีผัวเดียวเมียเดียวมากกว่า และสอดคล้องกับสิ่งที่พระเยซูสอน
ดังนั้นอาจสรุปได้ว่า คำว่าล่วงประเวณีในพระธรรมเดิมสมัยบุคคลในพระธรรมเดิม คืออย่าไปทำใครที่ไม่ใช่เมียตัวเอง อย่าไปทำใครโดยยังไม่แต่งงานกัน แต่การมีภรรยาได้หลายคนคือเรื่องปรกติ แต่สำหรับสมัยใหม่ตีความใหม่ มันหมายถึงมีภรรยาคนเดียวด้วยครับ
คุณอาจลืมไป และเอาสังคมปัจจุบัน ในการทำความเข้าใจสังคมเหมื่อหลายพันปีก่อน ซึ่งจะทำให้สามารถเข้าใจอะไรต่างๆผิดได้ง่ายครับ
ลองนึกตามนะครับ
สมัยนี้ผู้หญิงอยู่คนเดียวได้ไหมครับ ลำพังผู้หญิงตัวคนเดียวสามารถมีบ้านของตัวเอง หรืออยู่บ้านคนเดียวได้ไหม สามารถเลี้ยงตัวเองได้ไหม และปลอดภัยไหมในบ้านตัวเองถ้าอยู่คนเดียว คำตอบคือได้สบายครับ ถ้ามีอะไรไม่ชอบมาพากล คุณสามารถกดมือถือแจ้งตำรวจได้ ถ้ามีผู้หญิงสักคนโดนใครทำร้ายเช่นฆ่า ปล้น ข่มขืน มันจะรู้กันทั่วเป็นข่าวหน้าหนึ่ง
ผู้หญิงสามารถทำอาชีพอะไรได้บ้างครับ เยอะแยะมากมายหลายหลาก เอาแค่สมัยนี้ช่องกรอกอาชีพมีเป็นพรืดหลาย10ประเภทแยกย่อยต่างกันไป มีงานมากมายหลายชนิดที่ผู้หญิงทำได้ดีกว่าผู้ชาย
แล้วสมัย2000ปี-4000ปีก่อนล่ะครับ
ผู้หญิงอยู่คนเดียวไม่ได้ครับ เธอไม่มีอาชีพอะไรให้เลือกมาก เพราะสมัยก่อนมีแค่ เลี้ยงสัตว์ เพาะปลูก งานช่าง และขายของ ซึ่งส่วนมากเป็นงานใช้แรงงาน เอาเข้าจริงทำสู้ผู้ชายไม่ได้เลย และเรื่องจะมีบ้านเองไม่ต้องพูดถึง เรื่องจะมีเงินที่หาได้เองก็แสนยาก เธอทำได้มากกว่าผู้ชายอย่างมากก็เรื่องเป็นแม่ค้า แต่........ถ้ามีโจรมาวิ่งราว มาปล้น เธอไม่สามารถกดมือถืออะไรทั้งนั้น เธอมีที่พึ่งอย่่างเดียวคือ ผู้ชายในบ้าน ถ้าเธอไม่มี ผู้หญิงก็คือเหยื่อของความป่าเถื่อนในสมัยโบราณ ชนิดถูกฆ่าตายทิ้งศพไว้เป็นเหยื่อแร้งกาเป็นปีไม่มีใครรู้ จะถูกฉุดไปข่มขืน จะอะไรยังไง ไม่มีตำรวจมาคอยจับโจรให้โหร191 ไม่มีเสาไฟฟ้าให้ถนนสว่าง ไม่มีอะไรเลย แรงกายล้วนๆ ดังนั้น เพศที่ร่างกายมีกำลังน้อยกว่า เสียเปรียบโดยสมบูรณ์
สรุปคือ ผู้หญิงสมัยก่อนแทบจะอยู่โดยไม่มีผู้ชายดูแลไม่ได้เลย
ดังนั้น สถานภาพของหญิงและชายสมัยนั้น คนละเรื่องกับสมัยนี้โดยสิ้นเชิงครับ
สมัยนั้นผู้หญิงยังไงก็ต้องพึ่งผู้ชาย เมื่อเด็กก็อยู่กับพ่อแม่ เมื่อโตเป็นสาวต้องหาสามีดูแล ดังนั้น คำว่าผู้หญิงเต็มใจเป็นเมียน้อยหรือสนมในสมัยก่อนนั้น เป็นเรื่องธรรมดา และไม่ถือว่าผิดศีลธรรม เพราะสถานภาพของชายและหญิงที่เป็นสามีภรรยาสมัยก่อน คือยกย่องสามีเป็นใหญ่และเป็นนาย เช่นนางซารา เรียกอับราฮัมสามีของเธอว่า "นาย"
ดังนั้นเมื่อเป็นผัวเมียกัน ผู้ชายเป็นผู้ปกครองโดยอัตโนมัติ และผู้หญิงเป็นผู้ถูกดูแลโดยอัตโนมัติ ดังนั้น การมีผู้ใต้ปกครองหลายคนไม่ใช่ปัญหา แต่การมีเจ้านายหลายคนคือปัญหา
ถ้าผู้หญิงมีสามี2คน และ2คนสั่งให้เธอทำอะไรที่ต่างกัน เธอจะต้องฟังใคร แต่สามี1คน สั่งภรรยา2คนให้ทำอะไรต่างกัน มันไม่ใช่ปัญหาเลย
ดังนั้น ตั้งแต่ก่อนมีพระคัมภีร์ โลกเกือบทั้งใบ มนุษย์เกือบทั้งหมดในสมยโบราณ เห็นว่า การที่ชายมีเมียมากกว่า1 คือเรื่องธรรมดาครับ เขาสามารถรับภรรยาเพิ่มได้ตราบเท่าที่สามารถดูแลภรรยาทุกคนให้อยู่ดีมีสุขได้ และพวกเธอยินยอม
ที่สำคัญ ยุคสมัยก่อนคือยุค สงครามมีความชอบธรรมครับ การที่คุณไปรบพุ่งตีใคร เขาไม่ด่าคุณเลวเหมือนสมัยนี้ด้วย แถมยกย่องเป็นมหาราชอีก แล้วเมื่อคุณรบชนะ คุณสามารถยึดเอาทุกอย่างของคนแพ้มาได้ ไม่มีใครด่าคุณเหมือนสมัยนี้ และมันส่งผล2อย่างชัดเจนคือ
1ผู้ชายมีน้อยกว่าผู้หญิงมาก
2ข้าทาสบริวารคือสิ่งที่ผู้ชนะสามารถยึดเอาไปได้ ดังนั้นผู้หญิงของฝ่ายแพ้อาจประสบชะตากรรมที่แย่กว่าตาย
ดังนั้น การที่ผู้ชายมีภรรยาหลายคนในสมัยโบราณ ไม่มีใครคิดว่าเป็นการผิดประเวณีเลย
เอาง่ายๆเลยว่า เมืองไทยเองพูดเสมอว่าเป็นเมืองพุทธ ในศีล5มีข้อห้ามผิดลูกผิดเมีย
แต่กษัตริย์ไทยตลอดจนชายไทยทั่วไปมีภรรยาหลายคน และมีนางสนมมากมาย จนมาถึงสมัยร.6 เลยทีเดียว ไม่มีใครคิดว่าพระองค์ผิดศีลข้อกาเม
ดังนั้นคุณต้องเข้าใจว่า การมีภรรยาหลายคน แต่มีสามีได้คนเดียว คือมาตรฐานการแต่งงาน และมาตรฐานศีลธรรมในสมัยก่อน
ในพระคัมภีร์ทั้งเล่ม อาจจะกล่าวได้ว่า มาตรฐานและคุณค่าตลอดจนสิทธิของผู้หญิงถูกยกขึ้นโดยพระเยซูเพียงผู้เดียว อย่างโดดเด่นเห็นชัดที่สุด และแม้แต่น.ท่านอื่นๆในบทจดหมายหลายฉบับที่ตามมายังมีมุมมมองที่ติดประเพณีเดิมๆที่ผู้หญิงต้องเชื่อฟังผู้ชายอยู่เลย
ดังนั้นเมื่อมีการตีความข้อคำสอนส่วนพระธรรมใหม่ คือส่วนที่พระเยซูคริสต์ตรัสถึงการเป็นสามีภรรยา พระศาสนจักรจึงเข้าสู่ยุคที่ตีความพระคัมภีร์โดยอิงส่วนพระธรรมใหม่ ให้มีสามีและภรรยาเพียงคนเดียวขึ้น และคำว่าล่วงประเวณีในพระธรรมเดิมก็ถูกยกมาตรฐานตามมาและตีความในบริบทสังคมยุคใหม่ให้กลายเป็นผัวเดียวเมียเดียว
ยิ่งปัจจุบัน เมื่อสภาพสังคมเปลี่ยนไป ผู้หญิงไม่ได้ต้องพึ่งแต่ผู้ชาย และเราไม่ต้องทำสงครามตลอดเวลาจนผู้ชายร่อยหรอ สถานภาพของชายหญิงคือเท่ากัน แต่งงานแล้วไม่ใช่ว่าใครต้องพึ่งใคร แต่ทั้งสองต้องช่วยกัน สังคมทั่วไปก็ขานรับการมีผัวเดียวเมียเดียวมากกว่า และสอดคล้องกับสิ่งที่พระเยซูสอน
ดังนั้นอาจสรุปได้ว่า คำว่าล่วงประเวณีในพระธรรมเดิมสมัยบุคคลในพระธรรมเดิม คืออย่าไปทำใครที่ไม่ใช่เมียตัวเอง อย่าไปทำใครโดยยังไม่แต่งงานกัน แต่การมีภรรยาได้หลายคนคือเรื่องปรกติ แต่สำหรับสมัยใหม่ตีความใหม่ มันหมายถึงมีภรรยาคนเดียวด้วยครับ
งึมๆๆ ถ้าสิ่งไหนถูกในยุคอดีตแต่ผิดในปัจจุบัน แล้วแต่กาล คุณก็ทำให้พระเจ้าผู้สัตย์ซื่อและเที่ยงธรรมกลายเป็นคนกลับกลอกเสียแล้วล่ะค่ะ จริงๆแล้วปอมีความเห็นด้วยกับคุณว่า นิยามของเรื่องการผิดประเวณีนั้นคือการไม่ล่วงละเมิดสามีภรรยาของผู้อื่นแค่นั้น แต่มิได้ห้ามว่าต้องมีสามีภรรยาแค่คนเดียว เพราะพระเจ้านั้นตรัสว่าอย่าล่วงประเวณีแน่นั้น แต่ว่าปอไม่แน่ใจ และสติปัญญาของพระเจ้าก็เกินจะเข้าใจ พระเจ้าตรัสความจริง แต่การตีความของมนุษย์สิมีปัญหา
ถึงอย่างไร กระทู้นี้เป็นการพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน ไม่ได้มีเจตนาพูดดูหมิ่นใดๆ ดังข้อความที่โดนลบไปแล้ว ปอจบกระทู้ดีกว่า
นักบุญเปาโลกล่าวว่า ที่จริง ทั้งนี้เพราะการกระทำใดๆที่มิได้เกิดจากความเชื่อก็เป็นบาปทั้งสิ้น โรม14:23
คุณ Holy เบี่ยงเบนประเด็นนะ เพราะเรากำลังคุยกันเรื่องการตีความในเรื่องพระคัมภีร์ไบเบิ้ล ไม่ใช่ศาสนาพุทธ
ถึงอย่างไร กระทู้นี้เป็นการพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน ไม่ได้มีเจตนาพูดดูหมิ่นใดๆ ดังข้อความที่โดนลบไปแล้ว ปอจบกระทู้ดีกว่า
นักบุญเปาโลกล่าวว่า ที่จริง ทั้งนี้เพราะการกระทำใดๆที่มิได้เกิดจากความเชื่อก็เป็นบาปทั้งสิ้น โรม14:23
คุณ Holy เบี่ยงเบนประเด็นนะ เพราะเรากำลังคุยกันเรื่องการตีความในเรื่องพระคัมภีร์ไบเบิ้ล ไม่ใช่ศาสนาพุทธ
แต่ไหนๆก็ว่ามาแล้วจะอธิบายให้ฟัง คือว่าศาสนาพุทธอธิบายในเหตุและผล คนทุกคนมีกรรมคือการกระทำ และวิบากคือผลของการกระทำนั้นๆ และเหตุของการผิดประเวณีนั้นก็มีอยู่ และผู้ที่กระทำกรรมนั้นต้องรับผลคือวิบากนั้นแน่ๆไม่ว่ายาจกหรือพระราชา ถึงจะไม่มีใครว่าคุณว่าผิดศีลข้อกาเม แต่ไม่ได้หมายความว่าคุณไม่ผิดศีลข้อกาเม คุณต้องรับวิบากของกรรมนั้นๆเป็นแน่แท้ ศาสนาพุทธยอมรับในสัจจะไม่ใช่ค่านิยมของคนในแต่ละยุคที่เปลี่ยนไป ไม่จีรัง สัจจะเป็นอกาลิโก อนึ่ง การพูดเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ในเมืองไทยในยุคนั้นแม่แต่ยุคนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อนค่ะ จบดีกว่าเอาง่ายๆเลยว่า เมืองไทยเองพูดเสมอว่าเป็นเมืองพุทธ ในศีล5มีข้อห้ามผิดลูกผิดเมีย
แต่กษัตริย์ไทยตลอดจนชายไทยทั่วไปมีภรรยาหลายคน และมีนางสนมมากมาย จนมาถึงสมัยร.6 เลยทีเดียว ไม่มีใครคิดว่าพระองค์ผิดศีลข้อกาเม
ดังนั้นคุณต้องเข้าใจว่า การมีภรรยาหลายคน แต่มีสามีได้คนเดียว คือมาตรฐานการแต่งงาน และมาตรฐานศีลธรรมในสมัยก่อน
จะเบี่ยงเบนประเด็นทำไมล่ะครับ แค่ยกตัวอย่าง ว่ามาตรฐานการตีความของถ้อยคำมันต่างกัน
ผมว่าคุณเองท่าจะอ่านพระคัมภีร์ไม่ละเอียดพอแล้วล่ะครับ ถึงมีมุมมองแบบนี้
รม 5:12
(12)บาปเข้ามาในโลกเพราะมนุษย์คนเดียว และความตายเข้ามาเพราะบาปฉันใด ความตายก็แพร่กระจายไปถึงมนุษย์ทุกคนเพราะทุกคนทำบาปฉันนั้น (13)ก่อนที่จะมีธรรมบัญญัติ บาปมีอยู่ในโลกแล้ว แต่เมื่อยังไม่มีธรรมบัญญัติก็ไม่นับว่าเป็นบาป (14)ถึงกระนั้น ความตายก็มีอานุภาพเหนือมนุษยชาติตั้งแต่อาดัมมาจนถึงโมเสส มีอานุภาพเหนือแม้คนที่ไม่ได้ทำบาปเหมือนกับอาดัมที่ได้ล่วงละเมิด อาดัมเป็นรูปแบบล่วงหน้าของผู้ที่จะมาในภายหลัง (15)แต่การล่วงละเมิดต่างกับของประทานให้เปล่าถ้ามวลมนุษย์ ต้องตายเพราะการล่วงละเมิดของมนุษย์คนเดียว พระหรรษทานของพระเจ้าและของประทานโดยทางพระหรรษทานจากมนุษย์คนเดียว คือพระเยซูคริสตเจ้า ก็ยิ่งสมบูรณ์ขึ้นสำหรับมวลมนุษย์
-------------------------------------
คุณคงลืมไปว่า สมัยอับราฮัมยังไม่มีบัญญัติ10ประการครับ และมาตรฐานทางศีลธรรมคือ "ประเพณีท้องถิ่น" ดังนั้นอับราฮัม มีภรรยาคือนางซารา แต่ยังไปหลับนอนกับนางฮาการ์ซึ่งเป็นทาสจึงไม่บาป เพราะธรรมเนียมสมัยนั้น การหลับนอนกับทาสหญิงเป็นสิ่งที่มีสิทธิ์ทำได้ ตัวยาโคบเองก็ แต่งงานกับนางเลอาห์ด้วยเลห์ของลุง โดยลุงอ้างว่า คนพี่ต้องแต่งงานก่อนคนน้อง จากนั้นจึงแต่งกับนางราเชลทีหลังอีกคน
คุณลองอ่านพระคัมภีร์ช่วงนี้นะครับ
Genesis 29:21
ยาโคบบอกลาบันว่า
ผมว่าคุณเองท่าจะอ่านพระคัมภีร์ไม่ละเอียดพอแล้วล่ะครับ ถึงมีมุมมองแบบนี้
รม 5:12
(12)บาปเข้ามาในโลกเพราะมนุษย์คนเดียว และความตายเข้ามาเพราะบาปฉันใด ความตายก็แพร่กระจายไปถึงมนุษย์ทุกคนเพราะทุกคนทำบาปฉันนั้น (13)ก่อนที่จะมีธรรมบัญญัติ บาปมีอยู่ในโลกแล้ว แต่เมื่อยังไม่มีธรรมบัญญัติก็ไม่นับว่าเป็นบาป (14)ถึงกระนั้น ความตายก็มีอานุภาพเหนือมนุษยชาติตั้งแต่อาดัมมาจนถึงโมเสส มีอานุภาพเหนือแม้คนที่ไม่ได้ทำบาปเหมือนกับอาดัมที่ได้ล่วงละเมิด อาดัมเป็นรูปแบบล่วงหน้าของผู้ที่จะมาในภายหลัง (15)แต่การล่วงละเมิดต่างกับของประทานให้เปล่าถ้ามวลมนุษย์ ต้องตายเพราะการล่วงละเมิดของมนุษย์คนเดียว พระหรรษทานของพระเจ้าและของประทานโดยทางพระหรรษทานจากมนุษย์คนเดียว คือพระเยซูคริสตเจ้า ก็ยิ่งสมบูรณ์ขึ้นสำหรับมวลมนุษย์
-------------------------------------
คุณคงลืมไปว่า สมัยอับราฮัมยังไม่มีบัญญัติ10ประการครับ และมาตรฐานทางศีลธรรมคือ "ประเพณีท้องถิ่น" ดังนั้นอับราฮัม มีภรรยาคือนางซารา แต่ยังไปหลับนอนกับนางฮาการ์ซึ่งเป็นทาสจึงไม่บาป เพราะธรรมเนียมสมัยนั้น การหลับนอนกับทาสหญิงเป็นสิ่งที่มีสิทธิ์ทำได้ ตัวยาโคบเองก็ แต่งงานกับนางเลอาห์ด้วยเลห์ของลุง โดยลุงอ้างว่า คนพี่ต้องแต่งงานก่อนคนน้อง จากนั้นจึงแต่งกับนางราเชลทีหลังอีกคน
คุณลองอ่านพระคัมภีร์ช่วงนี้นะครับ
Genesis 29:21
ยาโคบบอกลาบันว่า
แก้ไขล่าสุดโดย Holy เมื่อ เสาร์ พ.ย. 15, 2008 11:11 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
กลับไปที่การตีความครับ
ถ้าพระบัญญัิติบอกว่า
Exo 20:14
(DRB) Thou shalt not commit adultery.
(TKJV) อย่าล่วงประเวณีผัวเมียเขา
แล้วถ้า (แค่ IF นะครับ) พระบัญญัติถูกตีความว่า เมื่อไม่ได้กระทำโดยล่วงในหญิง หรือชาย อันมีเจ้าของแล้ว จึงไม่บาป
ดังนั้น (SO แค่สมมตินะครับ) การมีภรรยามากของชายจึงไม่ผิด...เอาประเด็นเดียวนะครับ
อันนี้เป็นตัวอย่างของการตีความที่มีความเป็นไปได้ครับ
ถ้าพระบัญญัิติบอกว่า
Exo 20:14
(DRB) Thou shalt not commit adultery.
(TKJV) อย่าล่วงประเวณีผัวเมียเขา
แล้วถ้า (แค่ IF นะครับ) พระบัญญัติถูกตีความว่า เมื่อไม่ได้กระทำโดยล่วงในหญิง หรือชาย อันมีเจ้าของแล้ว จึงไม่บาป
ดังนั้น (SO แค่สมมตินะครับ) การมีภรรยามากของชายจึงไม่ผิด...เอาประเด็นเดียวนะครับ
อันนี้เป็นตัวอย่างของการตีความที่มีความเป็นไปได้ครับ
- ดานุ้งพุงระเบิด
- โพสต์: 518
- ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. ส.ค. 31, 2006 3:57 pm
- ที่อยู่: อุบลราชธานี
ผมอ่านที่คุณ Holy ยกมามันก็ไม่ได้เข้าใจอะไรยากเย็นเลยนะ ชัดเจน แจ่มแจ้งด้วยซ้ำ :rolleyes:
สงสัยต้องกลับไปฆ่าเเกะบูชาพระเจ้า....เพราะสมัยพระธรรมเดิมเขาทำกัน เเล้วมายกเลิกสมัยพระเยซู (เกรงว่าจะกลับกลอก)honeypor เขียน: งึมๆๆ ถ้าสิ่งไหนถูกในยุคอดีตแต่ผิดในปัจจุบัน แล้วแต่กาล คุณก็ทำให้พระเจ้าผู้สัตย์ซื่อและเที่ยงธรรมกลายเป็นคนกลับกลอกเสียแล้วล่ะค่ะ
กษัตริย์ยุโรปสมัยก่อนก็มี ภรรยามากกว่า 1 คนนะ เช่น นโปเลียน ทรงมีภรรยานอกการสมรส และนโปเลียนยังเคยหย่า กับ โฌเซฟีน เนื่องจากพระนางทรงชราแล้วจึงไม่สามารถมีบุตรได้ อืม เรื่องการหย่าของนโปเลียนเพราะพระนางโฌเซฟีนมีบุตรไม่ได้จะบาปไหมนี่? :huh:
-
- ~@
- โพสต์: 8259
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:56 pm
- ที่อยู่: Bangkok
ไม่ทาบครับ ให้พระเจ้าทรงตัดสินwowowow เขียน: กษัตริย์ยุโรปสมัยก่อนก็มี ภรรยามากกว่า 1 คนนะ เช่น นโปเลียน ทรงมีภรรยานอกการสมรส และนโปเลียนยังเคยหย่า กับ โฌเซฟีน เนื่องจากพระนางทรงชราแล้วจึงไม่สามารถมีบุตรได้ อืม เรื่องการหย่าของนโปเลียนเพราะพระนางโฌเซฟีนมีบุตรไม่ได้จะบาปไหมนี่? :huh:
แต่พระเจ้าเฮนรี่ที่ 8 ของอังกฤษต้องการแต่งงานใหม่ พระสันตะปาปา ไม่อนุญาต เลยแยกออกจากโรมันคาทอลิก
มาเป็น Church of England
แต่ตามที่พระเยซูเจ้าตรัสไว้ในพระวรสาร "เหตุที่คนหย่าร้าง เพราะความบาป"
แต่ว่าหลังบัญญัติ 10 ประการ ดาวิดและกษัตริย์หลายๆพระองค์ก็มีมเหสีและสนมหลายๆองค์นี่คะ และพระเจ้าไม่ได้พิโรธ พระเจ้าพิโรธตอนที่ดาวิดเอาภรรยาผู้อื่นมาเป็นของตน ถ้าอย่างนั้น ในยุคนี้ ผู้ชายจะมีภรรยาหลายคนไม่ได้เหรอ สงสัยแค่นี้แหล่ะค่ะ และถ้าเราเป็นผู้รู้เชี่ยวชาญคงไม่ต้องถามหรอก เราอ่านพระคัมภีร์ยังไม่จบเลย หรือว่าหลังพระเยซู พระเจ้าตรัสว่า มีภรรยาหรือสามีได้เพียงคนเดียว
และอีกเรื่องหนึ่ง เรื่องรูปเคารพ พระเจ้าตรัสว่าห้ามเคารพรูปเคารพ และทรงพิโรธที่อิสราเอลบูชารูปเคารพเยอะมาก แม้กระทั่งหลังพระเยซู อัครสาวกพอลก็บอกว่า ห้ามเคารพรูปเคารพ แล้วทำไมยังมีการเคารพรูปเคารพอยู่ในกลุ่มคริสเตียนบางกลุ่มล่ะคะ
จริงๆนะที่ศาสนาทุกศาสนาถูกแบ่งเป็นหลายนิกาย ไม่ว่าจะคริสต์ พุทธ อิสลาม ทั้งๆที่น่าจะเป็นหนึ่งเดียวกันน่าจะเป็นเพราะความเห็นแตกต่างกัน เมื่อมีความเห็นก็ย่อมหมายถึงว่ายังไม่เข้าถึงความจริง เราจึงอธิษฐานต่อพระเจ้าว่าขอสติปัญญาให้รู้เห็นความจริงนั้นเถิด อาเมน
ขอบคุณ คุณ Edwardius นะ คุณHoly ด้วย
และอีกเรื่องหนึ่ง เรื่องรูปเคารพ พระเจ้าตรัสว่าห้ามเคารพรูปเคารพ และทรงพิโรธที่อิสราเอลบูชารูปเคารพเยอะมาก แม้กระทั่งหลังพระเยซู อัครสาวกพอลก็บอกว่า ห้ามเคารพรูปเคารพ แล้วทำไมยังมีการเคารพรูปเคารพอยู่ในกลุ่มคริสเตียนบางกลุ่มล่ะคะ
จริงๆนะที่ศาสนาทุกศาสนาถูกแบ่งเป็นหลายนิกาย ไม่ว่าจะคริสต์ พุทธ อิสลาม ทั้งๆที่น่าจะเป็นหนึ่งเดียวกันน่าจะเป็นเพราะความเห็นแตกต่างกัน เมื่อมีความเห็นก็ย่อมหมายถึงว่ายังไม่เข้าถึงความจริง เราจึงอธิษฐานต่อพระเจ้าว่าขอสติปัญญาให้รู้เห็นความจริงนั้นเถิด อาเมน
ขอบคุณ คุณ Edwardius นะ คุณHoly ด้วย
เน้นว่า เอาภรรยาของคนอื่น มาเป็นของตนนะคะแต่ว่าหลังบัญญัติ 10 ประการ ดาวิดและกษัตริย์หลายๆพระองค์ก็มีมเหสีและสนมหลายๆองค์นี่คะ และพระเจ้าไม่ได้พิโรธ พระเจ้าพิโรธตอนที่ดาวิดเอาภรรยาผู้อื่นมาเป็นของตน
2 ซามูเอล 12:9
ทำไมเจ้าดูหมิ่นพระวจนะของพระเจ้า กระทำสิ่งที่ชั่วในสายพระเนตรของพระองค์
เจ้าได้ฆ่าอุรีอาห์คนฮิตไทต์เสียด้วยดาบ เอาภรรยาของเขามาเป็นภรรยาของตน
ภาษาชาวบ้านคือ เเย่งภรรยาชาวบ้าน (เเถมยังฆ่าชาวบ้าน(สามี)อีก เหะๆ)
จริงๆเเล้วจะคิดอย่างนั้นก็ถูกค่ะถ้าอย่างนั้น ในยุคนี้ ผู้ชายจะมีภรรยาหลายคนไม่ได้เหรอ สงสัยแค่นี้แหล่ะค่ะ และถ้าเราเป็นผู้รู้เชี่ยวชาญคงไม่ต้องถามหรอก เราอ่านพระคัมภีร์ยังไม่จบเลย หรือว่าหลังพระเยซู พระเจ้าตรัสว่า มีภรรยาหรือสามีได้เพียงคนเดียว
เพราะในพันธะสัญญาเดิม เป็นการเตรียมการล่วงหน้าสำหรับพันธะสัญญาใหม่
ซึ่งพระเยซูจะทำให้ถูกต้องโดยสมบูรณ์ เเละพระองค์ก็ทำให้ถูกต้องโดยการฟื้นฟูระเบียบการเเต่งงาน
ให้กลับไปเหมือนเดิมเเต่เเรกเริ่ม (ก่อนที่บาปจะทำให้ผิดเพี๊ยนไป)
จะอธิบายก็จะยาวเเละปวดหัว เเต่ถ้าอ่านในเอฟเฟซัสบทที่5 (จริงๆน่าจะอ่านทั้งบท) ก็จะเจอ
"สามีก็จงรักภรรยาดังที่พระคริสตเจ้าทรงรักพระศาสนจักร" (อฟ 5:25)
ดังนั้นถ้าสามีจะรักภรรยาเเบบนี้ ก็ต้องไม่ปันใจไปรักคนอื่นอีก....จริงไหมคะ
ถ้าจะผิด อย่างเเรกเลยก็คือผิดต่อ"ความรัก"
กลุ่มไหนหรือคะ?และอีกเรื่องหนึ่ง เรื่องรูปเคารพ พระเจ้าตรัสว่าห้ามเคารพรูปเคารพ และทรงพิโรธที่อิสราเอลบูชารูปเคารพเยอะมาก แม้กระทั่งหลังพระเยซู อัครสาวกพอลก็บอกว่า ห้ามเคารพรูปเคารพ แล้วทำไมยังมีการเคารพรูปเคารพอยู่ในกลุ่มคริสเตียนบางกลุ่มล่ะคะ
แก้ไขล่าสุดโดย Dis volentibus เมื่อ พฤหัสฯ. พ.ย. 20, 2008 4:55 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
-
- โพสต์: 719
- ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 08, 2008 5:47 am
- ที่อยู่: กาญจนบุรี
พี่ Holy อธิบายแจ่มแจ้งมากครับ
ไว้เวลาเพื่อนถามจะได้ตอบมันถูก
ไว้เวลาเพื่อนถามจะได้ตอบมันถูก
เออ.......... อ่านพระคัมภีร์ให้จบก่อนดีกว่าไหมครับ หรือจะลองอ่านตรงนี้ดูก็ได้นะครับhoneypor เขียน: แต่ว่าหลังบัญญัติ 10 ประการ ดาวิดและกษัตริย์หลายๆพระองค์ก็มีมเหสีและสนมหลายๆองค์นี่คะ และพระเจ้าไม่ได้พิโรธ พระเจ้าพิโรธตอนที่ดาวิดเอาภรรยาผู้อื่นมาเป็นของตน ถ้าอย่างนั้น ในยุคนี้ ผู้ชายจะมีภรรยาหลายคนไม่ได้เหรอ สงสัยแค่นี้แหล่ะค่ะ และถ้าเราเป็นผู้รู้เชี่ยวชาญคงไม่ต้องถามหรอก เราอ่านพระคัมภีร์ยังไม่จบเลย หรือว่าหลังพระเยซู พระเจ้าตรัสว่า มีภรรยาหรือสามีได้เพียงคนเดียว
และอีกเรื่องหนึ่ง เรื่องรูปเคารพ พระเจ้าตรัสว่าห้ามเคารพรูปเคารพ และทรงพิโรธที่อิสราเอลบูชารูปเคารพเยอะมาก แม้กระทั่งหลังพระเยซู อัครสาวกพอลก็บอกว่า ห้ามเคารพรูปเคารพ แล้วทำไมยังมีการเคารพรูปเคารพอยู่ในกลุ่มคริสเตียนบางกลุ่มล่ะคะ
จริงๆนะที่ศาสนาทุกศาสนาถูกแบ่งเป็นหลายนิกาย ไม่ว่าจะคริสต์ พุทธ อิสลาม ทั้งๆที่น่าจะเป็นหนึ่งเดียวกันน่าจะเป็นเพราะความเห็นแตกต่างกัน เมื่อมีความเห็นก็ย่อมหมายถึงว่ายังไม่เข้าถึงความจริง เราจึงอธิษฐานต่อพระเจ้าว่าขอสติปัญญาให้รู้เห็นความจริงนั้นเถิด อาเมน
ขอบคุณ คุณ Edwardius นะ คุณHoly ด้วย
http://www.newmana.com/yabb/index.php?topic=3026.0
แล้วตอนสมัยพระเยซูเจ้าที่ผู้หญิงถูกขว้างก้อนหินเมื่อทำผิดประเวณีล่ะคะ ไม่สงสัยเหรอคะทำไมถูกขว้างก้อนหินhoneypor เขียน: แต่ว่าหลังบัญญัติ 10 ประการ ดาวิดและกษัตริย์หลายๆพระองค์ก็มีมเหสีและสนมหลายๆองค์นี่คะ และพระเจ้าไม่ได้พิโรธ พระเจ้าพิโรธตอนที่ดาวิดเอาภรรยาผู้อื่นมาเป็นของตน ถ้าอย่างนั้น ในยุคนี้ ผู้ชายจะมีภรรยาหลายคนไม่ได้เหรอ สงสัยแค่นี้แหล่ะค่ะ
ขว้างด้วยใจครับ 555+Buddy เขียน:แล้วตอนสมัยพระเยซูเจ้าที่ผู้หญิงถูกขว้างก้อนหินเมื่อทำผิดประเวณีล่ะคะ ไม่สงสัยเหรอคะทำไมถูกขว้างก้อนหินhoneypor เขียน: แต่ว่าหลังบัญญัติ 10 ประการ ดาวิดและกษัตริย์หลายๆพระองค์ก็มีมเหสีและสนมหลายๆองค์นี่คะ และพระเจ้าไม่ได้พิโรธ พระเจ้าพิโรธตอนที่ดาวิดเอาภรรยาผู้อื่นมาเป็นของตน ถ้าอย่างนั้น ในยุคนี้ ผู้ชายจะมีภรรยาหลายคนไม่ได้เหรอ สงสัยแค่นี้แหล่ะค่ะ
แล้วทำไมคิดว่า คนอื่นเค้าไม่รู้ที่มากันล่ะคะ เค้าก็รู้กันทั้งนั้นล่ะค่ะว่า พระธรรมเก่ามาจากศาสนายิว ไม่ใช่เรื่องใหม่นะคะ ไม่ต้องตื่นเต้นขนาดนั้นค่ะfernezzo เขียน: พวกท่านรู้กันหรือไม่ครับว่า กว่าที่เราจะได้เห็นได้อ่านไบเบิ้ลนั้นน่ะ รู้ไหมว่าไบเบิ้ลสร้างมาจากคำภีร์จารึกโบราหลายๆฉบับหลายๆตอน ซึ่งท่านรู้หรือไม่ว่ามีตั้งเป็นพันๆตอน แล้วหลายตอนที่ได้กล่าวถึงว่าพระเจ้าแท้จริงไม่ได้มีพระองค์เดียว ซึ่งนั่นแหละคือเหตุผลที่ว่าทำไมในไบเบิ้ลจึงมีอยู่แค่นี้ทั้งๆที่น่าจะมีมากกว่านี้หลายเท่า!! โดนปลดน่ะซีครับ คงไว้แต่จารึกที่ว่ามีพระเจ้าพระองค์เดียว ทั้งๆที่เก่าพอกัน และพิสูจน์ได้ว่าสถานที่อ้างอิงก็มีจริงๆเหมือนกัน ใครที่เป็นคนตัดสินใจว่าจารึกอันไหนควรจะได้รวมเป็นพระคำภีร์ไบเบิ้ลอย่างที่เราๆเห็นกันในปัจจุบัน? ท่านก็ไม่ทราบ!! จริงๆแล้วศาสนาคริสต์โดยเฉพาะในบทบันทึกที่อ้างอิงพระคำภีร์เก่านั้น ก็มาจากลิทธิยิวหรือยูดา ซึ่งลัทธินี้ก็มาจากตำนานของชาวสุเมเรียนโบราณอีกต่อหนึ่ง ผมถามว่าพวกท่านรู้กันหรือไม่?? ผมว่าหากพวกท่านศรัทธาจริงในพระคริสต์แล้วล่ะก็ ผมว่าควรจะศึกษาเกี่ยวกับพระคริสต์และต้นกำเนิดไปแบบให้รู้ลึกซึ้งกันดูมั่งนะครับ! ไม่ใช่อ่านแต่พรำคำภีร์อย่างเดียวแล้วพูดว่า ข้าเข้าใจพระองค์และจุดประสงค์ของพระองค์ดี แล้วหยิบยกข้อความจากพระคำภีร์ต่างๆมาอ้างนู่นนี่นะครับ จริงไหม??
อืม ไม่อ้างพระคัมภีร์ แต่อ้างแดน บราวน์
แล้วทำไมถึงคิดว่า แดน บราวน์พูดจริงล่ะคะ
มาถึงตรงนี้ขอแทรกเรื่องนี้นิดนึง มีหนังสือเล่มนึงเขียนเกี่ยวกับว่า เหตุใดคนเราถึงชอบเรื่องแปลกๆ ยังไม่ได้อ่านนะคะ แต่น่าสนใจดี ไม่รู้ใครเคยอ่านบ้าง
มันเป็นอะไรที่น่าศึกษานะคะว่า ทำไมคนเราจึงเชื่อ และทำไมคนเราจึงไม่เชื่อ
อันนี้ถามแบบไม่มีผิดมีถูกนะคะ ทำไมจึงเชื่อบทความนี้คะ
อธิบายเข้าใจมากเลยฮะพี่ แต่จริงๆเดวิดหรือซอลก็มีภรรยาหลายคนในยุคบัญญัติสิบประการนะฮะ ที่มีภรรยาหลายคนได้เพราะพระเจ้าทรงให้เป็นกรณีพิเศษHoly เขียน: จะเบี่ยงเบนประเด็นทำไมล่ะครับ แค่ยกตัวอย่าง ว่ามาตรฐานการตีความของถ้อยคำมันต่างกัน
ผมว่าคุณเองท่าจะอ่านพระคัมภีร์ไม่ละเอียดพอแล้วล่ะครับ ถึงมีมุมมองแบบนี้
รม 5:12
(12)บาปเข้ามาในโลกเพราะมนุษย์คนเดียว และความตายเข้ามาเพราะบาปฉันใด ความตายก็แพร่กระจายไปถึงมนุษย์ทุกคนเพราะทุกคนทำบาปฉันนั้น (13)ก่อนที่จะมีธรรมบัญญัติ บาปมีอยู่ในโลกแล้ว แต่เมื่อยังไม่มีธรรมบัญญัติก็ไม่นับว่าเป็นบาป (14)ถึงกระนั้น ความตายก็มีอานุภาพเหนือมนุษยชาติตั้งแต่อาดัมมาจนถึงโมเสส มีอานุภาพเหนือแม้คนที่ไม่ได้ทำบาปเหมือนกับอาดัมที่ได้ล่วงละเมิด อาดัมเป็นรูปแบบล่วงหน้าของผู้ที่จะมาในภายหลัง (15)แต่การล่วงละเมิดต่างกับของประทานให้เปล่าถ้ามวลมนุษย์ ต้องตายเพราะการล่วงละเมิดของมนุษย์คนเดียว พระหรรษทานของพระเจ้าและของประทานโดยทางพระหรรษทานจากมนุษย์คนเดียว คือพระเยซูคริสตเจ้า ก็ยิ่งสมบูรณ์ขึ้นสำหรับมวลมนุษย์
-------------------------------------
คุณคงลืมไปว่า สมัยอับราฮัมยังไม่มีบัญญัติ10ประการครับ และมาตรฐานทางศีลธรรมคือ "ประเพณีท้องถิ่น" ดังนั้นอับราฮัม มีภรรยาคือนางซารา แต่ยังไปหลับนอนกับนางฮาการ์ซึ่งเป็นทาสจึงไม่บาป เพราะธรรมเนียมสมัยนั้น การหลับนอนกับทาสหญิงเป็นสิ่งที่มีสิทธิ์ทำได้ ตัวยาโคบเองก็ แต่งงานกับนางเลอาห์ด้วยเลห์ของลุง โดยลุงอ้างว่า คนพี่ต้องแต่งงานก่อนคนน้อง จากนั้นจึงแต่งกับนางราเชลทีหลังอีกคน
2 Samuel 12:7-8
Nathan said to David, "You are the man! Thus says the LORD, the God of Israel, I anointed you king over Israel, and I delivered you out of the hand of Saul.
8And I gave you your master
หนังสือเล่มนี้น่าสนใจมากค่ะBuddy เขียน:
มาถึงตรงนี้ขอแทรกเรื่องนี้นิดนึง มีหนังสือเล่มนึงเขียนเกี่ยวกับว่า เหตุใดคนเราถึงชอบเรื่องแปลกๆ ยังไม่ได้อ่านนะคะ แต่น่าสนใจดี ไม่รู้ใครเคยอ่านบ้าง
มันเป็นอะไรที่น่าศึกษานะคะว่า ทำไมคนเราจึงเชื่อ และทำไมคนเราจึงไม่เชื่อ ::001::
อันนี้ถามแบบไม่มีผิดมีถูกนะคะ ทำไมจึงเชื่อบทความนี้คะ
ขอบพระคุณมากค่ะ
หนังสือนี้ผู้แต่งเป็นคนไร้ศาสนาและเขียนโจมตีความจริงเกี่ยวกับการสร้างโลกด้วยนะฮะ†Ecclēsia เขียน:หนังสือเล่มนี้น่าสนใจมากค่ะBuddy เขียน:
มาถึงตรงนี้ขอแทรกเรื่องนี้นิดนึง มีหนังสือเล่มนึงเขียนเกี่ยวกับว่า เหตุใดคนเราถึงชอบเรื่องแปลกๆ ยังไม่ได้อ่านนะคะ แต่น่าสนใจดี ไม่รู้ใครเคยอ่านบ้าง
มันเป็นอะไรที่น่าศึกษานะคะว่า ทำไมคนเราจึงเชื่อ และทำไมคนเราจึงไม่เชื่อ ::001::
อันนี้ถามแบบไม่มีผิดมีถูกนะคะ ทำไมจึงเชื่อบทความนี้คะ
ขอบพระคุณมากค่ะ
- ~@Little lamb@~
- Defender of lawS
- โพสต์: 9396
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:00 pm
- ติดต่อ:
ถ้างัยก็แนะนำสำหรับผู้ที่มีความเชื่อแน่นดีแ้ล้วนะจ๊ะ
ความเชื่อยังไม่แน่น อย่าเพิ่งอ่านจ้า
ความเชื่อยังไม่แน่น อย่าเพิ่งอ่านจ้า