วันที่ 6 ตุลาคม 1936 , แอนโตเนียตตายืนยันว่า
"หนูเห็นพระแม่มารีย์. ไม่ใช่ในรูปภาพนะคะ" และมกราคา 1937 เธอบอกว่า
"บางครั้งหนูเห็นพระเยซูเจ้า" เมื่อแม่ถามเธอ "หนูเห็นพระองค์เป็นอย่างไร?" แอนโตเนียตตาตอบว่า "พระองค์อยู่บนกางเขนค่ะ"
ในเดือนมีนาคม,เธอเห็นนิมิตอีก
"เมื่อวานนี้, หนูเห็นพระเยซูเจ้าทรงกลับคืนพระชนม์ชีพค่ะ"
หลังจากนั้นพระเยซูเจ้าก็มิได้ทรงประจักษ์มาให้เห็นอีก และแอนโตเนียตตาได้เขียนจดหมายในเดือนเมษายนว่า
"พระเยซูเจ้าที่รัก, หนูอยากจะเห็นพระองค์อีก หนูปรารถนาให้ทุกๆคนได้เห็นพระองค์ จริงๆนะคะ,และทุกคนจะได้รักพระองค์มากขึ้น"
ในเดือนพฤษภาคม, ขณะที่เธอกำลังบอกให้แม่ของเธอเขียนจดหมาย, เธอก็หยุดนิ่งเหมือนมีมนต์สะกด. แม่เขย่าตัวเธอ, และเมื่อเธอรู้สึกตัวเธอบอกว่า "คุณแม่รู้มั้ย, หนูเห็นพระเยซูเจ้าทรงอยู่ที่มุมของห้องนี้ค่ะ"
วันที่ 2 กรกฏาคม,หลังจากที่รับศีลมหาสนิทเป็นครั้งสุดท้าย, เธอได้บอกกับแม่ของเธอว่า
"เช้าวันนี้หนูได้เห็นพระเยซูเจ้าขณะที่กำลังรับศีลมหาสนิทค่ะ"
แอนโตเนียตตาเขียนจดหมายถึงพระเยซูเจ้ารวม 105 ฉบับ. และเขียนถึง แม่พระ, พระบิดา, พระจิตเจ้า องค์ละ 1 ฉบับ. นอกจากนี้ก็ยังเขียนถึงนักบุญอักเนส และนักบุญ เทเรซาแห่งพระกุมารเยซู คนละฉบับด้วย. จดหมายที่เขียนถึงพระเยซูเจ้า,
เธอจะขอพระหรรษทานความช่วยเหลือจากพระองค์ สำหรับคนที่อยู่ใกล้เธอ, สำหรับคนที่ขอให้เธอสวดให้และสำหรับคนบาป.
ในเดือนพฤษภาคม, แอนโตเนียตตาได้รับศีลเจิมผู้ป่วย. เป็นช่วงเวลาสุดท้ายของเธอ. แม่ของเธอเล่าว่า "หลังจากได้รับศีลเจิมผู้ป่วยแล้ว เธอมีอาการทรุดลงมาก หายใจติดขัดและไอ ทำให้เธอไม่มีความสงบเลย. เธอต้องนอนอยู่ตลอดเวลาไม่สามารถลุกขึ้นนั่งได้. และถึงแม้จะทรมานเช่นนี้เธอก็ยังคงพูดว่า
"หนูสบายดีค่ะ" ถึงจะลำบากเพียงใด,เธอก็จะสวดภาวนาเวลาเช้าและเวลาเย็นเสมอ. เธอได้ขอร้องพระสงฆ์ท่านหนึ่งไห้มาส่งศีลแก่เธอทุกวัน. หลังจากรับศีล,จะเป็นเวลาที่สงบเงียบ......เมื่อสามารถทำได้, เธอจะขอให้ฉันเขียนจดหมายตามคำบอกของเธอ.
จดหมายฉบับสุดท้ายคือวันที่ 2 มิถุนายน. และเป็นฉบับที่ส่งไปยังพระสันตปาปาปีอุสที่ 11 แม่ของเธอเล่าว่า "ฉันนั่งอยู่ข้างเตียงนอนของเธอและเขียนตามคำที่เธอพูดออกมาอย่างยากลำบาก"
"พระเยซูผู้ถูกตรึงกางเขนที่รัก, หนูรักพระองค์มาก มากจนหนูปรารถนาจะอยู่กับพระองค์บนเขากัลวารีโอ. พระเยซูเจ้าที่รัก, โปรดทูลพระบิดาด้วยว่าหนูรักพระองค์มากเช่นเดียวกัน. พระเยซูเจ้าที่รัก, โปรดประทานพละกำลังที่จำเป็นแก่หนู เพื่อให้ทนรับความเจ็บปวดเหล่านี้เพื่ออุทิศแก่คนบาป. "
เวลานั้นแอนโตเนียตตามีอาการไอและอาเจียน. แต่เมื่ออาการนี้หมดไปเธอก็พูดต่อ
"พระเยซูเจ้าที่รัก, โปรดทูลองค์พระจิตเจ้าให้ประทานความสว่างแก่หนูด้วยความรักของพระองค์และให้หนูเต็มไปด้วยพระพรเจ็ดประการของพระองค์ พระเยซูเจ้าที่รัก,โปรดบอกพระแม่มารีย์ด้วยว่าหนูรักพระแม่มากและหนูปรารถนาจะอยู่ใกล้กับพระนาง. พระเยซูเจ้าที่รัก,หนูปรารถนาจะย้ำว่าหนูรักพระองค์มาก, มากมาก. พระเยซูเจ้าผู้ทรงพระทัยดีของหนู, หนูวิงวอนขอต่อพระองค์สำหรับคุณพ่อวิญญาณของหนู. โปรดประทานพระหรรษทานที่จำเป็นสำหรับท่านด้วย หนูวิงวอนขอต่อพระองค์สำหรับพ่อแม่และมาร์เกริต้า. พี่สาวได้ส่งจูบมาให้พระองค์มากมายด้วย" ทันใดนั้นฉันก็รู้สึกอัดอั้นตันใจที่เห็นความทุกข์ทรมานของเธอและเกิดโมโหเดือดขึ้นมา ฉันขยำกระดาษจดหมายและขว้างทิ้งไปที่ลิ้นชัก.
ไม่กี่วันต่อมา, นายแพทย์มิลานี, แพทย์พิเศษขององค์สันตปาปาซึ่งถูกเชิญมาให้เป็นที่ปรึกษาโดยคุณหมอเวคชี, ก็มาเยี่ยม. เขาบอกว่าอาการของเด็กหนักมากและต้องส่งไปโรงพยาบาลเพื่อทำการผ่าตัด. เขาพูดคุยกับแอนโตเนียตตาและประหลาดใจมากที่เด็กทนความเจ็บปวดได้โดยไม่ร้องคร่ำครวญ. สามีของฉันบอกเขาเกี่ยวกับจดหมายของแอนโตเนียตตา. เขาได้ขอดูจดหมายฉบับสุดท้ายซึ่งฉันไม่กล้าปฏิเสธ. ฉันไปหยิบจดหมายจากที่ที่ฉันได้ขว้างทิ้งนั้นมาให้เขา. หลังจากอ่านจดหมาย, เขาบอกว่าเขาจะอยากจะพูดกับพระสันตะปาปาเกี่ยวกับแอนโตเนียตตาและขออนุญาตินำจดหมายฉบับนั้นไปด้วย. ฉันลังเลใจตอบว่า "แต่...ดิฉันไม่ทราบว่า....ถ้าหาก" . "คุณนายครับ." เขาพูด "นี่เรากำลังพูดเกี่ยวกับพระสันตปาปานะ"
วันรุ่งขึ้นรถของวาติกันก็มาจอดที่หน้าบ้านของเรา.
ผู้แทนองค์พระสันตปาปาถูกส่งมาเป็นการส่วนพระองค์และนำพระพรจากองค์พระสันตปาปามาให้แก่เด็กน้อย. ผู้แทนกล่าวว่า พระสันตปาปาทรงประทับใจเป็นอย่างมากเมื่อได้อ่านจดหมาย ท่านได้ให้บันทึกย่อของท่าน มีลานีแก่เราและได้ขอร้องแอนโตเนียตตาให้ระลึกถึงท่านด้วยในคำภาวนาของเธอต่อพระเยซูเจ้า.
พร้อมทั้งขอให้เธอช่วยวอนขอสำหรับท่านพระพรเดียวกับที่เธอวอนขอสำหรับตัวเอง"