คัดลอกจาก"คำนำ" ของหนังสือ"พัฒนาการวิถีชีวิตจิตคริสตชน"
โดย บาทหลวงสมชัย พิทยาพงศ์พร
...จากการอ่านศึกษาประวัติศาสตร์ด้านชีวิตจิตคริสตชนที่ดำเนินตามแนวทางแห่งพระวรสาร
เป็นชีวิตที่ดำเนินตามการดลใจของพระจิตเจ้า..(รม. 8:1-13 ; 1 คร 2:10-16)
นักบุณเปาโลกล่าวว่า.."ทุกคนที่มีพระจิตของพระเจ้าเป็นผู้นำ ย่อมเป็นบุตรของพระเจ้า" (รม.8:14)
สำหรับคริสตชน นักบุญยอห์นได้สรุปประสบการณ์การดำเนินชีวิตตามพระวรสารว่า..
"พระเจ้าทรงเป็นความรัก" (1 ยน 4:8)
และ"พระเจ้าทรงรักโลกอย่างมาก จึงประทานพระบุตรเพียงพระองค์เดียวของพระองค์
เพื่อทุกคนที่มีความเชื่อในพระบุตรจะไม่พินาศ แต่จะมีชีวิตนิรันดร" (ยน 3:16)
" ไม่มีใครมีความรักยิ่งใหญ่กว่าการสละชีวิตของตนเพื่อมิตรสหาย" (ยน 15:13)
"เราให้ท่านทั้งหลายมีชีวิต และมีชีวิตอย่างสมบูรณ์" (ยน 10:10)
บรรดาศิษย์ของพระเยซูเจ้าได้รับประสบการณ์แห่งความรักแท้ในชีวิต และในธรรมลำ้ลึกปัสกาของพระเยซูคริสตเจ้า
จึงกลับใจ และเปลี่ยนแปลงการดำเนินชีวิตใหม่ตามแนวทางแห่งพระวรสาร เกิดเป็นวิถีชีวิตจิตคริสตชน
วิถีชีวิตจิตคริสตชนมีหลักพื้นฐานเดียวกัน คือ วิถีชีวิตจิตของพระเยซูคริสตเจ้า
ซึ่งดำเนินชีวิตโดยมีพระจิตเจ้าทรงนำไปหาพระบิดา แต่การติดตามพระเยซูคริสตเจ้าของคริสตชนแต่ละคน
ขึ้นอยู่กับบุคลิกภาพ สถานการณ์ในชีวิต สภาพสังคมและวัฒนธรรม ยุคสมัย กระแสเรียก และพระพรพิเศาต่างๆ
ทำให้มัวิถีชีวิตจิตของฆารวาส ของพระสงฆ์ วิถีชีวิตจิตของนักพรต นักบวชคณะต่างๆ เช่น วิถีชีวิตจิตเบเนดิกติน
ฟรังซิสกัน อิกญาซีโอ และคาร์เมไลท์ เป็นต้น
วิถีชีวิตจิตคริสตชน
วิถีชีวิตจิตของคริสตชนจึงเปนประสบการณ์ที่เชื่อมความสัมพันธ์กับการดำเนินชีวิต
ตามแบบพระเยซูคริสตเจ้า อาศัยพระพรจากพระเจ้าที่ประทานแก่ผู้เลือกสรรให้ดำเนินชีวิต เป็นประจักษ์พยาน
ถึงวิถีชีวิตดังกล่าว ดังนั้นวิถีชีวิตจิตคริสตชนจึงสะท้อนถึงพระพรจากพระเจ้าที่ประทานแก่มนุษย์
ที่มีประวัติความเป็นมาจากประสบการณ์ของคริสตชนตั้งแต่สมัยแรกเริ่มจนถึงปัจจุบัน
ซึ่งผู้เขียนนำเสนอโดยแยกออกเป็นแปดบทดังนี้...
บทแรก กล่าวถึงวิถีชีวิตจิตคริสตชนสมัยแรกเริ่ม
ช่วงระยะเวลาประมาณสามร้อยปีแรกของพระศาสนจักรเป็นช่วงเวลาสำคัญมาก เพราะเป็นแบบอย่างของวิถีชีวิตจิต
คริสตชนสมัยต่อมา บรรดาคริสตชนสมัยแรกเริ่มดำเนินชีวิตตามพระวรสารอย่างเข้มข้น
เป็นช่วงเวลาที่ข่าวดีของพระเยซูคริสตเจ้าได้เผยแผ่ไปในที่ต่างๆอย่างรวดเร็ว บรรดาคริสตชนสมัยนั้นมีคุณภาพชีวิตคริสตชนสูง
ยืนหยัดมั่นคงในความเชื่อ เพราะการเป็นคริสตชนในสมัยนั้น ต้องเสี่ยงต่ออันตรายจากการถูกเบียดเบียนโดยผู้ปกครองจักรวรรดิโรมัน
คริสตชนหลายคนถูกทรมาน และถูกประหารชีวิตเป็นมรณสักขี Martyr คือ เป็นผู้สละชีวิตเพื่อเป็นพยานยืนยันความเชื่อตามแบบอย่าง
ของพระเยซูคริสตเจ้า ถือเป็นอุดมการณ์ของชีวิตคริสตชน
บทที่สอง กล่าวถึง วิถีชีวิตจิตนักพรตอารามวาสีในพระศาสนจักรตะวันออก
ในศตวรรษที่ 4 เมื่อการเบียดเบียนสิ้นสุดลง คริสตศาสนาได้รับการยอมรับในอาณาจักรโรมัน มีการพัฒนาจากนักพรต
ที่อยู่โดดเดี่ยว สู่วิถีชีวิตนักพรตแบบหมู่คณะ สู่วิถีชีวิตนักพรตแบบนักบุญบาซิลแห่งซีซารียา ที่รับใช้สังคม
ซึ่งเป็นต้นแบบของระบบอารามนิยมของพระศาสนจักรตะวันออก และของพระศาสนจักรออร์โธดอกซ์ ในเวลาต่อมาจนถึงปัจจุบัน
บทที่สาม กล่าวถึงวิถีชีวิตจิตนักพรตอารามวาสีในพระศาสนจักรตะวันตก
มีการพัฒนาตั้งแต่สมัยนักบุญมาร์ติน แห่งตูร์ นักบุญเยโรม ยอห์น คัสเซียน นักบุญออกัสติน
และนักบุญเบเนดิกซืแห่งเนอร์เซีย บิดาแห่งวิถีชีวิตนักพรตอารามวาสีในพระศาสนจักรตะวันตก
ท่านเป็นผู้ให้กำเนิดวัฒนธรรมยุโรป ต่อมาชาติต่างๆในยุโรปได้รัคริสตศาสนาเป็นสาสนของตน ท่านเป็นผู้เขียนพระวินัยของนักพรต
ซึ่งยังคงใช้มาอยู่จนปัจจุบัน ในยุคนี้ปิตาจารย์กรีกและลาติน เช่น ออริเจน นักบุญเกรโกรี แห่งนิซซา และ ดีโอนีซีอุส เป็นต้น
ได้วางรากฐานคำสอนเรื่องการมีประสบการณ์ตรงกับพระเจ้า Mysticism ซึ่งจะถ่ายทอดและพัฒนาในยุคต่อไป
บทที่สี่ กล่าวถึง วิถีชีวิตจิตคริสตชนสมัยกลาง
ระหว่างคริสตศวรรษที่ 5-15 ยุโรปได้รับคำสอนจากคริสตศาสนาจนได้ชื่อว่า" ยุคแห่งศรัทธา" ต้นศตวรรษที่ 13 นักบุญฟรังซิสแห่งอัสซีซี
และนักบุญเบเนดิกซ์แห่งกุชมาน ได้เป็นผู้นำการปฏิรูปชีวิตนักพรต นักบวช และฆารวาส ในการดำเนินชีวิตคามพระวรสาร
มีชีวิตสมถะ เรียบง่าย ยากจน และอุทิศตน ประกาศข่าวดีของพระเยซูคริสตเจ้า (มธ 10:7-16) ทำงานใกล้ชิดรับใช้ประชาชนในเมือง
และในปลายศตวรรษที่ 14 มีขบวนการที่เน้นการมีประสบการณ์โดยตรงกับพระเจ้า Mysticism และมีผู้ประสบการณ์โดยตรงกับพระเจ้า
Mystics ทั้งนักพรต นักบวช และฆารวาส
ตามแบบพระเยซูคริสตเจ้า อาศัยพระพรจากพระเจ้าที่ประทานแก่ผู้เลือกสรรให้ดำเนินชีวิต เป็นประจักษ์พยาน
ถึงวิถีชีวิตดังกล่าว ดังนั้นวิถีชีวิตจิตคริสตชนจึงสะท้อนถึงพระพรจากพระเจ้าที่ประทานแก่มนุษย์
ที่มีประวัติความเป็นมาจากประสบการณ์ของคริสตชนตั้งแต่สมัยแรกเริ่มจนถึงปัจจุบัน
ซึ่งผู้เขียนนำเสนอโดยแยกออกเป็นแปดบทดังนี้...
บทแรก กล่าวถึงวิถีชีวิตจิตคริสตชนสมัยแรกเริ่ม
ช่วงระยะเวลาประมาณสามร้อยปีแรกของพระศาสนจักรเป็นช่วงเวลาสำคัญมาก เพราะเป็นแบบอย่างของวิถีชีวิตจิต
คริสตชนสมัยต่อมา บรรดาคริสตชนสมัยแรกเริ่มดำเนินชีวิตตามพระวรสารอย่างเข้มข้น
เป็นช่วงเวลาที่ข่าวดีของพระเยซูคริสตเจ้าได้เผยแผ่ไปในที่ต่างๆอย่างรวดเร็ว บรรดาคริสตชนสมัยนั้นมีคุณภาพชีวิตคริสตชนสูง
ยืนหยัดมั่นคงในความเชื่อ เพราะการเป็นคริสตชนในสมัยนั้น ต้องเสี่ยงต่ออันตรายจากการถูกเบียดเบียนโดยผู้ปกครองจักรวรรดิโรมัน
คริสตชนหลายคนถูกทรมาน และถูกประหารชีวิตเป็นมรณสักขี Martyr คือ เป็นผู้สละชีวิตเพื่อเป็นพยานยืนยันความเชื่อตามแบบอย่าง
ของพระเยซูคริสตเจ้า ถือเป็นอุดมการณ์ของชีวิตคริสตชน
บทที่สอง กล่าวถึง วิถีชีวิตจิตนักพรตอารามวาสีในพระศาสนจักรตะวันออก
ในศตวรรษที่ 4 เมื่อการเบียดเบียนสิ้นสุดลง คริสตศาสนาได้รับการยอมรับในอาณาจักรโรมัน มีการพัฒนาจากนักพรต
ที่อยู่โดดเดี่ยว สู่วิถีชีวิตนักพรตแบบหมู่คณะ สู่วิถีชีวิตนักพรตแบบนักบุญบาซิลแห่งซีซารียา ที่รับใช้สังคม
ซึ่งเป็นต้นแบบของระบบอารามนิยมของพระศาสนจักรตะวันออก และของพระศาสนจักรออร์โธดอกซ์ ในเวลาต่อมาจนถึงปัจจุบัน
บทที่สาม กล่าวถึงวิถีชีวิตจิตนักพรตอารามวาสีในพระศาสนจักรตะวันตก
มีการพัฒนาตั้งแต่สมัยนักบุญมาร์ติน แห่งตูร์ นักบุญเยโรม ยอห์น คัสเซียน นักบุญออกัสติน
และนักบุญเบเนดิกซืแห่งเนอร์เซีย บิดาแห่งวิถีชีวิตนักพรตอารามวาสีในพระศาสนจักรตะวันตก
ท่านเป็นผู้ให้กำเนิดวัฒนธรรมยุโรป ต่อมาชาติต่างๆในยุโรปได้รัคริสตศาสนาเป็นสาสนของตน ท่านเป็นผู้เขียนพระวินัยของนักพรต
ซึ่งยังคงใช้มาอยู่จนปัจจุบัน ในยุคนี้ปิตาจารย์กรีกและลาติน เช่น ออริเจน นักบุญเกรโกรี แห่งนิซซา และ ดีโอนีซีอุส เป็นต้น
ได้วางรากฐานคำสอนเรื่องการมีประสบการณ์ตรงกับพระเจ้า Mysticism ซึ่งจะถ่ายทอดและพัฒนาในยุคต่อไป
บทที่สี่ กล่าวถึง วิถีชีวิตจิตคริสตชนสมัยกลาง
ระหว่างคริสตศวรรษที่ 5-15 ยุโรปได้รับคำสอนจากคริสตศาสนาจนได้ชื่อว่า" ยุคแห่งศรัทธา" ต้นศตวรรษที่ 13 นักบุญฟรังซิสแห่งอัสซีซี
และนักบุญเบเนดิกซ์แห่งกุชมาน ได้เป็นผู้นำการปฏิรูปชีวิตนักพรต นักบวช และฆารวาส ในการดำเนินชีวิตคามพระวรสาร
มีชีวิตสมถะ เรียบง่าย ยากจน และอุทิศตน ประกาศข่าวดีของพระเยซูคริสตเจ้า (มธ 10:7-16) ทำงานใกล้ชิดรับใช้ประชาชนในเมือง
และในปลายศตวรรษที่ 14 มีขบวนการที่เน้นการมีประสบการณ์โดยตรงกับพระเจ้า Mysticism และมีผู้ประสบการณ์โดยตรงกับพระเจ้า
Mystics ทั้งนักพรต นักบวช และฆารวาส
แก้ไขล่าสุดโดย ignatius เมื่อ ศุกร์ มี.ค. 06, 2009 4:55 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
บทที่ห้า กล่าวถึง วิถีชีวิตจิตคริสตชนสมัยก่อนและหลังสภาสังคายนาเตรนท์
ในศตวรรษที่ 15-17 เป็นยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการหรือยุคมนุษย์นิยม นักบุญอิกญาซีโอ แห่งโลโยลา
ผู้ตั้งคณะนักบวชเยซูอิต นักบุญเทเรซาแห่งอาวีลาและ นักบุญยอห์น แห่งไม้กางเขน
ผู้ปฏิรูปคณะนักพรตคาร์เมไลท์ทั้งชายและหญิง ได้มีส่วนช่วยปฏิรูปและฟื้นฟูพระศาสนจักร เริ่มจากการฟื้นฟูชีวิจจิตภายใน
บทที่หก กล่าวถึงวิถีชีวิตจิตคริสตชนสมัยใหม่
ในศตวรรษที่ 17-19 เป็นวิถีชีวิตจิตคริสตชนที่มุ่งรับใช้ประชาชน โดยเฉพาะคนยากจนและผู้ถูกทอดทิ้ง พระจิตเจ้าทรงนำบุคคลต่างๆ
ให้ตั้งคณะนักบวชและคณะธรรมฑูต เพื่ออุทิศตนรับใช้เพื่อนมนุษย์และทำงานธรรมฑูต
บทที่เจ็ด กล่าวถึง วิถีชีวิตจิตคริสตชนสมัยปัจจุบัน
ในศตวรรษที่ 20-21 ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากสภาสังคายนาวาติกันที่สอง (ค.ศ.1962-1965) ที่ให้แนวทางชีวิตจิตคริสตชนสำหรับ
สมาชิกทุกคน และพระศาสนจักรได้ปฏิรูปตนเองอย่างต่อเนื่องตามแนวทางของสภาสังคายนาวาติกันที่สอง และพระจิตเจ้าทรงนำให้เกิด
ขบวนการชีวิตจิตของพระศาสนจักร
และที่สุด บทส่งท้าย ซึ่งเป็นบูรณาการความรู้และนำเสนอแนวปฏิบัติด้านชีวิตจิต คือ
วิถีชีวิตจิตแห่งความเป็นหนึ่งเดียวแบบองค์รวม เพื่อช่วยฟื้นฟูชีวิตจิตครสตชนทุกคน
และเสริมสร้างความเป็นหนึ่งเดียวของมวลมนุษย์เพื่อรับใช้มนุษย์ทุกคน แลพเพื่อสืบสานพันธกิจของพระเยซูคริสตเจ้าในโลกปัจจุบัน
"เพื่อให้ทุกคนเป็นหนึ่งเดียวกัน" (ยน 17:21)
ในศตวรรษที่ 15-17 เป็นยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการหรือยุคมนุษย์นิยม นักบุญอิกญาซีโอ แห่งโลโยลา
ผู้ตั้งคณะนักบวชเยซูอิต นักบุญเทเรซาแห่งอาวีลาและ นักบุญยอห์น แห่งไม้กางเขน
ผู้ปฏิรูปคณะนักพรตคาร์เมไลท์ทั้งชายและหญิง ได้มีส่วนช่วยปฏิรูปและฟื้นฟูพระศาสนจักร เริ่มจากการฟื้นฟูชีวิจจิตภายใน
บทที่หก กล่าวถึงวิถีชีวิตจิตคริสตชนสมัยใหม่
ในศตวรรษที่ 17-19 เป็นวิถีชีวิตจิตคริสตชนที่มุ่งรับใช้ประชาชน โดยเฉพาะคนยากจนและผู้ถูกทอดทิ้ง พระจิตเจ้าทรงนำบุคคลต่างๆ
ให้ตั้งคณะนักบวชและคณะธรรมฑูต เพื่ออุทิศตนรับใช้เพื่อนมนุษย์และทำงานธรรมฑูต
บทที่เจ็ด กล่าวถึง วิถีชีวิตจิตคริสตชนสมัยปัจจุบัน
ในศตวรรษที่ 20-21 ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากสภาสังคายนาวาติกันที่สอง (ค.ศ.1962-1965) ที่ให้แนวทางชีวิตจิตคริสตชนสำหรับ
สมาชิกทุกคน และพระศาสนจักรได้ปฏิรูปตนเองอย่างต่อเนื่องตามแนวทางของสภาสังคายนาวาติกันที่สอง และพระจิตเจ้าทรงนำให้เกิด
ขบวนการชีวิตจิตของพระศาสนจักร
และที่สุด บทส่งท้าย ซึ่งเป็นบูรณาการความรู้และนำเสนอแนวปฏิบัติด้านชีวิตจิต คือ
วิถีชีวิตจิตแห่งความเป็นหนึ่งเดียวแบบองค์รวม เพื่อช่วยฟื้นฟูชีวิตจิตครสตชนทุกคน
และเสริมสร้างความเป็นหนึ่งเดียวของมวลมนุษย์เพื่อรับใช้มนุษย์ทุกคน แลพเพื่อสืบสานพันธกิจของพระเยซูคริสตเจ้าในโลกปัจจุบัน
"เพื่อให้ทุกคนเป็นหนึ่งเดียวกัน" (ยน 17:21)
บทที่ 1 วิถีชีวิตจิตคริสตชนสมัยแรกเริ่ม Early Christian Spirituality
ชีวิตเปรียบเสมือนประสบการณ์การเดินทางไปสู่หมู่บ้านเอมมาอูส ที่เปลี่ยนแปลงชีวิตพวกเขา
(ลก 24:13-43)
กลุ่มคริสตชนสมัยแรกเริ่ม เป็นแบบอย่างให้กับกลุ่มคริสตชนในสมัยต่อๆมา
ทั้งนี้เพราะทั้งพระวาจาและพระจริยวัตรของพระเยซูครสตเจ้ายังอยู่ในใจของบรรดาคริสตชนสมัยแรกเริ่ม
และบรรดาคริสตชนได้รับพระจิตเจ้า (กจ 2:1-4,17-18,33,39; 4:31;10:44)
คริสตชนสมัยแรกเริ่มจึงดำเนินชีวิตคริสตชนอย่างเข้มข้น
กลุ่มคริสตชนสมัยแรกเริ่ม หมายถึง พระศาสนจักรสมัยแรกเริ่มที่กรุงเยรูซาเล็ม (กจ 2:2-47; 4:32-35; 7:38)
ต่อมาข่าวดีของพระเยซูคริสตเจ้าได้เผยแผ่ไปและเกิดกลุ่มคริสตชนในเมืองต่างๆ เช่น อันติโอก (กจ 14:27) ซีซารียา (กจ18:22)
เอเฟซัส (กจ 19:8-10) โครินธ์ ฟิลิปปี เธสะโลนิกา กาลาเทีย และเมืองอื่นๆ ที่ได้รับการประกาศข่าวดี เมื่อนักบุญเปาโล (ค.ศ.10-67)
ไปถึงกรุงโรม มีกลุ่มคริสตชนอยู่แล้วและคริสตชนที่นี่ได้ต้อนรับท่านอย่างดี (กจ 28:14-15) เป็นต้น
วิถีชีวิตจิตในพันธสัญญาเดิม เป็นความสัมพันธ์แห่งพันธสัญญาระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์
เริ่มตั้งแต่การสร้างโลกและได้พัฒนาต่อมา ในประวัติศาสตร์แห่งความรอดพ้นพระเจ้าทรงเปิดเผยสัจธรรมเกี่ยวกับพระองค์
เกี่ยวกับโลกและมนุษย์โดยผ่านทางชนชาติอิสราเอล โดยทางบรรดาประกาศก ผู้นำ และทางเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นกับประชากรของพระองค์
การเปิดเผยความจริงของพระเจ้ามาถึงขั้นสมบูรณ์ในองค์พระเยซูคริสตเจ้า "ในอดีต พระเจ้าตรัสกับบรรพบุรุษของเราโดยทางประกาศก
หลายวาระและหลายวิธี ครั้นสมัยนี้เป็นวาระสุดท้าย พระองค์ตรัสกับเราโดยทางพระบุตร" (ฮบ 1:1-2) ในพันธสัญญาใหม่ ชีวิต กิจการ
และคำสั่งสอนของพระเยซูครสตเจ้า เป็นหนทางนำมนุษย์ไปสู่ความรอดพ้นหรือนำมนุษย์ไปหาพระเจ้า
พระเยซูเจ้าตรัสว่า..."เราเป็นหนทาง ความจริงและชีวิต ไม่มีใครไปเฝ้าพระบิดาได้ นอกจากผ่านทางเรา" (ยน 14:6)
พระเยซูคริสตเจ้าและบรรดาศิษย์
คุณพ่อ ยอห์น ฟูลเลนบัค นักเทววิทยาในสมัยปัจจุบันได้บรรยายชีวิตของพระคริสตเจ้าอย่างสั้นๆว่า....
"พระเยซูทรงบังเกิดในราว ปี 3-4 ก่อน ค.ศ. พระองค์ทรงเจริญวัยที่นาซาเร็ธ เมืองเล็กๆ ที่มีประชากรประมาณ 200-2,000 คน
ในแคว้นกาลิลี ชาวบ้านรู้จักพระองค์ในฐานะบุตรของนางมารีย์และโยเซฟ บิดาเป็นช่างไม้ มารดาเป็นแม่บ้าน พระเยซูคริสตเจ้าเองก็ทรง
ปะกอบอาชีพช่างไม้ (มก 6:3) ทำประตู วงกบ ขื่อ แป เครื่องเรือน ตู้ กล่อง แอก และไถ ฯลฯ เมื่อพระชนมายุได้ 30 พรรษา พระองค์ทรง
เริ่มพระชนมชีพเปิดเผย โดยการรับพิธีล้างจากยอห์น ผู้ทำพิธีล้าง และในช่วงเวลานี้เองพระองค์ทรงมีประสบการณ์ทางศาสนาที่
เปลี่ยนแปลงพระชนมชีพของพระองค์ พระวรสารได้กล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างยอห์น ผู้ทำพิธีล้าง และพระเยซูคริสตเจ้าไว้ว่า...
หลังจากนั้นพระองค์ได้ทรงแยกจากยอห์น ผู้ทำพิธีล้าง เสด็จไปถิ่นทุรกันดารสี่สิบวัน และทรงเริ่มประกาศข่าวดีเรื่องอาณาจักรพระเจ้า
พระองค์ทรงเรียนรู้ภาษาอารามาอิก ฮีบรู และกรีก ทรงสั่งสอนโดยใช้นิทานเปรียบเทียบและคติพจน์เพื่อชี้ให้เห็นคุณค่าทางศีลธรรม
และศาสนาอย่างชัดเจน มีเรื่องราวที่เล่าถึงการรักษาบรรดาคนเจ็บป่วยด้วยโรคภัยต่างๆมากกว่าใครในประวัติศาสตร์ของชาวยิว
บุคคลจำนวนหนึ่งได้ละทิ้งทุกสิ่ง เพื่อเป็นศิษย์ติดตามพระองค์ แต่พระองค์ก็ทรงมีศัตรูด้วย โดยเฉพาะคนรำ่รวยและผู้มีอำนาจบางคน
ทรงถูกตัดสินประหารชีวิตด้วยการตรึงกางเขนโดยผู้มีอำนาจในราวปี ค.ศ. 30 ...
ชีวิตเปรียบเสมือนประสบการณ์การเดินทางไปสู่หมู่บ้านเอมมาอูส ที่เปลี่ยนแปลงชีวิตพวกเขา
(ลก 24:13-43)
กลุ่มคริสตชนสมัยแรกเริ่ม เป็นแบบอย่างให้กับกลุ่มคริสตชนในสมัยต่อๆมา
ทั้งนี้เพราะทั้งพระวาจาและพระจริยวัตรของพระเยซูครสตเจ้ายังอยู่ในใจของบรรดาคริสตชนสมัยแรกเริ่ม
และบรรดาคริสตชนได้รับพระจิตเจ้า (กจ 2:1-4,17-18,33,39; 4:31;10:44)
คริสตชนสมัยแรกเริ่มจึงดำเนินชีวิตคริสตชนอย่างเข้มข้น
กลุ่มคริสตชนสมัยแรกเริ่ม หมายถึง พระศาสนจักรสมัยแรกเริ่มที่กรุงเยรูซาเล็ม (กจ 2:2-47; 4:32-35; 7:38)
ต่อมาข่าวดีของพระเยซูคริสตเจ้าได้เผยแผ่ไปและเกิดกลุ่มคริสตชนในเมืองต่างๆ เช่น อันติโอก (กจ 14:27) ซีซารียา (กจ18:22)
เอเฟซัส (กจ 19:8-10) โครินธ์ ฟิลิปปี เธสะโลนิกา กาลาเทีย และเมืองอื่นๆ ที่ได้รับการประกาศข่าวดี เมื่อนักบุญเปาโล (ค.ศ.10-67)
ไปถึงกรุงโรม มีกลุ่มคริสตชนอยู่แล้วและคริสตชนที่นี่ได้ต้อนรับท่านอย่างดี (กจ 28:14-15) เป็นต้น
วิถีชีวิตจิตในพันธสัญญาเดิม เป็นความสัมพันธ์แห่งพันธสัญญาระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์
เริ่มตั้งแต่การสร้างโลกและได้พัฒนาต่อมา ในประวัติศาสตร์แห่งความรอดพ้นพระเจ้าทรงเปิดเผยสัจธรรมเกี่ยวกับพระองค์
เกี่ยวกับโลกและมนุษย์โดยผ่านทางชนชาติอิสราเอล โดยทางบรรดาประกาศก ผู้นำ และทางเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นกับประชากรของพระองค์
การเปิดเผยความจริงของพระเจ้ามาถึงขั้นสมบูรณ์ในองค์พระเยซูคริสตเจ้า "ในอดีต พระเจ้าตรัสกับบรรพบุรุษของเราโดยทางประกาศก
หลายวาระและหลายวิธี ครั้นสมัยนี้เป็นวาระสุดท้าย พระองค์ตรัสกับเราโดยทางพระบุตร" (ฮบ 1:1-2) ในพันธสัญญาใหม่ ชีวิต กิจการ
และคำสั่งสอนของพระเยซูครสตเจ้า เป็นหนทางนำมนุษย์ไปสู่ความรอดพ้นหรือนำมนุษย์ไปหาพระเจ้า
พระเยซูเจ้าตรัสว่า..."เราเป็นหนทาง ความจริงและชีวิต ไม่มีใครไปเฝ้าพระบิดาได้ นอกจากผ่านทางเรา" (ยน 14:6)
พระเยซูคริสตเจ้าและบรรดาศิษย์
คุณพ่อ ยอห์น ฟูลเลนบัค นักเทววิทยาในสมัยปัจจุบันได้บรรยายชีวิตของพระคริสตเจ้าอย่างสั้นๆว่า....
"พระเยซูทรงบังเกิดในราว ปี 3-4 ก่อน ค.ศ. พระองค์ทรงเจริญวัยที่นาซาเร็ธ เมืองเล็กๆ ที่มีประชากรประมาณ 200-2,000 คน
ในแคว้นกาลิลี ชาวบ้านรู้จักพระองค์ในฐานะบุตรของนางมารีย์และโยเซฟ บิดาเป็นช่างไม้ มารดาเป็นแม่บ้าน พระเยซูคริสตเจ้าเองก็ทรง
ปะกอบอาชีพช่างไม้ (มก 6:3) ทำประตู วงกบ ขื่อ แป เครื่องเรือน ตู้ กล่อง แอก และไถ ฯลฯ เมื่อพระชนมายุได้ 30 พรรษา พระองค์ทรง
เริ่มพระชนมชีพเปิดเผย โดยการรับพิธีล้างจากยอห์น ผู้ทำพิธีล้าง และในช่วงเวลานี้เองพระองค์ทรงมีประสบการณ์ทางศาสนาที่
เปลี่ยนแปลงพระชนมชีพของพระองค์ พระวรสารได้กล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างยอห์น ผู้ทำพิธีล้าง และพระเยซูคริสตเจ้าไว้ว่า...
หลังจากนั้นพระองค์ได้ทรงแยกจากยอห์น ผู้ทำพิธีล้าง เสด็จไปถิ่นทุรกันดารสี่สิบวัน และทรงเริ่มประกาศข่าวดีเรื่องอาณาจักรพระเจ้า
พระองค์ทรงเรียนรู้ภาษาอารามาอิก ฮีบรู และกรีก ทรงสั่งสอนโดยใช้นิทานเปรียบเทียบและคติพจน์เพื่อชี้ให้เห็นคุณค่าทางศีลธรรม
และศาสนาอย่างชัดเจน มีเรื่องราวที่เล่าถึงการรักษาบรรดาคนเจ็บป่วยด้วยโรคภัยต่างๆมากกว่าใครในประวัติศาสตร์ของชาวยิว
บุคคลจำนวนหนึ่งได้ละทิ้งทุกสิ่ง เพื่อเป็นศิษย์ติดตามพระองค์ แต่พระองค์ก็ทรงมีศัตรูด้วย โดยเฉพาะคนรำ่รวยและผู้มีอำนาจบางคน
ทรงถูกตัดสินประหารชีวิตด้วยการตรึงกางเขนโดยผู้มีอำนาจในราวปี ค.ศ. 30 ...
แก้ไขล่าสุดโดย ignatius เมื่อ พฤหัสฯ. มี.ค. 12, 2009 7:00 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.