อาศัยเทศกาลมหาพรตเราเห็นอะไร?

ถาม-ตอบพระคัมภีร์ เรื่องเสริมศรัทธา ความรู้ และสาระ บทความ ในคริสตศาสนา
ตอบกลับโพส
Man of Macedonia
โพสต์: 973
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ธ.ค. 04, 2006 9:33 pm
ที่อยู่: Virtusian's House of Prayer,Thailand
ติดต่อ:

อาทิตย์ มี.ค. 08, 2009 9:17 pm

บทความที่เกี่ยวข้อง
1.มีอะไรในเทศกาลมหาพรต(ปี B)
http://www.newmana.com/yabb/index.php?topic=10223.0
2.ทางเดินแห่งศีลล้างบาปของพระศาสนจักร (สัปดาห์เทศกาลมหาพรต)
http://www.newmana.com/yabb/http://newm ... 12#p114412

*ถ้าใครคิดว่าต้องตาลายแน่ๆอ่าน พระวรสาร แล้ว อ่านบทสรุปเลย*

1.อาศัยเทศกาลมหาพรตเราเห็นบาป?

I.
:
Man of Macedonia
โพสต์: 973
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ธ.ค. 04, 2006 9:33 pm
ที่อยู่: Virtusian's House of Prayer,Thailand
ติดต่อ:

อาทิตย์ มี.ค. 08, 2009 10:05 pm

2."อาศัยศีลล้างบาป,จิตใจของข้าพเจ้าหายจากความสงสัยแล้ว ข้าพเจ้าได้ดื่มพระจิตของพระองค์ ณ สวรรค์ และกลับมาเป็นมนุษย์ใหม่"* และ "ข้าพเจ้าวางใจในธรรมล้ำลึก ไม่ใช่ตัดสินจากสิ่งที่เพียงตาเห็น ข้าพเจ้าจะมองด้วยสายตาแห่งจิตใจ"
*(S.Cyprianus,TO DONATUS(Cp.IV))
http://www.ewtn.com/library/SOURCES/DONATUS.TXT
**(S.John Chrysostom,Homily 82 on Matthew)
http://www.newadvent.org/fathers/200182.htm

................ข้อเท็จจริงที่ว่า"ใจเราเต็มไปด้วยความคิดชั่วร้าย"ไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป หากเราวางใจในธรรมล้ำลึก เพราะเราได้โอกาสให้การแก้ไขเปลี่ยนแปลงตนเองเสมอ เราจะเป็นอย่างยูดาสกระนั้นหรือ?เมื่อเรารับศีลล้างบาปวิญญาณเราได้ถูกชำระล้างให้สะอาด และที่สำคัญเราได้รับตราของพระจิตเจ้าอาศัยศีลศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งนั้นคือพระกระแสเรียกให้เราเป็นผู้รับใช้ แบกกางเขน เพื่อผู้อื่น(และใช้โทษบาปของตน)

................แน่นอน,เราอุดมด้วยบาปนานัปการ เป็นต้นว่า ความอยากอยู่อย่างสุขสบายเกินพอดี ความอยากมีทรัพย์สินวัตถุ ความอยากได้รับการยกให้สูงขึ้น เหล่านี้เป็นเครื่องขวางกั้นพระหรรษทานที่พระเป็นเจ้าจะทรงหลั่งมาอย่างไม่มีประมาณ ไหนจะ ความจองหอง,ตระหนี่,โลภ,ลามก,โกรธ,อิจฉา,เกียจคร้าน ที่จะเหนี่ยวรั้งให้ "จิตใจเราที่ใสสะอาดในวันแรกรับศีลล้างบาป สกปรกไปหลังจากวันนั้น" ฉะนั้น พระศาสนจักรจึงพัฒนาให้มีเทศกาลมหาพรต เพื่อ"ล้างจิตใจเราให้กลับมาใสสะอาดเหมือนวันแรกรับศีลล้างบาป" อย่างไรก็ตาม ประสิทธิภาพการล้างของเราจะมากหรือน้อยขึ้นกับ ฤทธิ์กุศลทั้ง 3 (รัก,เชื่อ,วางใจ)และปรีชาญาณจากพระจิตทั้ง 7(พระดำริ,ปัญญา,คิด,กำลัง,ความรู้,ยำเกรง,เชื่อ)

................ดังนั้น,เพื่อต่อสู้กับบาปความคิดชั่วร้าย เราจึงต้องมีความมั่นใจในศีลล้างบาป,ศีลกำลัง,และการรับศีลศักดิ์สิทธิ์ของเรา ต้องมีความวางใจในกิจศรัทธาของเราที่ประกอบร่วมกับพระศาสนจักรและพี่น้อง ต้องมีความรักในพระเมตตาของพระบิดาเจ้าและพระบุตร สำนึกเสมอว่าทรงสร้างเราด้วยพระทัยดี ไม่มีเจตนาให้เราต้องพินาศ แม้ใจเรามีมลทิน แต่นั่นไม่ใช่ข้ออ้างให้เราอยู่เฉยๆ จนไม่พัฒนาตัวเองให้กลายเป็นเครื่องมือนำสันติภาพของพระองค์ เพราะ การอยู่เฉยๆคือเกียจคร้าน มารต้องการให้เราเกียจคร้านจนประกาศพระวรสารไม่ได้

................"ขัดเกลาใจตัวเองไปพลาง ทำงานเพื่อพระองค์ไปพลาง"ข้อนี้สำคัญมาก หลายครั้ง คริสตชนบางคนมุ่งแต่จะขัดเกลาใจตัวเองเพียงอย่างเดียวโดยการเลียนแบบนักบุญทั้งหลาย แต่ไม่รู้ว่าคริสตชนทั้งหลายได้ระลึกหรือไม่ว่า เราเป็นฤาษีหรือ?เราเป็นชีลับหรือ? แม้กระนั้น นักบุญทั้งหลายเหล่านั้นยังได้ทำงานเพื่อพระองค์ เช่น ผลิตงานเขียน,สายประคำ,แผ่นศีล แต่เราได้ทำเช่นนั้นหรือ? หรือคริสตชนบางคนมุ่งแต่จะทำงานเพื่อพระองค์โดยละเลยการขัดเกลาใจตัวเอง พวกหลังนี้อันตราย เพราะทำให้ตีความคำสอนผิดและจะประสบหายนะ(2เปโตร2:3) ฉะนั้น ต้องดำเนินไปอย่างควบคู่กันอย่างสมดุล มิเช่นนั้น จะกลายเป็นเราขัดขวางงานประกาศพระวรสาร ซึ่งพระบิดาเจ้าทรงประสงค์ให้มนุษย์ทุกคนรอด?เราไม่ต้องการอย่างนั้นหรอกหรือ?

สรุปความที่ได้จากข้อ1

(1)แม้ใจเราเป็นมลทิน แต่เรามีโอกาสขัดเกลาเสมอ อาศัยศีลศักดิ์สิทธิ์
(2)แม้ใจเราเป็นมลทิน แต่พระเจ้าทรงเรียกร้องให้เรา"ทำงานรับใช้"เสมอ

(3)แม้ใจเราเป็นมลทิน แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาเพราะเรา"วางใจ"ในพระองค์
(4)แม้ใจเราเป็นมลทิน แต่ท้ายที่สุดมลทินนั้นจะถูกขจัดออกไป จิตวิญญาณเราจะสะอาดและบังเกิดใหม่อีกครั้ง เหมือนแรกรับศีลล้างบาป อาศัยเทศกาลมหาพรต

(5)แม้ใจเราเป็นมลทิน แต่ไม่ได้หมายความว่า ให้เรามุ่งแต่ขจัดมลทินโดยไม่ต้องทำงาน
(6)ต้องระวัง การทำงาน โดยไม่ขจัดมลทิน นั่นเป็นหนทางแห่งความหายนะ

ปล.(22.00แล้ว ผมมีนัดในคำภาวนา ขอตัวสักครู่)
(มีต่อ)
แก้ไขล่าสุดโดย Man of Macedonia เมื่อ อาทิตย์ มี.ค. 08, 2009 10:24 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
Man of Macedonia
โพสต์: 973
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ธ.ค. 04, 2006 9:33 pm
ที่อยู่: Virtusian's House of Prayer,Thailand
ติดต่อ:

อาทิตย์ มี.ค. 08, 2009 10:55 pm

3.

3.1 ข้าแต่พระเป็นเจ้า,ข้าพเจ้าเป็นทุกข์เสียใจที่ได้กระทำบาป เพราะบาปเรียกร้องอาชญาของพระองค์ แต่เป็นต้นเพราะมันทำเคืองพระทัยพระองค์ ซึ่งดีและน่ารักยิ่ง เดชะพระหรรษทานช่วย ข้าพเจ้าตั้งใจแน่วแน่ว่า จะไม่กระทำบาปอีกเลย ทั้งจะอุตส่าห์ใช้โทษ ขอทรงพระกรุณายกบาปแก่ข้าพเจ้าด้วยเถิด(อาแมน)

3.2 เป็นการเหมาะสมถูกต้องแท้จริง ทั้งเป็นมิ่งมงคลบันดาลให้ข้าพเจ้าทั้งหลายได้รอด ที่จะขอบพระคุณพระองค์ตลอดกาล ณ ทุกสถานแห่งหน ข้าแต่พระบิดาเจ้าผู้ศักดิ์สิทธิ์สถิตนิรันดร พระเป็นเจ้าผู้ทรงสรรพานุภาพ เดชะพระบารมีพระคริสตเจ้าของข้าพเจ้าทั้งหลาย

"พระองค์ท่านมิทรงกระทำผิดแต่ประการใด แต่ก็ได้ทรงยอมรับทรมานเพื่อคนอสัตย์อธรรม ได้ทรงรับโทษอย่างอยุติธรรมเพื่อคนชั่วช้าสามานย์ การสิ้นพระชนม์ของพระองค์ท่าน ได้ชำระล้างข้าพเจ้าทั้งหลายให้พ้นบาป การกลับคืนพระชนม์ชีพของพระองค์ท่าน ทำให้ข้าพเจ้าทั้งหลายกลายเป็นผู้ชอบธรรม"

ดังนั้น ข้าพเจ้าทั้งหลายพากันถวายพระเกียรติสดุดี พร้อมกับเทพนิกรและบรรดานักบุญเป็นนิจกาล
(บทเริ่มขอบพระคุณ,วันอาทิตย์ใบลาน)

3.3 โปรดทรงส่งพระปรีชาญาณจากสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ และจากพระบัลลังก์รุ่งโรจน์ของพระองค์ เพื่อจะได้อยู่เคียงข้างและร่วมงานกับข้าพเจ้า สอนข้าพเจ้าให้รู้ว่าสิ่งใดเป็นที่พอพระทัยพระองค์ พระปรีชาญาณรู้และเข้าใจทุกสิ่งจะนำข้าพเจ้าด้วยความรอบรู้ในกิจการต่างๆของข้าพเจ้า และจะคุ้มครองข้าพเจ้าด้วยสิริรุ่งโรจน์ของตน แล้วกิจการของข้าพเจ้าจะเป็นที่พอพระทัยพระองค์(ปรีชาญาณ 9:10-12)

4.
"ข้าแต่พระเจ้า,แม้ใจข้าพระองค์จะมีความคิดชั่วร้าย แต่พระองค์ก็ได้ทรงพระเมตตา ทำเครื่องหมายให้ข้าพระองค์เป็นลูกแกะของคริสตเจ้า เป็นทหารแห่งอาณาจักรสวรรค์ อาศัยพระเมตตานี้ ข้าพระองค์มุ่งมั่นทำความเข้าใจความคิดชั่วร้าย และเต็มใจขจัดมันออกจากดวงจิต"(เทียบ  Theodore of Mopsuestia ,Catechetical Homilies 13)

5.

ข้อแนะนำสำหรับผู้ที่ตั้งใจขัดเกลาบาป

(1)ต้องยอมรับว่าเราเป็นคนบาป เราไม่ต้องเสียเวลาไปถกเถียงทางเทววิทยาว่า ทำไมเราจึงบาป,หรือเรามีบาปกำเนิดหรือไม่ เราควรหันมาพิจารณาว่า ณ ขณะนี้ เรายังบกพร่องอยู่ และ ความบกพร่องนี้เรียกร้องให้เราต้องขัดเกลา เพราะถ้าไม่ขัดเกลาจิตใจเราจะตายทางวิญญาณ ไม่สามารถทำงานสนองความรักพระเป็นเจ้าได้

(2)ต้องยอมรับว่าผลของการขัดเกลามีหลายระดับ กล่าวคือ เรามักฝันถึงผลในอุดมคติคือเราขัดเกลาบาปได้อย่างสิ้นเชิง แต่ในความเป็นจริง ผลแห่งการขัดเกลาอาจจะแตกต่างกันไป เปรียบได้กับ การถอนหญ้า(หญ้า-บาป) บางทีเราใช้เพียงจอบถากหญ้าออก บางทีเราใช้มือถอนออก หรือบางคนใช้ยาฆ่าหญ้า(แต่มีผลให้ดินเสีย) อุดมคติเราคือ แปลงของเราไม่มีหญ้าขึ้นตลอดไป แต่ในความเป็นจริง เดี๋ยวมันก็งอกใหม่ "เราสู้กับมันต่อไป" (แล้วไปทำให้มันหายไปสิ้นเชิง ในไฟชำระ)

(3)ต้องยอมรับว่าศีลศักดิ์สิทธิ์มีผลแท้จริงในการบรรเทาบาป และ/หรือ ผลของมัน ฉะนั้น พระศาสนจักรเรียกร้องให้เราหวนกลับไประลึกถึงศีลศักดิ์สิทธิ์ ในเทศกาลมหาพรต คำพูดนี้รวมไปถึง กิจศรัทธาทั้งหลาย ได้แก่ การเดินรูป 14 ภาค,การสวดสายประคำ

(4)ต้องเรียนรู้ที่จะขัดเกลาความบกพร่องสำคัญของตัวเองก่อน เช่น พฤติกรรมไม่รับฟังความเห็นผู้อื่น,พฤติกรรมไม่เพียรทน หรือแม้กระทั่ง ปรากฎการณ์คลอนแคลนทางความเชื่อ เพราะสิ่งเหล่านี้ ทำให้คริสตชนเราแล่นเรือออกที่ลึกไม่ได้ ทำให้เราไม่กล้าหาญจะประกาศพระวรสารแท้จริง อาศัยพระจิตเจ้าทรงนำ ข้อนี้ ไม่ใช่เรื่องเลวร้าย ทุกคนมีได้ แต่เราต้องยอมรับตัวเองว่ามี

(มีต่อ)
ภาพประจำตัวสมาชิก
ignatius
.
.
โพสต์: 2597
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. ก.พ. 07, 2008 12:48 pm

จันทร์ มี.ค. 09, 2009 1:15 pm

บทความดีมากๆ ขอบคุณ...นะคะ  ::001:: 
Man of Macedonia
โพสต์: 973
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ธ.ค. 04, 2006 9:33 pm
ที่อยู่: Virtusian's House of Prayer,Thailand
ติดต่อ:

จันทร์ มี.ค. 09, 2009 8:36 pm

"In rebus autem unumquodque tantum habet de bono,quantum habet de esse:bonum enim et esse convertuntur"
(S.Thomas Aquinas,Summa theologiae I-II,)
http://www.newadvent.org/summa/2018.htm

แปล:การกระทำของมนุษย์ จะ"มีภาวะความดี"ถ้าการกระทำนั้นบริบูรณ์ และจะ"มีภาวะไม่ดี"เมื่อการกระทำนั้นไม่บริบูรณ์-นักบุญโทมัส เขียน แถลงประโยคนี้โดยยืนบนพื้นฐานของเรื่อง "สัต(Being)"

หมายความว่าอย่างไร:

(1)ในชีวิตคริสตชนเราเห็นการกระทำที่บริบูรณ์ที่ใด?
ตอบ "สำเร็จบริบูรณ์แล้ว"(ยอห์น 19:30) เป็นคำตรัสของพระเยซูเจ้าเนื่องจากพระองค์ทรงทราบว่ากระทำทุกสิ่งสำเร็จแล้ว(ยอห์น 19:28) คือ พระภาระกิจที่พระบิดาทรงมอบให้ นั่นคือ การไถ่กู้มนุษยชาติ อันเป็นภาวะความดี ที่อยู่ในระดับ"ดีบริบูรณ์" ด้วยเหตุผลนี้ เราจึงมั่นใจเรียกพระองค์ว่า "องค์แห่งความดีบริบูรณ์"

(2)"ท่านจงเป็นคนดีอย่างบริบูรณ์ ดังที่พระบิดาเจ้าสวรรค์ของท่าน ทรงความดีบริบูรณ์"(มัทธิว 5:48)
ตอบ อะไรที่จะทำให้เรา ดีอย่างบริบูรณ์ได้?คำตอบคือ การกระทำดีที่บริบูรณ์ ซึ่งพระเยซูเจ้าทรงเผยแสดงให้เราทราบแล้วในพระวรสาร แต่จะยกตัวอย่างที่สำคัญมาดังนี้
(2.1)บทภาวนาของพระเยซูเจ้า(มัทธิว 6:9-13)
"ข้าพเจ้าไม่เห็นว่า จะมีบทภาวนาใดที่รวบรวมสาระสำคัญแห่งพระวรสารไว้ครบถ้วนเท่าบทภาวนาของพระเยซูเจ้า"(นักบุญออกัสติน) ซึ่งเมื่อนำมาเป็นตัวตั้ง จะสามารถขยายไปหา บุญลาภได้(มัทธิว 5:3-12)

(3)"ความดีบริบูรณ์"(ลูกา 6:39-45)
ตอบ (แล้ว)อะไรที่จะทำให้เรา การกระทำดีที่บริบูรณ์?คำตอบคือ "การยอมรับความจริงของตัวเอง":ทำไมท่านจึงมองดูเศษฟางในดวงตาของพี่น้อง แต่ไม่สังเกตเห็นท่อนซุงในดวงตาของตนเลย(ลูกา 6:41) ข้อนี้ เป็นสิ่งที่เรามนุษย์มักเผลอเรอหลงลืมมากที่สุด!หลายต่อหลายครั้งเราคิดว่า เราเห็นความจริงจากภายนอกมากมาย เป็นต้นว่า พระวรสาร แต่หลายต่อหลายครั้งอีกเช่นกัน ที่เราไม่ยอมรับความจริงว่าเราปฏิบัติตนไม่สอดคล้องกับหลักพระวรสาร(ทำให้เรามองเมิน หรือไม่นึกถึงมัน หรือมีข้ออ้าง) "แม้ว่าพระวาจาจะขัดต่อความรู้สึกของเรา แต่เราควรมีความวางใจ มั่นใจ และเชื่อ เราต้องรักษาพระวาจาไว้ในใจเรา"(S.John Chrysostom,Homily 82 on Matthew)หากเราไม่ยอมรับความจริงของตัวเองข้อนี้(ที่ว่า เราละเลย)เราไม่มีทางกระทำดีบริบูรณ์ได้ อย่างที่เราตั้งใจเลย

ข้อเท็จจริงของตัวเรา:

(1)เป็นการยากที่เราจะก้าวไปสู่ความดีบริบูรณ์ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเป็นไปไม่ได้!
................ถ้าใครสักคนคิดว่าการก้าวไปสู่ความดีบริบูรณ์นั้นยาก แสนยาก และไม่"หวัง"จะเดินไปให้ถึง ให้เปลี่ยนความคิดใหม่ เพราะคุณจะเห็นว่า"ความหวัง"คุณน้อยเกินไปแล้ว เกรงว่ามันจะฉุดความรักและความเชื่อของคุณเอง อย่าไปโยนว่า ค่อยเข้าไฟชำระเอา! เป็นความจริงว่า เราอาจบรรลุความดีบริบูรณ์ได้ในปัจจุบันนี้(แต่ไม่รู้เมื่อไหร่ ถึงก็ถึง ไม่ถึงก็ไม่ถึง ตามน้ำพระทัยอาศัยพระจิต)

(2)ความคิดชั่วร้าย(ดู Reply ก่อนหน้า)เป็นอุปสรรคต่อการก้าวไปสู่ความดีบริบูรณ์
................จึงต้องศึกษาความคิดชั่วร้ายให้เข้าใจเพราะมันเป็นปัจจัยเดียวที่เป็นอุปสรรคต่อการก้าวไปสู่ความดีบริบูรณ์ มันมีความตลบแตลงมาก  สิ่งที่ดูเหมือนจะ"ดี"กลับไม่ดี เป็นต้นว่า ความศรัทธาที่มากเกินไป ทำให้กลายเป็นพวกคลั่งศาสนา ทำอะไรที่ขัดกับพระวรสาร อาศัยความจองหอง(คิดว่าตัวเองศรัทธากว่าคนอื่น) จุดนี้ เราสามารถศึกษาได้จากประวัติศาสตร์ มิใช่เพื่อตีค่าว่าดีหรือไม่ดี(จะไปยุ่งกับเรื่องตัดสินทำไม?) แต่ให้ศึกษาเพื่อให้รู้ว่า อะไรน่าจะเป็นบทเรียนให้เราได้ อะไรเตือนใจเรา

(3)ในชีวิตประจำวัน เราควรพิจารณาตัวเอง อาศัยแก่นใจแห่งความลี้ลับเรียก"มโนธรรม"
................หลายคนนิยามว่า"การสำรวจมโนธรรม" เรารู้จักมโนธรรมได้มากขึ้น จากพระสมณสาสน์ Gaudium et Spes,เทียบคำสอนพระศาสนจักรข้อ 1776 ความว่า มนุษยชาติค้นพบกฎเกณฑ์แห่งมโนธรรมโดยอิสระซึ่งเขาได้เชื่อฟังอย่างไม่มีเงื่อนไข กฎเกณฑ์นั้นคือ"จงมีความรัก จงทำดี และ หลีกหนีความชั่ว"(หลักการสากล) กฎเกณฑ์นี้ปรากฎตัวในรูปของเสียงที่กล่าวกับเราว่า"อย่าทำสิ่งนั้น ให้ทำสิ่งนี้แทนเถิด"นั่นแหละ!คือสิ่งที่พระเจ้าทรงจารึกไว้ในหัวใจมนุษยชาติ การแสดงความนบนอบต่อพระองค์ด้วยการทำดี หลีกหนีความชั่ว ดำรงตนในความรัก เป็นศักดิ์ศรีของมนุษยชาติ (อันมนุษย์ย่อมได้รับผลตามที่กระทำนั้น-เทียบโรม 2:14-16) แก่น(nucleus)ของมโนธรรมคือส่วนที่อยู่ลึกที่สุด นั่นคือ เร้นลับที่สุด ณ ที่นั้น มโนธรรมได้กลายเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์สำหรับเข้าเฝ้าเฉพาะพระพักตร์พระเป็นเจ้า อันพระองค์จะทรงตรัสกับเราในมโนธรรมนั้น เหตุนี้มวลมนุษยชาติย่อมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับคริสตชนในการแสวงหาเครื่องหมายแห่งความจริง และกฎเกณฑ์เรื่องมโนธรรม เป็นหนึ่งในตัวอย่างของความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันนั้น
In imo conscientiae legem homo detegit, quam ipse sibi non dat, sed cui obedire debet, et cuius vox, semper ad bonum amandum et faciendum ac malum vitandum eum advocans, ubi oportet auribus cordis sonat: fac hoc, illud devita. Nam homo legem in corde suo a Deo inscriptam habet, cui parere ipsa dignitas eius est et secundum quam ipse iudicabitur (17). Conscientia est nucleus secretissimus atque sacrarium hominis, in quo solus est cum Deo, cuius vox resonat in intimo eius (18). Conscientia modo mirabili illa lex innotescit, quae in Dei et proximi dilectione adimpletur (19). Fidelitate erga conscientiam christiani cum ceteris hominibus coniunguntur ad veritatem inquirendam et tot problemata moralia, quae tam in vita singulorum quam in sociali consortione exsurgunt, in veritate solvenda. Quo magis ergo conscientia recta praevalet, eo magis personae et coetus a caeco arbitrio recedunt et normis obiectivis moralitatis conformari satagunt. Non raro tamen evenit ex ignorantia invincibili conscientiam errare, quin inde suam dignitatem amittat. Quod autem dici nequit cum homo de vero ac bono inquirendo parum curat, et conscientia ex peccati consuetudine paulatim fere obcaecatur.


(มีต่อ)
แก้ไขล่าสุดโดย Man of Macedonia เมื่อ จันทร์ มี.ค. 09, 2009 8:39 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
Man of Macedonia
โพสต์: 973
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ธ.ค. 04, 2006 9:33 pm
ที่อยู่: Virtusian's House of Prayer,Thailand
ติดต่อ:

จันทร์ มี.ค. 09, 2009 9:14 pm

(4)เราพิจารณามโนธรรมของตน เพื่อให้รับรู้ความจริงอย่างเรียบง่ายว่า เราดำเนินชีวิตตามพระสุรเสียงของพระองค์หรือไม่?
................ข้อนี้จะไม่อธิบายเชิงทฤษฎีเอาปฏิบัติเลยแล้วกัน ถือซะว่าเป็นการแบ่งปัน กล่าวคือ ผู้เขียนไม่ค่อยได้พิจารณามโนธรรมอาศัยความเงียบมากนัก จะอาศัยความเงียบก็ต่อเมื่อ Lectio Divina ซึ่งก็ทำวันละ 2 ครั้งเป็นอย่างมาก ส่วนใหญ่พระเป็นเจ้ามักโปรดให้ผู้เขียนประสบเหตุที่ต้องใช้"ตรรกะ"ว่า เหตุการณ์นี้เป็นอย่างไร แก้อย่างไร ไอ้นี่ล่ะต้องใช้เสียงในใจล่ะ ซึ่งเสียงในใจของผู้เขียนนี้ ไม่ใช่เสียงพระเจ้า ไม่มีเสียงตรัสอะไรทั้งนั้น (และผู้เขียนไม่ชอบพูดกับตัวเอง จึงไม่ใช่เสียงตัวเองอีก) แต่คือการไหลลื่นออกไป เหมือนเขียนบรรทัดนี้ไป แล้วหยุดคิด และคิดบรรทัดต่อไปได้ทันที คิดอย่างไรก็ออกมาอย่างนั้น ผู้เขียนเองค่อนข้างวางใจพระจิตเรื่องนี้พอสมควร ว่าสิ่งที่ออกมามันอยู่ภายใต้"การนำไปสู่สิ่งที่ดี"(อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนมีความบกพร่องมาก การสื่อความอาจเขวได้) และบ่อยครั้งความเชื่อมั่นนี้ ก็เป็นเหตุให้ต้องใช้ความเงียบ Lectio Divina เพราะมันอาจเกิดความคิดไม่ดีได้ ใกล้จะจองหอง 555+ แต่บางครั้ง ผู้เขียนก็เหมือนถูกพระเรียกออกให้ไปรบทั้งๆที่ใส่ชุดนอน อันนี้ปัญหาเกิด เพราะเราคิดว่าตัวเราไม่พร้อม แต่ก็ต้อง"ข้าพเจ้าพร้อมแล้วพระเจ้า ข้าพเจ้ายินดีทำตามน้ำพระทัย"(หลายคนน่าจะเคยเป็น) ทีนี้ หลังจากไปรบกับเรื่องยุ่งๆทั้งหลายเสร็จ นั่นล่ะเป็นเวลาที่ต้องพินิจแล้วว่า มีแผลอะไรหรือเปล่า ถ้ามี!(ส่วนใหญ่มี) ก็ไปถวายรายงานต่อพระเป็นเจ้าที่วัดเสีย รับศีลมหาสนิท แก้บาป(สำคัญเพราะคุณพ่อที่ปรึกษาของตัวเราเองจะแนะนำเรา บรรเทาใจเรา,หรือไม่จำเป็นก็ได้ เป็นพ่อคนใดก็ได้???(ผมค่อนข้างล๊อกคุณพ่อที่ฟังแก้บาปจึงไม่มีประสบการณ์ว่า เราแก้บาปกับใครก็ได้หรือไม่ โดยทฤษฎีคือได้ แต่โดยปฏิบัติล่ะ??นี่เปนความเห็นส่วนตัวจริงๆ)
................ "มโนธรรมเราจะเที่ยงตรงไม่ได้เลย ถ้าห่างพระ"(ซึ่ง ถ้ามโนธรรมเราไม่เที่ยง ไม่ชัด จะก้าวไปสู่ความดีบริบูรณ์ได้อย่างไร?ไม่ได้เลย!!)การใกล้ชิดพระ สำหรับผู้เขียน คือ รับใช้พระ ผู้เขียนไม่ถือว่า การทำกิจศรัทธาเป็นการรับใช้นั่นมันคือสิ่งที่ต้องทำต่างหาก!!! การรับใช้คือการทำงานตามรับสั่ง(จะรู้ได้ไงว่าสั่งอะไร?ก็ให้สังเกตจากชีวิตเราสิ!เราเห็นคนทำดี เราอวยพรเขาไหม เราเห็นคนด้อยโอกาสเราภาวนาให้เขาไหม?)ภาระงานอย่างหนึ่งคือ การใช้การกระทำของตัวเราประกาศพระวรสาร ! อยากแบ่งปันตามนี้ว่า เราเป็นคนรับใช้ เรามีกิจที่ต้องทำในฐานะคนใช้อยู่แล้ว และยังมีกิจพิเศษที่เจ้านายสั่งเราแต่ละคนเป็นพิเศษ(อาจไม่เหมือนกัน) ทั้งยังมีกิจที่ต้องแสดงออกต่อผู้อื่นว่า เราเป็นคนรับใช้ผู้มีความสุขเพราะเจ้านายเราช่างมีน้ำใจดี บางครั้งนายใช้เราไปทำงาน เป็นสิ่งที่เราต้องทำอยู่แล้วที่จะกลับมารายงานนายทุกสัปดาห์ นอกจากกลับมารายงานนาย(ที่วัด)แล้ว เรายังต้องร่วมรับประทานอาหารกับนาย ให้นายถามเรา ให้เราแสดงความนบนอบในนาย เราจะเป็นคนใช้ที่หลบๆซ่อนๆนายหรือ?ความจริงคือเราซ่อนตัวเราจากนายไม่ได้อยู่แล้ว แต่เราหลอกตัวเองว่าซ่อนได้ นายรู้ทุกอย่าง ยิ่งไปกว่านั้น นายยังเรียกร้องให้เราพัฒนาตนเองให้เหมือนนายเสียด้วย จากข้อเรียกร้องหลังนั่นคือเรื่องของการก้าวไปสู่ความดีบริบูรณ์ และเหตุนี้จึงต้องให้ความสำคัญมโนธรรม และจะให้ความสำคัญมโนธรรมอย่างแท้จริงได้ ต้องไม่ห่างพระ
แก้ไขล่าสุดโดย Man of Macedonia เมื่อ จันทร์ มี.ค. 09, 2009 9:28 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
Man of Macedonia
โพสต์: 973
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ธ.ค. 04, 2006 9:33 pm
ที่อยู่: Virtusian's House of Prayer,Thailand
ติดต่อ:

พุธ มี.ค. 11, 2009 11:36 pm

ในโอกาสที่จะฉลองบ้านเณรเล็ก,จึงยกพระสมณสาส์นนักบุญยอแซฟมาดังนี้

แก้ไขล่าสุดโดย Man of Macedonia เมื่อ พุธ มี.ค. 11, 2009 11:40 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ตอบกลับโพส