+++ --- เทววิทยา เรื่อง วาระสุดท้ายของมนุษยชาติ --- +++

ถาม-ตอบพระคัมภีร์ เรื่องเสริมศรัทธา ความรู้ และสาระ บทความ ในคริสตศาสนา
ตอบกลับโพส
ภาพประจำตัวสมาชิก
Holy
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 10011
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:06 pm

อังคาร มี.ค. 17, 2009 2:13 am

อันตวารวิทยา (Eschatology)
ตามศัพท์ “อันตะ” แปลว่าปลายหรือสุดท้าย “วาระ” แปลว่า ช่วง “วิทยา” แปลว่าวิชา ดังนั้นอันตวารวิทยาเป็นวิชาว่าด้วยวาระสุดท้ายของมนุษยชาติ เป็นภาคหนึ่งของเทววิทยากล่าวถึงเรื่องราวที่จะเกิดแก่มนุษย์ในยุคสุดท้าย หรือในอันตวารสมัย (Eschatologicalperiod) ความจริงเกี่ยวกับสิ่งสุดท้ายเรียกว่า “อันตวารธรรม” (Eschatological truths) ซึ่งได้แก่สิ่งสุดท้าย 4 ประการคือ ความตาย การพิพากษา สวรรค์ นรก ตามคำสอนในเทววิทยาเก่า ส่วนเทววิทยาใหม่ระบุอันตวารธรรมในลักษณะพระคริสต์ครองราชย์ในยุคสุดท้าย ทุกคนจะกลับคืนชีพ จะมีการพิพากษาประมวลพร้อม และชีวิตนิรันดร

---------------------------------------------------------------------------------

อันตวารวิทยา
(เทียบบทความใน Encyclopedia of Theology, pp. 434-433 โดย Karl Rahner)

1.ประวัติ

อันตวารวิทยายังไม่มีประวัติการศึกษาอย่างจริงจัง ในอดีตมักจะพูดถึงเหตุสุดท้ายทั้ง 4 คือ ความตาย การพิพากษา สวรค์ นรก และมักจะพูดในลักษณะเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนมากกว่า เช่น พระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 12 สอนว่า ผู้ชอบธรรมเมื่อได้รับการชำระอย่างสมบูรณ์แล้วจะได้เห็นพระเจ้า และผู้ที่ตายในบาปหนักจะต้องได้รับโทษในนรกก่อนถึงวันพิพากษาประมวลพร้อม (D 350 f Benedictus Deus) อันที่จริง อันตวารวิทยาเป็นวิชาที่มีเนื้อหากว้างกว่านี้มากนัก ตามความหมายของศัพท์ “อันตวาระ” หมายถึง เวลาที่มีความต่อเนื่องนับตั้งแต่ต้นจนปลาย ซึ่งรวมทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในระหว่างวาระทั้งสอง คือ เหตุการณ์ทั้งในอดีต ปัจุบันและอนาคต รวมเป็นหนึ่งกระบวนการที่เคลื่อนไปสู่เป้าหมายสุดท้าย และเป้าหมายสุดท้ายของการสร้างของพระเจ้าคือ ความรอดของมวลมนุษย์และของโลก ดังนั้นอันตวารวิทยาเป็นวิชาที่ต้องศึกษาเรื่องเกี่ยวกับความรอดในขั้นสมบูรณ์สุดท้าย ซึ่งมิใช่เป็นเรื่องความรอดนิรันดรของแต่ละบุคคลเท่านั้น แต่เป็นเรื่องสถานภาพสมบูรณ์ในยุคสุดท้ายของมนุษยชาติและของโลก ปัจจุบันการศึกษาอันตวารวิทยาในแนวใหม่นี้ เริ่มมีบ้างแล้วโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในหมู่นักเทววิทยาโปรเตสแตนท์ (W.M.L de Methe, J. Weiss, A. Schweitzer, m. Warner, R. Bultmann) แต่ยังอยู่ในขั้นเริ่มต้น และขาดหลักการที่ถูกต้อง

รูปภาพ

2. ข้อเสนอแนะ

ก. อันตวารวิทยาต้องไม่เป็นวิชารายงานสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต (แบบผู้ทำนาย) แต่เป็นวิชาศึกษาอนาคตของมนุษยชาติที่ได้รับการไถ่และการกำหนดในองค์พระเยซูคริสต์แล้ว ทั้งนี้เพื่อช่วยมนุษย์ในการตัดสินใจเกี่ยวกับอนาคต การตัดสินใจของเขานั้นมีความหมาย 2 อย่างคือ เป็นการยอมรับแผนเดิมของพระเจ้าดังที่มีบันทึกในตำนานสวนเอเดน (กลับสู่สวนสวรรค์ ณ แผ่นดิน) และอนาคตที่เขากำลังรอคอยด้วยความหวังนั้น อันที่จริงเริ่มต้นแล้วในปัจจุบันในลักษณะแน่นอนแม้ไม่เปิดเผย ที่ว่าไม่เปิดเผยก็เพราะว่า ทุกอย่างในอันตวาระเป็นสิ่งที่พระเจ้าเท่านั้นทรงกำหนด ไม่ขึ้นกับสิ่งใด ๆ ทั้งสิ้น ถ้ามองอันตวาระได้เช่นนี้เราจะยินดีรับทนความขัดแย้งต่าง ๆ ที่มีอยู่ในปัจจุบัน เช่น โลกกับพระคริสต์ การทะเลาะวิวาท สงคราม ภัยธรรมชาติและความตาย ทั้งนี้เพื่อมีส่วนร่วมในพระทรมานของพระเยซูคริสต์เพื่อความรอดของโลก

ข. จำต้องมีกฎเกณฑ์สำหรับแปลความหมาย (hermeneutics) ในข้อความที่เกี่ยวกับอันตวาระทั้งในพระคัมภีร์และในเทววิทยา กฎเกณฑ์ดังกล่าวต้องยึดแก่นความหมายของอันตวารวิทยา ดังได้กล่าวไว้ในข้อ 2 ก. ซึ่งอันที่จริงได้พื้นฐานมาจากพระคัมภีร์นั่นเอง (เอกภาพของประวัติศาสตร์ซึ่งเป็นกระบวนการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ความล้ำลึกของพระเจ้าสุดที่จะเข้าใจได้เอกภาพของมนุษย์ซึ่งมีกายและวิญญาณ ความรอดเป็นเป้าหมายสมบูรณ์ของมนุษย์ทั้งในส่วนตัวและส่วนรวม ฯลฯ) อนึ่งพระคัมภีร์ใช้ภาษาอุปมา หรือตัวอย่างเปรียบเทียบหลายอย่างเพื่อให้เกิดภาพพจน์เราต้องรู้จักแยกให้ออกว่าอะไรเป็นอุปมาหรือตัวอย่างเปรียบเทียบและอะไรเป็นความจริงที่อุปมาหรือตัวอย่างเปรียบเทียบนั้นต้องการบ่งชี้ ตัวอย่างเช่น วันสิ้นพิภพจะเป็นวันที่มีไฟบรรลัยโลก จะเป็นวันพิพากษาประมวลพร้อมจะเป็นวันชัยชนะของบรรดานักบุญออกไปต้อนรับพระเยซูคริสต์ ฯลฯ

อุปมาและตัวอย่างเปรียบเทียบเหล่านี้ เราจะตีความแง่เดียวไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นแง่การทำนายเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นตามตัวอักษร หรือแง่ที่ว่าเป็นเพียงอุปมาหรือเรื่องเปรียบเทียบเท่านั้นไม่มีอะไรลึกซึ้งกว่านั้น หรือแง่ที่ว่าต้องอธิบายแบบประยุกต์กับปัจจุบันเท่านั้น ซึ่งเป็นวิธีการของ R. Bultmann วิธีการของ Bultmann มีข้อบกพร่องคือ มองข้ามความจริงที่ว่า มนุษย์มิใช่มีชีวิตอยู่เพื่อปัจจุบัน แต่มุ่งสู่อนาคตซึงยังมาไม่ถึงและโลกที่มนุษย์อาศัยอยู่นั้นมิใช่เป็นโลกมนุษย์อย่างเดียว แต่เป็นโลกของสรรพสิ่งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิต ความรอดของมนุษย์ต้องครอบคลุมความสมบูรณ์ในทุก ๆ แง่ รวมทั้งแง่ทางโลกด้วย

ค. ในอดีต พระศาสนจักรพูดถึงอัตวาระในแง่ส่วนบุคคลมากไป (ความรอดนิรันดรของแต่ละคน) ในปัจจุบันโลกเข้าสู่ยุคใหม่ มนุษยชาติมีความใกล้ชิดแบบครอบครัวมากขึ้น ยิ่งกว่านั้นความเจริญทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทำให้มนุษย์สามารถเอาชนะธรรมชาติ ควบคุมธรรมชาติ และกำหนดอนาคตของโลกได้มากขึ้น ดังนั้นอันตวาระหรือวาระสุดท้ายของโลกในแง่วิทยาศาสตร์ดูเหมือนอยู่ในมือมนุษย์ มนุษย์มีความตื่นตัวและสนใจเพราะทุกคนร่วมในชะตากรรมของโลกในอนาคต เมื่อเป็นเช่นนี้ การศึกษาอันตวาระในเชิงเทววิทยาเป็นสิ่งสำคัญ และจำเป็นเพื่อทำให้คนสมัยใหม่เข้าใจความหมายอันแท้จริงของอันตวาระทางศาสนาในพระคัมภีร์ ไม่ปนกับอันตวาระในเชิงวิทยาศาสตร์

ง. ในการเทศน์สอนเรื่องเหตุสุดท้ายต้องระวังที่จะไม่พูดเรื่องสวรรค์กับนรกเป็นเรื่องในระดับเดียวกัน กล่าวคือ ต้องชี้ให้เห็นว่า ความรอดได้มาถึงอย่างสมบูรณ์แล้วในองค์พระเยซูคริสต์และในบรรดานักบุญอาศัยพระหรรษทานของพระเจ้า สำหรับเราที่ยังมีชีวิตอยู่เป็นไปได้ที่จะใช้เสรีภาพในการทำลายความรอดนั้น ดังนั้นเทววิทยาเรื่องนรกเป็นเรื่องที่จำเป็นต้องมีอยู่เพื่อเตือนมนุษย์ถึงอันตรายที่อาจจะใช้เสรีภาพในทางที่ผิดได้

มนัส จวบสมัย. 50 บทความ เทววิทยาใหม่ หน้าที่ 135 – 136. กรุงเทพฯ: ห.จ.ก.เทพนิมิตรการพิมพ์, 2528.
ตอบกลับโพส