มีอะไรในเทศกาลมหาพรต(ปี B)

ถาม-ตอบพระคัมภีร์ เรื่องเสริมศรัทธา ความรู้ และสาระ บทความ ในคริสตศาสนา
Viridian
โพสต์: 2762
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ก.ค. 30, 2008 11:40 pm

อังคาร มี.ค. 10, 2009 2:33 pm

Buddy เขียน: พี่ว่า ของพ่อ De Mello นี่ เค้าเยซูอิตแบบ derivative นะ  คือถ้าจะให้เห็นถึง Spiritual Exercises แบบโต้งๆเนี่ย จะมองยากหน่อย (เอาง่ายๆว่า มองไม่เห็นชีวิตพระเยซูเจ้าแบบตรงๆเลย)  เพราะเค้าไปได้กลิ่นอายและปรีชาญาณจากที่ต่างๆมาเยอะ  แต่ถ้าเห็นถึง "การพบพระในทุกสิ่ง" อันนั้นชัดมากกกกก   ::001::
เรื่อง Spiritual Exercises หนูยังมองไม่เห็นนะคะ แต่ "การพบพระในทุกสิ่ง" อันนี้ชัดมากจริงๆ...
โดยเฉพาะแนวคิดของเยสุอิตที่ว่า "บรรลุถึงจุดมุ่งหมายหมายสูงสุดโดยไม่จำกัดวิธี"

"ปราชญ์ชี้ไปที่พระจันทร์ คนโง่กลับเห็นแต่นิ้วมือ" (หนึ่งนาทีไร้สาระ หน้า 138)

"พระเป็นเจ้าทรงสร้างมนุษย์เพื่อให้ถวายการสรรเสริญ เคารพเทิดทูน และรับใช้พระองค์ผู้ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา ด้วยการกระทำดังกล่าวนี้วิญญาณจะได้รับความรอด พระเป็นเจ้าทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายในโลกไว้ให้มนุษย์ใช้เพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่เขาถูกสร้างมา เพราะเหตุนี้ มนุษย์จึงควรใช้สรรพสิ่งต่างๆ เท่าที่จะช่วยให้ตนบรรลุเป้าหมาย และหากสิ่งเหล่านั้นได้กลายเป็นอุปสรรคต่อเป้าหมายสุดท้ายของมนุษย์ เขาก็ควรจะเลิกผูกพันกับมันเสีย ดังนั้น เราต้องวางตนให้มีอุกเบกขากับบรรดาสรรพสิ่งทั้งปวง ในสิ่งที่เราจะเลือกได้ตามใจชอบและซึ่งมิได้เป็นสิ่งต้องห้าม โดยนัยนี้ ฝ่ายเราแล้วไม่ควรเลือกสุขภาพสมบูรณ์มากไปกว่าเจ็บไข้ ร่ำรวยมากกว่ายากไร้ มีเกียรติมากกว่าไร้เกียรติ ชีวิตยืนยาวมากกว่าสั้น และสิ่งอื่นใดก็เช่นเดียวกันหมด แต่เราควรปรารถนาและเลือกเฉพาะสิ่งที่จะเอื้อต่อการบรรลุถึงเป้าหมายที่เราได้ถูกสร้างมาให้มากที่สุด"

(นักบุญอิกญาซิโอ)


และนี่เองก็คือ "การพบพระในทุกสิ่ง" ค่ะ ::004::

หมายเหตุ: บทที่นักบุญอิกญาซิโอเขียนนั้น (ข้างบน) เป็นบทที่อยู่หมวดของพระธรรมนูญของคณะเยสุอิตค่ะ
สามารถเอาไปเป็นบทรำพึงได้ดีมากๆ เลยค่ะ ::004::
(งานนี้ ต้องขอขอบคุณเพื่อนของเท็นที่ส่งบทรำพึงนี้มาให้ มา ณ ที่นี้ด้วย ขอบคุณนะจ๊าาาา)

Buddy เขียน: ถ้าอ่านงานพ่อ De Mello หรือหนังสือศรัทธาใดๆก็ตาม ก็ควรต้องอ่านพระคัมภีร์ไปด้วย  เพราะพ่อเค้าไปไกลแล้ว ไม่รู้ไปถึงไหนแล้ว  ::011:: เพราะหัวใจเราคือการตามพระ มีชีวิตแบบพระเยซูเจ้า ถ้าเรายังไม่รู้จักพระองค์เพียงพอ ตามไปแบบนั้น วันนึงจะงงว่า แท้จริงแล้ว  พระเจ้าคือใคร  ::001::  เพราะงานของพ่อเค้าเนี่ย  พระเจ้าเป็นความหมายที่กว้าง  อันนี้ความเห็นส่วนตัวนะคะ  ใครจะมองว่า ยังยึดติดกับรูปแบบก็ตาม เพราะยังไงก็เชื่อว่า พระเยซูเจ้าให้เรารู้จักพระองค์แบบนี้นี่นา   ::004::
อือมมมม โชคดีที่หนูยังไม่ถึงขั้นงงว่า "พระเจ้าคือใคร" 555+
แต่สิ่งที่พี่บัดดี้พูด มันก็ทำให้หนูระลึกได้ว่า งานของคุณพ่อยังไม่เหมาะกับผู้ที่เริ่มต้นจะเป็นคริสตชน เพราะจะจับจุดไม่ได้ แล้วจะกลายเป็นอย่างที่พี่บัดดี้ว่า
ถ้าคนที่เริ่มต้นเป็นคริสตชนใหม่ ชอบอะไรแนวๆ นี้ (ประเภทนิทานหรือเรื่องเล่าชวนให้คิด)
แนะนำให้อ่าน "ขุมทรพย์ในภาชนะดินเผา" ดีกว่าค่ะ (ตอนนี้ออกมา 3 เล่มแล้วค่ะ)
เพราะคุณพ่อที่เขียน (นามปากกา-ปลัดนุ) เขาจะยกเอาข้อความในพระคัมภีร์มาประกอบการอธิบายเรื่องราวด้วย

เคยเอางานจาก "ขุมทรัพย์ในภาชนะดินเผา" มาลงไว้เหมือนกัน ลองอ่านได้ที่นี่ค่ะ http://www.newmana.com/yabb/index.php?topic=9059.0
(โฆษณาหนังสืออีกแล้ว เหะๆ ::005:: แต่เล่มนี้เป็นหนังสือศรัทธาที่ดีจริงๆ ค่ะ ขอ recommend )
Buddy เขียน: แต่ในแง่ของการฝึกจิตนั้น "ดี" ค่ะ  น่ารำพึงตาม เพราะงานเขียนของพ่อเค้าจะ move ให้เราภาวนาได้ดี
แต่ถ้าใจร้อนนี่ ไม่ได้เลยนะคะ : xemo017 :
คือบางทีอ่านผ่านๆ มันก็สนุก แต่ว่าเราจะ "พลาด" ความหมายหรือสิ่งที่ผู้เขียนต้องการจะสื่อออกมาจริงๆ...
บอกตามตรงค่ะ ว่า อ่านบางเรื่อง ถึงตอนนี้ ก็ยังงงๆ อยู่ 555+ สงสัยต้องรอรับศีลกำลังก่อน ::011::
Buddy เขียน: พี่ว่า การรู้จักและเข้าใจพระเป็นเจ้า ไม่สำคัญเท่ากับการตามพระองค์นะ ว่ามั้ย   ::004::
อือม เท็นคิดว่า แม้เราจะรู้จักและเข้าใจพระองค์มากแค่ไหน แต่ถ้าไม่มีความศรัทธา มันก็เท่านั้น
แก้ไขล่าสุดโดย Viridian เมื่อ อังคาร มี.ค. 10, 2009 2:37 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
Man of Macedonia
โพสต์: 973
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ธ.ค. 04, 2006 9:33 pm
ที่อยู่: Virtusian's House of Prayer,Thailand
ติดต่อ:

อังคาร มี.ค. 10, 2009 9:23 pm

"ที่ใดมีสองหรือสามคนชุมนุมกันในนามของเราเราอยู่ที่นั่นในหมู่พวกเขา"(มัทธิว18:20)

Ubi caritas et amor, ibi Deus est
แปล:ที่ใดมีความรัก และความเมตตา พระเจ้าประทับอยู่

:angel:
พระเจ้าอวยพร,
Buddy
โพสต์: 3057
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ มี.ค. 09, 2005 10:48 am
ที่อยู่: USA

พุธ มี.ค. 11, 2009 1:18 am

ขอบคุณน้องเท็นที่แบ่งปันนะคะ   ::001::  รำพึงพระคัมภีร์ดีมากๆเลยค่ะ  ภาวนาต่อไปอย่าหยุดนะคะ  ::001::

Viridian เขียน:
"พระเป็นเจ้าทรงสร้างมนุษย์เพื่อให้ถวายการสรรเสริญ เคารพเทิดทูน และรับใช้พระองค์ผู้ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา ด้วยการกระทำดังกล่าวนี้วิญญาณจะได้รับความรอด พระเป็นเจ้าทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายในโลกไว้ให้มนุษย์ใช้เพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่เขาถูกสร้างมา เพราะเหตุนี้ มนุษย์จึงควรใช้สรรพสิ่งต่างๆ เท่าที่จะช่วยให้ตนบรรลุเป้าหมาย และหากสิ่งเหล่านั้นได้กลายเป็นอุปสรรคต่อเป้าหมายสุดท้ายของมนุษย์ เขาก็ควรจะเลิกผูกพันกับมันเสีย ดังนั้น เราต้องวางตนให้มีอุกเบกขากับบรรดาสรรพสิ่งทั้งปวง ในสิ่งที่เราจะเลือกได้ตามใจชอบและซึ่งมิได้เป็นสิ่งต้องห้าม โดยนัยนี้ ฝ่ายเราแล้วไม่ควรเลือกสุขภาพสมบูรณ์มากไปกว่าเจ็บไข้ ร่ำรวยมากกว่ายากไร้ มีเกียรติมากกว่าไร้เกียรติ ชีวิตยืนยาวมากกว่าสั้น และสิ่งอื่นใดก็เช่นเดียวกันหมด แต่เราควรปรารถนาและเลือกเฉพาะสิ่งที่จะเอื้อต่อการบรรลุถึงเป้าหมายที่เราได้ถูกสร้างมาให้มากที่สุด"

(นักบุญอิกญาซิโอ)

และขอบคุณมากที่ยก The First Principle and Foundation ภาษาไทยมาให้อ่าน  เพิ่งเคยเห็นภาษาไทยวันนี้เอง ...  (แอบอ่านยากเหมือนกันนะเนี่ย ::011::) ถ้าอย่างนั้น น้องเท็นก็มี แบบภาษาไทยทั้งเล่มสิคะ อ่านยากมั้ยคะ  พี่ว่า ภาษาค่อนข้างยากนะ มีศัพท์แบบ "อุกเบกขา" ด้วยอ่ะ

ดีใจนะคะ  ที่เห็นคนสนใจชีวิตจิตแบบเยซูอิต ... ตอนอยู่เมืองไทย ภาพพจน์เยซูอิตเป็นภาพที่เข้าถึงยาก และก็เป็นอะไรยากๆ ออกแนวเคร่งครัด ศักดิ์สิทธิ์ สุดยอดการภาวนา (ไม่รู้ตอนนี้ภาพยังเป็นแบบนั้นอยู่รึเปล่า)   ใครรู้ได้ เข้าใจได้นี่ ถือว่า สุดยอด  อะไรประมาณนั้น  ::010:: แต่ที่จริงแล้ว พอได้มาสัมผัสที่นี่ ไม่ได้เป็นแบบนั้นเลย เป็นชีวิตจิตที่เหมาะกับฆราวาสมากๆ  และมันไม่ได้ยากอะไรแบบนั้น  คือใครๆก็รู้กันได้น่ะค่ะ จัดกิจกรรมในระดับวัดได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นคนเก่งกาจ หรือสุดยอดการภาวนาอะไรแบบนั้น คนธรรมดาๆ บ้านๆนี่แหละ ... ถ้าศึกษา Spiritual Exercises อันนั้นยากแน่ แต่นั่นไม่ใช่หน้าที่เรา เป็นหน้าที่ผู้นำวิญญาณที่เค้าต้องไปศึกษา เราเป็นเพียงผู้ปฎิบัติ  ::001::

ขอให้น้องเท็นศึกษาและปฎิบัติแบบนี้ไปเรื่อยๆนะคะ เมื่อได้รับศีลล้างบาปแล้ว วิญญาณเราจะเปลี่ยนไป และการรำพึงภาวนาของเราก็จะลึกขึ้น  แต่ตอนนี้  น้องเปิดใจมากๆนะคะ.. และมีปรีชาญาณ มีความเข้าใจดีมากๆ ขอให้ภาวนาแบบนี้ต่อไปนะคะ และพระจิตเจ้าจะนำทางค่ะ ความเข้าใจในวันนี้ของเรา ที่เราอาจคิดว่า มากแล้ว มันจะมากขึ้นไปอีกเมื่อเราได้ใกล้ชิดกับพระองค์มากขึ้น  ::001::

พระอวยพรนะคะ  ::001::

ปล. สารแม่พระล่าสุด ( 8 มี.ค.) พูดถึงเรื่องการสำรวจมโนธรรมประจำวันด้วยนะคะ ซึ่งอันนี้ก็เป็นธรรมนูญ (ไม่รู้ใช้คำถูกมั้ย) ของเยซูอิตอย่างนึง  หลังๆแม่พระจะสอนจิตภาวนาให้กับเราเยอะมากๆเลยค่ะ ปูพื้นตั้งแต่เรื่องการชำระบาปและการรู้จักตัวเอง (อันนี้ประมาณปี 2006-2007 แล้ว) และจากนั้นแม่ก็สอนมาเรื่อยๆ ค่อยๆเพิ่มบทเรียนและการปฎิบัติใหม่ๆ  ::001::
แก้ไขล่าสุดโดย Buddy เมื่อ พุธ มี.ค. 11, 2009 1:26 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
Viridian
โพสต์: 2762
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ก.ค. 30, 2008 11:40 pm

พุธ มี.ค. 11, 2009 2:14 am

Buddy เขียน: ขอบคุณน้องเท็นที่แบ่งปันนะคะ   ::001::  รำพึงพระคัมภีร์ดีมากๆเลยค่ะ  ภาวนาต่อไปอย่าหยุดนะคะ  ::001::
ขอบคุณมากค่ะ พี่บัดดี้ชมเกินไปแล้วเจ้าค่ะ ::005::
Buddy เขียน:
Viridian เขียน:
"พระเป็นเจ้าทรงสร้างมนุษย์เพื่อให้ถวายการสรรเสริญ เคารพเทิดทูน และรับใช้พระองค์ผู้ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา ด้วยการกระทำดังกล่าวนี้วิญญาณจะได้รับความรอด พระเป็นเจ้าทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายในโลกไว้ให้มนุษย์ใช้เพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่เขาถูกสร้างมา เพราะเหตุนี้ มนุษย์จึงควรใช้สรรพสิ่งต่างๆ เท่าที่จะช่วยให้ตนบรรลุเป้าหมาย และหากสิ่งเหล่านั้นได้กลายเป็นอุปสรรคต่อเป้าหมายสุดท้ายของมนุษย์ เขาก็ควรจะเลิกผูกพันกับมันเสีย ดังนั้น เราต้องวางตนให้มีอุกเบกขากับบรรดาสรรพสิ่งทั้งปวง ในสิ่งที่เราจะเลือกได้ตามใจชอบและซึ่งมิได้เป็นสิ่งต้องห้าม โดยนัยนี้ ฝ่ายเราแล้วไม่ควรเลือกสุขภาพสมบูรณ์มากไปกว่าเจ็บไข้ ร่ำรวยมากกว่ายากไร้ มีเกียรติมากกว่าไร้เกียรติ ชีวิตยืนยาวมากกว่าสั้น และสิ่งอื่นใดก็เช่นเดียวกันหมด แต่เราควรปรารถนาและเลือกเฉพาะสิ่งที่จะเอื้อต่อการบรรลุถึงเป้าหมายที่เราได้ถูกสร้างมาให้มากที่สุด"

(นักบุญอิกญาซิโอ)

และขอบคุณมากที่ยก The First Principle and Foundation ภาษาไทยมาให้อ่าน  เพิ่งเคยเห็นภาษาไทยวันนี้เอง ...  (แอบอ่านยากเหมือนกันนะเนี่ย ::011::) ถ้าอย่างนั้น น้องเท็นก็มี แบบภาษาไทยทั้งเล่มสิคะ อ่านยากมั้ยคะ  พี่ว่า ภาษาค่อนข้างยากนะ มีศัพท์แบบ "อุกเบกขา" ด้วยอ่ะ

ดีใจนะคะ  ที่เห็นคนสนใจชีวิตจิตแบบเยซูอิต ... ตอนอยู่เมืองไทย ภาพพจน์เยซูอิตเป็นภาพที่เข้าถึงยาก และก็เป็นอะไรยากๆ ออกแนวเคร่งครัด ศักดิ์สิทธิ์ สุดยอดการภาวนา (ไม่รู้ตอนนี้ภาพยังเป็นแบบนั้นอยู่รึเปล่า)   ใครรู้ได้ เข้าใจได้นี่ ถือว่า สุดยอด  อะไรประมาณนั้น  ::010:: แต่ที่จริงแล้ว พอได้มาสัมผัสที่นี่ ไม่ได้เป็นแบบนั้นเลย เป็นชีวิตจิตที่เหมาะกับฆราวาสมากๆ  และมันไม่ได้ยากอะไรแบบนั้น  คือใครๆก็รู้กันได้น่ะค่ะ จัดกิจกรรมในระดับวัดได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นคนเก่งกาจ หรือสุดยอดการภาวนาอะไรแบบนั้น คนธรรมดาๆ บ้านๆนี่แหละ ... ถ้าศึกษา Spiritual Exercises อันนั้นยากแน่ แต่นั่นไม่ใช่หน้าที่เรา เป็นหน้าที่ผู้นำวิญญาณที่เค้าต้องไปศึกษา เราเป็นเพียงผู้ปฎิบัติ  ::001::
เท็นไม่มีหรอกค่ะ อันนี้เพื่อนเท็นเขาพิมพ์ส่งเมลล์มาให้เท็นอ่าน เขาเคยเป็นเยสุอิตน่ะค่ะ ::001::
และก็ถือว่าเขาเป็นครูคำสอน (อย่างไม่เป็นทางการ) คนแรกของเท็นด้วยค่ะ ::004::
บางทีเท็นอาจจะได้รับอิทธิพลจากเขาโดยที่เท็นไม่รู้ตัวก็ได้ค่ะ : xemo028 :

(ส่วนครูคำสอนอย่างเป็นทางการของเท็น แน่นอนว่าจะเป็นใครไม่ได้ นอกจากพระคุณเจ้าวีระค่ะ ::011::)
Buddy เขียน: ขอให้น้องเท็นศึกษาและปฎิบัติแบบนี้ไปเรื่อยๆนะคะ เมื่อได้รับศีลล้างบาปแล้ว วิญญาณเราจะเปลี่ยนไป และการรำพึงภาวนาของเราก็จะลึกขึ้น  แต่ตอนนี้  น้องเปิดใจมากๆนะคะ.. และมีปรีชาญาณ มีความเข้าใจดีมากๆ ขอให้ภาวนาแบบนี้ต่อไปนะคะ และพระจิตเจ้าจะนำทางค่ะ ความเข้าใจในวันนี้ของเรา ที่เราอาจคิดว่า มากแล้ว มันจะมากขึ้นไปอีกเมื่อเราได้ใกล้ชิดกับพระองค์มากขึ้น  ::001::
ขอบคุณสำหรับคำแนะนำและกำลังใจค่ะ : emo038 :
เท็นก็กำลังรอคอยวันรับศีลศักดิ์สิทธิ์ทั้งสามอย่างใจจดใจจ่อทีเดียว เพื่อที่จะได้ใกล้ชิดและลึกซึ้งกับพระองค์มากขึ้นค่ะ : xemo026 :
(พูดไปแล้วก็อดตื่นเต้นไม่ได้ค่ะ อันที่จริงก็ตื่นเต้นมานานแล้ว : emo045 :)
Buddy เขียน: ปล. สารแม่พระล่าสุด ( 8 มี.ค.) พูดถึงเรื่องการสำรวจมโนธรรมประจำวันด้วยนะคะ ซึ่งอันนี้ก็เป็นธรรมนูญ (ไม่รู้ใช้คำถูกมั้ย) ของเยซูอิตอย่างนึง  หลังๆแม่พระจะสอนจิตภาวนาให้กับเราเยอะมากๆเลยค่ะ ปูพื้นตั้งแต่เรื่องการชำระบาปและการรู้จักตัวเอง (อันนี้ประมาณปี 2006-2007 แล้ว) และจากนั้นแม่ก็สอนมาเรื่อยๆ ค่อยๆเพิ่มบทเรียนและการปฎิบัติใหม่ๆ  ::001::
สงสัยถ้ามีเวลา หนูคงต้องกลับไปอ่านสารแม่พระเก่าๆ ตั้งแต่ต้นแล้วล่ะค่ะ :rolleyes:
แก้ไขล่าสุดโดย Viridian เมื่อ พุธ มี.ค. 11, 2009 2:22 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
Buddy
โพสต์: 3057
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ มี.ค. 09, 2005 10:48 am
ที่อยู่: USA

พุธ มี.ค. 11, 2009 8:29 pm

เป็นกำลังใจให้น้องเท็นนะคะ  ::001::
Viridian
โพสต์: 2762
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ก.ค. 30, 2008 11:40 pm

พุธ มี.ค. 11, 2009 8:35 pm

Buddy เขียน: เป็นกำลังใจให้น้องเท็นนะคะ  ::001::
ขอบคุณค่ะ พี่บัดดี้ : emo045 :
Man of Macedonia
โพสต์: 973
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ธ.ค. 04, 2006 9:33 pm
ที่อยู่: Virtusian's House of Prayer,Thailand
ติดต่อ:

พฤหัสฯ. มี.ค. 12, 2009 6:18 pm

อาทิตย์ที่ 3 เทศกาลมหาพรต

บทอ่านที่ 1:
บทอ่านจากหนังสืออพยพ(อพยพ 20:1-17 หรือ 20:1-3,7-8,12-17)

พระเป็นเจ้าตรัสพระวจนะทั้งสิ้นต่อไปนี้ว่า

"เราคือพระยาห์เวห์ พระเป็นเจ้าของเจ้า ผู้ได้นำเจ้าออกจากแผ่นดินอียิปต์ จากแดนทาส"

...............เจ้าอย่ามีพระเป็นเจ้าอื่นใดนอกจากเราเท่านั้น อย่าออกนามพระยาห์เวห์พระเป็นเจ้าของเจ้าอย่างไม่สมควร เพราะพระยาห์เวห์จะไม่เว้นโทษผู้ที่กล่าวเช่นนั้น จงระลึกถึงวันสับบาโตถือเป็นวันศักดิ์สิทธิ์ จงให้เกียรติบิดามารดา เจ้าจะได้มีชีวิตยืนนานบนแผ่นดินที่พระเจ้าประทานให้เจ้า อย่าฆ่าคน อย่าล่วงประเวณีผัวเมียเขา อย่าลักทรัพย์ อย่าเป็นพยานเท็จ ใส่ร้ายเพื่อนบ้าน อย่าโลภมักได้ครัวเรือนของเพื่อนบ้าน อย่าโลภมักได้ภรรยาของเพื่อนบ้านทั้งทาส ชาย หญิง โค ลาของเขา หรือสิ่งอื่นใดซึ่งเป็นของเพื่อนบ้าน

การอธิบายแบ่งปัน

(1)ธรรมบัญญัติและคำสอนของบรรดาประกาศก เนื่องมาจาก "ความรัก"(เทียบ มัทธิว 22:40)
(2)"ผู้ปฏิบัติตามบทบัญญัติศักดิ์สิทธิ์อย่างเลื่อมใสศรัทธาก็จะได้รับความศักดิ์สิทธิ์"(ปรีชาญาณ6:10)
(3)"บรรดาผู้ที่รักพระองค์ย่อมอิ่มใจในธรรมบัญญัติ"(บุตรสิรา 2:16)

...............สิ่งแรกที่ควรนึกถึงเมื่อพูดถึงธรรมบัญญัติคือ"ความรัก"เพราะในการถือบทบัญญัติ มิใช่เพื่อให้เรากลายเป็นทาส(ทรงเตือนโมเสสให้รู้ว่า พระองค์ทรงไถ่ประชาการของพระองค์จากความเป็นทาสในพันธสัญญาเก่า:และทรงไถ่ประชากรของพระองค์จากความเป็นทาสของบาปในพันธสัญญาใหม่) แต่เพื่อให้เรา"ก้าวเดิน"ไปสู่ความดีบริบูรณ์(เพราะพระองค์ทรงสร้างมนุษย์ตามฉายาของพระองค์)

..............."กฎเกณฑ์เป็นการวัดเป็นความสามารถทางปัญญาอย่างหนึ่ง ฉะนั้น กฎเกณฑ์จึงจำกัดเฉพาะผู้สามารถใช้เหตุผลได้"(นักบุญโทมัส อไควนัส)ที่กล่าวดังนี้เพราะ พระเป็นเจ้าทรงเรียกร้องให้เรา"มีเหตุมีผล" มิใช่ การหลับหูหลับตาเชื่อตามธรรมบัญญัติโดยอ้างว่านั่นคือความเชื่อ เพราะ ความเชื่อย่อมส่องสว่างเหตุผล เราจะเห็นตัวอย่างเรื่อง การยึดถือธรรมบัญญัติแบบหลับหูหลับตาได้จากสมัยของพระเยซูเจ้า เช่น การรักษาโรคในวันสับบาโต(มัทธิว 12:10) เพราะบทบัญญัติของพระเจ้าไม่มีผลบังคับเด็ดขาดเสมอไป แต่ต้องผ่อนผันตามที่ความจำเป็นหรือความรักเรียกร้อง(เชิงอรรถ)

...............เนื้อหาของบทอ่านเป็นที่ชัดเจนอยู่แล้ว แต่สิ่งสิ่งที่ต้องการชี้ให้เห็นขอแสดงผ่านเรื่องเล่านี้"หากเราเป็นชาวยิวที่ยึดมั่นในธรรมบัญญัติอย่างเคร่งครัด มาวันหนึ่งชายชื่อเยซู ผู้ซึ่งชาวฟาริสีชุมนุมกันว่าจะกำจัดเขาอย่างไร เราจะคิดอย่างไรกับชายชื่อเยซูดีเราจะคิดว่าเขาเป็นเพียงคนดี?เราจะคิดว่าเขาเป็นประกาศก?เราคิดจะคิดว่าเขาคือพระเจ้า?"ประเด็นนี้ น่าสนใจ เพราะเราพบพระเยซูคริสตเจ้าจากภายในของเราเอง เราตระหนักรู้จากภายในหรือไม่ว่า"ชายชื่อเยซู เป็น พระเจ้า"?ลำพังความเชื่ออย่างเดียวไม่เพียงพอ ดังนั้นจึงต้องมีเหตุผลด้วย(เหตุผลดังกล่าวคือ เรื่องของนักบุญยอห์น,คำสอนของพระองค์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บทภาวนาของพระองค์และเรื่องของบุญลาภ) ความจำเป็นที่ต้องคิดเพราะ มันจะทำให้เรามีความเชื่อที่มั่นคงไม่คลอนแคลนเป็นอื่นไปได้ (ไม่ใช่ เขาเคารพก็เคารพตาม เขาเชื่อก็เชื่อตาม เราขอแล้วได้จึงเชื่อตาม หลายครั้งบางคนอาจเริ่มต้นแบบนี้ แต่นั่นเป็นเพียงการเริ่มต้น มิใช่ จุดบั้นปลาย) เพราะบางครั้งเราอาจเผลอเรอเป็นชาวยิวที่มัวยึดธรรมบัญญัติจนลืมความรักก็เป็นได้

...............การลืมเรื่อง"ความรัก"เห็นได้ง่ายมาก เช่น ข้อที่ว่าอย่ามีพระเจ้าอื่นใด! มันกลายเป็นว่าเราบีบคั้นให้ตนเองอยู่ในกรอบอันแคบ ไม่สนใจกับพระปรีชาญาณที่พระเป็นเจ้าหลั่งไปในวัฒนธรรมอื่นที่ไม่ใช่ยิว ความไม่รักเพื่อนมนุษย์อย่างแท้จริงนี้เป็นตัวขัดขวางเรา เหตุเพราะเขาไม่ได้มีพระเจ้าองค์เดียวกับเรา หรือไม่มีความเชื่อในพระเจ้าของเรา กลายเป็นเราทำกระด้างต่อเขา เราต่อสู้ทางความคิด วาจา กับคนเหล่านั้น ด้วยเพราะเราตั้งใจว่า"จะไม่มีพระเจ้าอื่นใด" มองจากมุมนี้กลายเป็นว่า พระบัญญัติเป็นมรดกแห่งความกลัว เราไม่กล้าที่จะทำอะไรเท่าไหร่ เพราะกลัวจะก้าวล้ำขอบเขตของบัญญัติ ไม่ว่ามโนธรรมจะเรียกร้องมากเพียงใด ซึ่ง 50 ปีที่ผ่านมานี้ พระศาสนจักรมีความพยายามทำให้กลิ่นอายของท่าทีว่า "พระบัญญัติเป็นมรดกแห่งความกลัว และคริสตชนกลัวเกินเหตุ"ให้หายไป เปลี่ยนเป็น "ความกล้าที่จะประกาศพระวรสารอย่างมีชีวิตชีวา อาศัยมรดกแห่งความรักที่พระเจ้ามอบให้"

...............ถ้าเราเข้าใจเรื่อง"ความรักกับบัญญัติ"ที่ดี ความกลัวจะสิ้นไปจากใจ เราไม่ต้องไปพะวงว่า ความเชื่อของเราจะถูกสั่นคลอน(ซึ่งเราทุกคนควรก้าวเดินไปสู่ความไม่สั่นคลอน ไม่ใช่สั่นคลอนอยู่ร่ำไป)เพราะพระเป็นเจ้าทรงประสงค์ให้เราเป็นผู้รับใช้ เราต้องแล่นเรือออกที่ลึก เราต้องไปอยู่ท่ามกลางความไม่เชื่อ เพื่อเป็นเมล็ดพันธุ์แห่งความเชื่อที่พระเจ้าทรงโปรยหว่านไป เราทุกคนเป็นเอกภาพกับพี่น้องคริสตชนทั่วโลกก็หาใช่เป็นเอกภาพโดยพบหน้าไม่ แต่เป็นเอกภาพหนึ่งเดียวในศีลมหาสนิท คือ เป็นพระวรกายขององค์พระเยซูคริสตเจ้า สิ่งนี้ต่างหากทำให้เรามีกำลังแท้จริง ซึ่งมีคุณค่ามากกว่าการพบปะรวมกลุ่ม(แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า การพบปะรวมกลุ่มไร้คุณค่า เพียงต้องการเปรียบเทียบว่า ระหว่างการพบปะกับการรับศีลมหาสนิทในฐานะร่วมส่วนของพระวรกาย การรับศีลมีคุณค่าทางวิญญาณมากกว่า)

(มีต่อ)
Man of Macedonia
โพสต์: 973
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ธ.ค. 04, 2006 9:33 pm
ที่อยู่: Virtusian's House of Prayer,Thailand
ติดต่อ:

พฤหัสฯ. มี.ค. 12, 2009 7:24 pm

บทอ่านที่ 2:
บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลถึงชาวโครินทร์ ฉบับที่หนึ่ง(1โครินทร์1:22-25)

...............พี่น้อง ขณะที่ชาวยิวเรียกร้องขอดูอัศจรรย์ และชาวกรีกแสวงหาความปรีชาฉลาด เรากลับเทศนาถึงเรื่องพระคริสตเจ้าผู้ทรงถูกตรึงกางเขนอันเป็น ข้อขัดข้องมิให้ชาวยิวรับไว้ได้ เป็นเรื่องโง่เขลาสำหรับชาวกรีก แต่สำหรับผู้ที่พระเจ้าทรงเรียกนั้น ไม่ว่าจะเป็นชาวยิวหรือกรีก พระคริสตเจ้าทรงเป็นฤทธานุภาพ และพระปรีชาญาณของพระเป็นเจ้า เพราะว่าความโง่เขลาของพระเป็นเจ้าก็มีปัญญายิ่งกว่าความฉลาดรอบรู้ของมนุษย์ และความอ่อนแอของพระเป็นเจ้าก็เข้มแข็งยิ่งกว่ากำลังของมนุษย์

การอธิบายแบ่งปัน

(1)พวกที่แสวงหาแต่สิ่งที่เป็นปาฏิหาริย์เหนือธรรมดา ภาพนิมิตฝัน อัศจรรย์ที่ไม่ต้องมีคำอธิบายใดๆ
(2)พวกที่แสวงหาแต่สิ่งที่เป็นเหตุเป็นผล ทุกสิ่งต้องเข้าใจได้ด้วยเหตุผลและตรรกะ

ท่านว่า คนสองกลุ่มนี้คุ้นๆไหม?(เก็บไว้ในใจก่อน)
นักบุญเปาโลบอกว่า "จุดสมดุลคือ พระคริสตเจ้าผู้ทรงถูกตรึงกางเขน"

เพราะ พระคริสตเจ้าทรงเชื่อมระหว่างสิ่งเหนือธรรมชาติกับเหตุผลมโนธรรม เข้าด้วยกัน

และในพระเป็นเจ้าองค์เอง(ซึ่งพระคริสตเจ้าทรงร่วมส่วนกับพระตรีเอกภาพ)"ทรงเป็น"

(1)อัศจรรย์สูงสุด กว้างขวางทรงฤทธานุภาพ แม้ความอ่อนแอที่สุดของพระองค์(สะท้อนผ่านพระคริสตเจ้า)ก็ยังเข้มแข็งยิ่งกว่ากำลังมนุษย์,ดู พระมหาทรมานของพระเยซูเจ้า(อาศัยนิมิตนักบุญทั้งหลาย)
(2)ปรีชาญาณสูงสุด ฉลาดรอบรู้อาศัยพระจิตเจ้า แม้ความโง่เขลาที่สุดของพระองค์(สะท้อนผ่านพระคริสตเจ้า)ก็ยังฉลาดรอบรู้กว่ามนุษย์ซึ่งอ้างว่าตัวเองมีเหตุผล

...............ให้กลับมามองชีวิตเราเอง,เราเป็นเหมือนชาวยิวหรือชาวกรีกหรือเปล่า!กล่าวคือ เราสุดโต่งไปทางใดทางหนึ่งโดยไม่ได้ตั้งใจหรือเปล่า? เหตุเพราะเราต้องแบกกางเขนแล้วตามพระองค์ไป ซึ่ง"กางเขน"เป็นจุดเชื่อมระหว่างสิ่งเหนือธรรมชาติกับเหตุผลมโนธรรม หลายครั้ง สิ่งแวดล้อมทำให้เราเอนไปทางสิ่งเหนือธรรมชาติ เราจึงเห็นคำว่า"ความเชื่อ"สำคัญกว่า"เหตุผล" และบ่อยครั้ง,เราคิดว่า สองคำนี้มีน้ำหนักไม่เท่ากัน ไม่สมดุลกัน แท้จริงความเชื่อและเหตุผล เป็นสิ่งที่ขาดกันไม่ได้

..............."คาทอลิก"เป็นนิกายในคริสตศาสนา และคริสตศาสนา ถูกมองว่ามีแต่"ความเชื่อ" บางศาสนาถูกชี้ให้เห็นว่า"เป็นเหตุเป็นผล" ข้อนี้ น่าจะเรียกร้องให้คริสตชนเรามุ่งเผยแสดง"เหตุผล"เพราะธรรมล้ำลึกของพระเป็นเจ้าสามารถเข้าใจได้ด้วยเหตุผลและตรรกะ ในต่างประเทศ,นักปรัชญาคาทอลิกหลายท่าน ทั้งที่ไม่ใช่พระสงฆ์และเป็นพระสงฆ์ ได้ผลิตงานเขียนมามากมาย เพื่อแสดงให้เห็นว่า เรามีเหตุมีผล เราไม่สุดโต่ง เพราะกางเขนของพระองค์นำเราไปสู่ความสมดุล(สมบูรณ์)แห่งความเชื่อและเหตุผล

...............หลายคนอาจบอกว่า"ชั้นไม่ได้มีสติปัญญาล้ำเลิศ ที่จะเข้าใจอะไรลึกซึ้ง เรื่องของตรรกะ เหตุผลอะไรดูจะไกลตัว ชั้นมีแต่ความเชื่อ"นั่นไม่ใช่ปัญหาอะไรเพราะ"พระเยซูเจ้าไม่ได้เรียกร้องสิ่งใหญ่โตอะไร"*(เทียบ อาศัยเทศกาลมหาพรตเราเห็นอะไร?)ความเข้าใจเหตุผลไม่ใช่เรื่องเกินสมรรถภาพของมนุษย์ทุกคน พระปรีชาญาณของพระเป็นเจ้าที่หลั่งมาสู่เราก็ไม่ใช่สิ่งไกลตัว(เทียบ ศีลกำลัง) และท่อธารของปรีชาญาณเราพบได้"ทุกวัน"ในศีลมหาสนิท จึงไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่เราจะก้าวเดินไปสู่ความสมดุลแห่งความเชื่อและเหตุผล
ดู อาศัยเทศกาลมหาพรตเราเห็นอะไร?
http://www.newmana.com/yabb/index.php?topic=10282.0

...............หลายคนอาจบอกว่า"ชั้นมีความเชื่อน้อย ชั้นคลอนแคลนบ่อยๆ ชั้นต้องการศรัทธาที่มากขึ้น"นั่นไม่ยากเลย หันมาถามตัวเองว่า ความรู้สึกในวันแรกที่เรารับศีลล้างบาปนั้น เราไม่มีความเชื่อหรือ?และพระศาสนจักรให้เราทำอะไร ประกาศข่าวดีไม่ใช่หรือ(ศีลกำลัง:จงรับพระจิตเจ้าที่พระบิดาประทานให้) ในยามที่เรามิสซาขณะยืนยันความเชื่อ(Credo)เราไม่มีความเชื่อหรือ?(ถ้าเราไม่มีความเชื่อจะยืนยันความเชื่อทำไม?)ในขณะที่เราจะสวดสายประคำเพื่อวอนขอ เราท่องบทข้าพเจ้าเชื่อ เราไม่มีความเชื่อหรือ?(ถ้าเราไม่มีความเชื่อเราจะขอแม่พระได้อย่างไร?) จะเห็นว่า"ความเชื่อ"นั้นหาได้ง่ายกว่า"เหตุผล"เสียอีก(ที่เหตุผลหายากกว่าเพราะซ่อนอยู่ในความเชื่ออีกชั้น) ดังนั้น เราจะปล่อยให้ความรู้สึกว่าตัวเองความเชื่อน้อย มาเป็นข้ออ้างในการไม่ประกาศพระวรสาร และ/หรือ การปฏิบัติตนให้เข้าใกล้ความดีบริบูรณ์กระนั้นหรือ?

คำถาม
(1)ท่านพยายามใช้ชีวิตอย่างสมดุลระหว่างความเชื่อกับเหตุผลหรือยัง?

(มีต่อ)
Man of Macedonia
โพสต์: 973
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ธ.ค. 04, 2006 9:33 pm
ที่อยู่: Virtusian's House of Prayer,Thailand
ติดต่อ:

พฤหัสฯ. มี.ค. 12, 2009 9:05 pm

(ผมพิมพ์แล้วล่มไปรอบหนึ่งแล้ว,ขอให้รอบนี้ติดเถอะ ขออนุญาต Copy พระวรสาร)
บทอ่านที่ 3:
บทอ่านพระวรสารนักบุญยอห์น(ยอห์น 2:13-25)
(การชำระพระวิหาร)

(13)เทศกาลปัสกาของชาวยิวใกล้จะมาถึง พระเยซูเจ้าเสด็จขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็ม
(14)ในบริเวณพระวิหาร พระองค์ทรงพบพ่อค้าขายวัว พ่อค้าขายแกะ พ่อค้าขายนกพิราบ และคนแลกเงินนั่งอยู่ที่โต๊ะ
(15)พระองค์ทรงใช้เชือกเป็นแส้ ทรงขับไล่ทุกคนรวมทั้งแกะและวัวออกจากพระวิหาร    ทรงปัดเงินกระจายเกลื่อนกลาด และทรงคว่ำโต๊ะของผู้แลกเงิน
(16)แล้วตรัสแก่คนขายนกพิราบว่า 'จงนำของเหล่านี้ออกไป อย่าทำบ้านของพระบิดาของเราให้เป็นตลาด'
(17)บรรดาศิษย์จึงระลึกได้ถึงคำที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า "ความรักที่ข้าพเจ้ามีต่อบ้านของพระองค์เป็นเสมือนไฟที่ เผาผลาญข้าพเจ้า

(18)ชาวยิวจึงเข้ามาทูลพระองค์ว่า 'ท่านมีเครื่องหมายอะไรแสดงให้เรารู้ว่าท่านมีอำนาจทำดังนี้?'
(19)พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า 'จงทำลายพระวิหารนี้ แล้วเราจะสร้างขึ้นใหม่ภายในสามวัน'
(20)ชาวยิวกล่าวว่า 'วิหารหลังนี้ต้องใช้เวลาสร้างถึงสี่สิบหกปี แล้วท่านจะสร้างขึ้นใหม่ในสามวันหรือ?'

(21)แต่พระองค์กำลังตรัสถึงพระวิหารซึ่งหมายถึงพระวรกายของพระองค์
(22)ดังนั้นเมื่อพระองค์ทรงกลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผู้ตายแล้ว บรรดาศิษย์จึงระลึกได้ว่าพระองค์ตรัสไว้ดังนี้เขาจึงเชื่อทั้งพระคัมภีร์และพระวาจาที่พระองค์ตรัสไว้
(23)ขณะที่พระองค์ประทับอยู่ที่กรุงเยรูซาเล็มในเทศกาลปัสกา คนจำนวนมากเชื่อในพระนามของพระองค์เพราะได้เห็นเครื่องหมายต่างๆที่ทรงกระทำ
(24)แต่พระเยซูเจ้าไม่วางพระทัยในคนเหล่านั้นเพราะทรงรู้จักทุกคน
(25)พระองค์ไม่ทรงปรารถนาให้ผู้ใดเป็นพยาน ในเรื่องมนุษย์เพราะทรงทราบดีว่ามีอะไรอยู่ในใจมนุษย์

...............ในบทอ่านนี้ มีอยู่สองประเด็นที่ต้องทำความเข้าใจ คือ (1)การถวายบูชาขอบพระคุณพระเป็นเจ้าต้องถวายบูชาด้วยดวงจิตและความจริง(ยอห์น 4:23-24) ซึ่งคือ การถวายบูชาด้วยความเชื่อและเหตุผล=ความจริง,ดูบทอ่านที่1และ2 (2)ร่างกายของเราคือพระวิหารของพระเป็นเจ้า

"จงนมัสการพระเป็นเจ้า ในพระวิหารอันศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์"

...............คริสตชนที่เขาศึกษามาก(จนเกินไป)คนหนึ่งเคยบอกว่า ร่างกายของเราคือพระวิหารของพระเป็นเจ้า ฉะนั้น ไม่ต้องไปวัดก็ได้ ไปแต่จำเป็นก็พอ ไม่ต้องไปบ่อยๆหรอก! ผมตอบเขาไปว่า ถูกต้องที่ร่างกายคือพระวิหารของพระเป็นเจ้า แต่ไม่ได้หมายความว่า คารวกิจด้วยความเชื่อที่จะประกอบพร้อมเพื่อนพี่น้องจะจืดจางไป อย่างที่กล่าวไปในข้างต้น เราต้องสมดุลระหว่างเหตุผลกับสิ่งเหนือเหตุผล

..............."ความศักดิ์สิทธิ์"ของพิธีกรรม ต้องประกอบด้วยเหตุผลและสิ่งเหนือเหตุผล จะขาดกันและกันไม่ได้ เราจะถือเอาว่าความศักดิ์สิทธิ์ต้องมีเหตุผลเสมอนั้นไม่ถูก หรือจะถือเอาว่าความศักดิ์สิทธิ์ต้องเหนือเหตุผลเสมอนั้นก็ไม่ถูก ที่ถูกต้อง คือ ความสมดุลกันระหว่างสองสิ่งนี้ (ดวงจิตและความจริง)

พูดถึง"การถวายบูชา"ทำให้นึกถึง บทอ่านในหนังสือฮีบรู(ฮีบรู 10:1-10)
(บทอ่านอาทิตย์ที่ 3 เทศกาลธรรมดา)

...............พี่น้อง,เนื่องจากธรรมบัญญัติเป็นเพียงเงา  และไม่ใช่ภาพจริงของพระพรที่พระเจ้าทรงสัญญาจะประทานให้    จึงไม่สามารถทำให้ผู้มาเฝ้าพระเจ้าบรรลุถึงความบริบูรณ์ได้ แม้จะถวายเครื่องบูชาเดียวกันอยู่ทุกปีตลอดมา มิฉะนั้น การถวายบูชา แบบนี้คงจะต้องยุติลง ในเมื่อผู้นมัสการได้รับการชำระล้างครั้งหนึ่งเพื่อให้บริสุทธิ์ตลอดไปแล้ว เขาคงจะไม่สำนึกว่าตนยังมีบาปอีก แต่การถวายบูชาเหล่านี้ยังเตือนให้สำนึกถึงบาปอยู่ทุกๆปี เพราะเลือดวัวและเลือดแพะไม่สามารถชำระบาปให้หมดสิ้นไป  ได้ ดังนั้น เมื่อพระคริสตเจ้าเสด็จมาในโลก จึงตรัสว่า

...............
Man of Macedonia
โพสต์: 973
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ธ.ค. 04, 2006 9:33 pm
ที่อยู่: Virtusian's House of Prayer,Thailand
ติดต่อ:

อังคาร มี.ค. 17, 2009 12:39 am

*เนื่องจากผมจะไม่ว่างต่อเนื่อง (17 - 21) จึงต้องมาลงของอาทิตย์ที่ 4 ไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ

บทอ่านที่ 1
บทอ่านจากหนังสือพงศาวดาร ฉบับที่ 2(2 พงศาวดาร 36:14-17,19-23)

...............ในครั้งนั้น,บรรดาเจ้านาย(แห่งยูดาห์) บรรดาปุโรหิตและประชาชนล้วนแล้วแต่ประพฤติชั่วช้าตามแบบอย่างอันน่าละอายของชนชาติทั้งหลาย พวกเขาได้กระทำให้พระวิหารของพระเจ้าซึ่งพระองค์ได้ทรงกระทำให้ศักดิ์สิทธิ์ที่กรุงเยรูซาเล็มนั้นมีมลทินไป

...............พระยาห์เวห์,พระเป็นเจ้าแห่งบรรพบุรุษของพวกเขาได้ทรงใช้ทูตมาหาเขาครั้งแล้วครั้งเล่า เพราะพระองค์ทรงพระทัยกรุณาต่อประชากรของพระองค์และต่อที่ประทับของพระองค์ แต่พวกเขากลับเยาะเย้ยพวกทูตของพระเป็นเจ้าอยู่เสมอ และดูหมิ่นพระวาจาของพระองค์ เย้ยหยันบรรดาประกาศกของพระองค์ จนพระพิโรธของพระเจ้าพลุ่งขึ้นต่อประชากรของพระองค์ จนไม่มีทางแก้ไข

...............พวกศัตรูได้เผาพระนิเวศของพระเป็นเจ้าเสีย และพังกำแพงกรุงเยรูซาเล็มลงแล้วเอาไฟเผาปราสาทราชวัง และทำลายเครื่องใช้สอยที่มีค่าในเมืองนั้น ใครที่รอดตายจากคมดาบก็ถูก(กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์)กวาดต้อนไปยังกรุงบาบิโลน พวกเขากลับเป็นทาสของพระองค์และราชวงศ์ของพระองค์จนถึง สมัยสถาปนาราชอาณาจักรเปอร์เซีย เพื่อให้สำเร็จไปตามพระวาจาที่ตรัสไว้ทางประกาศกเยเรมีย์ว่า "จนกว่าแผ่นดินนี้จะมีการหยุดวันสับบาโตอีก เขาจะถือวันสับบาโตตลอดวันเวลาแห่งการทิ้งให้เป็นเมืองร้าง จนกว่าเจ็ดสิบปีจะได้ล่วงเลยไปแล้ว"

...............ในปีแรกของรัชกาลพระเจ้าไซรัส พระราชาแห่งเปอร์เซีย เพื่อให้พระวาจาของพระเจ้าที่ได้ตรัสไว้ทางเยเรมีย์มีอันสำเร็จไป พระองค์จึงทรงรบเร้าจิตใจของพระเจ้าไซรัส พระราชาแห่งเปอร์เซีย ให้ออกหมายประกาศทั่วพระราชอาณาจักรมีความว่า "ไซรัส พระราชาแห่งเปอร์เซียตรัสดังนี้ พระยาห์เวห์พระเป็นเจ้าแห่งสวรรค์ ได้พระราชทานบรรดาอาณาจักรบนแผ่นดินให้เราและทรงกำชับให้เราสร้างพระนิเวศให้พระองค์ที่กรุงเยรูซาเล็มในแคว้นยูดาห์ มีผู้ใดในพวกท่านซึ่งเป็นประชากรของพระองค์ ขอพระเป็นเจ้าสถิตอยู่กับเขาให้ผู้นั้นขึ้นไป(ยังกรุงเยรูซาเล็ม)เถิด

การอธิบายแบ่งปัน

1."มนุษย์ทำให้พระวิหารของพระเจ้ามีมลทิน"

...............พระเยซูเจ้าทรงเผยแก่เราว่า"ร่างกายของมนุษย์คือพระวิหารของพระเจ้า"(Sedes Dei,อาทิตย์ที่ 3 เทศกาลมหาพรต)หากเราถือตามนัยนี้ บทอ่าน เตือนเราเรื่อง การประพฤติชั่วซึ่งน่าละอายของเราเอง อะไรเล่าเรียกว่า"ชั่ว"?ความชั่วคืออะไร? นักบุญโทมัส อไควนัสบอกเราว่า"ความชั่ว คือ ภาวะไม่สมบูรณ์ เป็นการขาดในสิ่งที่ควรจะมี"(เทียบ อาศัยเทศกาลมหาพรตเราเห็นอะไร?)
*http://www.newmana.com/yabb/index.php?topic=10282.0

...............คำถามต่อมา เราขาดในสิ่งที่ควรจะมี ขาดอะไร?(ขาด หมายถึง มีไม่ครบบริบูรณ์)
(1)ขาดฤทธิ์กุศล 3 ประการ(=ขาดคุณธรรมทางเทววิทยา) ได้แก่ ความเชื่อ ความหวัง ความรัก
(2)ขาดคุณธรรมหลัก 4 ประการ(เทียบ Summa Theologiae I-II,qq.47-170) ได้แก่ ความพอเพียง ความกล้าหาญ ความยุติธรรม ความรอบคอบ
*หมายเหตุ.คุณธรรมทั้งหลายต้องสอดคล้องกับธรรมบัญญัติ(ดูอาทิตย์ที่ 3 เทศกาลมหาพรต) ทั้งการปฏิบัติตามกฎธรรมชาติก็จะนำไปสู่การค้นพบกฎนิรันดรของพระเป็นเจ้าได้ และพระหรรษทานกับปรีชาญาณอันเป็นบทบัญญัติใหม่ล้วนทำให้ธรรมบัญญัติเก่าสมบูรณ์(อาศัยพระเยซูคริสตเจ้า,106-114)

...............ลองสำรวจภายในของตนเองว่าเรากำลังทำให้พระวิหารของพระเจ้ามีมลทินมากหรือน้อย ถ้ามากเราต้องทำความสะอาดจุดนั้นเสียก่อน แล้วค่อยทำความส่วนมลทินที่น้อยลงมา อะไรหนอจะทำความสะอาดจิตใจได้ "ให้ใช้ความสะอาดแทนที่ความไม่สะอาด" ได้แก่ การทวีฤทธิ์กุศลทั้ง 3,คุณธรรมทั้ง 4 (ทั้งนี้ อาศัยพระบารมีพระเยซูคริสตเจ้า,การสนนวิงวอนต่อแม่พระ และนักบุญทั้งหลาย และพี่น้อง) เมื่อเราจำเริญ"สิ่งที่ดี คือ ภาวะที่ควรจะมี"แล้ว สิ่งที่ดีนั้นจะแทนที่สิ่งที่ไม่ดีให้ลดน้อยถอยลงไปตามลำดับ เมื่อนั้น วิหารของพระเป็นเจ้าย่อมไม่ถูกละเมิด

2."เยาะเย้ย,เย้ยหยัย,ดูหมิ่น ผู้ที่พระเจ้าทรงใช้"

...............ท่าทีแบบนี้ คือ "ความจองหอง" นัยหนึ่งคือ เราไม่นบนอบต่อน้ำพระทัยของพระเป็นเจ้า บาปบังตาเราให้มืดบอด มโนธรรมมัวเมา จนไม่สามารถมองเห็นว่า สิ่ง,เสียง,เหตุการณ์ ที่อยู่ตรงหน้าให้คุณค่าหรือสอนอะไรเราได้บ้าง ท่าทีนี้ในท้ายที่สุดนำไปสู่การทำบาปหยาบช้าต่อองค์พระเยซูคริสตเจ้าโดยชาวยิวอาศัยความจองหองถือตัว(ธรรมาจารย์หน้าซื่อใจคด) แม้กระนั้น เราต้องยอมรับความจริงว่าตัวเราเอง ก็ยังบกพร่องมิอาจนบนอบได้ทั้งครบ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า เราจะหยุดยั้งความพยายามที่จะนบนอบ เราต้องก้าวเดินไปสู่ความนบนอบที่มากขึ้นทุกๆวัน เหมือนต้นไม้ที่กำลังงอกงาม

...............พื้นฐานที่สุด ที่จะทำให้ท่าทีเหล่านี้ดีขึ้นคือ "การรับฟัง,รู้จักฟัง" คำว่าความเชื่อฟัง(Obedience) ในภาษาโบราณ คือ Obadiah แปลว่า ผู้รับใช้พระเจ้า(Latin=Abdias,Abdiel) ในหนังสือของประกาศกโอบาดีย์ กล่าวว่า "(พระเจ้าตรัสว่า)เจ้ากระทำกับผู้อื่นอย่างไร ผู้อื่นก็จะกระทำกับเจ้าอย่างนั้น"(โอบาดีย์ 1:15,เทียบกฏทอง)  เช่นนั้น เมื่อเราเรียนรู้จะรับฟังผู้อื่น ก็ย่อมจะมีผู้ที่เรียนรู้จะรับฟังเรา การรับฟังผู้อื่นเสมอ ให้โอกาสเขาพูด ทำให้เราลดความจองหองลงได้ บางครั้ง พระเจ้าอาจจะสื่อสารเราผ่านคนต่ำต้อย คนที่เรียบง่าย หรือสิ่งที่ธรรมดาที่สุด หากแต่เราต้องเห็นคุณค่าของสิ่งเหล่านั้นและไม่มองข้ามมันจึงจะบังเกิดผลดีที่สุด เรียนรู้จากชีวิตประจำวันของเราทุกๆวันด้วย มิใช่มุ่งเรียนรู้แต่พระวาจาในวัดอย่างเดียว(พอเดินออกนอกวัด ก็ทิ้งไว้ในอ่างน้ำเสก)

3."การไม่ดูหมิ่นสิ่งที่ธรรมดาที่สุดเป็นทางหนึ่งที่ทำให้พระวิหารของพระเจ้าไม่สกปรกไปมากกว่าที่เป็นอยู่"

...............ทุกคนต้องการให้จิตใจของตนเองสะอาดอยู่แล้ว การให้เกียรติไม่ดูหมิ่นเป็นทางหนึ่ง กล่าวคือ การให้โอกาสเขาพูด ซึ่งคนละเรื่องกับการพูดเท็จนะ เช่น เมื่อมีคนพูดสิ่งที่ไม่จริง เราจะให้โอกาสเขาพูดจนจบ หรือว่าถ้ามันเป็นเรื่องราวแห่งความเท็จที่ยาวมาก ให้ตัดบทด้วยความละมุนละม่อม จากนั้น ชี้แจงเขา ประกาศพระวาจา ไม่ใช่ว่า การที่เราชี้แจงหรืออาจตำหนิเขานั่นคือดูหมิ่นไม่ใช่! ให้ย้อนไปดูข้อ (1) ว่าอะไรคือสิ่งที่ดี และ สิ่งที่ไม่ดี ในกรณีที่เขาพูดเท็จ ถ้ามโนธรรมเราไม่พัง(จะไม่พังก็ต่อเมื่อพิจารณาบ่อยๆ)

...............ในชีวิตประจำวันของเรา,บ่อยครั้ง เราดูหมิ่นคนอื่นเพราะความถือตัว เราไม่รับฟังคนอื่นทั้งที่คนอื่นอาจจะทำให้เราเรียนรู้อะไรบางอย่าง(อย่างน้อยที่สุด คือ เรียนรู้ที่จะภาวนาอุทิศให้เขา) ฉะนั้น เราต้องตระหนักและเรียนรู้ที่จะยอมฟัง เพราะอาจทำให้เรารู้ข้อผิดพลาดของตนเอง(1) หรือเป็นโอกาสแก้ไขข้อผิดพลาดให้คนอื่น(2) จากสองประการนี้ จะทำให้เรารู้ว่าจะทำความสะอาดพระวิหารของพระเป็นเจ้าอย่างไร อาศัยพระหรรษทานและปรีชาญาณ(เพราะพระเป็นเจ้าโปรดให้เราทำอย่างนั้น)
"คนที่ไม่เรียนรู้แม้แต่จะฟังมนุษย์ด้วยกัน ก็ยากที่จะฟังเสียงพระเป็นเจ้าได้ชัดเจน"

(มีต่อ)
แต่อาจต่อค่ำวันเสาร์
พระอวยพร,
Man of Macedonia
โพสต์: 973
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ธ.ค. 04, 2006 9:33 pm
ที่อยู่: Virtusian's House of Prayer,Thailand
ติดต่อ:

อาทิตย์ มี.ค. 22, 2009 10:52 pm

*ผมกลับมาต่อให้จบแล้ว หลังจากช้าไปหน่อย(รถไฟมันดีเลย์)

บทอ่านที่ 2
บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวเอเฟซัส(เอเฟซัส 2:4-10)

...............พี่น้อง,พระเป็นเจ้าทรงเปี่ยมด้วยพระกรุณาอันเนื่องมาจากความรักมากมายที่ทรงรักเรา เมื่อเราตายไปเพราะบาปแล้ว พระองค์ก็ทรงบันดาลให้เรากลับมีชีวิตกับพระคริสตเจ้า การที่ท่านรอดได้ก็เพราะพระคุณของพระองค์ พระองค์โปรดให้เรากลับคืนชีพ โปรดให้เรามีที่นั่งในสวรรค์กับพระคริสตเยซู ก็เพื่อว่าในทุกชั่วอายุขัย พระองค์ทรงแสดงให้เห็นพระคุณมากมายของพระองค์ในการที่จะทรงแสดงพระกรุณาต่อเราในพระคริสตเยซู การที่ท่านรอดได้ก็เพราะพระคุณ ซึ่งได้มาโดยทางความเชื่อ สิ่งนี้มิได้มาจากตัวท่านเองแต่เป็นของประทานจากพระเป็นเจ้า มิใช่จากการกระทำ เพื่อมิให้ใครอวดอ้างได้ เพราะว่าเรานั้นเป็นผลงานของพระองค์ ถูกสร้างมาในองค์พระคริสตเยซู เพื่อให้ประกอบกิจการดีซึ่งพระเป็นเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ล่วงหน้าสำหรับให้เราดำเนินชีวิตอย่างดี

บทอ่านที่ 3
บทอ่านจากพระวรสารนักบุญยอห์น(ยอห์น 3:14-21)

เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับนิโคเดมัสว่า

"โมเสสได้ยกรูปงูขึ้นในถิ่นทุรกันดารฉันใด บุตรแห่งมนุษย์ก็จะต้องถูกยกขึ้นฉันนั้น เพื่อให้ทุกคนที่เชื่อในพระองค์จะได้มีชีวิตนิรันดร"

...............พระเป็นเจ้าทรงรักโลก จนได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์เพื่อทุกคนที่เชื่อในพระบุตรจะได้ไม่พินาศ แต่จะมีชีวิตนิรันดร เพราะว่าพระเป็นเจ้าทรงส่งพระบุตรจะไม่พินาศ แต่จะมีชีวิตนิรันดร เพราะว่า พระเป็นเจ้าทรงส่งพระบุตรมาในโลกนี้ มิใช่เพื่อพิพากษาลงโทษโลก แต่เพื่อกอบกู้โลกให้รอดโดยทางพระบุตรนั้น ผู้ที่เชื่อในพระบุตรแล้วจะไม่ถูกพิพากษาลงโทษ ส่วนผู้ที่ไม่เชื่อก็ถูกพิพากษาลงโทษอยู่แล้ว เพราะเขามิได้เชื่อในพระนามของพระบุตรแต่องค์เดียวของพระเป็นเจ้า

...............หลักการพิพากษาเป็นดังนี้คือ ความสว่างได้เข้ามาในโลกนี้แล้วแต่มนุษย์ได้รักความมืดมนมากกว่าความสว่าง เพราะว่ากิจการของเขานั้นชั่วช้าเพราะทุกคนที่ประพฤติชั่วก็เกลียดความสว่าง และไม่มาถึงความสว่างเพราะกลัวว่าการกระทำของตนจะปรากฎ แต่ผู้ที่ประพฤติความจริงย่อมมาหาความสว่าง เพื่อกิจการที่เขากระทำนั้นจะปรากฎว่าได้กระทำไปในพระเป็นเจ้า

(มีต่อ)
Man of Macedonia
โพสต์: 973
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ธ.ค. 04, 2006 9:33 pm
ที่อยู่: Virtusian's House of Prayer,Thailand
ติดต่อ:

พฤหัสฯ. มี.ค. 26, 2009 10:20 pm

อาทิตย์ที่ 5 เทศกาลมหาพรต ปี B
บทอ่านที่ 1
บทอ่านจากหนังสือประกาศกเยเรมีย์

...............พระเจ้าตรัสว่า"ดูสิ วันเวลานั้นจะมาถึง เราจะทำพันธสัญญาใหม่กับตระกูลอิสราแอล(และตระกูลยูดาห์) จะไม่เหมือนกับพันธสัญญาซึ่งเราได้กระทำกับบรรพบุรุษของเขา เมื่อเราได้จูงเขาและนำเขาออกจากแผ่นดินอียิปต์ เขาได้ผิดต่อพันธสัญญาของเรา แม้ว่าเราได้เป็นเจ้านายของเขา"พระเจ้าตรัสดังนี้แหละ

..............."แต่นี่จะเป็นพันธสัญญาที่เราจะกระทำกับตระกูลอิสราแอลเมื่อเวลานั้นมาถึง"พระเจ้าตรัสดังนี้"เราจะบรรจุธรรมบัญญัติไว้ในตัวเขา เราจะจารึกมันไว้ที่จิตใจของเขา เราจะเป็นพระเป็นเจ้าของเขา และเขาจะเป็นประชากรของเรา จะไม่มีความจำเป็นอีกที่ใครคนหนึ่งจะสอนเพื่อนบ้านหรือใครจะสอนพี่น้องของตนว่า จงรู้จักพระเจ้าเถิด เพราะเขาทุกคนจะรู้จักเรา ตั้งแต่คนเล็กน้อยที่สุดไปจนถึงคนใหญ่โตที่สุด"พระเจ้าตรัสดังนี้

"เพราะเราจะอภัยความชั่วช้าของพวกเขา และจะไม่หวนระลึกถึงบาปของพวกเขาอีกเลย"

การอธิบายแบ่งปัน

1."เราจะทำพันธสัญญาครั้งใหม่"

...............พระเป็นเจ้าทรงกระทำสิ่งที่เรียกว่า"สัญญา"อันเป็นการแสดงให้เห็นถึง ความสัมพันธ์ระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ เพราะพระองค์ทรงทราบดีว่ามนุษย์เรา ทั้งๆที่เป็นพระฉายาลักษณ์ของพระองค์ แต่ก็ยังมีความบกพร่อง ทำบาปมากมาย ทำสิ่งที่อาจเรียกได้ว่า บิดเบือน ลบเลือน พระฉายาลักษณ์ของพระองค์ฉะนั้น เพื่อให้มนุษย์ที่พระองค์ทรงรักมีความสัมพันธ์กับพระองค์อีกครั้งในฐานะพระฉายาลักษณ์ดังเดิม จึงได้ทรง"สัญญา"อันมีประการต่างๆแก่มนุษย์ หวังเพียงเพื่อให้มนุษย์"กลับคืนดี"ตามน้ำพระทัยของพระองค์

..............."สัญญา"อันพระองค์ทำกับมนุษย์นั้น พระองค์เพียรทนทำครั้งแล้วครั้งเล่า ที่สำคัญ"พระองค์รักษาสัญญาเสมอ" แต่เป็นเราเองต่างหากที่ไม่รักษาสัญญา ในชีวิตนี้,เราได้รักษาสัญญาอะไรกับพระองค์บ้าง? แรกเริ่มที่สุด เราสัญญาอย่างเป็นทางการในวันรับศีลล้างบาป!ว่าเราจะละทิ้งปีศาจและกิจการของมัน ทุกคนตอบว่า"ข้าพเจ้าละทิ้ง" คำถามที่ตามมา จริงหรือ? จริงอยู่ที่ว่า เรามิอาจจะละทิ้ง"กิจการของมัน"ได้อย่างสิ้นเชิง แต่ เรามีความพยายามอย่างจริงจังและต่อเนื่องหรือไม่?ในการจะละทิ้งกิจการของมันอย่างสิ้นเชิง ความโอ่อ่าฟุ้งเฟ้อทั้งสิ้นของมันเล่า?บ่อยครั้ง เราถูกดึงไม่โดยไม่รู้ตัวว่า เรากำลังเผชิญกับอะไร ถ้าเรารู้ตัวว่ากำลังทำอะไรก็ดีไป ถ้าเราไม่รู้ตัวล่ะ ทางเดียวที่จะเสริมให้เราไม่ถูกชักจูงไปโดยง่ายคือ อย่าอยู่ห่างพระ อยู่ในศีลในพรของพระ และหมั่นพิจารณามโนธรรมของตนเองสม่ำเสมอ

2."เราจะบรรจุธรรมบัญญัติไว้ในตัวเขา เราจะจารึกมันไว้ที่จิตใจของเขา "

...............คำนี้ในความรู้สึกของผู้เขียน คำว่า"มโนธรรม" ปรากฎขึ้นมาทันใด มีคำถามว่า ก่อนหน้านั้นพระเป็นเจ้าไม่ได้บรรจุธรรมบัญญัติไว้ในใจเราหรือ?คำตอบคือ ไม่ใช่ พระองค์บรรจุธรรมบัญญัติแห่งความรักไว้ตั้งแต่พระองค์ทรงเป่าลมปราณสร้างมนุษย์ และ มันถูกจารึกไว้ในจิตใจของเรามาตลอด แต่มนุษย์ไม่ได้รับรู้ความล้ำลึกนั้น(แม้จะอ่านพระธรรมเก่าก่อนหน้าประกาศกเยเรมีห์มามากมาย) พระองค์จึงเผยแสดง(Revelation)ให้เราทราบผ่านทางประกาศกเยเรมีห์ว่า ธรรมบัญญัติถูกจารึกในจิตใจของเรา

...............ก่อนอื่นใดหมด,ขอให้เราเห็นความสำคัญของการเผยแสดงของพระเป็นเจ้า ดูเอาเถิด มนุษย์เรามัวแต่แสวงหาสิ่งภายนอก แม้ธรรมบัญญัติอยู่เบื้องหน้าเป็นเวลานานก็ไม่ได้ไตร่ตรองในความล้ำลึกของธรรมบัญญัตินั้น คำนี้สำคัญอย่างไร? เพราะมนุษย์ให้ความใส่ใจสิ่งเหนือธรรมชาติภายนอกนั้นล่ะ ทำให้มนุษย์ให้ความสนใจกับพระเจ้าบ้าง ครั้นรู้สึกว่าพระยาห์เวห์พระเจ้าของเขาไม่ได้อยู่ ก็ออกนอกลู่นอกทางไปใส่ในสิ่งเหนือธรรมชาติภายนอกอื่นที่ไม่ใช่พระยาห์เวห์ หารู้ไม่ว่าความสำคัญของการเผยแสดงของพระองค์อยู่ที่"ภายใน"

...............เรื่องนี้เตือนใจเราได้ดี, บางครั้งในองค์พระเจ้านี่ล่ะ เราสนใจแต่เพียงเรื่องภายนอกของพระองค์มากเกินไป จนละเลยเรื่องภายใน เป็นต้นว่า เราพาตัวเราเองไปมิสซา แต่ภายในของเรานั้นตระหนักในคุณค่าของมิสซาหรือไม่?เรากำลังก้าวเดินไปหาพระองค์(ในความดีบริบูรณ์)หรือเปล่า? มุมมองที่ภายนอกมากเกินพอดี ทำให้บางครั้งเรารู้สึกว่าพระเจ้าไม่ทรงอยู่กับเราเสมอ จริงๆพระเจ้าทรงประทับอยู่เสมอในมโนธรรมของเรา เป็นลักษณะที่ไม่เห็นเป็นพระบุคคล มีบ้างที่เราต้องการบรรเทาใจในลักษณะในพระองค์ปรากฎองค์เป็นพระบุคคล แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ต้องเกิดขึ้นเสมอไป หากเรารอให้พระองค์แหวกฟ้าเสด็จลงมาแต่เพียงอย่างเดียว แล้วบัลลังก์ที่ประทับในมโนธรรมกับร่างกายอันเป็นพระวิหารของพระเจ้าเล่า จะปล่อยให้ทิ้งร้างกระนั้นหรือ?

3."เขาทุกคนจะรู้จักเรา ตั้งแต่คนเล็กน้อยที่สุดไปจนถึงคนใหญ่โตที่สุด"

...............เพราะพระองค์ทรงประทับอยู่ในมโนธรรม ฉะนั้น มนุษยชาติย่อมรู้จักพระองค์จากภายใน มนุษยชาติรู้จักพระองค์ แน่นอนอาศัย"เสียงเรียกให้ทำสิ่งดี" มนุษย์ทุกคนในโลกจึงมีความสามารถที่จะเข้าถึงพระเจ้าได้อย่างเท่าเทียมกันโดยแท้จริง ในรูปแบบที่หลากหลาย และเราคริสตชนเองต้องระวังด้วยว่า ทุกคนรู้จักพระองค์อยู่แล้ว!แต่ครั้นเราจะเดินไปบอกกับ คนที่ทำดีนั้นว่านั่นคือพระองค์ คงไม่ถูก หรือจะมีท่าทีข่มเพื่อนพี่น้องด้วยว่า เราเยซูเจ้าทรงเป็นองค์ผู้ครบบริบูรณ์นี้ไม่ถูก เราไม่ควรให้ความภาคภูมิใจของตัวเราไปทำให้ผู้อื่นรู้สึกว่า กำลังถูกข่ม

...............แท้จริงแล้ว หากมีวิธีที่ดีพอ เป็นการไม่ยากที่จะให้มนุษยชาติรู้จักพระเจ้า(โดยอาศัยพระเยซูคริสตเจ้า ยิ่งทำให้ความยากน้อยเข้าไปอีก) เพราะ ทุกคนรู้จักพระองค์อยู่แล้ว เราควรถ่อมตัวเองว่า มีปรีชาญาณหลั่งไหลไม่มากพอที่จะทำให้เขาเห็นพระองค์ประทับอยู่ในใจของเขา แท้จริงแล้ว เขาเหล่านั้นที่ไม่รู้จักพระเจ้า ก็เป็นเช่นเดียวกับที่มนุษย์ในยุคนั้นไม่ทราบว่า พระองค์จารึกธรรมบัญญัติในใจแล้ว จึงเอาใจออกห่าง และเมื่อถึงเวลาเหมาะสมก็ส่งประกาศกมาเน้นย้ำ ว่าพระประสงค์ของพระองค์คือภายในมิใช่ภายนอก และทรงเรียกร้องในเราพิจารณาตัวเองว่า เรามีธรรมบัญญัติที่พระเป็นเจ้าจารึกในใจเรา แล้วเราได้ปฏิบัติตามนั้นหรือไม่ ถ้าเราปฏิบัติได้อย่างดี เราย่อมมีความสามารถที่ดีที่จะ เผยแสดงเรื่องราวของพระเป็นเจ้าในคนต่างศาสนา ได้รู้จักว่าเขามีพระเจ้าของเขาได้(*และในยุคพันธสัญญาใหม่เป็นต้นมา ได้มีเครื่องมืออีกมากมายที่จะช่วยเสริมเราให้เข้าถึงพระองค์ผู้ประทับในมโนธรรมได้ แม้กระนั้น เราเองก็ยังบกพร่องและเข้าไม่ค่อยถึงเสียที)

4."เราจะอภัยความชั่วช้าของพวกเขา และจะไม่หวนระลึกถึงบาปของพวกเขา"

...............ความรักมั่นคงของพระองค์ดำรงนิจนิรันดร์,ทรงโกรธเราชั่วระยะเวลาประเดี๋ยวเดียว แต่ทรงรักเรานานเป็นพันชั่วอายุคน,ทรงให้อภัยเราเสมอ จุดนี้ ทรงตรัสมาตลอดตั้งแต่ต้นอาทิตย์เทศกาลมหาพรต และตรัสเรื่อยมา เพื่อแสดงว่า ไม่ว่าอย่างไรก็ตามทรงเป็น พระบิดาที่รักเรา พร้อมเสมอที่จะอภัย เป็นเราเองต่างหากที่ชอบพิพากษาลงโทษตัวเอง ไม่ให้โอกาสตัวเอง คิดในทางลบ

...............การที่พระองค์ไม่หวนระลึกถึงบาปของมนุษย์ ไม่ได้แปลว่า จะให้เราทำบาปได้อย่างอำเภอใจ(เพราะนี่จะเรียกลูกเนรคุณ) และ ไม่ได้แปลว่า ผลของบาปจะหายไป เราทำอะไรก็ต้องได้เช่นนั้นอยู่ตามเดิม(กฎทอง) แต่การที่พระองค์ไม่หวนระลึกถึงบาปของเรา นั่นหมายความว่า พระองค์ทรงให้โอกาสเสมอ ให้เราแก้ตัว ทรงชื่นชมยินดีที่จะได้เห็นลูกทุกคนของพระองค์กลับใจ แค่นั้นเพียงพอแล้วสำหรับพระองค์

...............ประโยคนี้จึงทำให้เราเห็นว่า พระองค์ทรงรักเราและให้โอกาส การที่พระองค์ให้โอกาสเรานั้นเกี่ยวโยงกับ"ความหวัง(Will)" เราจึงต้องเชื่อมั่นในการให้โอกาสของพระองค์ รักพระองค์ หากเราทำดังนี้ เรากำลังขับเคลื่อนฤทธิ์กุศล 3 ประการอยู่ ชีวิตเราจึงดำเนินเข้าไปใกล้พระองค์มากขึ้น(ทางภายใน) จิตใจเราจึงโห่ร้องว่า"โปรดทรงพระเมตตาเถิด พระเจ้าข้า เพราะข้าพเจ้าทั้งหลายได้ทำบาป"ด้วยความตื้นตันใจ


"Templum vel Tabernaculum Domini"
แปล:วัด(หรือ)พระวิหารของพระเป็นเจ้า

"Foederis vel Sancti icationis Arcam"
แปล:พลับพลาที่ประทับ(หรือ)หีบพระบัญญัติศักดิ์สิทธิ์

เทียบ
http://www.newmana.com/yabb/index.php?topic=10229.0

คิดว่าพิมพ์ยาวแล้ว,
จะต่อบทอ่านที่ 2 พรุ่งนี้,
Man of Macedonia
โพสต์: 973
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ธ.ค. 04, 2006 9:33 pm
ที่อยู่: Virtusian's House of Prayer,Thailand
ติดต่อ:

ศุกร์ มี.ค. 27, 2009 3:49 pm

บทอ่านที่ 2
บทอ่านจากจดหมายถึงชาวฮีบรู(ฮีบรู 5:7-9)

...............พี่น้อง,ตลอดพระชนมายุของพระองค์บนแผ่นดินนี้ พระคริสตเจ้าทรงร้องอธิษฐานและทูลอ้อนวอนด้วยเสียงคร่ำครวญและร่ำไห้ต่อพระเป็นเจ้า ผู้สามารถช่วยพระองค์ให้พ้นความตายได้และทรงได้รับการสดับฟังจากพระเจ้าเพราะความเคารพยำเกรงของพระองค์ ถึงแม้ว่าพระองค์ทรงเป็นพระบุตร ก็ยังทรงเรียนรู้ที่จะนอบน้อมเชื่อฟังโดยทรงรับทนทรมาน และเมื่อทรงกระทำภารกิจของพระองค์สำเร็จบริบูรณ์แล้ว ก็ทรงกลับเป็นผู้บันดาลก่อให้เกิดความรอดนิรันดรแก่ทุกคนที่ยอมนอบน้อมเชื่อฟังพระองค์

การอธิบายแบ่งปัน

1.ทรงร้องอธิษฐานและทูลอ้อนวอนด้วยเสียงคร่ำครวญร่ำไห้ต่อพระเป็นเจ้า

...............ภายในสวนเกทเสมนี พระองค์รู้สึกหวาดกลัวและเศร้าพระทัย ทรงตรัสว่าใจเราเป็นทุกข์แทบสิ้นชีวิต(มาระโก 14:34) ทั้งนี้ทรงอธิษฐานอย่างเข้มข้นถึงกับพระเสโทหยดลงพื้นดิน(ลูกา 22:44) ทรงซบพระพักตร์กับพื้นดิน อธิษฐานว่า "พระบิดาเจ้าข้า ถ้าเป็นไปได้ขอให้ถ้วยนี้พ้นข้าพเจ้าไปเถิด ถ้าเป็นไปไม่ได้ ก็ขออย่าให้เป็นไปตามใจข้าพเจ้า แต่ให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์เถิด"(มัทธิว 26:39) พระเยซูเจ้าทรงเรียกร้องให้เราภาวนามาโดยตลอด เพื่อให้เราก้าวเดินไปสู่การถวายตนอย่างทั้งครบแด่พระเจ้า การภาวนาดังกล่าวนอกจากเป็นกิจที่กระทำให้ยามปกติ เพื่อยืนยันความเชื่อ และ รักษาคำมั่นสัญญากับพระ(ดู บทอ่านที่ 1)แล้ว ยังบ่งไปถึงในยามที่เราไม่ปกติด้วย คือ ยามที่เราเป็นทุกข์

...............เพราะเมื่อเราบังเกิดใหม่ในพระคริสตเจ้าแล้ว ไม่ว่า เราจะทุกข์หรือสุข เราก็เป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ คำแนะนำที่ว่า"ให้ถวายความลำบากร่วมส่วนกับพระมหาทรมานของพระองค์"จะไม่มีคุณค่าเลย หากเป็นการถวายที่ไม่ตระหนักถึงการทบทวนตนเองว่า ทำไมต้องถวาย?การถวายนั้นเป็นเรื่องที่สักแต่ถวายหรือไม่?การถวายนั้นเป็นการถวายหวังเพื่อให้ตนเองรอดพ้นจากความทุกข์นั้นหรือไม่? ที่สำคัญเราควรคำนึงถึง"น้ำพระทัยของพระเป็นเจ้า" หลายคนมักให้ภาพพจน์น้ำพระทัยนี้เป็นทางบวก เป็นการอวยพร เป็นอะไรที่ดีๆ ซึ่งความคิดนี้ทำให้เรา"ทุกข์"เมื่อเราไม่ได้ดังที่คิดไว้ เพราะน้ำพระทัยของพระเป็นเจ้าเป็นของประทานที่ไม่มีบวกหรือลบอย่างที่มนุษย์คิด "การยอมรับน้ำพระทัยของพระเป็นเจ้า เป็นที่มาแห่งพระหรรษทานทุกประการ" มนุษย์คนแรกที่รับเอาพระเป็นเจ้ามาสถิตคือ แม่พระ และเป็นแม่ของมนุษยชาติ(ยอห์น 19:27) ได้ตรัสว่า"ข้าพเจ้าเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้า จงเป็นไปตามน้ำพระทัย"(ลูกา 1:38) ทั้งนี้แม้กระทั่งในบทนพวารพระมารดานิจจานุเคราะหฺยังกล่าวเรื่องนี้ไว้อย่างน่าฟังว่า "แต่ถ้าเป็นน้ำพระทัยของพระเป็นเจ้าที่จะให้ลูกต้องทรมานต่อไปแล้ว ก็ขอให้ลูกสามารถยอมรับด้วยความอดทน นี่คือพระหรรษทานที่ลูกวอนขอ"

...............เราจะเป็นอย่างชาวยิวที่ปรากฎในประวัติศาสตร์กระนั้นหรือ ที่เมื่อพระเป็นเจ้าทรงอวยพรชาวยิวขอบคุณเป็นการใหญ่ แต่พอพระเป็นเจ้าทรงลองใจ,ทดลอง,ทดสอบ ชาวยิวกลับสั่นคลอนในความเชื่ออย่างรุนแรงเพราะความยากลำบากนั้น รู้ไว้เถิดว่า "จงร่ำไห้ทูลวอนแด่พระเป็นเจ้าเถิด" บอกความต้องการของเรา และไม่ใช่จะให้เป็นไปอย่างที่เราต้องการให้ได้(เหมือนเด็กเอาแต่ใจตัว) เราต้องแสดงความนบนอบที่แท้ด้วยการยอมรับจากภายในวิญญาณว่า อย่างไรก็ตาม ทุกสิ่งจะเป็นไปตามน้ำพระทัย หลายคนละเลยกระบวนการนี้ไป อาจทำให้จิตวิญญาณเฉยชา กลายเป็นว่า "ก็ทุกสิ่งเป็นไปตามน้ำพระทัย เหมือนพระองค์จะทำอะไรก็ทำเถิด รับได้ทุกอย่าง"นี้เป็นท่าทีไม่เหมาะสมนัก ไม่ก่อให้เกิดการพัฒนา เพราะเราต้องย้อนดูตัวเราว่า เราไม่อยากให้เหตุการณ์นี้เกิด และด้วยความบกพร่องของเรา เราไม่ต้องการให้มันเกิดขึ้นจริงๆ แม้เราจะรู้อยู่แก่ใจว่าต้องเกิดขึ้นอันเป็นธรรมชาติมนุษย์ และเรารู้ว่าพระเป็นเจ้าพระบิดา ทรงรักเรามากและทรงบรมเดชานุภาพ เราจึงทูลวอนขอ เพื่อให้เหตุการณ์ที่เราไม่ต้องการนี้ไม่เกิดขึ้น อย่างไรก็ดี เราต้องตระหนักว่าพระองค์มีอาชญาสิทธิ์ทุกประการที่จะทำอย่างไรก็ได้-ไม่ได้หมายความว่าตามอำเภอใจ แต่ทรงมีแผนการ (เพราะสุดท้ายความลำบากนั้นอาจเพื่อสอนเรา) เราจึงต้องไม่ลงใจว่า มันจะเกิดหรือไม่เกิด แต่ให้เป็นไปตามน้ำพระทัยเถิด พอกล่าวถึงจุดนี้ วิญญาณเราบรรเทาใจไปเรียบร้อยแล้วและมีแต่สันติสุข(เหมือนส่งเรื่องให้นายรับทราบแล้ว อย่างไรเสียนายรับรู้เรื่องของเรา ผ่านการออกปากของเราเองแล้ว) ถ้าสันติสุขไม่เกิด เราควรหันมาทบทวนแล้วว่า ฤทธิ์กุศล 3 ประการเราอะไรที่กำลังพร่อง

2.ทรงได้รับการสดับฟังจากพระเจ้าเพราะความเคารพยำเกรงของพระองค์

...............การแสดงความเคารพทำให้เกิดการรับฟังเสมอ ข้อนี้เป็นเรื่องของความนบนอบ ธรรมบัญญัติเอกกล่าวไว้ว่า"(1)ท่านต้องรักพระเจ้าสุดจิตใจ วิญญาณ สติปัญญา(2)ท่านต้องรักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตนเอง"(มัทธิว 22:37-39) เราจะรักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตนเองได้ก็ต่อเมื่อเรามีความเคารพในมนุษย์ผู้นั้น ความเคารพนี้คนละเรื่องกับการเคารพพระเจ้า หากแต่เราเคารพศักดิ์ศรี ศักยภาพ และความสามารถ สำคัญที่สุด"ความดี"ของเขา การแสดงออกซึ่งความเคารพเพื่อนมนุษย์ในลักษณะนั้นย่อมทำให้เกิดการรับฟัง ทั้งนี้เป็นความสุขแท้ "ผู้มีใจยากจนย่อมเป็นสุข"(มัทธิว 5:3)

...............หลายครั้ง,ความที่เราตั้งเป้าแต่จะเคารพยำเกรงแต่องค์พระเจ้า ทำให้เราลืมไปว่า เราต้องแสดงความนบนอบต่อเพื่อนพี่น้องด้วย ที่สำคัญเราควรนบนอบต่อทุกคน จริงอยู่,ความบกพร่องอาจทำให้เรานบนอบต่อทุกคนไม่ได้ เช่น คนที่ไม่ควรนบนอบเลย เป็นต้น คนชั่วช้า อย่างไรก็ตาม เราต้องมีความพยายามที่จะก้าวไปสู่ความนบนอบทั้งครบที่ว่า เพราะเป็นหนทางแห่งความสุข(เทียบ บุญลาภ) และก้าวไปสู่ความดีบริบูรณ์ตามที่พระเยซูเจ้าเชิญชวน(เทียบ มัทธิว 5:48) "รับใช้เพื่อนพี่น้อง เท่ากับรับใช้พระเยซูเจ้าองค์เอง" หากเราจะเดินตามรอยบาทของพระองค์เราควรพินิจว่า"บุตรแห่งมนุษย์มิได้มาให้ผู้อื่นรับใช้แต่มาเพื่อรับใช้ผู้อื่น"(มัทธิว 21:28) เราต้องเห็นพระเป็นเจ้าในตัวเพื่อนพี่น้องด้วย(ถ้าตาเราดีจริง)มิใช่มองแต่ฟ้าสวรรค์ เมื่อเราปฏิบัติดังนี้ พระเป็นเจ้าย่อมสดับฟังเราเหมือนที่เราสดับฟังผู้อื่น

วันนี้คุณนบนอบ,
ให้สมแก่ความรอดแล้วหรือยัง

หากคุณไม่นบนอบ,
คงเป็นการยากที่คุณจะมอบความรอดขององค์พระเยซูคริสตเจ้า
ให้กับผู้อื่นอย่างแท้จริงได้

ความนบนอบเรียกร้องให้ย้อนกลับมาดูที่ตนเอง
ภายในจิตวิญญาณของตนเอง
มิใช่การเปรียบเทียบกับผู้อื่น,

เราไม่มีข้ออ้างอะไรที่จะไม่นบนอบ
นอกจากเราจะยอมรับโดยสุภาพในต้นมิสซาว่า
"ข้าพเจ้าเป็นคนบาป ข้าพเจ้ายอมรับว่าเป็นคนบาป"
(ยอมรับว่าไม่นบนอบ)

จากนั้นเราได้ขยับไปอีกก้าวในความนบนอบเมื่อรับศีล
"โปรดให้ดวงใจข้าพเจ้าร้อนระอุ.......จะแก้ไขความประพฤติของข้าพเจ้า"(หลังรับศีลฯ)

นั่นคือสันติสุขที่นำไปสู่ความนบนอบ?
อย่าลืมว่า บทอ่านที่ 1 มนุษย์เป็นโรคไม่ชอบรักษาสัญญา
อย่าให้ปีศาจที่แฝงกายมาในกิจการของมัน
ทำให้เราต้องไม่นบนอบและทำขัดเคืองดวงพระหฤทัยของพระองค์
Man of Macedonia
โพสต์: 973
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ธ.ค. 04, 2006 9:33 pm
ที่อยู่: Virtusian's House of Prayer,Thailand
ติดต่อ:

ศุกร์ มี.ค. 27, 2009 4:01 pm

ก่อนพระวรสาร(ยอห์น 12:26)
"พระเจ้าตรัสว่า ผู้ใดรับใช้เรา ก็ให้เขาตามเรามา และเราอยู่ที่ไหน ผู้รับใช้ของเราก็จะอยู่ที่นั้นด้วย"

บทอ่านที่ 3
บทอ่านจากพระวรสารนักบุญยอห์น(ยอห์น 12:20-26)

...............เวลานั้น,ในระหว่างหมู่คนที่ขึ้นไปนมัสการในงานเทศกาลนั้น มีชาวกรีกอยู่บ้าง พวกกรีกเหล่านี้จึงไปหาฟิลิปซึ่งมาจากหมู่บ้านเบธไซดา แคว้นกาลิลี ชาวกรีกถามฟิลิปว่า"ท่านขอรับ พวกเราอยากเห็นพระเยซูเจ้า" ดังนี้ ฟิลิปจึงไปบอกอันดรูว์ แล้วอันดรูว์กับฟิลิปจึงพากันไปทูลพระเยซูเจ้า

...............พระเยซูเจ้าตรัสตอบเขาว่า"เวลาที่บุตรแห่งมนุษย์จะได้รับพระสิริรุ่งโรจน์มาถึงแล้ว เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ถ้าเมล็ดข้าวไม่ได้ตกลงในดินและตายไป มันก็จะเป็นเพียงเมล็ดเดียวเท่านั้น แต่ถ้ามันตายมันก็จะบังเกิดผลมากมาย ผู้ที่รักชีวิตของตนย่อมจะเสียชีวิตนั้น ส่วนผู้ที่พร้อมจะสละชีวิตของตนในโลกนี้ย่อมรักษาชีวิตนั้นไว้สำหรับชีวิตนิรันดร ผู้ใดรับใช้เราผู้นั้นจงตามเรามา เราอยู่ที่ใด ผู้รับใช้ของเราก็จะอยู่ที่นั่นด้วย"

การอธิบายแบ่งปัน

1."ความเสื่อมสลายที่นำไปสู่ชีวิตใหม่"

...............ขอให้พินิจคำนี้ให้ดี ในอุปมาเรื่องเมล็ดข้าว หากเรามองตามโลกทัศน์ของชาวยิวที่มองกาลเวลาเป็นเส้นตรง ไม่ได้มองลักษณะวัฏจักร(Wheel) จะทำให้เรามองกระบวนการเกิดและตายของข้าวนี้อย่างทื่อๆ นักวิชาการเรียกกระบวนทัศน์แบบนี้ว่า แบบตะวันตก อย่างไรก็ตาม กระบวนทัศน์แบบตะวันออกมักมองทุกสิ่งเป็นวัฏจักร(Wheel) พระเยซูเจ้าทรงตรัสเรื่องเมล็ดพันธุ์หลายครั้งในคำสอนของพระองค์(ผู้หว่าน,ข้าวละมาน,เมล็ดมัสตาร์ด) กล่าวคือผู้เขียนเห็นว่า พระองค์คือบทสรุปและแบบอย่างของคำกล่าวว่า"ความเสื่อมสลายที่นำไปสู่ชีวิตใหม่"หรือกล่าวให้ลึกขึ้นคือแง่ลบนำไปสู่แง่บวก(ระวังอย่าให้เป็นทวินิยม) เมื่อพระองค์มารับพระธรรมชาติมนุษย์ ก็ทรงตกอยู่ภายใต้กฎแห่งความเสื่อมสลายด้วย แต่ความเสื่อมสลายดังกล่าวมันเป็นธรรมดาโลก เทียบไม่ได้เลยกับ การที่จิตใจมนุษย์ของพระองค์ที่เปลี่ยนแปลงไปสู่ชีวิตใหม่ คือ ชีวิตพระหรรษทาน ณ โลกนี้ และ ชีวิตนิรันดร(ดีบริบูรณ์) ณ สวรรค์ (นัยยะนี้ คือ การกลับคืนบ้านแท้ของพระองค์) เหตุนี้ พระองค์เชิญชวนให้เราพิจารณาธรรมล้ำลึกว่าด้วย "การสิ้นพระชนม์ และ การกลับคืนพระชนมชีพของพระองค์" คำว่า"ล้ำลึก"คือมี ท่อธารแห่งพระปรีชาญาณแฝงเร้นอยู่เสมอในกระบวนการสิ้นพระชนม์และการกลับคืนพระชนมชีพของพระองค์ ต้องอาศัยการเงียบ(เข้าฌาน)

...............อย่าลืมว่า เราเข้าใจข้อความว่า"เสื่อมสลาย"ข้อความว่า"ชีวิตใหม่"ได้ นั่นเพราะเรามองแบบแยกองค์ประกอบ (ซึ่งในความเป็นจริงเป็นกระบวนการที่ต่อเนื่องไป แยกออกจากกันมิได้)สาเหตุที่เราต้องแยกองค์ประกอบเพราะ เราไม่มีปรีชาญาณพอที่จะเข้าใจความต่อเนื่องนั้นได้ เราเห็นความเสื่อมสลายที่ว่าในอะไรบ้าง? พิจารณาจากประวัติศาสตร์ความรอดของมนุษยชาติ เราเห็นชัดเจนตั้งแต่ครั้งอาดัมและเอวา สัญลักษณ์แทนบรรพบุรุษแห่งมนุษยชาติทั้งสอง เสื่อมสลายจากความเชื่อฟังพระเจ้า แต่พระเจ้าก็ยังให้เขามี"ชีวิตใหม่"(บุตร) ต่อมาบุตรบางคนเสื่อมสลายจากความยำเกรงพระเจ้า พระองค์ก็ยังให้"ชีวิตใหม่"ให้มีมนุษยชาติร่ำไป จวบจนมาถึงยุคของพระเอกบุตรที่เสด็จจากสวรรค์ลงมารับความเสื่อมสลาย(ที่พระองค์ไม่ได้ก่อ)แต่อาศัยพระบุตรนี้ทุกคนจะเข้าถึง"ชีวิตใหม่" ทั้งพระองค์ยังเรียกร้องให้เราผู้รับใช้ ดำเนินตามรอยพระองค์ในธรรมล้ำลึกว่า"ผ่านความเสื่อมสลายนำไปสู่ชีวิตใหม่"(ของเทียบกับ ของพระคุณเจ้าที่ว่า ผ่านทางกางเขน ไปสู่ความรุ่งโรจน์-Per Crucem Ad Lucem)

...............ในชีวิตจิตคริสตชนเราหมุนเวียนไปเสมอระหว่างการเสื่อมสลายและชีวิตใหม่ กล่าวคือ เราได้รับชีวิตใหม่จากศีลล้างบาปแล้ว แต่ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่ทำบาปอีกเลย(เหตุแห่งความเสื่อมสลาย) ครั้นเราทำบาป(เสื่อมสลาย)เรามีชีวิตใหม่อีกครั้งในศีลอภัยบาปและศีลมหาสนิท ในจิตวิญญาณมนุษย์จำเป็นต้องวนเป็นวัฏแบบนี้ จนกว่าจะบรรลุถิ่นเที่ยงแท้ ณ วิมานสวรรค์ วันที่เราจะเข้าเฝ้าพระเจ้าแบบ Face to Face อันจะเป็นจุดสิ้นสุด วัฏ ของเรา คือ ออกมานอกวัฏชื่อว่า"เสื่อมสลายนำไปสู่ชีวิตใหม่"อย่างแท้จริง(ในที่นี้อนุโลมพูดแล้วหยุดเฉพาะตรงจุดนี้ เพราะมันเริ่มปลายเปิด)

2."ผู้ที่รักชีวิตจะสูญเสียชีวิตจิต"

...............คำว่ารักชีวิต ในที่นี้กินความถึง "ความยึดติดในสิ่งฝ่ายข้างโลก" ความยึดติดเหล่านี้ ทำให้มนุษย์สูญเสียชีวิตจิต การสูญเสียชีวิตจิตเป็นความเสื่อมสลายแบบหนึ่ง ซึ่งกระบวนการตามวัฏย่อมผลักดันเราไปสู่การแสวงหาความไม่เสื่อมสลาย ถ้าในชีวิตคริสตชน คือ ศีลอภัยบาปเพื่อให้เรากลับมามีชีวิตอีกครั้งหลังจากตายทางวิญญาณเพราะบาปไป พระองค์เรียกร้องให้เรา"เพิ่มเนื้อที่ให้จิตวิญญาณ"โดยการขนเอาขยะทางจิตวิญญาณออก เพื่อท้องพระโรงของพระเป็นเจ้าที่ประทับอยู่ในมโนธรรมจะได้สมกับเป็นพระวิหารศักดิ์สิทธิ์ อันเราจะนมัสการ ถ้ามองโดยอาศัยตรรกะนี้ ชีวิตประจำวันของเราที่ก้าวไปหาพระเป็นเจ้าเรื่อยๆ นัยยะหนึ่งคือการขนสิ่งไม่สมควรออกจากมโนธรรมของเรา ฉะนั้น พระองค์เชิญชวนให้เราใฝ่ใจชีวิตจิต ปล่อยวางจากชีวิตหยาบๆ(คือชีวิตฝ่ายกาย)

...............บาปมักเกี่ยวข้องกับเนื้อหนังเสมอไม่ว่าทางใดก็ทางหนึ่ง บางคนอาจกล่าวว่านั่นแค่ความคิด ไม่น่าเกี่ยวกับเนื้อหนัง แต่เราปฏิเสธไม่ได้ว่าความคิดเรามันมีผลมาจากการเสพทางกายภาพ จึงมีผลให้คิดเช่นั้นๆ ฉะนั้น ในเวลาที่เราทำบาป(แน่นอน ทุกคนทำได้,ทุกคนยังบกพร่องอยู่ แต่นั่นไม่ใช่ข้ออ้างที่จะไม่พัฒนาตนเอง)เรากำลัง"รักชีวิต"เราอยู่ เพราะอะไร? เรามีความพึงพอใจต่อ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสฝ่ายข้างโลกอันเป็นเรื่องภายนอก คำถามที่น่าสนใจคือ ในวันหนึ่งๆมี 24 ชม. เราแบ่งเวลาอย่างสมดุลเพื่อให้เราเป็นผู้รักชีวิตจิตอย่างไร? ที่กล่าวไม่ใช่ ให้หลับตาเพ่งฌานแต่ฝ่ายเดียว หรือ ให้เจริญชีวิตตามพระวาจาอย่างสุดโต่ง(นั่นพระเยซูเจ้าก็ไม่ทรงสนับสนุน) แต่คือ"ความเข้าใจในการดำเนินชีวิต 24 ชม."นั้นๆต่างหาก ว่าเรากำลังทำอะไร?อะไรคือบาป?อะไรคือข้อบกพร่อง?

...............ตัวอย่างสำคัญประการหนึ่งที่ต้องพิจารณาไว้นั่นคือ เรามักเผลอเรอละเลยว่า ชีวิตเรายังมีข้อบกพร่องอย่างไม่รู้ตัว เช่น บางคนปฏิบัติตามบทแสดงความทุกข์อย่างเคร่งครัดคือ"ข้าพเจ้าตั้งใจแน่วแน่ว่าจะไม่ทำบาปอีกเลย" ทำให้กลายเป็นคนที่ตึงเกินไป เกิดความฟุ้งซ่าน ท้ายที่สุดไปทำตัวคล้ายๆชาวยิว ที่ยึดแน่นกับอะไรสักอย่าง มากไปกว่า มโนธรรม คือ เจตนาดี และ ความรัก ลืมไปว่าพระเยซูเจ้าเสด็จมาคลายความตึง ความสุดโต่ง ท้ายที่สุดคนประเภทนี้ มักละเลยพี่น้องที่สมควรจะได้รับคำภาวนามากที่สุด นั่นคือ คนบาปที่สุดนั่นเอง (ฉันจะภาวนาให้คนเหล่านี้เฉพาะในวัดแค่นั้นเพียงพอ???) หรือบางคนก็กลายเป็นโรคกลัวบาปขึ้นสมอง กลัวบาปไม่หลุดซักทีไปครุ่นคิดอยู่แต่ตรงนั้น จุดนี้พระเยซูเจ้าก็ไม่ทรงสนับสนุนให้เป็นคนจับจดเช่นนั้น ทรงสอนให้เราให้โอกาสตนเองเสมอ เหมือนที่พระบิดาเจ้าให้โอกาสเรา และจากการให้โอกาสที่ว่า เป็นเราที่จะต้องให้โอกาสผู้อื่นทุกคนๆไม่เว้นใครเลยดุจกัน!!

3.ผู้ใดรับใช้เราผู้นั้นจงตามเรามา เราอยู่ที่ใด ผู้รับใช้ของเราก็จะอยู่ที่นั่นด้วย

...............คริสตชนทุกคน คือ ผู้รับใช้พระเป็นเจ้า หลีกเลี่ยงไม่ได้ ครั้นรับใช้พระเป็นเจ้าแล้ว เราคือ ผู้รับใช้มนุษยชาติดีดีนี่เอง หรือที่เรียกว่า รับใช้โลก หลายคนตบปากรับคำว่า"ฉันรับใช้" เป็นผู้รับใช้ คำว่าผู้รับใช้อย่างที่เคยพูดไป รากของมันสอดคล้องกับคำว่า"นบนอบ"(ดูเรื่องโอบาดีย์ Reply บนๆ) ฉะนั้น นบนอบต้องมาเป็นประการแรก ถ้าเราละเลยเรื่องความนบนอบเราไม่สมจะเป็นผู้รับใช้พระองค์

..............."เราอยู่ที่ใด ผู้รับใช้ของเราอยู่ที่นั่น" คำนี้อธิบายความได้หลายนัย นัยแรกคือ เมื่อเราเป็นผู้รับใช้แล้วเราไปประกาศพระวรสาร แน่นอนตามหลักการคืออาศัยการทรงนำจากพระจิต(พระจิตเป่าไป) เหมือนพระองค์ไปอยู่ที่ตรงนั้นก่อน เราตามไป(เพราะพระองค์ประสงค์ให้มนุษย์รอด แต่เราบกพร่องโดยวิธีการเอง) หรือจะเป็นนัยสอง คือ จากประโยคว่า"ที่ใดมีความรักและความเมตตา พระเจ้าประทับอยู่"(Ubi caritas et amor, ibi Deus est) นั่นคือ เราผู้รับใช้ดำรงในความรักและความเมตตาของพระองค์ ทั้งยังเป็นเครื่องมือสะท้อนรังสีความรักและความเมตตาของพระองค์อีกด้วย(เพื่อให้เราบรรลุถึงความเป็นผู้รับใช้แบบนั้น เราจึงต้องพัฒนาชีวิตภายในของตนเอง)นัยสุดท้ายคือ พระเจ้าทรงสถิตกับเราเสมอ(มัทธิว 28:19) นัยเหล่านี้แท้จริงไม่ได้มีความแตกต่างกัน แต่เกิดขึ้นพร้อมๆกัน กลืนเป็นเนื้อเดียวกัน แต่มนุษย์อย่างเราจำเป็นต้องมาจำแนกออกมาเพื่อให้เห็นพระปรีชาญาณอันยิ่งของพระองค์ และภาระงานที่เราจำเป็นต้องกระทำต่อตนเองและผู้อื่น

...............ถ้าพระองค์อยู่ในลานประหารเราอยู่กับพระองค์หรือไม่?ถ้าพระองค์ทรงดำเนินในมรคาศักดิ์สิทธิ์ทั้ง 14 แห่งเราจะดำเนินในมรคาศักดิ์สิทธิ์กับพระองค์หรือไม่?เหตุการณ์เหล่านี้ ทำให้หวนไปนึกถึงการมาประทับของรอยแผลศักดิ์สิทธิ์(Stigmata)ของนักบุญหลายท่าน การประจญและความทรมานทำให้ท่านเหล่านั้นร่วมส่วนในมหาทรมานของพระองค์  เราควรมาถามตัวเองว่า เราเป็นผู้รับใช้ที่จะรับใช้เฉพาะเวลานายสบายหรือเปล่า ครั้นเวลานายลำบากเล่าเราอยู่ที่ไหน?เราได้เคียงข้างลำบากไปกับนายอย่างแท้จริงหรือไม่ และการเคียงข้างลำบากไปกับนายอย่างแท้จริง คือ การหันมามองชีวิตภายในตนเอง สาเหตุแห่งการสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนของพระองค์ อุปสรรคขวากหนามต่างๆนานาที่เราประสบ เราต้องประสบเพราะเราสมควรจะต้องประสบ แต่นายกลับมาประสบทั้งที่ไม่ได้ทรงทำอะไรเลย นอกจาก รักและเมตตา

...............บทอ่านทั้ง 3 นี้กำลังบอกอะไรเรา? เนื่องจากอาทิตย์ต่อไปจะเป็น"อาทิตย์ใบลาน"พระศาสนจักรจึงเชิญชวนให้เราหันมามอง ภายในของตนเอง และ ถามเราว่า เราเป็นผู้รับใช้ที่ติดตามพระองค์แน่หรือ?เดี๋ยวพระองค์กำลังจะเดินทางไปสู่มรคาศักดิ์สิทธิ์อยู่รอมร่อแล้ว เราเตรียมจิตใจของเราบ้างหรือยัง เพื่อร่วมส่วนในมหาทรมานของพระองค์ที่กำลังจะเกิดอันการส่วนร่วมในความเสื่อมสลายนี้จะนำมาซึ่งความรุ่งโรจน์แห่งชีวิตใหม่ใน"ปัสกา"

:ข้าแต่พระคริสตเจ้าขอนมัสการถวายพระพรแด่พระองค์
:เหตุด้วยพระองค์ได้ทรงไถ่โลก ด้วยกางเขนศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์
แก้ไขล่าสุดโดย Man of Macedonia เมื่อ ศุกร์ มี.ค. 27, 2009 6:04 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
Buddy
โพสต์: 3057
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ มี.ค. 09, 2005 10:48 am
ที่อยู่: USA

เสาร์ มี.ค. 28, 2009 4:00 am

Man of Macedonia เขียน: การอธิบายแบ่งปัน

1.ทรงร้องอธิษฐานและทูลอ้อนวอนด้วยเสียงคร่ำครวญร่ำไห้ต่อพระเป็นเจ้า

...............ภายในสวนเกทเสมนี พระองค์รู้สึกหวาดกลัวและเศร้าพระทัย ทรงตรัสว่าใจเราเป็นทุกข์แทบสิ้นชีวิต(มาระโก 14:34) ทั้งนี้ทรงอธิษฐานอย่างเข้มข้นถึงกับพระเสโทหยดลงพื้นดิน(ลูกา 22:44) ทรงซบพระพักตร์กับพื้นดิน อธิษฐานว่า "พระบิดาเจ้าข้า ถ้าเป็นไปได้ขอให้ถ้วยนี้พ้นข้าพเจ้าไปเถิด ถ้าเป็นไปไม่ได้ ก็ขออย่าให้เป็นไปตามใจข้าพเจ้า แต่ให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์เถิด"(มัทธิว 26:39) พระเยซูเจ้าทรงเรียกร้องให้เราภาวนามาโดยตลอด เพื่อให้เราก้าวเดินไปสู่การถวายตนอย่างทั้งครบแด่พระเจ้า การภาวนาดังกล่าวนอกจากเป็นกิจที่กระทำให้ยามปกติ เพื่อยืนยันความเชื่อ และ รักษาคำมั่นสัญญากับพระ(ดู บทอ่านที่ 1)แล้ว ยังบ่งไปถึงในยามที่เราไม่ปกติด้วย คือ ยามที่เราเป็นทุกข์

...............เพราะเมื่อเราบังเกิดใหม่ในพระคริสตเจ้าแล้ว ไม่ว่า เราจะทุกข์หรือสุข เราก็เป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ คำแนะนำที่ว่า"ให้ถวายความลำบากร่วมส่วนกับพระมหาทรมานของพระองค์"จะไม่มีคุณค่าเลย หากเป็นการถวายที่ไม่ตระหนักถึงการทบทวนตนเองว่า ทำไมต้องถวาย?การถวายนั้นเป็นเรื่องที่สักแต่ถวายหรือไม่?การถวายนั้นเป็นการถวายหวังเพื่อให้ตนเองรอดพ้นจากความทุกข์นั้นหรือไม่? ที่สำคัญเราควรคำนึงถึง"น้ำพระทัยของพระเป็นเจ้า" หลายคนมักให้ภาพพจน์น้ำพระทัยนี้เป็นทางบวก เป็นการอวยพร เป็นอะไรที่ดีๆ ซึ่งความคิดนี้ทำให้เรา"ทุกข์"เมื่อเราไม่ได้ดังที่คิดไว้ เพราะน้ำพระทัยของพระเป็นเจ้าเป็นของประทานที่ไม่มีบวกหรือลบอย่างที่มนุษย์คิด "การยอมรับน้ำพระทัยของพระเป็นเจ้า เป็นที่มาแห่งพระหรรษทานทุกประการ" มนุษย์คนแรกที่รับเอาพระเป็นเจ้ามาสถิตคือ แม่พระ และเป็นแม่ของมนุษยชาติ(ยอห์น 19:27) ได้ตรัสว่า"ข้าพเจ้าเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้า จงเป็นไปตามน้ำพระทัย"(ลูกา 1:38) ทั้งนี้แม้กระทั่งในบทนพวารพระมารดานิจจานุเคราะหฺยังกล่าวเรื่องนี้ไว้อย่างน่าฟังว่า "แต่ถ้าเป็นน้ำพระทัยของพระเป็นเจ้าที่จะให้ลูกต้องทรมานต่อไปแล้ว ก็ขอให้ลูกสามารถยอมรับด้วยความอดทน นี่คือพระหรรษทานที่ลูกวอนขอ"

...............เราจะเป็นอย่างชาวยิวที่ปรากฎในประวัติศาสตร์กระนั้นหรือ ที่เมื่อพระเป็นเจ้าทรงอวยพรชาวยิวขอบคุณเป็นการใหญ่ แต่พอพระเป็นเจ้าทรงลองใจ,ทดลอง,ทดสอบ ชาวยิวกลับสั่นคลอนในความเชื่ออย่างรุนแรงเพราะความยากลำบากนั้น รู้ไว้เถิดว่า "จงร่ำไห้ทูลวอนแด่พระเป็นเจ้าเถิด" บอกความต้องการของเรา และไม่ใช่จะให้เป็นไปอย่างที่เราต้องการให้ได้(เหมือนเด็กเอาแต่ใจตัว) เราต้องแสดงความนบนอบที่แท้ด้วยการยอมรับจากภายในวิญญาณว่า อย่างไรก็ตาม ทุกสิ่งจะเป็นไปตามน้ำพระทัย หลายคนละเลยกระบวนการนี้ไป อาจทำให้จิตวิญญาณเฉยชา กลายเป็นว่า "ก็ทุกสิ่งเป็นไปตามน้ำพระทัย เหมือนพระองค์จะทำอะไรก็ทำเถิด รับได้ทุกอย่าง"นี้เป็นท่าทีไม่เหมาะสมนัก ไม่ก่อให้เกิดการพัฒนา เพราะเราต้องย้อนดูตัวเราว่า เราไม่อยากให้เหตุการณ์นี้เกิด และด้วยความบกพร่องของเรา เราไม่ต้องการให้มันเกิดขึ้นจริงๆ แม้เราจะรู้อยู่แก่ใจว่าต้องเกิดขึ้นอันเป็นธรรมชาติมนุษย์ และเรารู้ว่าพระเป็นเจ้าพระบิดา ทรงรักเรามากและทรงบรมเดชานุภาพ เราจึงทูลวอนขอ เพื่อให้เหตุการณ์ที่เราไม่ต้องการนี้ไม่เกิดขึ้น อย่างไรก็ดี เราต้องตระหนักว่าพระองค์มีอาชญาสิทธิ์ทุกประการที่จะทำอย่างไรก็ได้-ไม่ได้หมายความว่าตามอำเภอใจ แต่ทรงมีแผนการ (เพราะสุดท้ายความลำบากนั้นอาจเพื่อสอนเรา) เราจึงต้องไม่ลงใจว่า มันจะเกิดหรือไม่เกิด แต่ให้เป็นไปตามน้ำพระทัยเถิด พอกล่าวถึงจุดนี้ วิญญาณเราบรรเทาใจไปเรียบร้อยแล้วและมีแต่สันติสุข(เหมือนส่งเรื่องให้นายรับทราบแล้ว อย่างไรเสียนายรับรู้เรื่องของเรา ผ่านการออกปากของเราเองแล้ว) ถ้าสันติสุขไม่เกิด เราควรหันมาทบทวนแล้วว่า ฤทธิ์กุศล 3 ประการเราอะไรที่กำลังพร่อง

2.ทรงได้รับการสดับฟังจากพระเจ้าเพราะความเคารพยำเกรงของพระองค์

...............การแสดงความเคารพทำให้เกิดการรับฟังเสมอ ข้อนี้เป็นเรื่องของความนบนอบ ธรรมบัญญัติเอกกล่าวไว้ว่า"(1)ท่านต้องรักพระเจ้าสุดจิตใจ วิญญาณ สติปัญญา(2)ท่านต้องรักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตนเอง"(มัทธิว 22:37-39) เราจะรักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตนเองได้ก็ต่อเมื่อเรามีความเคารพในมนุษย์ผู้นั้น ความเคารพนี้คนละเรื่องกับการเคารพพระเจ้า หากแต่เราเคารพศักดิ์ศรี ศักยภาพ และความสามารถ สำคัญที่สุด"ความดี"ของเขา การแสดงออกซึ่งความเคารพเพื่อนมนุษย์ในลักษณะนั้นย่อมทำให้เกิดการรับฟัง ทั้งนี้เป็นความสุขแท้ "ผู้มีใจยากจนย่อมเป็นสุข"(มัทธิว 5:3)

...............หลายครั้ง,ความที่เราตั้งเป้าแต่จะเคารพยำเกรงแต่องค์พระเจ้า ทำให้เราลืมไปว่า เราต้องแสดงความนบนอบต่อเพื่อนพี่น้องด้วย ที่สำคัญเราควรนบนอบต่อทุกคน จริงอยู่,ความบกพร่องอาจทำให้เรานบนอบต่อทุกคนไม่ได้ เช่น คนที่ไม่ควรนบนอบเลย เป็นต้น คนชั่วช้า อย่างไรก็ตาม เราต้องมีความพยายามที่จะก้าวไปสู่ความนบนอบทั้งครบที่ว่า เพราะเป็นหนทางแห่งความสุข(เทียบ บุญลาภ) และก้าวไปสู่ความดีบริบูรณ์ตามที่พระเยซูเจ้าเชิญชวน(เทียบ มัทธิว 5:48) "รับใช้เพื่อนพี่น้อง เท่ากับรับใช้พระเยซูเจ้าองค์เอง" หากเราจะเดินตามรอยบาทของพระองค์เราควรพินิจว่า"บุตรแห่งมนุษย์มิได้มาให้ผู้อื่นรับใช้แต่มาเพื่อรับใช้ผู้อื่น"(มัทธิว 21:28) เราต้องเห็นพระเป็นเจ้าในตัวเพื่อนพี่น้องด้วย(ถ้าตาเราดีจริง)มิใช่มองแต่ฟ้าสวรรค์ เมื่อเราปฏิบัติดังนี้ พระเป็นเจ้าย่อมสดับฟังเราเหมือนที่เราสดับฟังผู้อื่น
ขอบคุณตรงนี้มากๆเลยนะคะ เรื่องความนบนอบ ซึ่งจะมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับ เรื่อง "การฟัง" และ "การตอบสนอง" เป็นอย่างมาก อย่างที่ได้อธิบายแบ่งปันมานะคะ ดีมากจริงๆค่ะ

ตัวเองเพิ่งจะได้เรียนรู้ไม่นานมานี้  ก็ขอแบ่งปันนะคะ คือ ความนบนอบเป็นการตอบสนองจากเรา เป็นอะไรที่ active  .... เรา actively respond to God ไม่ใช่ passive ไม่ใช่ปล่อยไปตามกระแส อะไรจะเกิดก็เกิด แต่ว่า เราตอบสนอง เรา respond ไม่ใช่ react .... แต่เป็น respond อย่างที่แบ่งปันไปนะคะว่า ไม่ใช่ปล่อยไปตามพระประสงค์ อะไรจะเกิดก็เกิด เรายอมรับ ไม่ใช่เพราะเราไม่มีที่จะไป ต้องกล้ำกลืนยอมรับ แต่เพราะเราตอบสนอง เรายินดีในน้ำพระทัย

เรื่อง react กับ respond ก็จะเป็นพื้นฐานในการภาวนาด้วย ในการสนทนากับพระเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง  react เหมือนกับการตีเทนนิส เราพยายามให้ลูกออกไปพ้นตัวเรา พอลูกมา ก็ตีไป ในการสนทนา ถ้าเรา respond เราจะสามารถดึงเอาสิ่งดี หรืออะไรก็แล้วแต่ ในอีกคนให้ออกมา ต่างคนต่างฟังกัน และพระจะทำงาน ในการสนทนา จึงเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น เหมือนในการภาวนา ที่ต้องทั้งพูดและฟัง เพื่อให้วิญญาณได้เปลี่ยนแปลง

และจากที่พระเพิ่งสอนนะคะ ได้เรียนรู้ว่า ตอนแรกมันจะยากมากที่จะนบนอบ แต่พอลองได้นบนอบ ได้ตอบสนองด้วยความนบนอบไปแล้ว กลายเป็นว่า ชีวิตมันเบาขึ้นมาก เบามากจนตกใจ และเสียใจว่า ที่ผ่านมาเราทำอะไรเนี่ย แล้วทำไมเรามีชีวิตที่ไม่นบนอบแบบนี้  ::003::

การนบนอบที่พูดถึงคือ การนบนอบต่อสิ่งที่เราเป็น ซื่อสัตย์ต่อสิ่งที่เราเป็น ในสวนเกธเมนี คือสวนแห่งการนบนอบ ต่างจากสวนเอเดนซึ่งเป็นสวนแห่งความไม่นบนอบ พระเยซูเจ้านบนอบต่อสิ่งที่พระองค์เป็น นบนอบต่อชื่อของพระองค์

และการนบนอบกับการฟัง มันใกล้ชิดกันมาก นบนอบต่อพระเป็นเจ้า คือ การฟังพระองค์ ที่คุณ Man of Macedonia แบ่งปันเรื่องนบนอบกับเพื่อนพี่น้อง อันนี้ดีมากเลยนะคะ ซึ่งก็คือ การฟังเพื่อนพี่น้อง

ขอบคุณพระเป็นเจ้า สำหรับการย้ำเตือน (สิ่งที่คุณ Man of Macedonia แบ่งปัน สรุปสิ่งที่ได้เรียนรู้มาค่ะ) และขอบคุณที่แบ่งปันค่ะ  ::001::
Buddy
โพสต์: 3057
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ มี.ค. 09, 2005 10:48 am
ที่อยู่: USA

เสาร์ มี.ค. 28, 2009 4:07 am

Man of Macedonia เขียน:
1."ความเสื่อมสลายที่นำไปสู่ชีวิตใหม่"

...............ขอให้พินิจคำนี้ให้ดี ในอุปมาเรื่องเมล็ดข้าว หากเรามองตามโลกทัศน์ของชาวยิวที่มองกาลเวลาเป็นเส้นตรง ไม่ได้มองลักษณะวัฏจักร(Wheel) จะทำให้เรามองกระบวนการเกิดและตายของข้าวนี้อย่างทื่อๆ นักวิชาการเรียกกระบวนทัศน์แบบนี้ว่า แบบตะวันตก อย่างไรก็ตาม กระบวนทัศน์แบบตะวันออกมักมองทุกสิ่งเป็นวัฏจักร(Wheel) พระเยซูเจ้าทรงตรัสเรื่องเมล็ดพันธุ์หลายครั้งในคำสอนของพระองค์(ผู้หว่าน,ข้าวละมาน,เมล็ดมัสตาร์ด) กล่าวคือผู้เขียนเห็นว่า พระองค์คือบทสรุปและแบบอย่างของคำกล่าวว่า"ความเสื่อมสลายที่นำไปสู่ชีวิตใหม่"หรือกล่าวให้ลึกขึ้นคือแง่ลบนำไปสู่แง่บวก(ระวังอย่าให้เป็นทวินิยม) เมื่อพระองค์มารับพระธรรมชาติมนุษย์ ก็ทรงตกอยู่ภายใต้กฎแห่งความเสื่อมสลายด้วย แต่ความเสื่อมสลายดังกล่าวมันเป็นธรรมดาโลก เทียบไม่ได้เลยกับ การที่จิตใจมนุษย์ของพระองค์ที่เปลี่ยนแปลงไปสู่ชีวิตใหม่ คือ ชีวิตพระหรรษทาน ณ โลกนี้ และ ชีวิตนิรันดร(ดีบริบูรณ์) ณ สวรรค์ (นัยยะนี้ คือ การกลับคืนบ้านแท้ของพระองค์) เหตุนี้ พระองค์เชิญชวนให้เราพิจารณาธรรมล้ำลึกว่าด้วย "การสิ้นพระชนม์ และ การกลับคืนพระชนมชีพของพระองค์" คำว่า"ล้ำลึก"คือมี ท่อธารแห่งพระปรีชาญาณแฝงเร้นอยู่เสมอในกระบวนการสิ้นพระชนม์และการกลับคืนพระชนมชีพของพระองค์ ต้องอาศัยการเงียบ(เข้าฌาน)

...............อย่าลืมว่า เราเข้าใจข้อความว่า"เสื่อมสลาย"ข้อความว่า"ชีวิตใหม่"ได้ นั่นเพราะเรามองแบบแยกองค์ประกอบ (ซึ่งในความเป็นจริงเป็นกระบวนการที่ต่อเนื่องไป แยกออกจากกันมิได้)สาเหตุที่เราต้องแยกองค์ประกอบเพราะ เราไม่มีปรีชาญาณพอที่จะเข้าใจความต่อเนื่องนั้นได้ เราเห็นความเสื่อมสลายที่ว่าในอะไรบ้าง? พิจารณาจากประวัติศาสตร์ความรอดของมนุษยชาติ เราเห็นชัดเจนตั้งแต่ครั้งอาดัมและเอวา สัญลักษณ์แทนบรรพบุรุษแห่งมนุษยชาติทั้งสอง เสื่อมสลายจากความเชื่อฟังพระเจ้า แต่พระเจ้าก็ยังให้เขามี"ชีวิตใหม่"(บุตร) ต่อมาบุตรบางคนเสื่อมสลายจากความยำเกรงพระเจ้า พระองค์ก็ยังให้"ชีวิตใหม่"ให้มีมนุษยชาติร่ำไป จวบจนมาถึงยุคของพระเอกบุตรที่เสด็จจากสวรรค์ลงมารับความเสื่อมสลาย(ที่พระองค์ไม่ได้ก่อ)แต่อาศัยพระบุตรนี้ทุกคนจะเข้าถึง"ชีวิตใหม่" ทั้งพระองค์ยังเรียกร้องให้เราผู้รับใช้ ดำเนินตามรอยพระองค์ในธรรมล้ำลึกว่า"ผ่านความเสื่อมสลายนำไปสู่ชีวิตใหม่"(ของเทียบกับ ของพระคุณเจ้าที่ว่า ผ่านทางกางเขน ไปสู่ความรุ่งโรจน์-Per Crucem Ad Lucem)

...............ในชีวิตจิตคริสตชนเราหมุนเวียนไปเสมอระหว่างการเสื่อมสลายและชีวิตใหม่ กล่าวคือ เราได้รับชีวิตใหม่จากศีลล้างบาปแล้ว แต่ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่ทำบาปอีกเลย(เหตุแห่งความเสื่อมสลาย) ครั้นเราทำบาป(เสื่อมสลาย)เรามีชีวิตใหม่อีกครั้งในศีลอภัยบาปและศีลมหาสนิท ในจิตวิญญาณมนุษย์จำเป็นต้องวนเป็นวัฏแบบนี้ จนกว่าจะบรรลุถิ่นเที่ยงแท้ ณ วิมานสวรรค์ วันที่เราจะเข้าเฝ้าพระเจ้าแบบ Face to Face อันจะเป็นจุดสิ้นสุด วัฏ ของเรา คือ ออกมานอกวัฏชื่อว่า"เสื่อมสลายนำไปสู่ชีวิตใหม่"อย่างแท้จริง(ในที่นี้อนุโลมพูดแล้วหยุดเฉพาะตรงจุดนี้ เพราะมันเริ่มปลายเปิด)

2."ผู้ที่รักชีวิตจะสูญเสียชีวิตจิต"

...............คำว่ารักชีวิต ในที่นี้กินความถึง "ความยึดติดในสิ่งฝ่ายข้างโลก" ความยึดติดเหล่านี้ ทำให้มนุษย์สูญเสียชีวิตจิต การสูญเสียชีวิตจิตเป็นความเสื่อมสลายแบบหนึ่ง ซึ่งกระบวนการตามวัฏย่อมผลักดันเราไปสู่การแสวงหาความไม่เสื่อมสลาย ถ้าในชีวิตคริสตชน คือ ศีลอภัยบาปเพื่อให้เรากลับมามีชีวิตอีกครั้งหลังจากตายทางวิญญาณเพราะบาปไป พระองค์เรียกร้องให้เรา"เพิ่มเนื้อที่ให้จิตวิญญาณ"โดยการขนเอาขยะทางจิตวิญญาณออก เพื่อท้องพระโรงของพระเป็นเจ้าที่ประทับอยู่ในมโนธรรมจะได้สมกับเป็นพระวิหารศักดิ์สิทธิ์ อันเราจะนมัสการ ถ้ามองโดยอาศัยตรรกะนี้ ชีวิตประจำวันของเราที่ก้าวไปหาพระเป็นเจ้าเรื่อยๆ นัยยะหนึ่งคือการขนสิ่งไม่สมควรออกจากมโนธรรมของเรา ฉะนั้น พระองค์เชิญชวนให้เราใฝ่ใจชีวิตจิต ปล่อยวางจากชีวิตหยาบๆ(คือชีวิตฝ่ายกาย)

...............บาปมักเกี่ยวข้องกับเนื้อหนังเสมอไม่ว่าทางใดก็ทางหนึ่ง บางคนอาจกล่าวว่านั่นแค่ความคิด ไม่น่าเกี่ยวกับเนื้อหนัง แต่เราปฏิเสธไม่ได้ว่าความคิดเรามันมีผลมาจากการเสพทางกายภาพ จึงมีผลให้คิดเช่นั้นๆ ฉะนั้น ในเวลาที่เราทำบาป(แน่นอน ทุกคนทำได้,ทุกคนยังบกพร่องอยู่ แต่นั่นไม่ใช่ข้ออ้างที่จะไม่พัฒนาตนเอง)เรากำลัง"รักชีวิต"เราอยู่ เพราะอะไร? เรามีความพึงพอใจต่อ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสฝ่ายข้างโลกอันเป็นเรื่องภายนอก คำถามที่น่าสนใจคือ ในวันหนึ่งๆมี 24 ชม. เราแบ่งเวลาอย่างสมดุลเพื่อให้เราเป็นผู้รักชีวิตจิตอย่างไร? ที่กล่าวไม่ใช่ ให้หลับตาเพ่งฌานแต่ฝ่ายเดียว หรือ ให้เจริญชีวิตตามพระวาจาอย่างสุดโต่ง(นั่นพระเยซูเจ้าก็ไม่ทรงสนับสนุน) แต่คือ"ความเข้าใจในการดำเนินชีวิต 24 ชม."นั้นๆต่างหาก ว่าเรากำลังทำอะไร?อะไรคือบาป?อะไรคือข้อบกพร่อง?

...............ตัวอย่างสำคัญประการหนึ่งที่ต้องพิจารณาไว้นั่นคือ เรามักเผลอเรอละเลยว่า ชีวิตเรายังมีข้อบกพร่องอย่างไม่รู้ตัว เช่น บางคนปฏิบัติตามบทแสดงความทุกข์อย่างเคร่งครัดคือ"ข้าพเจ้าตั้งใจแน่วแน่ว่าจะไม่ทำบาปอีกเลย" ทำให้กลายเป็นคนที่ตึงเกินไป เกิดความฟุ้งซ่าน ท้ายที่สุดไปทำตัวคล้ายๆชาวยิว ที่ยึดแน่นกับอะไรสักอย่าง มากไปกว่า มโนธรรม คือ เจตนาดี และ ความรัก ลืมไปว่าพระเยซูเจ้าเสด็จมาคลายความตึง ความสุดโต่ง ท้ายที่สุดคนประเภทนี้ มักละเลยพี่น้องที่สมควรจะได้รับคำภาวนามากที่สุด นั่นคือ คนบาปที่สุดนั่นเอง (ฉันจะภาวนาให้คนเหล่านี้เฉพาะในวัดแค่นั้นเพียงพอ???) หรือบางคนก็กลายเป็นโรคกลัวบาปขึ้นสมอง กลัวบาปไม่หลุดซักทีไปครุ่นคิดอยู่แต่ตรงนั้น จุดนี้พระเยซูเจ้าก็ไม่ทรงสนับสนุนให้เป็นคนจับจดเช่นนั้น ทรงสอนให้เราให้โอกาสตนเองเสมอ เหมือนที่พระบิดาเจ้าให้โอกาสเรา และจากการให้โอกาสที่ว่า เป็นเราที่จะต้องให้โอกาสผู้อื่นทุกคนๆไม่เว้นใครเลยดุจกัน!!
ตรงนี้คนอื่นไม่รู้ยังไงนะคะ แต่ตัวเอง พระสอนเรื่องการอดอาหาร ตอนเริ่มมหาพรตปีนี้ มาย้ำเตือนอีกครั้งกับสิ่งที่พระสอนตอนก่อนเริ่มมหาพรต พระสอนว่า ที่เราอดไม่ได้ เพราะเราสงสารตัวเอง กลัวตาย ซึ่งตอนนั้นไปเปิดเจอพระคัมภีร์บทนึง จำไม่ได้ว่าอะไรในพระธรรมเก่า ไม่ได้จดไว้ แต่บอกว่า "คนที่อดอาหารน่ะ ไม่ตายหรอก แต่คนที่ไม่อดน่ะ จะตาย" ก็คือ ไม่ใช่เพราะเราอ่อนแออะไรหรอก เพียงแต่เรากลัวตาย เรารักษาชีวิตตัวเองไว้ แต่เราไม่รู้ว่า ... ผู้ที่รักษาชีวิตน่ะ จะเสียชีวิต แต่ผู้ที่ตายน่ะ เขาจะมีชีวิต ...

ขอบคุณอีกครั้งสำหรับการแบ่งปันค่ะ  ::001::
Man of Macedonia
โพสต์: 973
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ธ.ค. 04, 2006 9:33 pm
ที่อยู่: Virtusian's House of Prayer,Thailand
ติดต่อ:

เสาร์ มี.ค. 28, 2009 10:56 pm

Buddy เขียน:
Man of Macedonia เขียน: การอธิบายแบ่งปัน

1.ทรงร้องอธิษฐานและทูลอ้อนวอนด้วยเสียงคร่ำครวญร่ำไห้ต่อพระเป็นเจ้า

...............ภายในสวนเกทเสมนี พระองค์รู้สึกหวาดกลัวและเศร้าพระทัย ทรงตรัสว่าใจเราเป็นทุกข์แทบสิ้นชีวิต(มาระโก 14:34) ทั้งนี้ทรงอธิษฐานอย่างเข้มข้นถึงกับพระเสโทหยดลงพื้นดิน(ลูกา 22:44) ทรงซบพระพักตร์กับพื้นดิน อธิษฐานว่า "พระบิดาเจ้าข้า ถ้าเป็นไปได้ขอให้ถ้วยนี้พ้นข้าพเจ้าไปเถิด ถ้าเป็นไปไม่ได้ ก็ขออย่าให้เป็นไปตามใจข้าพเจ้า แต่ให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์เถิด"(มัทธิว 26:39) พระเยซูเจ้าทรงเรียกร้องให้เราภาวนามาโดยตลอด เพื่อให้เราก้าวเดินไปสู่การถวายตนอย่างทั้งครบแด่พระเจ้า การภาวนาดังกล่าวนอกจากเป็นกิจที่กระทำให้ยามปกติ เพื่อยืนยันความเชื่อ และ รักษาคำมั่นสัญญากับพระ(ดู บทอ่านที่ 1)แล้ว ยังบ่งไปถึงในยามที่เราไม่ปกติด้วย คือ ยามที่เราเป็นทุกข์

...............เพราะเมื่อเราบังเกิดใหม่ในพระคริสตเจ้าแล้ว ไม่ว่า เราจะทุกข์หรือสุข เราก็เป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ คำแนะนำที่ว่า"ให้ถวายความลำบากร่วมส่วนกับพระมหาทรมานของพระองค์"จะไม่มีคุณค่าเลย หากเป็นการถวายที่ไม่ตระหนักถึงการทบทวนตนเองว่า ทำไมต้องถวาย?การถวายนั้นเป็นเรื่องที่สักแต่ถวายหรือไม่?การถวายนั้นเป็นการถวายหวังเพื่อให้ตนเองรอดพ้นจากความทุกข์นั้นหรือไม่? ที่สำคัญเราควรคำนึงถึง"น้ำพระทัยของพระเป็นเจ้า" หลายคนมักให้ภาพพจน์น้ำพระทัยนี้เป็นทางบวก เป็นการอวยพร เป็นอะไรที่ดีๆ ซึ่งความคิดนี้ทำให้เรา"ทุกข์"เมื่อเราไม่ได้ดังที่คิดไว้ เพราะน้ำพระทัยของพระเป็นเจ้าเป็นของประทานที่ไม่มีบวกหรือลบอย่างที่มนุษย์คิด "การยอมรับน้ำพระทัยของพระเป็นเจ้า เป็นที่มาแห่งพระหรรษทานทุกประการ" มนุษย์คนแรกที่รับเอาพระเป็นเจ้ามาสถิตคือ แม่พระ และเป็นแม่ของมนุษยชาติ(ยอห์น 19:27) ได้ตรัสว่า"ข้าพเจ้าเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้า จงเป็นไปตามน้ำพระทัย"(ลูกา 1:38) ทั้งนี้แม้กระทั่งในบทนพวารพระมารดานิจจานุเคราะหฺยังกล่าวเรื่องนี้ไว้อย่างน่าฟังว่า "แต่ถ้าเป็นน้ำพระทัยของพระเป็นเจ้าที่จะให้ลูกต้องทรมานต่อไปแล้ว ก็ขอให้ลูกสามารถยอมรับด้วยความอดทน นี่คือพระหรรษทานที่ลูกวอนขอ"

...............เราจะเป็นอย่างชาวยิวที่ปรากฎในประวัติศาสตร์กระนั้นหรือ ที่เมื่อพระเป็นเจ้าทรงอวยพรชาวยิวขอบคุณเป็นการใหญ่ แต่พอพระเป็นเจ้าทรงลองใจ,ทดลอง,ทดสอบ ชาวยิวกลับสั่นคลอนในความเชื่ออย่างรุนแรงเพราะความยากลำบากนั้น รู้ไว้เถิดว่า "จงร่ำไห้ทูลวอนแด่พระเป็นเจ้าเถิด" บอกความต้องการของเรา และไม่ใช่จะให้เป็นไปอย่างที่เราต้องการให้ได้(เหมือนเด็กเอาแต่ใจตัว) เราต้องแสดงความนบนอบที่แท้ด้วยการยอมรับจากภายในวิญญาณว่า อย่างไรก็ตาม ทุกสิ่งจะเป็นไปตามน้ำพระทัย หลายคนละเลยกระบวนการนี้ไป อาจทำให้จิตวิญญาณเฉยชา กลายเป็นว่า "ก็ทุกสิ่งเป็นไปตามน้ำพระทัย เหมือนพระองค์จะทำอะไรก็ทำเถิด รับได้ทุกอย่าง"นี้เป็นท่าทีไม่เหมาะสมนัก ไม่ก่อให้เกิดการพัฒนา เพราะเราต้องย้อนดูตัวเราว่า เราไม่อยากให้เหตุการณ์นี้เกิด และด้วยความบกพร่องของเรา เราไม่ต้องการให้มันเกิดขึ้นจริงๆ แม้เราจะรู้อยู่แก่ใจว่าต้องเกิดขึ้นอันเป็นธรรมชาติมนุษย์ และเรารู้ว่าพระเป็นเจ้าพระบิดา ทรงรักเรามากและทรงบรมเดชานุภาพ เราจึงทูลวอนขอ เพื่อให้เหตุการณ์ที่เราไม่ต้องการนี้ไม่เกิดขึ้น อย่างไรก็ดี เราต้องตระหนักว่าพระองค์มีอาชญาสิทธิ์ทุกประการที่จะทำอย่างไรก็ได้-ไม่ได้หมายความว่าตามอำเภอใจ แต่ทรงมีแผนการ (เพราะสุดท้ายความลำบากนั้นอาจเพื่อสอนเรา) เราจึงต้องไม่ลงใจว่า มันจะเกิดหรือไม่เกิด แต่ให้เป็นไปตามน้ำพระทัยเถิด พอกล่าวถึงจุดนี้ วิญญาณเราบรรเทาใจไปเรียบร้อยแล้วและมีแต่สันติสุข(เหมือนส่งเรื่องให้นายรับทราบแล้ว อย่างไรเสียนายรับรู้เรื่องของเรา ผ่านการออกปากของเราเองแล้ว) ถ้าสันติสุขไม่เกิด เราควรหันมาทบทวนแล้วว่า ฤทธิ์กุศล 3 ประการเราอะไรที่กำลังพร่อง

2.ทรงได้รับการสดับฟังจากพระเจ้าเพราะความเคารพยำเกรงของพระองค์

...............การแสดงความเคารพทำให้เกิดการรับฟังเสมอ ข้อนี้เป็นเรื่องของความนบนอบ ธรรมบัญญัติเอกกล่าวไว้ว่า"(1)ท่านต้องรักพระเจ้าสุดจิตใจ วิญญาณ สติปัญญา(2)ท่านต้องรักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตนเอง"(มัทธิว 22:37-39) เราจะรักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตนเองได้ก็ต่อเมื่อเรามีความเคารพในมนุษย์ผู้นั้น ความเคารพนี้คนละเรื่องกับการเคารพพระเจ้า หากแต่เราเคารพศักดิ์ศรี ศักยภาพ และความสามารถ สำคัญที่สุด"ความดี"ของเขา การแสดงออกซึ่งความเคารพเพื่อนมนุษย์ในลักษณะนั้นย่อมทำให้เกิดการรับฟัง ทั้งนี้เป็นความสุขแท้ "ผู้มีใจยากจนย่อมเป็นสุข"(มัทธิว 5:3)

...............หลายครั้ง,ความที่เราตั้งเป้าแต่จะเคารพยำเกรงแต่องค์พระเจ้า ทำให้เราลืมไปว่า เราต้องแสดงความนบนอบต่อเพื่อนพี่น้องด้วย ที่สำคัญเราควรนบนอบต่อทุกคน จริงอยู่,ความบกพร่องอาจทำให้เรานบนอบต่อทุกคนไม่ได้ เช่น คนที่ไม่ควรนบนอบเลย เป็นต้น คนชั่วช้า อย่างไรก็ตาม เราต้องมีความพยายามที่จะก้าวไปสู่ความนบนอบทั้งครบที่ว่า เพราะเป็นหนทางแห่งความสุข(เทียบ บุญลาภ) และก้าวไปสู่ความดีบริบูรณ์ตามที่พระเยซูเจ้าเชิญชวน(เทียบ มัทธิว 5:48) "รับใช้เพื่อนพี่น้อง เท่ากับรับใช้พระเยซูเจ้าองค์เอง" หากเราจะเดินตามรอยบาทของพระองค์เราควรพินิจว่า"บุตรแห่งมนุษย์มิได้มาให้ผู้อื่นรับใช้แต่มาเพื่อรับใช้ผู้อื่น"(มัทธิว 21:28) เราต้องเห็นพระเป็นเจ้าในตัวเพื่อนพี่น้องด้วย(ถ้าตาเราดีจริง)มิใช่มองแต่ฟ้าสวรรค์ เมื่อเราปฏิบัติดังนี้ พระเป็นเจ้าย่อมสดับฟังเราเหมือนที่เราสดับฟังผู้อื่น
ขอบคุณตรงนี้มากๆเลยนะคะ เรื่องความนบนอบ ซึ่งจะมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับ เรื่อง "การฟัง" และ "การตอบสนอง" เป็นอย่างมาก อย่างที่ได้อธิบายแบ่งปันมานะคะ ดีมากจริงๆค่ะ

ตัวเองเพิ่งจะได้เรียนรู้ไม่นานมานี้  ก็ขอแบ่งปันนะคะ คือ ความนบนอบเป็นการตอบสนองจากเรา เป็นอะไรที่ active  .... เรา actively respond to God ไม่ใช่ passive ไม่ใช่ปล่อยไปตามกระแส อะไรจะเกิดก็เกิด แต่ว่า เราตอบสนอง เรา respond ไม่ใช่ react .... แต่เป็น respond อย่างที่แบ่งปันไปนะคะว่า ไม่ใช่ปล่อยไปตามพระประสงค์ อะไรจะเกิดก็เกิด เรายอมรับ ไม่ใช่เพราะเราไม่มีที่จะไป ต้องกล้ำกลืนยอมรับ แต่เพราะเราตอบสนอง เรายินดีในน้ำพระทัย

เรื่อง react กับ respond ก็จะเป็นพื้นฐานในการภาวนาด้วย ในการสนทนากับพระเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง  react เหมือนกับการตีเทนนิส เราพยายามให้ลูกออกไปพ้นตัวเรา พอลูกมา ก็ตีไป ในการสนทนา ถ้าเรา respond เราจะสามารถดึงเอาสิ่งดี หรืออะไรก็แล้วแต่ ในอีกคนให้ออกมา ต่างคนต่างฟังกัน และพระจะทำงาน ในการสนทนา จึงเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น เหมือนในการภาวนา ที่ต้องทั้งพูดและฟัง เพื่อให้วิญญาณได้เปลี่ยนแปลง

และจากที่พระเพิ่งสอนนะคะ ได้เรียนรู้ว่า ตอนแรกมันจะยากมากที่จะนบนอบ แต่พอลองได้นบนอบ ได้ตอบสนองด้วยความนบนอบไปแล้ว กลายเป็นว่า ชีวิตมันเบาขึ้นมาก เบามากจนตกใจ และเสียใจว่า ที่ผ่านมาเราทำอะไรเนี่ย แล้วทำไมเรามีชีวิตที่ไม่นบนอบแบบนี้   ::003::

การนบนอบที่พูดถึงคือ การนบนอบต่อสิ่งที่เราเป็น ซื่อสัตย์ต่อสิ่งที่เราเป็น ในสวนเกธเมนี คือสวนแห่งการนบนอบ ต่างจากสวนเอเดนซึ่งเป็นสวนแห่งความไม่นบนอบ พระเยซูเจ้านบนอบต่อสิ่งที่พระองค์เป็น นบนอบต่อชื่อของพระองค์

และการนบนอบกับการฟัง มันใกล้ชิดกันมาก นบนอบต่อพระเป็นเจ้า คือ การฟังพระองค์ ที่คุณ Man of Macedonia แบ่งปันเรื่องนบนอบกับเพื่อนพี่น้อง อันนี้ดีมากเลยนะคะ ซึ่งก็คือ การฟังเพื่อนพี่น้อง

ขอบคุณพระเป็นเจ้า สำหรับการย้ำเตือน (สิ่งที่คุณ Man of Macedonia แบ่งปัน สรุปสิ่งที่ได้เรียนรู้มาค่ะ) และขอบคุณที่แบ่งปันค่ะ  ::001::
ขอบคุณที่ช่วยเสริมครับ
ตอบกลับโพส