พอผมมาถึงบ้านผมก็เห็นพ่อนั่งที่โต๊ะอาหารแล้วก็ทำให้เครียดๆ ผมก็เลยไม่ได้สนใจเพราะก่อนที่จะไปเยี่ยมญาติพ่อบอกผมว่าพ่อปวดหัว เพราะ อากาศมันร้อน แต่พอผมเดินไปที่โต๊ะวางกระเป๋าเรียนหนังสือ ก็เห็นพระคัมภีร์กับหนังสือประมวลคำสอนฯวางไว้อยู่บนโต๊ะเหมือนมีใครหยิบออกมาจากกระเป๋านักเรียน ผมเห็นแล้วก็หน้าซีดเลย เพราะผมเชื่อว่าพ่อต้องมาค้นกระเป๋าผมแน่ ผมทำอะไรไม่ถูกเลยก็เลยไปอาบน้ำ ทานข้าวแล้วก็ไปคุยกับพ่อ ซึ่งพ่อก็ไม่ยอมพูดอะไรกับผม แต่พูดผ่านทางแม่ว่า "พ่อไม่มีอะไรจะพูดเรื่องนี้อีกแล้ว" ผมก็รู้สึกช็อคกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ผมก็เลยสวดขอแม่พระก่อนนอนแล้วก็เข้านอนเลย
ในตอนเช้าของวันจันทร์ที่ 5 ตุลาคม 2009 ทุกอย่างดูเป็นปกติดี พ่อยอมคุยกับผมเหมือนทุกๆวัน แต่ผมก็ยังติดใจเรื่องเมื่อคืนอยู่ พอพ่อกับแม่ผมไปทำงานแล้ว ผมก็ไปวัดเซนต์จอห์น แล้วก็ไปภาวนาต่อหน้าแม่พระว่า "แม่ครับ ได้โปรดช่วยลูกด้วย ตอนนี้ในบ้านของผมกำลังมีปัญหากันอยู่ ผมอยากให้แม่ช่วย ผมรู้ว่าพระบิดาได้เตรียมทางในการเป็นคริสตังไว้สำหรับผมแล้ว แต่ผมก็เริ่มที่จะท้อใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น ผมอยากให้พ่อและแม่ของผมเข้าใจในพระเจ้ามากขึ้น อยากให้ท่านทั้งสองยอมรับพระองค์ ผมไม่เหลือใครแล้วนอกจากพระเจ้าและพระแม่ที่จะคอยช่วยผม ได้โปรดช่วยผมด้วย" พอสวดจบผมก็ร้องไห้ออกมาเลย ผมคิดว่าผมต้องการความช่วยเหลือจริงๆ
เมื่อถึงตอนเย็นพ่อกับแม่ผมก็กลับมาจากที่ทำงาน เราทุกคนในครอบครัวก็มานอนดูทีวีด้วยกัน พอดูเสร็จ พ่อก็บอกผมว่าอยากจะคุยเรื่องศาสนาด้วย พ่อเริ่มต้นด้วยการบอกผมว่า "พ่ออยากจะพูดกับมาร์ค(ชื่อผมเอง) เกี่ยวกับเรื่องนี้ ในเมื่อคืนที่ผ่านมาพ่อก็คิดอยู่ว่า เวลาต่างๆก็ผ่านไปรวดเร็ว พ่อก็ไม่รู้ว่าอีกนานสักแค่ไหนที่จะอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา เมื่อเรามีเวลาก็อยากที่จะปรับความเข้าใจกัน พ่ออยากให้มาร์คเล่าเรื่องความศรัทธาในศาสนาคริสต์ของมาร์คให้พ่อฟัง" ผมก็เล่าไปถึงความศรัทธาของผมให้พ่อฟัง ซึ่งระหว่างนั้นก็มีการถกเถียงกันอยู่บ้าง เพราะความไม่เข้าใจในศาสนา พอเล่าเสร็จ พ่อก็บอกว่า"พ่อไม่ว่าหรอกนะที่มาร์คจะนับถือศาสนาอะไร เพราะจากที่ฟังก็เข้าใจถึงความศรัทธาของมาร์ค พ่อไม่ว่าเลยเรื่องที่จะไปโบสถ์ หรือจะสวดภาวนาก็ตาม แต่พ่ออยากจะขอเรื่องการอ่านพระคัมภีร์ เพราะว่าตอนนี้มันเป็นช่วงของการเรียนที่เราจะต้องไปเรียนต่อมหาวิทยาลัย แล้วก็เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของมาร์คด้วย พ่ออยากจะให้อ่านหนังสือเรียนมากกว่า" หลังจากที่พ่อพูดจบ เราสองคนก็ได้ปรับความเข้าใจกันถึงข้อเสียของแต่ละคน พ่อบอกว่าผมเป็นคนปิดตัวเอง เพราะว่าผมเป็นคนที่ความเป็นโลกส่วนตัวสูง ซึ่งตรงนี้ผมก็ยอมรับและพร้อมที่จะแก้ไขตัวเอง
ผมคิดว่าผมอาจจะไม่มีปัญหาอะไรมากไปกว่านี้ ผมก็ยังไม่ได้บอกเลยเรื่องที่ไปวัดเพราะ วันที่ผมไปวัดก็คือวันที่ผมโดดเรียนพิเศษ ก็เลยยังไม่บอกพ่อ เรื่องรับศีลล้างบาป ผมคิดว่าไว้อายุประมาณ20กว่าแล้วค่อยรับดีกว่า เพราะผมคิดว่ามันเร็วเกินไปสำหรับคนรอบข้างก็คือคนที่ผมรักนั่นเอง
ป.ล. ผมขอบคุณพี่Buddy, พี่ Little Lamb, พี่Holyและทุกๆคนในเว็บบอร์ดnewmanaที่คอยเป็นกำลังใจและคอยให้คำปรึกษาผมมาตลอด
ป.ล.2 ผมอยากให้พี่Holyและทุกคนๆช่วยหาคำตอบสักอย่างให้ผมหน่อยได้ไหมครับ คือพ่อผมเขาไม่เข้าใจเรื่องพระเจ้าดีพอ
![love2 : xemo026 :](./images/smilies/xbugs26.gif)
![hah : emo045 :](./images/smilies/emotion_045.gif)