จากที่เคยเข้าใจมาตลอด ตามที่ศึกษาจากลิงค์ต่าง ๆ ผ่านที่นี่ กระทู้เก่า ๆ
เหมือนจะเคยมีกระทู้นึง ที่กล่าวถึงพระเยซูพาเด็กเจ็ดคน(ใช่ไหมนะถ้าจำไม่ผิด)ไปดูว่าในนรกเป็นอย่างไร
......อดวอรี่ไม่ได้เลย ได้ข่าวว่าในวันพิพากษา พวกเขาก็ต้องถูกเรียกมาตัดสินหน้าบัลลังค์อีกหนงั้นหรือ ได้ข่าวว่าโทษจะหนักเพิ่มขึ้นอีกด้วย
หากพระองค์เมตตาและรักมนุษย์จริง ทำไมต้องทำแบบนั้นด้วยล่ะ
*.......สงสัยพระองค์อีกแล้ว ท่าทางบั้นปลายคนแบบเราคงไม่เหลือเหมือนกัน เรื่องที่คาดหวังก็ท่าจะชวดแหงแซะ*
......แล้วถ้าเกิดวันนั้นเราต้องพบคนสำคัญที่ไม่ใช่คนไม่ดี และเราอยากให้รอด แต่เกิดไม่รอดเพราะอยู่ศาสนาอื่น หรือไม่ได้เชื่อพระเจ้าล่ะ
....ทุกวันนี้ก็ยังอดกังวลเรื่องเพื่อนศาสนาอื่นไม่ได้ เราไม่อยากให้ใครพินาศเลย (ส่วนเราน่ะ ไม่รอดก็คงไม่เป็นไรหรอกมั้ง ที่จริงถ้าเป็นไปได้ก็อยากอยู่ด้วยกันบนสวรรค์อยู่หรอก อยากสิ แต่ว่าคนแบบเราเนี่ยนะ)
ถึงจะพูดเรื่องศาสนสัมพันธ์ แต่มันเป็นคนละเรื่องกับ "ความจริง" นะ ถ้าหากว่าคนที่ไม่เชื่อก็ไม่รอดจริง แต่เราเกิดรอด(เผื่อฟลุ๊ค) ถึงตอนนั้นเราก็คงหาความสุขไม่ได้
(อย่างที่รู้ว่า บาดแผลในใจเราน่ะ ไม่ใช่สิ่งที่ "ชีวิตนิรันดร์" อย่างเดียวจะสมานได้หรอกนะ)
(เรายังไม่ปักใจเชื่อเรื่องไฟชำระ จะว่าเพราะเป็นโปรแตสแตนท์ก็ได้ แต่พระคัมภีร์ไม่ได้บอกชัดเจนจะให้กล้าฟันธงได้อย่างไร)
ทุกวันนี้ก็ยังคงสับสน และกังวลอยู่ต่อไป....
เราก็มีความรู้สึกนะ.... จะให้ได้แต่ "สิ่งทดแทน" แทนที่จะเป็น "สิ่งที่ต้องการจริง ๆ " ต่อไป มันก็รู้สึกตะขิดตะขวงใจได้เหมือนกัน
แต่เรามันอ่อนแอนี่นะ คนอ่อนแอจะคว้าสิ่งที่ต้องการได้ยังไงกัน
คนที่อยู่ในนรก วันสุดท้ายก็ต้องรับโทษหนักขึ้นเหรอ?
- Ecclēsia
- โพสต์: 976
- ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ พ.ค. 27, 2009 9:25 pm
- ที่อยู่: อาสนวิหารอัสสัมชัญ เขต1 อัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ
- ติดต่อ:
ก็เเล้วเเต่มุมมองเนอะ เรามองว่าพระเจ้าทรงมีความเมตตาต่อคนดีๆที่นับถือศาสนาอื่นอยู่ เเละเราก็วางใจในพระเมตตานั้น
จึงไม่สงสัยพระองค์เรื่องนี้...ละมั๊งนะ : emo027 :
ขอพระจิตเจ้าทรงนำ
จึงไม่สงสัยพระองค์เรื่องนี้...ละมั๊งนะ : emo027 :
ขอพระจิตเจ้าทรงนำ
- Ministry Of Men
- โพสต์: 3972
- ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ เม.ย. 18, 2007 3:09 pm
อันนี้เป็นประสบการณ์ส่วนตัว อาจไม่ถูกต้องตามหลักศาสนาศาสตร์ของบางนิกาย
"ผมได้รับประสบการณ์ตรงจากพระเยซูเจ้า เนื่องจากตอนรับเชื่อในช่วงครึ่งปีแรกนั้น ผมติดสนิทมาก และความเชื่อสูงที่สุดในรอบชีวิต
ผมเป็นห่วงถึงชีวิตหลังความตายของคนที่ผมรัก และผมถามพระองค์ว่า ถ้าคนที่ผมรักเหล่านั้น ไม่มีวันแม้แต่จะรู้จักพระเจ้าเมื่อเขายังมีชีวิตอยู่บนโลก
เมื่อตายไป พระองค์จะทำยังไงกับพวกเขา ในเมื่อเขาเป็นที่รักของผมทั้งหมด พระองค์จะให้เขาได้อยู่ร่วมกันพร้อมหน้าในที่ที่พระองค์เตรียมไหม...บลาๆ..
พระองค์ตอบว่า ........ "
ผมจึงสะสมบำเหน็จให้ได้มากที่สุดนี่ละครับ ^ ^
เมื่อมีวันนึงมีคนมาพูดคุยปรึกษาเป็นห่วงถึงคนรักที่ตายไป ผมจึงบอกให้อธิษฐานเผื่อผู้ตายนั้นไปอย่างซื่อๆ โดยไม่รู้เรื่องเลย ทั้งที่อยู่นิกายนี้มา 2 ปีได้..
ผมจึงเข้าเชื่อแบบคาทอลิกด้วย
ผู้ตายจากโลกนี้แล้ว ยังมีชีวิตหลังความตาย ยังมีจิตใจ มีความรู้สึก ความรัก..... ฯ
วางใจในพระเมตตาอันประหลาดที่หาที่สุดไม่ได้นั้นให้มากเข้าไว้นะครับ
ประเด็นสำคัญนั้น ไม่ใช่ว่านิกายที่แตกต่างจากนี้จะมีข้อเชื่ออย่างไร แต่มันคือ
เราวางใจในพระเจ้ามากแค่ไหน แม้สิ่งที่สำคัญต่อหัวใจเราที่สุด
นั่นแหละ ชีวิตที่จะเปี่ยมพระพรครับ
"ผมได้รับประสบการณ์ตรงจากพระเยซูเจ้า เนื่องจากตอนรับเชื่อในช่วงครึ่งปีแรกนั้น ผมติดสนิทมาก และความเชื่อสูงที่สุดในรอบชีวิต
ผมเป็นห่วงถึงชีวิตหลังความตายของคนที่ผมรัก และผมถามพระองค์ว่า ถ้าคนที่ผมรักเหล่านั้น ไม่มีวันแม้แต่จะรู้จักพระเจ้าเมื่อเขายังมีชีวิตอยู่บนโลก
เมื่อตายไป พระองค์จะทำยังไงกับพวกเขา ในเมื่อเขาเป็นที่รักของผมทั้งหมด พระองค์จะให้เขาได้อยู่ร่วมกันพร้อมหน้าในที่ที่พระองค์เตรียมไหม...บลาๆ..
พระองค์ตอบว่า ........ "
ผมจึงสะสมบำเหน็จให้ได้มากที่สุดนี่ละครับ ^ ^
เมื่อมีวันนึงมีคนมาพูดคุยปรึกษาเป็นห่วงถึงคนรักที่ตายไป ผมจึงบอกให้อธิษฐานเผื่อผู้ตายนั้นไปอย่างซื่อๆ โดยไม่รู้เรื่องเลย ทั้งที่อยู่นิกายนี้มา 2 ปีได้..
ผมจึงเข้าเชื่อแบบคาทอลิกด้วย
ผู้ตายจากโลกนี้แล้ว ยังมีชีวิตหลังความตาย ยังมีจิตใจ มีความรู้สึก ความรัก..... ฯ
วางใจในพระเมตตาอันประหลาดที่หาที่สุดไม่ได้นั้นให้มากเข้าไว้นะครับ
ประเด็นสำคัญนั้น ไม่ใช่ว่านิกายที่แตกต่างจากนี้จะมีข้อเชื่ออย่างไร แต่มันคือ
เราวางใจในพระเจ้ามากแค่ไหน แม้สิ่งที่สำคัญต่อหัวใจเราที่สุด
นั่นแหละ ชีวิตที่จะเปี่ยมพระพรครับ
- Ministry Of Men
- โพสต์: 3972
- ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ เม.ย. 18, 2007 3:09 pm
ขอเติมว่า "วิญญาณที่รับพระเมตตาที่เต็มล้นจากเรา รวมทั้งที่เราอธิษฐานเผื่อนั้น ต้องไม่เลวขนาดปฏิเสธพระเมตตาพระเจ้าด้วยนะครับ ไม่งั้นก็นรกแน่นอน"
ซึ่งคำตอบจากพระเยซูเจ้าในประสบการณ์ตรงส่วนตัวนั้น มันดันมาตรงกับคาทอลิก ซึ่งผมได้อ่านเจอใน newmana แห่งนี้ อย่างเว่อร์ๆๆๆ
ก็แปลกดีครับ เหอะๆๆๆ
ซึ่งคำตอบจากพระเยซูเจ้าในประสบการณ์ตรงส่วนตัวนั้น มันดันมาตรงกับคาทอลิก ซึ่งผมได้อ่านเจอใน newmana แห่งนี้ อย่างเว่อร์ๆๆๆ
ก็แปลกดีครับ เหอะๆๆๆ
เรื่องโทษจะมีมากแค่ไหนไม่มีใครรู้ครับ ตามมโนธรรมของเค้าจะนำเค้าไปเอง
ถึงแม้พระเจ้าทรงยุติธรรมอย่างที่สุด แต่ก็ทรงเมตตาอย่างที่สุดด้วยนะครับ
แม้แต่อะไรที่รุ่งเรืองที่สุดในโลก ก็ยังเทียบไม่ได้กับเสี้ยวสิริรุ่งโรจน์ในสวรรค์
ใช้มาตรฐานความคิดธรรมดาไม่ได้หรอกครับ พระเจ้าเรายิ่งใหญ่กว่านั้นมาก
เพราะพระเยซูไม่ต้องการให้ใครพินาศไปเลย จึงได้หาหนทางที่จะให้เราได้อยู่กับพระองค์มากมาย
ถ้าเค้าจะไม่รอด นั่นต้องหมายความว่าแม้แต่วันสุดท้ายเค้าก็ไม่กลับใจ และหันหลังให้พระเจ้าเสียเอง
เปิดทางให้ขนาดนี้ ชี้ทางให้ขนาดนี้ ถ้าวันสุดท้ายจริงๆ เห็นพระผู้พิพากษาจริงๆ แล้วยังไม่กลับตัว ก็คงไม่ไหว
ถ้าคุณเป็นฝ่ายที่อยู่ในสวรรค์อันรุ่งโรจน์ แล้วคุณจะยอมให้คนสกปรกมัวหมองแบบนี้ขึ้นมาอยู่กับคุณเหรอ
แต่ถ้าคิดว่า ไปอยู่กับคนพวกนี้ดีกว่าอยู่กับพระเจ้าก็ตามใจครับ พระเจ้าให้อิสระทุกคน
แต่สุดท้าย เรื่องวันสุดท้ายจะเป็นอย่างไรไม่ใช่เรื่องที่เราจะคาดเดาได้ครับ
พระเจ้ารักมนุษย์ทุกคน และอยากจะช่วยมนุษย์ทุกคน พระองค์จะต้องพยายามช่วยเราถึงที่สุด
คิดไปก็ป่วยการ สงสัยไปก็ป่วยการ เพราะไม่มีใคร ไม่มีศาสนาไหนตอบเรื่องนี้ได้
ผมขอแนะนำว่า ดื่มนมอุ่นๆสักแก้ว แล้วไป "คุย" กับพระสักสิบนาที (คุยเลยนะครับ ไม่ใช่แค่ภาวนา)
ถ้าคุณเชื่อว่าพระเจ้ามีจริง แล้วคุณคิดว่าพระเจ้าคือใครในสายตาคุณ ผู้สร้าง เจ้านาย เจ้าชีวิต หรือพ่อ
ถึงแม้พระเจ้าทรงยุติธรรมอย่างที่สุด แต่ก็ทรงเมตตาอย่างที่สุดด้วยนะครับ
แม้แต่อะไรที่รุ่งเรืองที่สุดในโลก ก็ยังเทียบไม่ได้กับเสี้ยวสิริรุ่งโรจน์ในสวรรค์
ใช้มาตรฐานความคิดธรรมดาไม่ได้หรอกครับ พระเจ้าเรายิ่งใหญ่กว่านั้นมาก
เพราะพระเยซูไม่ต้องการให้ใครพินาศไปเลย จึงได้หาหนทางที่จะให้เราได้อยู่กับพระองค์มากมาย
ถ้าเค้าจะไม่รอด นั่นต้องหมายความว่าแม้แต่วันสุดท้ายเค้าก็ไม่กลับใจ และหันหลังให้พระเจ้าเสียเอง
เปิดทางให้ขนาดนี้ ชี้ทางให้ขนาดนี้ ถ้าวันสุดท้ายจริงๆ เห็นพระผู้พิพากษาจริงๆ แล้วยังไม่กลับตัว ก็คงไม่ไหว
ถ้าคุณเป็นฝ่ายที่อยู่ในสวรรค์อันรุ่งโรจน์ แล้วคุณจะยอมให้คนสกปรกมัวหมองแบบนี้ขึ้นมาอยู่กับคุณเหรอ
แต่ถ้าคิดว่า ไปอยู่กับคนพวกนี้ดีกว่าอยู่กับพระเจ้าก็ตามใจครับ พระเจ้าให้อิสระทุกคน
แต่สุดท้าย เรื่องวันสุดท้ายจะเป็นอย่างไรไม่ใช่เรื่องที่เราจะคาดเดาได้ครับ
พระเจ้ารักมนุษย์ทุกคน และอยากจะช่วยมนุษย์ทุกคน พระองค์จะต้องพยายามช่วยเราถึงที่สุด
คิดไปก็ป่วยการ สงสัยไปก็ป่วยการ เพราะไม่มีใคร ไม่มีศาสนาไหนตอบเรื่องนี้ได้
ผมขอแนะนำว่า ดื่มนมอุ่นๆสักแก้ว แล้วไป "คุย" กับพระสักสิบนาที (คุยเลยนะครับ ไม่ใช่แค่ภาวนา)
ถ้าคุณเชื่อว่าพระเจ้ามีจริง แล้วคุณคิดว่าพระเจ้าคือใครในสายตาคุณ ผู้สร้าง เจ้านาย เจ้าชีวิต หรือพ่อ
- Deo Gratias
- โพสต์: 1100
- ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. มี.ค. 16, 2006 11:53 pm
จริงๆ แล้วอ่านแล้วเข้าใจสิ่งที่คุณคิดและเห็นใจคุณนะคะ แต่ไม่รู้จะแนะนำอย่างไรดี เพราะเคยตอบไปแล้ว
ถ้าพูดมากไปอีกเดี๋ยวจะกลายเป็นยัดเยียดความคิด แต่เมื่อเห็นว่าคุณประกาศตัวว่าเป็นโปรเตสแตนท์
ด้วยหัวใจผู้รับใช้จะทำเป็นไม่เห็น(เกือบจะทำอย่างนั้นแล้ว )ก็คงทำผิดจรรยาบรรณและไม่สบายใจ
จึงขอแนะนำให้ไปปรึกษาศิษยาภิบาลของคุณ เข้ากลุ่มสามัคคีธรรมบ่อยๆ เท่าที่ทำได้ หรือปรึกษาพี่เลี้ยงที่เติบโตฝ่ายวิญญาณนะคะ
ที่สำคัญพระคัมภีร์เป็นพระวจนะของพระเจ้าและเป็นคำตอบที่ดีที่สุด วันนี้คุณอาจจะยังไม่เข้าใจในหลายๆ เรื่องก็ไม่เป็นไร ค่อยเป็น ค่อยไป
วันเวลาจะช่วยให้คุณเข้าใจและมั่นใจน้ำพระทัยของพระเจ้ามากขึ้นอย่างแน่นอนค่ะ จะอธิษฐานเผื่อนะคะ : emo045 :
ฝากภาพ(ทางความคิด)ไว้ให้คิดอีกนิดนึง ลองนึกดูว่า พระเจ้าพยายามยื่นกุญแจเข้าสวรรค์(ความเชื่อในพระเยซู)ให้กับทุกคน
โดยผ่านทุกวิถีทางแล้วนะคะ ถ้าใครรับกุญแจก็เปิดเข้าไปได้ แต่ถ้าใครไม่รับกุญแจกลับสลัดหรือโยนทิ้ง ก็ไม่มีใครจับยัดเข้าใส่มือให้ได้
เพราะพระเจ้าให้อิสระในการตัดสินใจและจะไม่ทรงไม่บังคับให้ใคร(จริงๆ พระองค์สามาถทำได้ แต่ไม่ทรงทำ) เมื่อไม่มีกุญแจที่จะเปิด ก็เข้าไปไม่ได้
และในเวลานั้นก็จะไม่มีการขอยืมกุญแจคนข้างๆ นะคะ
ขอพระเจ้าอวยพรค่ะ
ถ้าพูดมากไปอีกเดี๋ยวจะกลายเป็นยัดเยียดความคิด แต่เมื่อเห็นว่าคุณประกาศตัวว่าเป็นโปรเตสแตนท์
ด้วยหัวใจผู้รับใช้จะทำเป็นไม่เห็น(เกือบจะทำอย่างนั้นแล้ว )ก็คงทำผิดจรรยาบรรณและไม่สบายใจ
จึงขอแนะนำให้ไปปรึกษาศิษยาภิบาลของคุณ เข้ากลุ่มสามัคคีธรรมบ่อยๆ เท่าที่ทำได้ หรือปรึกษาพี่เลี้ยงที่เติบโตฝ่ายวิญญาณนะคะ
ที่สำคัญพระคัมภีร์เป็นพระวจนะของพระเจ้าและเป็นคำตอบที่ดีที่สุด วันนี้คุณอาจจะยังไม่เข้าใจในหลายๆ เรื่องก็ไม่เป็นไร ค่อยเป็น ค่อยไป
วันเวลาจะช่วยให้คุณเข้าใจและมั่นใจน้ำพระทัยของพระเจ้ามากขึ้นอย่างแน่นอนค่ะ จะอธิษฐานเผื่อนะคะ : emo045 :
ฝากภาพ(ทางความคิด)ไว้ให้คิดอีกนิดนึง ลองนึกดูว่า พระเจ้าพยายามยื่นกุญแจเข้าสวรรค์(ความเชื่อในพระเยซู)ให้กับทุกคน
โดยผ่านทุกวิถีทางแล้วนะคะ ถ้าใครรับกุญแจก็เปิดเข้าไปได้ แต่ถ้าใครไม่รับกุญแจกลับสลัดหรือโยนทิ้ง ก็ไม่มีใครจับยัดเข้าใส่มือให้ได้
เพราะพระเจ้าให้อิสระในการตัดสินใจและจะไม่ทรงไม่บังคับให้ใคร(จริงๆ พระองค์สามาถทำได้ แต่ไม่ทรงทำ) เมื่อไม่มีกุญแจที่จะเปิด ก็เข้าไปไม่ได้
และในเวลานั้นก็จะไม่มีการขอยืมกุญแจคนข้างๆ นะคะ
ขอพระเจ้าอวยพรค่ะ
ตามหลักความเชื่อของคาทอลิค เราไม่ได้ยึดหลัก Bible Alone แบบโปรแตสแตนท์ส่วนมาก(เผื่อไว้ให้บางสายนะครับ)
คาทอลิคยอมรับว่า พระเจ้าสามารถไขแสดงให้เราเข้าใจเรื่องพระองค์ได้จากทางพระจิตเจ้าด้วย และพระจิตเจ้าสามารถใช้อะไรก็ได้มากกว่าหนังสือเล่มเดียว นั่นคือ
1.คำสอนเล่าต่อกันปากต่อปากโดยไม่ได้มีบันทึกไว้ ซึ่งเรียกว่า ธรรมประเพณี เพราะทุกสิ่งที่พระจิตเจ้าดลใจไม่ได้เขียนไว้ในพระคัมภีร์ทั้งหมด
ยน 21:24-25
นี่คือศิษย์ที่เป็นพยานถึงเรื่องราวเหล่านี้ และเขียนบันทึกไว้ พวกเรารู้ว่าคำพยานของเขานั้นเป็นความจริง ยังมีเรื่องราวอื่น ๆ อีกมากมายที่พระเยซูเจ้าทรงกระทำ ซึ่งถ้าจะเขียนลงไว้ทีละเรื่องทั้งหมด ข้าพเจ้าคิดว่า โลกทั้งโลกคงไม่พอบรรจุหนังสือที่จะต้องเขียนนั้น
2ธส 2:15
ดังนั้น พี่น้องทั้งหลายจงยืนหยัดมั่นคงและยึดถือธรรมประเพณีที่ท่านเรียนรู้มาทั้งด้วยวาจาและด้วยจดหมายของเรา
2.การไขแสดงส่วนบุคคล ของบรรดานักบุญในพระศาสนจักร
กจ 2:17
”พระเจ้าตรัสว่า ในวันสุดท้าย
เราจะให้พระจิตเจ้าของเรากับมนุษย์ทุกคน
บรรดาบุตรชายและบุตรหญิงของท่านจะประกาศพระวาจา
บรรดาคนหนุ่มของท่านจะเห็นนิมิต
บรรดาคนชราของท่านจะฝันเรื่องต่าง ๆ
ในวันเหล่านั้น เราจะให้พระจิตเจ้าของเรากับทุกคน
แม้กระทั่งทาสชาย ทาสหญิงของเราด้วย
และเขาจะประกาศพระวาจา
---ดังนั้น หากมีนักบุญ ได้รับการประจักษ์ หรือรับนิมิตจากพระเจ้า และสิ่งนั้นไม่ขัดพระคัมภีร์ เราถือว่ามาจากพระเจ้าด้วย และเป็นความจริง ถ้าถามกลับมาว่า แล้วเอาอะไรพิสูจน์ เราทำตามพระวาจาบทนี้
มธ 7:15-20 ประกาศกเทียม
“จงระวังประกาศกเทียมซึ่งมาพบท่าน นุ่งห่มเหมือนแกะ แต่ภายในคือสุนัขป่าดุร้าย ท่านจะรู้จักเขาได้จากผลงานของเขา มีใครบ้างเก็บผลองุ่นจากต้นหนาม หรือเก็บผลมะเดื่อเทศจากพงหนาม ในทำนองเดียวกัน ต้นไม้พันธุ์ดีย่อมเกิดผลดี ต้นไม้พันธุ์ไม่ดีย่อมเกิดผลไม่ดี ต้นไม้พันธุ์ดีจะเกิดผลไม่ดีมิได้ และต้นไม้พันธุ์ไม่ดีก็ไม่อาจเกิดผลดีได้ ต้นไม้ทุกต้นที่ไม่เกิดผลดีย่อมถูกโค่นทิ้งในกองไฟ เพราะฉะนั้น ท่านจะรู้จักประกาศกเทียมได้จากผลงานของเขา”
---คนที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นนักบุญในพระศาสนจักรคาทอลิค ไม่ได้แค่มีความเชื่ออย่างเดียว แต่ต้องมีการกระทำที่พิสูจน์ตัวเองว่ามาจากพระเจ้าด้วย ผลงานที่ท่านเหล่านั้นได้ทำไว้ การดำรงชีวิตอย่างดี ความรักที่มอบให้ผู้อื่นโดยการกระทำกิจเมตตาตลอดชีวิต เมื่อมีนิมิตหรือการไขแสดงมายังท่าน เราจึงเชื่อว่ามาจากพระเจ้า เพราะท่านพิสูจน์จากผลงานแล้วว่าเป็นประกาศกแท้ มีที่มาจากต้นที่ดีคือพระเจ้า
จากที่มีการไขแสดงจากสวรรค์เสมอมากว่า2000ปีในพระศาสนจักร ประกอบด้วย ทำให้พระศาสนจักรคาทอลิคได้รับการเปิดเผยมากขึ้นในเรื่องชีวิตหลังความตายที่ชัดเจนมากขึ้นกว่าจากพระคัมภีร์เล่มเดียว(ที่พระศาสนจักรคาทอลิครวบรวม และรับรองสาระบบให้คริสตชนทุกนิกายใช้จนปัจจุบัน) และนั่นทำให้พระศาสนจักรคาทอลิครู้ว่า
-พระเจ้าไม่ตัดสินผู้ที่ไม่รู้
-คนที่ไปนรกคือคนที่ปฎิเสธความช่วยเหลือจากพระเจ้าด้วยตัวเขาเอง
-นรกมีอยู่ตั้งแต่ก่อนสร้างโลกและมนุษย์เสียอีก มันคือที่ๆไม่มีพระเจ้านั่นเอง แต่มีซาตานอยู่ และคนที่ทรมานวิญญาณพวกนั้นไม่ใช่พระเจ้า แต่เป็นซาตาน ที่พวกเขาเลือกที่จะไปอยู่กับมันเอง
-การอธิษฐานให้ผู้อื่นกลับใจ หรืออธิษฐานให้วิญญาณผู้ตาย สามารถทำได้
-มีการประทานพระพรในการกลับใจก่อนตาย สำหรับคนชอบธรรม หรือคนที่มีผู้อธิษฐานเพื่อเขา
-มีไฟชำระ และมันคือสถานที่แห่งพระเมตตา ไม่ใช่ที่ลงโทษ ให้กลับไปอ่านบทความในบอร์ดนี้จะเข้าใจ
-พระเมตตามีอำนาจเหนือพระยุติธรรม และพระเมตตามาก่อนพระยุติธรรม
ที่สำคัญ อย่าคิดว่าบาดแผลของคุณพระเจ้าจะรักษาไม่ได้ เพราะนั่น คือการดูถูกพระเจ้ามากเกินไป ถ้ามีคนบาดเจ็บมา แล้วหมอดูแล้วยืนยันบอกว่า ผมรักษาให้หายได้ แต่คนไข้รู้สึกเจ็บมาก จึงคิดว่าหมอไม่สามารถรักษาได้หรอก เพราะมันเจ็บซะขนาดนี้ นั่นคือคนไข้กำลังเก่งกว่าหมอ ทำตัวเป็นหมอซะเอง และดูถูกหมอ และมันจะกลายเป็นว่าที่คุณไม่หายไม่ใช่เพราะความร้ายแรงของแผล หรือหมอไม่เก่งพอ แต่เป็นความไม่อยากหาย หรือ ไม่เชื่อว่าหาย ของตัวคุณเอง
ดังนั้นจงถ่อมใจ อะไรที่คุณคิดว่าเฮงซวยที่สุดในชีวิตที่ได้เคยเจอมา โปรดจำไว้ว่า พระเยซูเคยได้รับอันที่เฮงซวยยิ่งกว่าคุณหลายเท่ามาแล้ว และพระองค์เอาชนะมาแล้ว และดังนั้น พระองค์เข้าใจคุณ รักคุณ และจะเอาชนะมันให้คุณ จงวางใจในพระองค์ แล้วสันติสุขของพระเจ้าที่โลกไม่อาจมอบให้ได้ จะเป็นของคุณ
ขอพระเจ้าอวยพร
คาทอลิคยอมรับว่า พระเจ้าสามารถไขแสดงให้เราเข้าใจเรื่องพระองค์ได้จากทางพระจิตเจ้าด้วย และพระจิตเจ้าสามารถใช้อะไรก็ได้มากกว่าหนังสือเล่มเดียว นั่นคือ
1.คำสอนเล่าต่อกันปากต่อปากโดยไม่ได้มีบันทึกไว้ ซึ่งเรียกว่า ธรรมประเพณี เพราะทุกสิ่งที่พระจิตเจ้าดลใจไม่ได้เขียนไว้ในพระคัมภีร์ทั้งหมด
ยน 21:24-25
นี่คือศิษย์ที่เป็นพยานถึงเรื่องราวเหล่านี้ และเขียนบันทึกไว้ พวกเรารู้ว่าคำพยานของเขานั้นเป็นความจริง ยังมีเรื่องราวอื่น ๆ อีกมากมายที่พระเยซูเจ้าทรงกระทำ ซึ่งถ้าจะเขียนลงไว้ทีละเรื่องทั้งหมด ข้าพเจ้าคิดว่า โลกทั้งโลกคงไม่พอบรรจุหนังสือที่จะต้องเขียนนั้น
2ธส 2:15
ดังนั้น พี่น้องทั้งหลายจงยืนหยัดมั่นคงและยึดถือธรรมประเพณีที่ท่านเรียนรู้มาทั้งด้วยวาจาและด้วยจดหมายของเรา
2.การไขแสดงส่วนบุคคล ของบรรดานักบุญในพระศาสนจักร
กจ 2:17
”พระเจ้าตรัสว่า ในวันสุดท้าย
เราจะให้พระจิตเจ้าของเรากับมนุษย์ทุกคน
บรรดาบุตรชายและบุตรหญิงของท่านจะประกาศพระวาจา
บรรดาคนหนุ่มของท่านจะเห็นนิมิต
บรรดาคนชราของท่านจะฝันเรื่องต่าง ๆ
ในวันเหล่านั้น เราจะให้พระจิตเจ้าของเรากับทุกคน
แม้กระทั่งทาสชาย ทาสหญิงของเราด้วย
และเขาจะประกาศพระวาจา
---ดังนั้น หากมีนักบุญ ได้รับการประจักษ์ หรือรับนิมิตจากพระเจ้า และสิ่งนั้นไม่ขัดพระคัมภีร์ เราถือว่ามาจากพระเจ้าด้วย และเป็นความจริง ถ้าถามกลับมาว่า แล้วเอาอะไรพิสูจน์ เราทำตามพระวาจาบทนี้
มธ 7:15-20 ประกาศกเทียม
“จงระวังประกาศกเทียมซึ่งมาพบท่าน นุ่งห่มเหมือนแกะ แต่ภายในคือสุนัขป่าดุร้าย ท่านจะรู้จักเขาได้จากผลงานของเขา มีใครบ้างเก็บผลองุ่นจากต้นหนาม หรือเก็บผลมะเดื่อเทศจากพงหนาม ในทำนองเดียวกัน ต้นไม้พันธุ์ดีย่อมเกิดผลดี ต้นไม้พันธุ์ไม่ดีย่อมเกิดผลไม่ดี ต้นไม้พันธุ์ดีจะเกิดผลไม่ดีมิได้ และต้นไม้พันธุ์ไม่ดีก็ไม่อาจเกิดผลดีได้ ต้นไม้ทุกต้นที่ไม่เกิดผลดีย่อมถูกโค่นทิ้งในกองไฟ เพราะฉะนั้น ท่านจะรู้จักประกาศกเทียมได้จากผลงานของเขา”
---คนที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นนักบุญในพระศาสนจักรคาทอลิค ไม่ได้แค่มีความเชื่ออย่างเดียว แต่ต้องมีการกระทำที่พิสูจน์ตัวเองว่ามาจากพระเจ้าด้วย ผลงานที่ท่านเหล่านั้นได้ทำไว้ การดำรงชีวิตอย่างดี ความรักที่มอบให้ผู้อื่นโดยการกระทำกิจเมตตาตลอดชีวิต เมื่อมีนิมิตหรือการไขแสดงมายังท่าน เราจึงเชื่อว่ามาจากพระเจ้า เพราะท่านพิสูจน์จากผลงานแล้วว่าเป็นประกาศกแท้ มีที่มาจากต้นที่ดีคือพระเจ้า
จากที่มีการไขแสดงจากสวรรค์เสมอมากว่า2000ปีในพระศาสนจักร ประกอบด้วย ทำให้พระศาสนจักรคาทอลิคได้รับการเปิดเผยมากขึ้นในเรื่องชีวิตหลังความตายที่ชัดเจนมากขึ้นกว่าจากพระคัมภีร์เล่มเดียว(ที่พระศาสนจักรคาทอลิครวบรวม และรับรองสาระบบให้คริสตชนทุกนิกายใช้จนปัจจุบัน) และนั่นทำให้พระศาสนจักรคาทอลิครู้ว่า
-พระเจ้าไม่ตัดสินผู้ที่ไม่รู้
-คนที่ไปนรกคือคนที่ปฎิเสธความช่วยเหลือจากพระเจ้าด้วยตัวเขาเอง
-นรกมีอยู่ตั้งแต่ก่อนสร้างโลกและมนุษย์เสียอีก มันคือที่ๆไม่มีพระเจ้านั่นเอง แต่มีซาตานอยู่ และคนที่ทรมานวิญญาณพวกนั้นไม่ใช่พระเจ้า แต่เป็นซาตาน ที่พวกเขาเลือกที่จะไปอยู่กับมันเอง
-การอธิษฐานให้ผู้อื่นกลับใจ หรืออธิษฐานให้วิญญาณผู้ตาย สามารถทำได้
-มีการประทานพระพรในการกลับใจก่อนตาย สำหรับคนชอบธรรม หรือคนที่มีผู้อธิษฐานเพื่อเขา
-มีไฟชำระ และมันคือสถานที่แห่งพระเมตตา ไม่ใช่ที่ลงโทษ ให้กลับไปอ่านบทความในบอร์ดนี้จะเข้าใจ
-พระเมตตามีอำนาจเหนือพระยุติธรรม และพระเมตตามาก่อนพระยุติธรรม
ที่สำคัญ อย่าคิดว่าบาดแผลของคุณพระเจ้าจะรักษาไม่ได้ เพราะนั่น คือการดูถูกพระเจ้ามากเกินไป ถ้ามีคนบาดเจ็บมา แล้วหมอดูแล้วยืนยันบอกว่า ผมรักษาให้หายได้ แต่คนไข้รู้สึกเจ็บมาก จึงคิดว่าหมอไม่สามารถรักษาได้หรอก เพราะมันเจ็บซะขนาดนี้ นั่นคือคนไข้กำลังเก่งกว่าหมอ ทำตัวเป็นหมอซะเอง และดูถูกหมอ และมันจะกลายเป็นว่าที่คุณไม่หายไม่ใช่เพราะความร้ายแรงของแผล หรือหมอไม่เก่งพอ แต่เป็นความไม่อยากหาย หรือ ไม่เชื่อว่าหาย ของตัวคุณเอง
ดังนั้นจงถ่อมใจ อะไรที่คุณคิดว่าเฮงซวยที่สุดในชีวิตที่ได้เคยเจอมา โปรดจำไว้ว่า พระเยซูเคยได้รับอันที่เฮงซวยยิ่งกว่าคุณหลายเท่ามาแล้ว และพระองค์เอาชนะมาแล้ว และดังนั้น พระองค์เข้าใจคุณ รักคุณ และจะเอาชนะมันให้คุณ จงวางใจในพระองค์ แล้วสันติสุขของพระเจ้าที่โลกไม่อาจมอบให้ได้ จะเป็นของคุณ
ขอพระเจ้าอวยพร
-
- .
- โพสต์: 1739
- ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ ต.ค. 28, 2007 5:58 pm
- ที่อยู่: In the Christ
หลักของผมนะครับ
ผมถือว่า ..เรื่องพระเรื่องเจ้า
ผมไม่เคยคิดจะสงสัย
ครับผม
ผมถือว่า ..เรื่องพระเรื่องเจ้า
ผมไม่เคยคิดจะสงสัย
ครับผม
สำหรับคำตอบของคำถาม แนะนำบทความอ่านประกอบนะครับ
เทววิทยา เรื่อง วาระสุดท้ายของมนุษยชาติ
http://www.newmana.com/yabb/index.php?topic=10317.0
เทววิทยาเรื่องความตาย
http://www.newmana.com/yabb/index.php?topic=10073.0
เทววิทยาเรื่องความตาย---ภาค2
http://www.newmana.com/yabb/index.php?topic=10181.0
เทววิทยา เรื่อง วาระสุดท้ายของมนุษยชาติ
http://www.newmana.com/yabb/index.php?topic=10317.0
เทววิทยาเรื่องความตาย
http://www.newmana.com/yabb/index.php?topic=10073.0
เทววิทยาเรื่องความตาย---ภาค2
http://www.newmana.com/yabb/index.php?topic=10181.0
คุณพ่อผมเพิ่งจะแปลเรื่องเทววิทยาเกี่ยวกับนรก และคำสอนเรื่องไฟชำระของนักบุญเวียนเนย์ลงในหนังสิอแม่พระยุคใหม่เล่มปัจจุบัน ลองอ่านดูครับ แล้วจะเข้าใจมากขึ้น
เท่าที่ผมเข้าใจผู้ที่สร้างนรกขึ้นมาคือมนุษย์เราเองนี่แหละครับ ไม่ใช่พระเจ้า และก็ไม่ใช่ซาตานด้วย
เท่าที่ผมเข้าใจผู้ที่สร้างนรกขึ้นมาคือมนุษย์เราเองนี่แหละครับ ไม่ใช่พระเจ้า และก็ไม่ใช่ซาตานด้วย
ผลของการกระทำดีและทำชั่วมันไม่ได้จบตอนที่เราตายไปนะครับ มันยังคงให้ผลสืบเนื่องไปเรื่อยๆ บ้างที่อาจจะสืบเนื่องไปถึงวันสิ้นโลกเลยก็ได้ ไม่ว่าคุณจะทำดีหรือทำชั่ว มันจะมีผลกระทบต่อคุณเองแล้วคนอื่นๆสืบเนื่องต่อไป แม้ว่าคุณจะตายไปแล้วก็ตามครับ การพิพากษาประมวลพร้อมจะเอาตรงนั้นมาพิจารณาด้วยถ้าจำไม่ผิด
เจอข้อความนั้นล่ะ อ่านดู
ความดีและความชั่วของแต่ละคนขณะมีชีวิตย่อมส่งผลกระทบต่อลูกหลานเรื่อยไปจน กว่าจะสิ้นพิภพ เมื่อสิ้นพิภพ พระเจ้าจะพิพากษาประมวลพร้อมเพื่อเพิ่มพูนบุญกุศลนอกเหนือจากที่ได้ประทาน ให้คราวพิพากษาทีละคนให้แก่กิจการที่ส่งผลกระทบที่ดี และเพิ่มโทษให้แก่กิจการที่ส่งผลกระทบทางชั่ว
เจอข้อความนั้นล่ะ อ่านดู
ความดีและความชั่วของแต่ละคนขณะมีชีวิตย่อมส่งผลกระทบต่อลูกหลานเรื่อยไปจน กว่าจะสิ้นพิภพ เมื่อสิ้นพิภพ พระเจ้าจะพิพากษาประมวลพร้อมเพื่อเพิ่มพูนบุญกุศลนอกเหนือจากที่ได้ประทาน ให้คราวพิพากษาทีละคนให้แก่กิจการที่ส่งผลกระทบที่ดี และเพิ่มโทษให้แก่กิจการที่ส่งผลกระทบทางชั่ว