อย่าผูกใจเจ็บ
อย่าผูกใจเจ็บ
จงผ่อนหนักผ่อนเบาซึ่งกันและกัน หากมีเรื่องผิดใจกัน ก็จงยกโทษกัน (โคโลสี 3:13)
เมื่อหลายปีก่อน พี่ชายของผมได้พบว่า มีสนิมสีเขียวที่เป็นพิษไหลออกมาจากพื้นดินใต้สุสานรถยนต์ลงไปสู่ลำธาร จากนั้นก็ไหลผ่านสนามหลังบ้านของเราลงสู่ทะเลสาบ แม้ไม่เคยมีใครสังเกตเห็นมาก่อน แต่ทุกคนเข้าใจได้อย่างรวดเร็วว่า ซากเหล็กโบราณเหล่านี้กำลังสร้างมลภาวะแก่แหล่งน้ำของเรา และอาจส่งผลต่อสุขภาพของเราด้วย คณะกรรมการเมืองมีมติให้ทำความสะอาดสุสานรถยนต์ ขุดซากรถที่กำลังผุพังขึ้นมาและกำจัดต้นเหตุของขยะพิษนี้โดยเร็ว
ความตึงเครียดที่หาทางยุติไม่ได้ก็เหมือนกับขยะที่ฝังลึกซึ่งผุดขึ้นมาบนพื้นผิวในชีวิตของเรา ส่งผลกระทบต่อความเป็นผู้นำของเรา พจนานุกรมเว็บสเตอร์นิยามว่า ความขุ่นเคืองหมายถึง “ความรู้สึกเจ็บใจ หรือความโกรธ ซึ่งเกิดจากความรู้สึกว่าผู้อื่นกระทำผิดต่อเรา” บีบคั้นเราและทำให้เกิดอันตรายต่อเรา และผ่านทางเรา
หนังสือ “12 ขั้นตอนในการเดินทางฝ่ายจิต” กล่าวว่า “การผูกใจเจ็บก่อให้เกิดความเครียด ความกังวล และความโกรธที่ควบคุมไม่ได้ ถ้าเราไม่ยุติความรู้สึกเหล่านี้ จะก่อให้เกิดผลที่ร้ายแรงทางอารมณ์ และร่างกาย...ความขุ่นเคืองใจไม่ลงโทษใคร นอกจากตัวเราเอง เราไม่สามารถเก็บความขุ่นเคืองใจไว้ และแสวงหาการบำบัดรักษาได้ในเวลาเดียวกัน
การปลดปล่อยความขุ่นเคืองใจเกี่ยวข้องกับงานของผู้นำกิจการอย่างไร? ความขุ่นเคืองใจทำให้งานของเราขาดลมหายใจ และสามารถทำให้วิสัยทัศน์ของเราขุ่นมัว ซึ่งดูดพลังงานของเรา และปล้นความยินดีในการทำงานร่วมกับผู้อื่น และเพิ่มทวีขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป น้อยครั้งที่จะสลายไปด้วยตัวของมันเอง นักวิทยาศาสตร์ปัจจุบันบอกเราว่าความขุ่นเคืองใจและความโกรธระยะยาวอาจทำให้สารเซโรโทนินซึ่งจำเป็นสำหรับสมองของเราหมดไป ทำให้เกิดความจำเสื่อม ไม่สามารถตัดสินใจได้ และเกิดอาการหดหู่ ผลดังกล่าวเป็นตัวถ่วงมิให้เราปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ บั่นทอนความสุข ทำลายความสัมพันธ์ สุขภาพและชีวิตจิตใจของเรา เราไม่สามารถปล่อยให้พิษของความขุ่นเคืองใจไหลเวียนอยู่ในเส้นเลือดของเราได้
เมื่อเรารู้สึกเจ็บใจ โกรธ หรือรู้สึกว่ามีใครทำผิดต่อเรา เราต้องปลดปล่อยความขุ่นเคืองใจด้วยตัวของเราเอง ตราบใดที่เรายังต้องทำงานใกล้ชิดกับลูกค้า เพื่อนร่วมงาน หรือต้องพึ่งพาคนอื่นๆ เราย่อมมีโอกาสผิดหวัง ขยะเหล่านี้จะซึมลงไปในดินแห่งวิญญาณของเรา และพิษของมันจะสัมผัสเรา นี่ไม่ไช่สิ่งใหม่ เราทุกคนต่างก็เคยเจ็บปวดมาก่อนในอดีต โดยบิดามารดา เพื่อน หุ้นส่วน หรือคู่สมรส เราเคยผิดหวังจากคนที่บอกให้เราวางใจเขา เราทุกคนล้วนเคยถูกปฏิเสธ หรือถูกทอดทิ้งในเวลาใดเวลาหนึ่ง
เปาโลไม่ได้ไร้เดียงสาเกี่ยวกับวิธีที่คนทั่วไปปฏิบัติต่อกัน แม้แต่คนที่พยายามช่วยเหลือพวกเขา เขาแนะนำว่า “พระผู้เป็นเจ้าทรงให้อภัยความผิดของท่านอย่างไร ท่านก็จงให้อภัยแก่เขาอย่างนั้นเถิด” (คส 3:13) จากนั้นเปาโลได้ยกเรื่องของตนเองเป็นตัวอย่าง เมื่อเขาเขียนจดหมายถึงทิโมธีศิษย์ของเขา และสารภาพความขุ่นเคืองใจของเขาว่า “อเล็กซานเดอร์ ช่างทองแดงทำร้ายข้าพเจ้าไว้มาก” แต่เขาตอบสนองด้วยความวางใจว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงตอบแทนเขาตามการกระทำของเขา” (2ทธ 4:14) เขากล่าวถึงอเล็กซานเดอร์ผู้นี้ไว้ในอีกที่หนึ่งว่า “บางคนละทิ้งมโนธรรมที่ดี ความเชื่อของเขาจึงต้องพินาศ ข้าพเจ้าหมายถึงฮีเมเนอัส และอเล็กซานเดอร์” (1ทธ 1:19-20)
เปาโลยังรู้ด้วยว่า การถูกทอดทิ้งโดยบุคคลที่เขาไว้ใจนั้นเป็นอย่างไร เขาเล่าว่า “ในการสู้คดีครั้งแรกของข้าพเจ้า ไม่มีใครเป็นพยานให้ข้าพเจ้าเลย” แต่เปาโลไม่ยอมให้ความขุ่นเคืองใจติดค้างอยู่ เขาปลดมันทิ้งไป “ขออย่าให้พวกเขาถูกลงโทษเลย” (2ทธ 4:16) เปาโลรู้สึกเจ็บปวดกับการถูกปฏิเสธ ทอดทิ้ง และทำร้าย เขาทำงานอย่างทุ่มเททั้งตัว แต่ผู้อื่นทำตัวเป็นเพื่อนเพียงยามสุข กระนั้นก็ดี เปาโลปลดปล่อยความขุ่นเคืองใจแทบจะในประโยคเดียวกัน เขาให้อภัย เขายกให้พระเจ้าทรงจัดการกับความผิดของผู้อื่น และถึงกับขอร้องให้คนเหล่านี้พ้นโทษ “ขออย่าให้พวกเขาถูกลงโทษเลย”
ฟรานเซส วิคส์ เขียนไว้ในหนังสือ “ทางเลือกในโลกภายหน้า” ว่า “สงครามเบื้องต้นคือสงครามกับศัตรูภายใน มนุษย์จะมีส่วนก่อสงครามขึ้นในโลกโดยที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว ตราบใดที่เขายังไม่สามารถเอาชนะสิ่งที่สร้างความเกลียดขึ้นในจิตใจของเขาได้” ความขุ่นเคืองใจดูดกลืนพลังงานของเรา ในทางกลับกัน การบำบัดภายใน และอิสรภาพที่ได้รับจะทำให้เรามีความคิดสร้างสรรค์ได้มากทีเดียว เราต้องยอมให้จิตใจของเราได้รับการรักษาและหยุดพยายามพิสูจน์บางสิ่งบางอย่าง เปาโลสอนว่า “ในส่วนของท่าน จงอยู่อย่างสันติกับทุกคนถ้าเป็นไปได้” (รม 12:18)
เราจะยังคงเป็นเชลย ตราบใดที่เราปฏิเสธว่า เรามีความขุ่นเคือง และเรากำลังหล่อเลี้ยงความขมขื่น แต่เมื่อใดที่เราเลือกที่จะหยุดปฏิเสธและเลิกผูกใจเจ็บ เมื่อนั้นเราจะเปิดประตูรับอิสรภาพ
เรื่องนี้อาจไม่ใช่ปัญหาของคุณในเวลานี้ ถ้าเช่นนั้น จงเก็บไว้ในสมองของคุณ และดึงออกมาใช้เมื่อถึงคราวจำเป็น ถ้าคุณกำลังมีปัญหาเช่นนี้ จงถอนรากความขุ่นเคืองนี้ออกไปให้เร็วที่สุด จากนั้นคุณจะมีชีวิตอย่างอิสระ
ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 5 ฉบับที่ 214 วันที่ 4-10 กรกฎาคม พ.ศ. 2552 หน้า 24 คอลัมน์ แสงธรรม โดย ราฟาแอล
จงผ่อนหนักผ่อนเบาซึ่งกันและกัน หากมีเรื่องผิดใจกัน ก็จงยกโทษกัน (โคโลสี 3:13)
เมื่อหลายปีก่อน พี่ชายของผมได้พบว่า มีสนิมสีเขียวที่เป็นพิษไหลออกมาจากพื้นดินใต้สุสานรถยนต์ลงไปสู่ลำธาร จากนั้นก็ไหลผ่านสนามหลังบ้านของเราลงสู่ทะเลสาบ แม้ไม่เคยมีใครสังเกตเห็นมาก่อน แต่ทุกคนเข้าใจได้อย่างรวดเร็วว่า ซากเหล็กโบราณเหล่านี้กำลังสร้างมลภาวะแก่แหล่งน้ำของเรา และอาจส่งผลต่อสุขภาพของเราด้วย คณะกรรมการเมืองมีมติให้ทำความสะอาดสุสานรถยนต์ ขุดซากรถที่กำลังผุพังขึ้นมาและกำจัดต้นเหตุของขยะพิษนี้โดยเร็ว
ความตึงเครียดที่หาทางยุติไม่ได้ก็เหมือนกับขยะที่ฝังลึกซึ่งผุดขึ้นมาบนพื้นผิวในชีวิตของเรา ส่งผลกระทบต่อความเป็นผู้นำของเรา พจนานุกรมเว็บสเตอร์นิยามว่า ความขุ่นเคืองหมายถึง “ความรู้สึกเจ็บใจ หรือความโกรธ ซึ่งเกิดจากความรู้สึกว่าผู้อื่นกระทำผิดต่อเรา” บีบคั้นเราและทำให้เกิดอันตรายต่อเรา และผ่านทางเรา
หนังสือ “12 ขั้นตอนในการเดินทางฝ่ายจิต” กล่าวว่า “การผูกใจเจ็บก่อให้เกิดความเครียด ความกังวล และความโกรธที่ควบคุมไม่ได้ ถ้าเราไม่ยุติความรู้สึกเหล่านี้ จะก่อให้เกิดผลที่ร้ายแรงทางอารมณ์ และร่างกาย...ความขุ่นเคืองใจไม่ลงโทษใคร นอกจากตัวเราเอง เราไม่สามารถเก็บความขุ่นเคืองใจไว้ และแสวงหาการบำบัดรักษาได้ในเวลาเดียวกัน
การปลดปล่อยความขุ่นเคืองใจเกี่ยวข้องกับงานของผู้นำกิจการอย่างไร? ความขุ่นเคืองใจทำให้งานของเราขาดลมหายใจ และสามารถทำให้วิสัยทัศน์ของเราขุ่นมัว ซึ่งดูดพลังงานของเรา และปล้นความยินดีในการทำงานร่วมกับผู้อื่น และเพิ่มทวีขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป น้อยครั้งที่จะสลายไปด้วยตัวของมันเอง นักวิทยาศาสตร์ปัจจุบันบอกเราว่าความขุ่นเคืองใจและความโกรธระยะยาวอาจทำให้สารเซโรโทนินซึ่งจำเป็นสำหรับสมองของเราหมดไป ทำให้เกิดความจำเสื่อม ไม่สามารถตัดสินใจได้ และเกิดอาการหดหู่ ผลดังกล่าวเป็นตัวถ่วงมิให้เราปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ บั่นทอนความสุข ทำลายความสัมพันธ์ สุขภาพและชีวิตจิตใจของเรา เราไม่สามารถปล่อยให้พิษของความขุ่นเคืองใจไหลเวียนอยู่ในเส้นเลือดของเราได้
เมื่อเรารู้สึกเจ็บใจ โกรธ หรือรู้สึกว่ามีใครทำผิดต่อเรา เราต้องปลดปล่อยความขุ่นเคืองใจด้วยตัวของเราเอง ตราบใดที่เรายังต้องทำงานใกล้ชิดกับลูกค้า เพื่อนร่วมงาน หรือต้องพึ่งพาคนอื่นๆ เราย่อมมีโอกาสผิดหวัง ขยะเหล่านี้จะซึมลงไปในดินแห่งวิญญาณของเรา และพิษของมันจะสัมผัสเรา นี่ไม่ไช่สิ่งใหม่ เราทุกคนต่างก็เคยเจ็บปวดมาก่อนในอดีต โดยบิดามารดา เพื่อน หุ้นส่วน หรือคู่สมรส เราเคยผิดหวังจากคนที่บอกให้เราวางใจเขา เราทุกคนล้วนเคยถูกปฏิเสธ หรือถูกทอดทิ้งในเวลาใดเวลาหนึ่ง
เปาโลไม่ได้ไร้เดียงสาเกี่ยวกับวิธีที่คนทั่วไปปฏิบัติต่อกัน แม้แต่คนที่พยายามช่วยเหลือพวกเขา เขาแนะนำว่า “พระผู้เป็นเจ้าทรงให้อภัยความผิดของท่านอย่างไร ท่านก็จงให้อภัยแก่เขาอย่างนั้นเถิด” (คส 3:13) จากนั้นเปาโลได้ยกเรื่องของตนเองเป็นตัวอย่าง เมื่อเขาเขียนจดหมายถึงทิโมธีศิษย์ของเขา และสารภาพความขุ่นเคืองใจของเขาว่า “อเล็กซานเดอร์ ช่างทองแดงทำร้ายข้าพเจ้าไว้มาก” แต่เขาตอบสนองด้วยความวางใจว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงตอบแทนเขาตามการกระทำของเขา” (2ทธ 4:14) เขากล่าวถึงอเล็กซานเดอร์ผู้นี้ไว้ในอีกที่หนึ่งว่า “บางคนละทิ้งมโนธรรมที่ดี ความเชื่อของเขาจึงต้องพินาศ ข้าพเจ้าหมายถึงฮีเมเนอัส และอเล็กซานเดอร์” (1ทธ 1:19-20)
เปาโลยังรู้ด้วยว่า การถูกทอดทิ้งโดยบุคคลที่เขาไว้ใจนั้นเป็นอย่างไร เขาเล่าว่า “ในการสู้คดีครั้งแรกของข้าพเจ้า ไม่มีใครเป็นพยานให้ข้าพเจ้าเลย” แต่เปาโลไม่ยอมให้ความขุ่นเคืองใจติดค้างอยู่ เขาปลดมันทิ้งไป “ขออย่าให้พวกเขาถูกลงโทษเลย” (2ทธ 4:16) เปาโลรู้สึกเจ็บปวดกับการถูกปฏิเสธ ทอดทิ้ง และทำร้าย เขาทำงานอย่างทุ่มเททั้งตัว แต่ผู้อื่นทำตัวเป็นเพื่อนเพียงยามสุข กระนั้นก็ดี เปาโลปลดปล่อยความขุ่นเคืองใจแทบจะในประโยคเดียวกัน เขาให้อภัย เขายกให้พระเจ้าทรงจัดการกับความผิดของผู้อื่น และถึงกับขอร้องให้คนเหล่านี้พ้นโทษ “ขออย่าให้พวกเขาถูกลงโทษเลย”
ฟรานเซส วิคส์ เขียนไว้ในหนังสือ “ทางเลือกในโลกภายหน้า” ว่า “สงครามเบื้องต้นคือสงครามกับศัตรูภายใน มนุษย์จะมีส่วนก่อสงครามขึ้นในโลกโดยที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว ตราบใดที่เขายังไม่สามารถเอาชนะสิ่งที่สร้างความเกลียดขึ้นในจิตใจของเขาได้” ความขุ่นเคืองใจดูดกลืนพลังงานของเรา ในทางกลับกัน การบำบัดภายใน และอิสรภาพที่ได้รับจะทำให้เรามีความคิดสร้างสรรค์ได้มากทีเดียว เราต้องยอมให้จิตใจของเราได้รับการรักษาและหยุดพยายามพิสูจน์บางสิ่งบางอย่าง เปาโลสอนว่า “ในส่วนของท่าน จงอยู่อย่างสันติกับทุกคนถ้าเป็นไปได้” (รม 12:18)
เราจะยังคงเป็นเชลย ตราบใดที่เราปฏิเสธว่า เรามีความขุ่นเคือง และเรากำลังหล่อเลี้ยงความขมขื่น แต่เมื่อใดที่เราเลือกที่จะหยุดปฏิเสธและเลิกผูกใจเจ็บ เมื่อนั้นเราจะเปิดประตูรับอิสรภาพ
เรื่องนี้อาจไม่ใช่ปัญหาของคุณในเวลานี้ ถ้าเช่นนั้น จงเก็บไว้ในสมองของคุณ และดึงออกมาใช้เมื่อถึงคราวจำเป็น ถ้าคุณกำลังมีปัญหาเช่นนี้ จงถอนรากความขุ่นเคืองนี้ออกไปให้เร็วที่สุด จากนั้นคุณจะมีชีวิตอย่างอิสระ
ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 5 ฉบับที่ 214 วันที่ 4-10 กรกฎาคม พ.ศ. 2552 หน้า 24 คอลัมน์ แสงธรรม โดย ราฟาแอล
แก้ไขล่าสุดโดย Holy เมื่อ เสาร์ ต.ค. 24, 2009 1:31 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
จะนำมาใช้ให้ได้ค่ะ
- Valkyrie Zero Number
- โพสต์: 2081
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ส.ค. 27, 2007 4:11 am
จะพยายามค่ะ ยอมรับว่าทุกวันนี้เราก็มีปัญหาเรื่องนี้ค่อนข้างมาก ทั้งจากอดีตและที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
- Ministry Of Men
- โพสต์: 3972
- ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ เม.ย. 18, 2007 3:09 pm
สู้ๆๆครับ จะอธิษฐานเสริมกองหนุนให้นะPegasus Valkyrie เขียน: จะพยายามค่ะ ยอมรับว่าทุกวันนี้เราก็มีปัญหาเรื่องนี้ค่อนข้างมาก ทั้งจากอดีตและที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
ทุกคนมีเรื่องยากสำหรับตัวเองเสมอ ผมก็มีเหมือนกัน
- Deo Gratias
- โพสต์: 1100
- ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. มี.ค. 16, 2006 11:53 pm
ศัตรูที่แท้จริงของเราคือ "มาร" ไม่ใช่ "คน"คนละคนแล้วครับ เขียน:สู้ๆๆครับ จะอธิษฐานเสริมกองหนุนให้นะPegasus Valkyrie เขียน: จะพยายามค่ะ ยอมรับว่าทุกวันนี้เราก็มีปัญหาเรื่องนี้ค่อนข้างมาก ทั้งจากอดีตและที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
ทุกคนมีเรื่องยากสำหรับตัวเองเสมอ ผมก็มีเหมือนกัน
คน(ทุกคนรวมถึงตัวเราเองด้วย)เป็นแค่ผู้ถูกมารใช้เป็นเครื่องมือในบางครั้ง
ดังนั้น การต่อสู้ที่เราจะต้องสู้ ก็คือการต่อสู้กับ "มาร"
"เหตุฉะนั้นท่านทั้งหลายจงน้อมใจยอมฟังพระเจ้า จงต่อสู้กับมารและมันจะหนีท่านไป" (ยก.4:7)
พระพุทธเจ้าตรัสว่า
" น หิ เวเรน เวรานิ สมฺมนฺตีธ กุทาจนํ อเวเรน จ สมฺมนฺติ เอส ธมฺโม สนนฺตโน
ในกาลไหนๆ เวรย่อมไม่ระงับด้วยการจองเวร แต่เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร "
เพื่อความสบายใจของตนเอง จึงไม่ควรผูกเวรไว้กับใครๆ จงจำแต่ความดีที่ผู้อื่นทำแก่ตน แต่อย่าจำความร้ายที่เขาทำให้ เพราะมันไม่มีประโยชน์แก่จิตใจครับ
" น หิ เวเรน เวรานิ สมฺมนฺตีธ กุทาจนํ อเวเรน จ สมฺมนฺติ เอส ธมฺโม สนนฺตโน
ในกาลไหนๆ เวรย่อมไม่ระงับด้วยการจองเวร แต่เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร "
เพื่อความสบายใจของตนเอง จึงไม่ควรผูกเวรไว้กับใครๆ จงจำแต่ความดีที่ผู้อื่นทำแก่ตน แต่อย่าจำความร้ายที่เขาทำให้ เพราะมันไม่มีประโยชน์แก่จิตใจครับ
-
- โพสต์: 740
- ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ ก.ค. 12, 2009 11:36 pm
จะนำมาปรับปรุงและแก้ไขในชีวิตส่วนตัวให้ได้ ครับ
-
- .
- โพสต์: 1739
- ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ ต.ค. 28, 2007 5:58 pm
- ที่อยู่: In the Christ
เวลามีใครมาทำให้ผมเจ็บช้ำน้ำใจ
ผมจะรำพึงในใจเสมอๆว่า ...
" .. ไม่เปนไร เค้าไม่รู้ .. "
^ ^'
ผมจะรำพึงในใจเสมอๆว่า ...
" .. ไม่เปนไร เค้าไม่รู้ .. "
^ ^'
- Ministry Of Men
- โพสต์: 3972
- ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ เม.ย. 18, 2007 3:09 pm
พระธรรมสุภาษิต 26:20-21
เพราะขาดฟืน ไฟก็ดับ
และที่ไหนที่ไม่มีคน
ซุบซิบ การทะเลาะวิวาทก็หยุดไป
ถ่านเป็นเชื้อเพลิง และฟืนเป็นเชื้อไฟ
ฉันใด
คนที่มักทะเลาะวิวาทก็เป็นเชื้อ
การวิวาทฉันนั้น
เพราะขาดฟืน ไฟก็ดับ
และที่ไหนที่ไม่มีคน
ซุบซิบ การทะเลาะวิวาทก็หยุดไป
ถ่านเป็นเชื้อเพลิง และฟืนเป็นเชื้อไฟ
ฉันใด
คนที่มักทะเลาะวิวาทก็เป็นเชื้อ
การวิวาทฉันนั้น
-
- โพสต์: 1653
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ก.ย. 10, 2007 9:22 pm
- ที่อยู่: ไม่ใกล้ไม่ใกล้จากวัดอัสสัม-0-
อยากพยายามนำไปใช้อ่ะคับ แต่ว่าส่วนตัวแล้ว เป็นพวก อาฆาตแรง- -;
T^T
T^T
-
- โพสต์: 202
- ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ก.ค. 30, 2008 11:23 pm
- ที่อยู่: 1506/504 ซ.7/ม.สราลี เทพารักษ์ สป. // อาสนวิหาอัสสัมชัญ
- ติดต่อ:
จะโกรธ เกลียด เคืองแค้นใคร นึกถึงพระไว้
รับรองผูกใจเจ็บได้ไม่นานหร้อกกก
รับรองผูกใจเจ็บได้ไม่นานหร้อกกก