ก. ความนำ
ความผิดไม่รู้พลั้ง (infallibility) ของพระศาสนจักรไม่รวมถึงความไม่มีบาป (sinlessness) (Vat.I Mansi, LII 1219)
ความผิดไม่รู้พลั้งของพระศาสนจักรต่างจากการดลใจ (inspiration) ของพระจิตเจ้าซึ่งเป็นเรื่องของพระคัมภีร์
ความไม่รู้จักผิดพลั้งเป็นผลของความช่วยเหลือที่พระจิตเจ้าประทานให้กับพระศาสนจักรหลังสมัยอัครสาวกตลอดมา
แม้ว่าการไขแสดงของพระเจ้าในเรื่องเกี่ยวกับความรอดจบในสมัยอัครสาวกก็จริง แต่พระญาณสอดส่องในเรื่องนี้ยังดำเนินต่อไป
โดยคุ้มครองพระศาสนจักรในประวัติศาสตร์เรื่อยมา ให้สามารถรักษาข้อไขแสดงของพระเจ้าไว้อย่างบริสุทธิ์ครบถ้วน
และถ่ายทอดด้วยคำสอน (dogmas) ที่ถูกต้อง
ในต้นศตวรรษที่ 19 คำสอนในเรื่องนี้เป็นคำสอนสากล สอนกันทั่วไปว่า พระศาสนจักรไม่รู้จักผิดพลั้ง
แม้ว่าในบางแห่งมีการถกเถียงปัญหาความไม่รู้จักผิดพลั้งของพระสันตะปาปาอยู่บ้าง
แต่พระศาสนจักรที่ไม่รู้จักผิดพลั้งนั้น หมายถึงพระศาสนจักรส่วนรวมทั้งหมด รวมทั้งสัตบุรุษด้วย Mohler Newman และ Scheeben ยืนยันคำสอนข้อนี้
อนึ่ง ก่อนหน้าการประชุมสังคายนาวาติกันที่1 เป็นความเชื่อถือทั่วไปว่าพระสันตะปาปาไม่รู้จักผิดพลั้งในเรื่องต่างๆมากมาย ซึ่งยังไม่มีการกำหนดแน่นอน
ในการประชุมสังคยานาวาติกันที่ 1 มีการเตรียมร่างเรื่องความไม่รู้จักผิดพลั้งของพระศาสนจักร (Mansi, LI, 542 f ; cf LIII, 312-14)
แต่สามารถประกาศได้เพียงความไม่รู้จักผิดพลั้งของพระสันตะปาปาเท่านั้น ในธรรมนูญ Pater Aeternae (D 1832-40, DS 3065-75)
ต่อมาสังคายนาวาติกันที่ 2 ย้ำคำสอนของสังคยานาวาติกันที่ 1 และผนวกเข้ากับคำสอนเกี่ยวกับความเป็นคณะของพระสังฆราช (Collegiality of the bishops)
ร่วมกับพระสันตะปาปา และ คำสอนเกี่ยวกับพระศาสนจักรในฐานะเป็นประชากรของพระเจ้า (Lumen gentium, arts, 12,18,25)
บทความนี้จำกัดเนื้อหาเพื่อคลี่คลายข้อข้องใจของพี่น้องโปรเตสแตนท์เท่านั้น
ข. ปัญหาความไม่รู้จักผิดพลั้งของพระศาสนจักรกับพี่น้องโปรเตสแตนท์
คำสอนเกี่ยวกับความไม่รู้จักผิดพลั้งของพระศาสจักรตามคำสอนของสังคายนาวาติกันที่ 1 ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์จากพี่น้องโปรเตสแตนท์ขนาดหนัก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งจาก K. Barth, E. Crunner และ G. Ebeling พวกเขาเห็นว่าพระศาสนจักรคาทอลิกอ้างตนเองเหนือพระคัมภีร์
อ้างอำนาจของพระสันตะปาปาเหนือพระวรสาร และตีตนเสมอการไขแสดงของพระเจ้า สิ่งที่พวกเขาระแวงคือ กลัวว่าพระสันตะปาปาจะใช้อำนาจเกินขอบเขต
ตามทรรศนะของ P. Althaus นักเทววิทยาฝ่ายโปรเตสแตนท์
“ความไม่รู้จักผิดพลั้งของพระศาสนจักรอยู่ที่คำสัญญาของพระจิตว่า พระเจ้าจะไม่ทรงปล่อยพระศาสนจักรต้องเสื่อมและสูญไปในที่สุดเพราะบาปและความอ่อนแอของตน
พระจิตของพระเจ้าประทานความจริง และชีวิตใหม่ให้กับพระศาสนจักรเสมอ พระองค์ทรงส่งผู้ประกาศมาสอนและจรรโลงพระศาสนจักร ณ มุมหนึ่งมุมใด
นี่คือเครื่องหมายการนำของพระจิตและความไม่รู้จักผิดพลั้งของพระศาสนจักร (Die Christhiche Wahrheit 4th ed. 1958 หน้า 526)
ในการวิเคราะห์ปัญหาเรี่องนี้ จำเป็นต้องศึกษาให้เข้าใจเบื้อหลังของคำสอนและจุดยืนในคำสอนเทววิทยาคาทอลิกอย่างถูกต้อง เพื่อขจัดความเข้าใจผิดหรือความระแวงต่างๆ
ในสถานการณ์ปัจจุบันซึ่งมีบรรยากาศของการเป็นมิตรและการเสวนา ปัญหาในคำสอนข้อนี้จะหมดไปถ้าทำความกระจ่างในเรื่องต่อไปนี้ได้ คือ
1. พระเจ้าเท่านั้นทรงเป็นผู้ไม่รู้จักผิดพลั้งอย่างสมบูรณ์แบบ (absolute infallibility)
พระศาสนจักรไม่อ้างว่าความไม่รู้ผิดพลั้งเป็นคุณสมบัติของตน แต่เป็นพระคุณของพระจิต ( Charisma veritatis)
2. คำสอนของพระศาสนจักรไม่อยู่เหนือพระวจนะของพระเจ้า มีบทบาทรับใช้เท่านั้น (cfr. Dei Verbum, art. 10) ทั้งนี้สังเกตได้จากภาษาและสำนวนที่ใช้ใน
เอกสารต่างๆ ไม่มีแม้แต่เงาของความหยิ่งผยองทำนอง “จักรวรรดิ์นิยมทางเทววิทยา” (dogmatic imperialism) หรือ “ความเกรียงไกร” (triumphalism)
3. ความไม่รู้จักผิดพลั้งช่วยให้พระศาสนจักรรักษาความเป็นศาสนจักรที่เที่ยงแท้ ( Ecclesia Vera) ในศาสนจักรนี้มีการประกาศพระวรสารแท้
4. ความไม่รู้จักผิดพลั้งเป็นปัจจัยให้สมาชิกของพระศาสนจักรร่วมกันฉันพี่น้องในการแสวงหาความจริง ด้วยเหตุนี้พระศาสจักรจึงเป็นทั้งผู้ค้ำชูและเป็นผู้ถูกค้ำชู
(J. Ratzinger)
5. แม้ในความจริงที่เกี่ยวกับคำสอนที่ประกาศเป็นข้อความเชื่อ มโนธรรมของแต่ละบุคคลยังเป็นกฎเกณฑ์ของชีวิตของแต่ละบุคคล
ข้อความเชื่อที่ประกาศนั้นไม่ทำลายเสรีภาพและความศักดิ์สิทธิ์ของมโนธรรมแต่อย่างใด
6. การประกาศข้อความเชื่ออย่างสง่ามิได้จำกัดการเทศน์ หรือการสอนให้อยู่ในกรอบของคำนิยามหรือคำประกาศเท่านั้น
อนึ่ง พึงสังเกตว่าภาษาหรือคำนิยามที่ใช้นั้นถูกปรุงแต่งขึ้นตามกาลสมัยและมักจะ “ด่างพร้อย” ตามโลกทัศน์ของผู้ที่ประกาศ
7. อย่าลืมว่าในพระศาสนจักรมีความรู้จักผิดพลาดอยู่คู่กับความไม่รู้จักผิดพลั้งอันนี้เป็นความจริงที่ต้องยอมรับ
8. การประกาศคำสอนเป็นข้อความเชื่อด้วยอำนาจของการไม่รู้จักผิดพลั้งนั้น เป็นเรื่องพิเศษสุด และมีความจำเป็นจริงๆเท่านั้น
มิใช่ด้วยอำนาจนี้พระศาสนจักรจะประกาศคำสอนทุกข้อให้เป็นข้อความเชื่อเสียหมด
9. คำสอนที่ถูกประกาศเป็นข้อความเชื่อมืใช่เป็นสิ่งสุดท้าย แต่เป็นหลักวัดวิวัฒนาการคำสอนของพระศาสนจักรมากกว่า
พระศาสนจักรในฐานะเป็นศาสนจักรผู้จาริกต้องเดินหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง
อย่าลืมว่าระหว่างคำสอนกับความเชื่อ ความเชื่อสำคัญกว่า เพราะเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้เราเห็นความจริงใน อาณาจักรพระเจ้า
10. เมื่อพูดถึงพระศาสจักรสากลที่ไม่รู้จักผิดพลั้งนั้น ต้องหมายถึงพระศาสจักรคาทอลิกเป็นอันดับแรก และรวมถึงคริสตจักรอื่นๆด้วย
ซึ่งสังคายนาวาติกันที่2 เรียกว่า “ศาสนจักร” เช่นกัน
ปล.ขอบใจน้องเจน ที่ช่วยพิมพ์ให้จ้า
