พระเจ้ากับวิทยาศาสตร์
คุณหมอชี้แนะทางผมได้ดีมากครับ...ทำให้ผมหายสงสัยในหลายๆเรื่องเลยครับ
ผมสะกิดใจอย่างนะครับ
คนส่วนมาก หรือพวกฟาริสี ชอบนักชอบหนา ที่จะร้องเรียกขออัศจรรย์
ให้พระเข้าแสดงหมายสำคัญจากฟากฟ้า
แต่การที่โลกเราดำเนินอย่างปกติสุขมาเป้นหมื่นๆ ปี มีระบบอะไรที่สมบูรณ์ในตัวเอง
และอยู่ได้ถึงทุกวันนี้โดยไม่ล่มสลายไปก่อน
ผมว่านี่แหละคือความอัศจรรย์ที่อยู่รอบตัวเรา
และพบเห็นได้ทุกวันอยู่แล้ว
คนส่วนมาก หรือพวกฟาริสี ชอบนักชอบหนา ที่จะร้องเรียกขออัศจรรย์
ให้พระเข้าแสดงหมายสำคัญจากฟากฟ้า
แต่การที่โลกเราดำเนินอย่างปกติสุขมาเป้นหมื่นๆ ปี มีระบบอะไรที่สมบูรณ์ในตัวเอง
และอยู่ได้ถึงทุกวันนี้โดยไม่ล่มสลายไปก่อน
ผมว่านี่แหละคือความอัศจรรย์ที่อยู่รอบตัวเรา
และพบเห็นได้ทุกวันอยู่แล้ว
จริงๆต้องขอแก้ข่าวคุณหมอในคลิปที่3สักนิดนะครับ ปัญหาของกาลิเลโอกับพระศาสนจักร ไม่ใช่เรื่องโลกกลมหรือแบน แต่เป็นเรื่องของอะไรโคจรรอบอะไรกันแน่ คนโบราณไม่ว่าจะชาติไหนศาสนาไหน ก็พูดว่าพระอาทิตย์ขึ้นและตก นั่นแปลว่าคนสมัยก่อนมีความคิดว่า โลกอยู่เฉยๆ แต่ดวงอาทิตย์นั้นเคลื่อนที่ไป ทุกวันนี้เรายังคงพูดคำว่าพระอาทิตยืขึ้นและตกกันอยู่เลย หนังสือและวรรณกรรมทุกชนิดมีคำนี้ และไบเบิ้ลก็มีคำนี้ นั่นจึงเป็นเหตุให้เกิดการตีความว่าโลกอยู่นิ่ง ดวงอาทิตย์ที่เคลื่อนที่
แต่กาลิเลโอได้พบข้อมูลทางดาราศาสตร์ และประกาศว่า ดวงอาทิตย์ต่างหากที่อยู่นิ่งโลกต่างหากที่เคลื่อนที่รอบดวงอาทิตย์
คำถามแรกสรุปว่าทุกวันนี้กาลิเลโอถูก พระศาสนจักรตีความผิดหรือ คำตอบคือ ถ้ามองว่า พระศาสนจักรเข้าใจดาราศาสตร์ผิด (เพราะบอกว่าโลกอยู่นิ่งดวงอาทิตย์เคลื่อนที่) กาลิเลโอก็เข้าใจดาราศาสตร์ผิดด้วยเหมือนกัน(เพราะบอกว่าอาทิตย์อยู่นิ่ง โลกเคลื่อนที่) เพราะว่าที่จริงทั้งดวงอาทิตย์และโลกเคลื่อนที่ทั้งคู่ ดวงอาทิตย์เคลื่อนที่ ในกาแลกซี่ครับ และ โลกเคลื่อนที่ในระบบสุริยะจักรวาล
คำถามต่อมาพระศาสนจักรจับกาลิเลโอไปทรมานเพื่อให้ปฎิเสธทฤษฎีของตนหรือ
ก็ต้องบอกว่า ไม่จริงเลย ไม่มีการทรมาณ แต่มีการบังคับให้กาลิเลโอปฏิเสธทฤษฎีตัวเองจริง และมีการกักบริเวณ ซึ่งไม่ใช่ขังคุก แต่เป็นการให้พักอยู่ในบริเวณวัด ห้ามเผยแพร่ทฤษฎีนี้ โดยมีลูกสาวของกาลิเลโอที่บวชเป็นซิสเตอร์คอยดูแลปรนิบัติ หลังจากนั้นไม่นานกาลิเลโอก็ยังมีอิสระทั้งในการสอนหนังสือ และพิมพ์ทฤษฎีของเขาเผยแพร่โดยพระศานจักรไม่ได้ห้ามแต่อย่างใด
ดังนั้นการเข้าใจ หรือพูดโดยเกรียนเนต ว่ามีการเถียงเรื่องโลกกลม การทรมานหรือฆ่ากาลิเลโอ ก็เป็นความเกรียนที่เป็นเรื่องจริงที่พิสูจน์ได้ว่าคนคลั่งใคล้วิทยาสาสตร์ ก็สามารถพูดโดยไม่รู้และอวดฉลาดในข้อมูลผิดๆได้ตลอดเวลา
แต่กาลิเลโอได้พบข้อมูลทางดาราศาสตร์ และประกาศว่า ดวงอาทิตย์ต่างหากที่อยู่นิ่งโลกต่างหากที่เคลื่อนที่รอบดวงอาทิตย์
คำถามแรกสรุปว่าทุกวันนี้กาลิเลโอถูก พระศาสนจักรตีความผิดหรือ คำตอบคือ ถ้ามองว่า พระศาสนจักรเข้าใจดาราศาสตร์ผิด (เพราะบอกว่าโลกอยู่นิ่งดวงอาทิตย์เคลื่อนที่) กาลิเลโอก็เข้าใจดาราศาสตร์ผิดด้วยเหมือนกัน(เพราะบอกว่าอาทิตย์อยู่นิ่ง โลกเคลื่อนที่) เพราะว่าที่จริงทั้งดวงอาทิตย์และโลกเคลื่อนที่ทั้งคู่ ดวงอาทิตย์เคลื่อนที่ ในกาแลกซี่ครับ และ โลกเคลื่อนที่ในระบบสุริยะจักรวาล
คำถามต่อมาพระศาสนจักรจับกาลิเลโอไปทรมานเพื่อให้ปฎิเสธทฤษฎีของตนหรือ
ก็ต้องบอกว่า ไม่จริงเลย ไม่มีการทรมาณ แต่มีการบังคับให้กาลิเลโอปฏิเสธทฤษฎีตัวเองจริง และมีการกักบริเวณ ซึ่งไม่ใช่ขังคุก แต่เป็นการให้พักอยู่ในบริเวณวัด ห้ามเผยแพร่ทฤษฎีนี้ โดยมีลูกสาวของกาลิเลโอที่บวชเป็นซิสเตอร์คอยดูแลปรนิบัติ หลังจากนั้นไม่นานกาลิเลโอก็ยังมีอิสระทั้งในการสอนหนังสือ และพิมพ์ทฤษฎีของเขาเผยแพร่โดยพระศานจักรไม่ได้ห้ามแต่อย่างใด
ดังนั้นการเข้าใจ หรือพูดโดยเกรียนเนต ว่ามีการเถียงเรื่องโลกกลม การทรมานหรือฆ่ากาลิเลโอ ก็เป็นความเกรียนที่เป็นเรื่องจริงที่พิสูจน์ได้ว่าคนคลั่งใคล้วิทยาสาสตร์ ก็สามารถพูดโดยไม่รู้และอวดฉลาดในข้อมูลผิดๆได้ตลอดเวลา
- Valkyrie Zero Number
- โพสต์: 2081
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ส.ค. 27, 2007 4:11 am
ไม่ลองเขียนเรื่องที่ยกเอาการข่มเหงคริสตชนทั่วโลกมาตีแผ่มั่งล่ะ ทดสอบโลกVeritas เขียน:กับอีกเรื่องอย่างเรื่องล่าแม่มด
ก็ชอบยกมาโจมตีได้ โจมตีดี ไม่มีจบจริง
ถ้าโลกยังให้ความเป็นธรรม ก็ดี ถ่วงดุลกันได้
ถ้าโลกยิ่งประนามหนักขึ้น ก็ควรแล้วที่จะถูกพิพากษาตายหมด
-
- โพสต์: 300
- ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 19, 2007 11:40 am
ผิดคนอื่นเท่าภูเขา ผิดของเราเท่าเส้นผม
-
- โพสต์: 719
- ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 08, 2008 5:47 am
- ที่อยู่: กาญจนบุรี
ชอบคลิปจังเลย พูดได้มีหลักการดีจัง
แต่ถึงอย่างนั้น มันก็ยังมีเรื่องกวนใจผมเกี่ยวกับหลักการพวกนี้อยู่ดีนะครับ= ="(ไม่ได้จะลองของ แต่มันเป็นเหมือนคำถามที่ผมตอบไม่ได้จริงๆครับ)
คือ ถ้าจะบอกว่าการเกิดและคงอยู่ของมนุษยชาติและโลกต้องการความสมบูรณ์แบบและการออกแบบที่ดีเยี่ยม จึงเป็นการยืนยันทฤษฎีว่ามีผู้สร้าง ก็จริงอยู่ แต่ก็จะมีข้อค้านว่า...
สิ่งที่พวกเราเห็นไม่ใช่การออกแบบ แต่เป็น "ผลลัพธ์ของ 1 ใน ล้านๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ การสุ่มในจักรวาล" คือในจักรวาลนี้ก็มีดาวอีกหลายพันดวงที่มีสภาพคล้ายๆโลก แต่ให้กำเนิดชีวิตไม่ได้เพราะยังดีไม่เทียบเท่า กระนั้นพวกเราก็อยู่ในจุดตัดที่ทุกอย่างลงตัวพอดีจากการสุ่มนับครั้งไม่ถ้วนในจักรวาลที่ดำเนินมาเนิ่นนานแล้วเท่านั้นเอง
ผู้ไม่รู้จะอธิบายกับความรู้สึกตรงนี้ยังไงดี ใครพอจะมีคำตอบให้บ้างครับ?
แต่ถึงอย่างนั้น มันก็ยังมีเรื่องกวนใจผมเกี่ยวกับหลักการพวกนี้อยู่ดีนะครับ= ="(ไม่ได้จะลองของ แต่มันเป็นเหมือนคำถามที่ผมตอบไม่ได้จริงๆครับ)
คือ ถ้าจะบอกว่าการเกิดและคงอยู่ของมนุษยชาติและโลกต้องการความสมบูรณ์แบบและการออกแบบที่ดีเยี่ยม จึงเป็นการยืนยันทฤษฎีว่ามีผู้สร้าง ก็จริงอยู่ แต่ก็จะมีข้อค้านว่า...
สิ่งที่พวกเราเห็นไม่ใช่การออกแบบ แต่เป็น "ผลลัพธ์ของ 1 ใน ล้านๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ การสุ่มในจักรวาล" คือในจักรวาลนี้ก็มีดาวอีกหลายพันดวงที่มีสภาพคล้ายๆโลก แต่ให้กำเนิดชีวิตไม่ได้เพราะยังดีไม่เทียบเท่า กระนั้นพวกเราก็อยู่ในจุดตัดที่ทุกอย่างลงตัวพอดีจากการสุ่มนับครั้งไม่ถ้วนในจักรวาลที่ดำเนินมาเนิ่นนานแล้วเท่านั้นเอง
ผู้ไม่รู้จะอธิบายกับความรู้สึกตรงนี้ยังไงดี ใครพอจะมีคำตอบให้บ้างครับ?
ผมตอบได้แค่ว่าถ้าชีวิตคุณมาจากการสุ่มและโลกนี้มาจากความบังเอิญ ถ้าคุณตายหรือทำลายล้างโลกซะก็ไม่เห็นต้องวิตกหรือให้ความสำคัญ เพราะมันแค่ของบังเอิญเกิดขึ้นไม่มีคุณค่าและไม่มีความหมาย ถ้าบังเอิญหายไปก็ไม่น่าวิตก
ที่จริงถ้าใครอ้างว่ามีดาวอื่นอีกเป็นล้านที่บังเอิญให้กำเนิดชีวิตได้ก็เอาหลักฐานมาดูหน่อย ไม่ใช่เดาเอาจากที่ไกลๆหลายล้านปีแสง
ที่จริงถ้าใครอ้างว่ามีดาวอื่นอีกเป็นล้านที่บังเอิญให้กำเนิดชีวิตได้ก็เอาหลักฐานมาดูหน่อย ไม่ใช่เดาเอาจากที่ไกลๆหลายล้านปีแสง
- Valkyrie Zero Number
- โพสต์: 2081
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ส.ค. 27, 2007 4:11 am
คนที่ไม่ยอมฟังและจะเถียงท่าเดียว ต่อให้เหตุผลของเขามันห่วยแตกยังไงก็ยังหาเรื่องพูดจนได้อยู่ดีแหละค่ะ
......แต่ปัญหาคือ มันทำให้เราหงุดหงิดและกวนรำคาญใจได้ + ถึงเราจะทนได้ แต่ก็ต้องมีคนที่ทนไม่ได้ หรือคนที่หลงไปกับความคิดห่วยแตกพวกนั้น และมากวนใจเราต่อ เผลอ ๆ ความสัมพันธ์ที่ดี ๆ ก็พังทลายเพราะเรื่องไม่เข้าท่าที่ปล่อยไว้จนมันบานปลาย
........บางทีพวกนักรบครูเสดกลับมาในยุคสมัยนี้ อาจจะดีก็ได้เนอะ
......แต่ปัญหาคือ มันทำให้เราหงุดหงิดและกวนรำคาญใจได้ + ถึงเราจะทนได้ แต่ก็ต้องมีคนที่ทนไม่ได้ หรือคนที่หลงไปกับความคิดห่วยแตกพวกนั้น และมากวนใจเราต่อ เผลอ ๆ ความสัมพันธ์ที่ดี ๆ ก็พังทลายเพราะเรื่องไม่เข้าท่าที่ปล่อยไว้จนมันบานปลาย
........บางทีพวกนักรบครูเสดกลับมาในยุคสมัยนี้ อาจจะดีก็ได้เนอะ
-
- โพสต์: 719
- ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 08, 2008 5:47 am
- ที่อยู่: กาญจนบุรี
ขอบคุณมากครับ ได้คำตอบแบบที่จะหยุดความสงสัยของตัวเองได้ซะที^-^Holy เขียน:ผมตอบได้แค่ว่าถ้าชีวิตคุณมาจากการสุ่มและโลกนี้มาจากความบังเอิญ ถ้าคุณตายหรือทำลายล้างโลกซะก็ไม่เห็นต้องวิตกหรือให้ความสำคัญ เพราะมันแค่ของบังเอิญเกิดขึ้นไม่มีคุณค่าและไม่มีความหมาย ถ้าบังเอิญหายไปก็ไม่น่าวิตก
จะว่าไปพอคิดอย่างนี้...ถ้าโลกเกิดจากการสุ่มจริงๆ ทุกๆอย่างก็คงไร้ความหมายในตัวเองไปเลย(เพราะรออีกหน่อย เดี๋ยวมันก็สุ่มขึ้นมาอีก) ประวัติศาสตร์อันยาวนานของโลกคงหมดความสำคัญ(พวกหลักการหรือการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ก็ด้วย เพราะมันก็แค่ "บังเอิญ")
ขอบคุณจริงๆครับ รู้สึกมีกำลังใจขึ้นเยอะจริงๆ
-
- โพสต์: 690
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ มี.ค. 09, 2009 12:00 pm
ผมเรียนวิชาพระพุทธที่โรงเรียนแล้วครูก็บอกให้ไปอ่านหนังสือเรียนแล้วย่อส่ง ผมอ่านหนังสือเรียนเล่มนั้นแล้วรู้สึกว่าทำไมศาสนาพุืทธชอบบอกว่า ศาสนาพุืืทธเชื่อถืิอได้เพราะมีกระบวนการแก้ปัญหาคล้ายวิทยาศาสตร์ ไม่เข้าใจจริงๆ รู้สึกว่าศาสนาพุืืทธเริ่มอ้างเรื่องนี้ตั้งแต่ตอนที่ไอสไตน์พูดไว้
- Valkyrie Zero Number
- โพสต์: 2081
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ส.ค. 27, 2007 4:11 am
กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ มีเวียนว่ายตายเกิดกับกรรมเวรรึ?Holy Bible เขียน:ผมเรียนวิชาพระพุทธที่โรงเรียนแล้วครูก็บอกให้ไปอ่านหนังสือเรียนแล้วย่อส่ง ผมอ่านหนังสือเรียนเล่มนั้นแล้วรู้สึกว่าทำไมศาสนาพุืทธชอบบอกว่า ศาสนาพุืืทธเชื่อถืิอได้เพราะมีกระบวนการแก้ปัญหาคล้ายวิทยาศาสตร์ ไม่เข้าใจจริงๆ รู้สึกว่าศาสนาพุืืทธเริ่มอ้างเรื่องนี้ตั้งแต่ตอนที่ไอสไตน์พูดไว้
คุณก็อย่าไปคิดเห็นแบบนั้นสิครับกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ มีเวียนว่ายตายเกิดกับกรรมเวรรึ?
ที่เค้าบอกว่าพุทธศาสนามีส่วนคล้ายกับวิทยาศาสตร์ก็เพราะว่า วิทยาศาสตร์กับพุทธศาสนา มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันก็คือ อยากรู้ความจริงเกี่ยวกับปรากฎการณ์ทางธรรมชาติ แต่พุทธศาสนาจะต่างจากวิทยาศาสตร์ตรงที่ว่า วิทยาศาสตร์นั้นเมื่อตั้งสมมติฐานและหาคำตอบของสิ่งนั้นๆเจอแล้ว ก็จะละทิ้งและหันไปตั้งสมมติฐานกับสิ่งอื่น แต่พุทธศาสนาเมื่อรู้ว่าสิ่งนั้นเป็นอย่างไรแล้ว ก็จะศึกษาสิ่งนั้นๆ่ต่อไปเรื่อยๆ ส่วนวิทยาศาสตร์นั้นเน้นเรื่องภายนอกร่างกายมากกว่า คำว่าภายนอกร่างกายก็คือ สิ่งทั่วไปที่ไม่ใช่เรื่องทางจิตใจและวิญญาน แต่พุทธศาสนาเน้นภายใน กล่าวคือ เน้นด้านกรรมฐาน ฝึกจิต ลดอคติของตัวเองลงครับ ผมขอบอกเลยว่า ถึงแม้ผมจะเชื่อพระเจ้า แต่หลักของพุทธศาสนาช่วยได้จริงๆในบางข้อ บางอัน ก็ต้องรู้จักเลือกเอามาประยุกต์ใช้ อย่าไปมองว่ามีนั้นมีนี้ ที่เห็นนั้นคือ เปลือก ครับ ไม่ต้องไปสนใจ แต่แก่นจริงๆนั้นคือ หลักธรรมครับ พระพุทธเจ้าเคยตรัสไว้ว่า"การที่จะนับถือบูชาเรานั้น มิใช่การบูชาด้วยรูปเคารพ แต่การบูชาเรานั้นคือการปฎิบัติตามหลักธรรม"(ต้องขออภัยเพราะฟังครูพูดมาอีกที หากมีตรงไหนผิดพลาด ขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วย )