ควรอธิบายหลักธรรมของคริสต์อย่างไรกับชาวพุทธ?
พี่สาวเรา(พุทธ)ถามว่า
"นอกจากสอนเรื่องความรัก ศาสนาคริสต์มีอะไรเป็นแก่นธรรม"
"ทำอย่างไรให้หลุดพ้นจากความทุกข์"
"คริสต์มีแนวทางไหนให้ไปนิพพาน"
"ศาสนาคริสต์สอนอย่างไรให้เป็นคนดี และจะให้ยึดหลักธรรมอะไรเพื่อพัฒนาความดีของตนเอง"
เราอึ้งเล็กน้อย(ถามอย่างนี้ไปถามบาทหลวงดีกว่ามั๊ยTOTเราก็ยังไม่ได้เรียนคำสอน อ่านไบเบิ้ลก็ยังไม่เก่งถึงขนาดยกมาพูดกับคนอื่นได้เป็นเรื่องเป็นราว ไม่กล้ายกมาพูดด้วย เพราะหากเราตัดข้อความ หรือ เพิ่ม ข้อความที่มีอยู่ในไบเบิ้ล ก็จะได้รับหายนะ)
เราเลยตอบแบบงงและรวมๆไป
"ศาสนาคริสต์เชื่อเรื่องวันสิ้นโลก สอนว่าอย่าทำบาป ให้รักคนอื่น
ส่วนเรื่องที่มีความทุกข์ ก็ขอพระเจ้า..-"(เออเพิ่งคิดออกว่าไม่มีความทุกข์ครั้งไหนที่เราไม่ได้รับการเยียวยาจากพระองค์)
เค้าก็ถามต่อ
"แล้วถ้าพระเจ้าเป็นผู้สร้างโลก แล้วใครสร้างพระเจ้าล่ะ ชั้นก็เคยถามเพื่อนที่เป็นอิสลามว่า แล้วใครสร้างพระเจ้า เค้าก็บอกว่า ไม่รู้ พระเจ้ามีมาอยู่แล้ว มีมาตั้งนานแล้ว อ่าว...ทุกอย่างมันก็ต้องมีที่มาที่ไปสิ ไม่ใช่มีผลมาก่อนเหตุ"
พี่เลยแสดงความเห็นว่า
ศาสนาคริสต์ดูเป็นแนวๆเทพนิยาย ไม่รู้นะ คนนอกเวลาเค้ามองเค้าจะมองว่าศาสนาคริสต์ว่าเป็นศาสนาที่สวยงาม
(แอบกระทบเราเพราะเราชอบอ่านนิยาย)
ไม่รู้ว่าจะตอบเค้ายังไง ไม่รู้จะเริ่มตรงไหน คือเค้าไม่มีพื้นฐานของหลักความเชื่อของศาสนาคริสต์เลย
เค้าไม่เชื่อพระเจ้า เค้าไม่รู้ว่าคริสต์ไม่มีนิพพาน ไม่ใช่แบบพุทธ
แล้วยังไงเราก็ต้องอธิบายให้กับผู้ใหญ่ฟังเรื่องนี้ในอนาคตแน่ๆ ยังไงก็ขอคำแนะนำจากคุณทุกคนด้วยนะคะ
"นอกจากสอนเรื่องความรัก ศาสนาคริสต์มีอะไรเป็นแก่นธรรม"
"ทำอย่างไรให้หลุดพ้นจากความทุกข์"
"คริสต์มีแนวทางไหนให้ไปนิพพาน"
"ศาสนาคริสต์สอนอย่างไรให้เป็นคนดี และจะให้ยึดหลักธรรมอะไรเพื่อพัฒนาความดีของตนเอง"
เราอึ้งเล็กน้อย(ถามอย่างนี้ไปถามบาทหลวงดีกว่ามั๊ยTOTเราก็ยังไม่ได้เรียนคำสอน อ่านไบเบิ้ลก็ยังไม่เก่งถึงขนาดยกมาพูดกับคนอื่นได้เป็นเรื่องเป็นราว ไม่กล้ายกมาพูดด้วย เพราะหากเราตัดข้อความ หรือ เพิ่ม ข้อความที่มีอยู่ในไบเบิ้ล ก็จะได้รับหายนะ)
เราเลยตอบแบบงงและรวมๆไป
"ศาสนาคริสต์เชื่อเรื่องวันสิ้นโลก สอนว่าอย่าทำบาป ให้รักคนอื่น
ส่วนเรื่องที่มีความทุกข์ ก็ขอพระเจ้า..-"(เออเพิ่งคิดออกว่าไม่มีความทุกข์ครั้งไหนที่เราไม่ได้รับการเยียวยาจากพระองค์)
เค้าก็ถามต่อ
"แล้วถ้าพระเจ้าเป็นผู้สร้างโลก แล้วใครสร้างพระเจ้าล่ะ ชั้นก็เคยถามเพื่อนที่เป็นอิสลามว่า แล้วใครสร้างพระเจ้า เค้าก็บอกว่า ไม่รู้ พระเจ้ามีมาอยู่แล้ว มีมาตั้งนานแล้ว อ่าว...ทุกอย่างมันก็ต้องมีที่มาที่ไปสิ ไม่ใช่มีผลมาก่อนเหตุ"
พี่เลยแสดงความเห็นว่า
ศาสนาคริสต์ดูเป็นแนวๆเทพนิยาย ไม่รู้นะ คนนอกเวลาเค้ามองเค้าจะมองว่าศาสนาคริสต์ว่าเป็นศาสนาที่สวยงาม
(แอบกระทบเราเพราะเราชอบอ่านนิยาย)
ไม่รู้ว่าจะตอบเค้ายังไง ไม่รู้จะเริ่มตรงไหน คือเค้าไม่มีพื้นฐานของหลักความเชื่อของศาสนาคริสต์เลย
เค้าไม่เชื่อพระเจ้า เค้าไม่รู้ว่าคริสต์ไม่มีนิพพาน ไม่ใช่แบบพุทธ
แล้วยังไงเราก็ต้องอธิบายให้กับผู้ใหญ่ฟังเรื่องนี้ในอนาคตแน่ๆ ยังไงก็ขอคำแนะนำจากคุณทุกคนด้วยนะคะ
ขออนุญาต ช่วยตอบนะครับกุญแจซอล เขียน:พี่สาวเรา(พุทธ)ถามว่า
"นอกจากสอนเรื่องความรัก ศาสนาคริสต์มีอะไรเป็นแก่นธรรม"
"ทำอย่างไรให้หลุดพ้นจากความทุกข์"
"คริสต์มีแนวทางไหนให้ไปนิพพาน"
"ศาสนาคริสต์สอนอย่างไรให้เป็นคนดี และจะให้ยึดหลักธรรมอะไรเพื่อพัฒนาความดีของตนเอง"
เราอึ้งเล็กน้อย(ถามอย่างนี้ไปถามบาทหลวงดีกว่ามั๊ยTOTเราก็ยังไม่ได้เรียนคำสอน อ่านไบเบิ้ลก็ยังไม่เก่งถึงขนาดยกมาพูดกับคนอื่นได้เป็นเรื่องเป็นราว ไม่กล้ายกมาพูดด้วย เพราะหากเราตัดข้อความ หรือ เพิ่ม ข้อความที่มีอยู่ในไบเบิ้ล ก็จะได้รับหายนะ)
เราเลยตอบแบบงงและรวมๆไป
"ศาสนาคริสต์เชื่อเรื่องวันสิ้นโลก สอนว่าอย่าทำบาป ให้รักคนอื่น
ส่วนเรื่องที่มีความทุกข์ ก็ขอพระเจ้า..-"(เออเพิ่งคิดออกว่าไม่มีความทุกข์ครั้งไหนที่เราไม่ได้รับการเยียวยาจากพระองค์)
เค้าก็ถามต่อ
"แล้วถ้าพระเจ้าเป็นผู้สร้างโลก แล้วใครสร้างพระเจ้าล่ะ ชั้นก็เคยถามเพื่อนที่เป็นอิสลามว่า แล้วใครสร้างพระเจ้า เค้าก็บอกว่า ไม่รู้ พระเจ้ามีมาอยู่แล้ว มีมาตั้งนานแล้ว อ่าว...ทุกอย่างมันก็ต้องมีที่มาที่ไปสิ ไม่ใช่มีผลมาก่อนเหตุ"
พี่เลยแสดงความเห็นว่า
ศาสนาคริสต์ดูเป็นแนวๆเทพนิยาย ไม่รู้นะ คนนอกเวลาเค้ามองเค้าจะมองว่าศาสนาคริสต์ว่าเป็นศาสนาที่สวยงาม
(แอบกระทบเราเพราะเราชอบอ่านนิยาย)
ไม่รู้ว่าจะตอบเค้ายังไง ไม่รู้จะเริ่มตรงไหน คือเค้าไม่มีพื้นฐานของหลักความเชื่อของศาสนาคริสต์เลย
เค้าไม่เชื่อพระเจ้า เค้าไม่รู้ว่าคริสต์ไม่มีนิพพาน ไม่ใช่แบบพุทธ
แล้วยังไงเราก็ต้องอธิบายให้กับผู้ใหญ่ฟังเรื่องนี้ในอนาคตแน่ๆ ยังไงก็ขอคำแนะนำจากคุณทุกคนด้วยนะคะ
Q : "นอกจากสอนเรื่องความรัก ศาสนาคริสต์มีอะไรเป็นแก่นธรรม"
A : แก่นธรรมข้อเดียวของเราก็คือ ความรัก ครับ
ความรักต่อพระเป็นเจ้าและเพื่อนมนุษย์ เป็นความรักที่ไร้เงื่อนไข ความรักที่ไม่เห็นแก่ตัว ดังที่พระเยซูคริสตเจ้าทรงสอนเรา แก่นธรรมข้อเดียวข้อนี้ ก็ครอบคลุมบัญญัติทั้งหมด ศีลทุกข้อ เพราะถ้ารักแล้ว เราจะไม่กล่าวร้ายใคร ไม่เบียดเบียนใคร ไม่ละเลยเมื่อเห็นผู้อื่นมีความทุกข์ ไม่ลักขโมย ไม่พูดปด ฯลฯ
Q : "ทำอย่างไรให้หลุดพ้นจากความทุกข์"
A : พระเยซูเจ้า ทรงไม่หลีกเลี่ยงความทุกข์ แต่กลับเผชิญความทุกข์ทรมานอย่างเข้มแข็ง เพราะทรงต้องการสอนเราว่า ความทุกข์ต่างๆ บนโลกนี้ เป็นแค่ชั่วคราว และสั้นมาก ถ้าเทียบกับความสุขนิรันดรในโลกหน้า
หนทางแห่งความหลุดพ้น คือให้เราดำเนินชีวิตตามแบบอย่างของพระองค์ รักพระบิดา และเพื่อนมนุษย์ แค่เราเห็นคนที่เรารักมีความสุข แม้เราจะลำบาก เหน็ดเหนื่อยแค่ไหน เราก็หายทุกข์แล้ว จริงไหมครับ และถ้ามนุษย์ทุกคนรักกันและกัน ความทุกข์ก็จะเปลี่ยนเป็นความสุข และก็จะได้รับความสุขเที่ยงแท้นิรันดรในโลกหน้าด้วย
Q : "คริสต์มีแนวทางไหนให้ไปนิพพาน"
A : จุดประสงค์ของนิพพาน คืออะไร? คือไม่ต้องกลับมาเกิดใหม่ใช่หรือไม่ครับ? ทางพุทธเชื่อว่าถ้านิพพานแล้วก็ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิด แต่ทางคริสต์เราเชื่อในพระวาจาของพระเยซูเจ้า เชื่อในชีวิตนิรันดร์ ตลอดกาล ไม่มีการเกิดใหม่อีก
จุดประสงค์เหมือนกันครับ ดังนั้นสวรรค์ในมุมมองของพุทธ ไม่เหมือนกับสวรรค์ในมุมมองของคริสต์ เพราะสวรรค์ของเราคือสวรรค์ที่สุขนิรันดร์ ไม่ใช่สวรรค์ที่พอผลบุญหมดแล้วต้องกลับมาเกิดใหม่ ดังนั้นคำถามนี้ ก็เหมือนคำตอบข้อที่แล้วครับ คือ รักพระเจ้าและเพื่อนมนุษย์
Q : "ศาสนาคริสต์สอนอย่างไรให้เป็นคนดี และจะให้ยึดหลักธรรมอะไรเพื่อพัฒนาความดีของตนเอง"
A : คำตอบข้อนี้ ก็เหมือนเดิมครับ คือ รักพระเจ้าและเพื่อนมนุษย์
คนดี คืออะไร ? คนที่รักผู้อื่น ชอบช่วยเหลือผู้อื่น กับคนที่เกลียดชังผู้อื่น เบียดเบียนผู้อื่น ประเภทไหนคือ คนดีครับ ถ้าประเภทแรก คือ คนดี = คนที่รักผู้อื่น ชอบช่วยเหลือผู้อื่น พระเจ้าของเราก็สอนให้เป็นคนดี อยู่แล้วครับ
แล้วยึด หลักธรรมอะไรเพื่อพัฒนาความดีของตน ? คำตอบคือ ยึดพระเยซูเจ้าเป็นแบบอย่างครับ รักแบบไร้เงื่อนไขให้ได้แบบที่พระองค์ทรงแสดงให้เห็น นี่คือสัจธรรมสูงสุด ของเรา ความรักแบบพระเยซูเจ้า
Q : "แล้วถ้าพระเจ้าเป็นผู้สร้างโลก แล้วใครสร้างพระเจ้าล่ะ ชั้นก็เคยถามเพื่อนที่เป็นอิสลามว่า แล้วใครสร้างพระเจ้า เค้าก็บอกว่า ไม่รู้ พระเจ้ามีมาอยู่แล้ว มีมาตั้งนานแล้ว อ่าว...ทุกอย่างมันก็ต้องมีที่มาที่ไปสิ ไม่ใช่มีผลมาก่อนเหตุ"
A : เป็นคำถามเดิมๆ ที่เจอจนชินกันแล้ว ถ้าตอบแบบกวนๆ ก็คือ ถ้าพระเจ้าถูกสร้าง ก็ไม่ใช่ พระเจ้า สิ แต่ถ้าตอบแบบไม่กวน ก็คือ พระเจ้าไม่ได้ทรงถูกสร้าง ทรงดำรงอยู่ๆ แล้ว
ทรงเป็นเบื้องต้นและเบื้องปลาย เพราะถ้าถามลักษณะนี้ ก็วนซ้ำๆ ไม่มีวันสิ้นสุด จนกว่าจะเจอจุดเริ่มต้น นั่นคือ ผู้สร้างแรกสุด และไม่ถูกสร้างโดยผู้ใดเลย
เช่น ถ้าถามว่า อะไรมาก่อนเลข 9999 คำตอบคือ 9998 เมื่อถามไปเรื่อยก็จะต้องสิ้นสุดที่ 0
ถ้าคนถามยังไม่พอใจในเลข 0 (ว่าต้องมีคนสร้างพระเจ้าสิ) ก็ให้ผู้ถามเอา -1 บวก ไปเรื่อยๆ ดูครับ
เผื่อเค้าจะได้คำตอบที่พอใจ ว่าเลขแรกสุดคือเลขไหน
คำถามนี้ ถ้าลองถามเค้าย้อนกลับว่า ชาติแรกของมนุษย์มาจากไหน? ถ้าชาติแรกสมบูรณ์อยู่แล้ว ทำไมต้องมีชาติที่สอง ? ต้องมีที่มาที่ไปสิ ไม่ใช่มีผลมาก่อนเหตุ ... ถ้าตอบคำถามอจินไตยได้ ก็คงตอบคำถามทุกอย่างได้ครับ
ปล. แค่เรื่องของมนุษย์เราเอง ก็ปวดหัวแย่อยู่แล้วครับ เรื่องตัวเราเองบางทียังไม่หมดเลย แล้วจะไปอยากรู้เรื่องของพระเจ้าได้อย่างไร จริงมั้ยครับ?
ยังไงก็สวดภาวนาวอนขอความสว่างจากพระจิตเจ้าดูนะครับ แล้วพระองค์จะประทานคำตอบให้เองครับ
ขอพระเป็นเจ้าอวยพระพร และขอพระแม่เป็นกำลังใจให้นะครับ ตราบใดที่เราเชื่อและมั่นใจว่า พระองค์ทรงดำรงอยู่จริง ใครๆ ก็พรากเราไปจากพระองค์ไม่ได้ เป็นกำลังใจให้ครับ
-
- โพสต์: 719
- ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 08, 2008 5:47 am
- ที่อยู่: กาญจนบุรี
เอ้า....ลูกแกะทั้งหลาย ทำงานๆ=w= (แต่ถ้าคุณพี่สาวลองเข้ามาอ่านบอร์ดนี้บ้างคงได้คำตอบไปแล้วน่ะนะ)
"นอกจากสอนเรื่องความรัก ศาสนาคริสต์มีอะไรเป็นแก่นธรรม"
-อันนี้เราอ้างจากพระธรรมโครินธ์ก็ได้นะครับ ว่าในศาสนาเรานั้นความรักถือว่ายิ่งใหญ่ที่สุด ไม่มีอะไรมาอยู่เหนือกว่าความรักได้อีกแล้ว เพราะอาจารย์เปาโลยังบอกเลยว่าต่อให้เราศรัทธาหรือมีความหวังแค่ไหน ถ้าเรารักคนอื่นไม่เป็น...ตัวเราก็ไร้ค่า ความรักจึงถือว่าเป็นหัวใจของคริสตชนครับ แก่นของเราไม่ได้ซับซ้อนมีหลักธรรมอะไรมากมาย แค่เรียนรู้ที่จะรักให้เป็นก็เพียงพอในสายตาของพระผู้เป็นเจ้าแล้วครับ
"ทำอย่างไรให้หลุดพ้นจากความทุกข์"
-ถ้าตอบตรงๆคือรอจนถึงเวลาที่พระองค์ต้อนรับเรากลับสู่บ้านของพระองค์ เพราะงั้นต่อให้พยามให้ตาย...ในโลกนี้เราก็หลุดพ้นจากทุกข์ไม่ได้หรอกครับ มันสำคัญที่ว่าเราจะมัวนั่งซึมกับความทุกข์ หรือจะชื่นชมกับความสุขที่ได้รับมากกว่า
"หากเราคิดถึงแต่สิ่งที่เราไม่มี เราจะกลายเป็นคนที่ขาดแคลนและสูญเสียทุกอย่าง
แต่หากเราคิดถึงแต่สิ่งที่เรามี เราจะกลายเป็นคนที่ร่ำรวยอย่างล้นเหลือ"
"คริสต์มีแนวทางไหนให้ไปนิพพาน"
-ไม่มีนะครับ เพราะเราไม่เชื่อว่าไอ้การดำรงตนอยู่ในความว่างเปล่าเนี่ยมันจะเป็นความสุขที่แท้จริง พระเจ้าอุตสาห์ให้เราได้เกิด ได้มีชีวิต ได้เรียนรู้ ได้เติมเต็ม ได้หัวเราะ ได้ร้องไห้ ผมยังนึกไม่ออกว่าทำไมจะต้องพยามทำตัวเองให้กลับไปสู่ "ความไม่มีอะไร"???
"ศาสนาคริสต์สอนอย่างไรให้เป็นคนดี และจะให้ยึดหลักธรรมอะไรเพื่อพัฒนาความดีของตนเอง"
-ส่วนตัวผมว่าโลกนี้มีแค่คนอยู่ 2 ประเภทนะ คือ "คนดี" กับ "คนเลว" ไม่มีดีมากดีน้อย ไม่มีเลวมากเลวน้อย ถ้าคุณเป็นคนดี...คุณก็จะทำแต่สิ่งดีๆ ไม่จำเป็นต้องไปอ่านหลักการพัฒนาอัพเลเวลอะไร และถ้าจะถามจริงๆว่ายึดหลักธรรมอะไร ก็ตอบเหมือนข้อแรกครับ คือความรัก รักคนอื่นเป็น คุณก็จะเป็นคนดีได้แน่นอน(รักให้ถูกวิธีละกัน)
"แล้วถ้าพระเจ้าเป็นผู้สร้างโลก แล้วใครสร้างพระเจ้าล่ะ ชั้นก็เคยถามเพื่อนที่เป็นอิสลามว่า แล้วใครสร้างพระเจ้า เค้าก็บอกว่า ไม่รู้ พระเจ้ามีมาอยู่แล้ว มีมาตั้งนานแล้ว อ่าว...ทุกอย่างมันก็ต้องมีที่มาที่ไปสิ ไม่ใช่มีผลมาก่อนเหตุ"
^
^ส่วนตัวชอบคำตอบนี้แฮะ
-สุดท้าย "ปัญญา" ของมนุษย์มันก็จะตันอยู่กับกำแพงที่เรียกว่า "เหตุผล" ครับ พวกเรารับรู้ได้แค่นั้น พระเจ้าทรงมอบขอบเขตให้เท่าที่จำเป็น แต่เนื่องด้วยเรามันพวกทะนงตัวและหลงตัวเองได้อย่างน่าเหลือเชื่อ เราก็เหมาเอาในกรอบของเหตุผลนี่แหละว่าเป็นความจริงแล้ว เป็นที่สุดของที่สุดในจักรวาลแล้ว โอ้วซ์!......พวกเรานี่มันฉลาดโคตรๆ
ทูตสวรรค์ได้ยินคงกลั้นหัวเราะกันท้องแข็ง ส่วนปีศาจน่าจะขำกลิ้งทั้งนรกแล้วล่ะครับ
เฉพาะตอนนี้มันก็มีหลายทฤษฏีที่ขัดแย้งกันเองซึ่งเราอธิบายไม่ได้ ในมิติของเอกภพอันกว้างใหญ่ยังมีอะไรต่อมิอะไรที่มีหลักการของตัวมันเอง กะอีแค่หลักการขี้ประติ๋วของโลกเล็กๆใบนี้คิดว่ามันครอบคลุมได้หมดเหรอครับ??
ถ้าแค่เอกภพยังอธิบายไม่ได้ แล้วพระเจ้าผู้สร้างสรรพสิ่งล่ะ? มีเอกภพอีกไม่รู้กี่ล้านๆๆๆเอกภพภายนอกเอกภพที่เชื่อต่อด้วยช่องว่างของอวกาศ พระองค์สร้างทั้งหมดนั่น พระองค์ดำรงอยู่ด้วยฤทธิ์ธานุภาพ แล้วมนุษย์ตัวกระจิ๋วหลิวคิดจะทำอะไรนอกจากถ่างตาถั่วๆสองข้างของตัวเองแล้วเหมาเอาว่า "ฉันรู้หมดแล้ว เข้าใจหมดแล้ว"
คริสเตียนไม่สามารถอวดอ้างว่าฉลาดหรือรอบรู้กว่าคนทั่วไปได้นะครับ เพราะขนาดยุคพระคัมภีร์เก่าก็มีหลายครั้งที่พระเจ้าทรงตรัสสั่ง แล้วคนฟังไม่เข้าใจ อะไรของพระองค์??? วิธีการนี้มันไม่สมเหตุผลเลย?? มีอะไรผิดพลาดรึเปล่า?? แต่อย่างน้อยเราก็ "ฉลาดพอที่จะไม่ตั้งคำถาม" ครับ พระเจ้าว่ามา เราจัดไป เชื่อมั่น ศรัทธา พระองค์ผู้กุมทั้งจักรวาลไว้บนปลายนิ้วไม่มีคำว่าพลาดอยู่แล้ว
คำถามที่ว่า ใครสร้างพระเจ้า เป็นตัวอย่างที่แสดงถึงความเขลาของมนุษย์ได้ดีจริงๆ เราติดอยู่ในกรอบของคำว่า "ถ้ามันมีตัวตน แปลว่ามันต้องถูกสร้างแน่ๆ" ก็เข้าใจไม่ยากสำหรับการอธิบายเรื่องต่างๆบนโลก แต่นี่กะพรเจ้าที่เป็นผู้สร้างสรรค์สรรพสิ่ง พระองค์อยู่นอกเหนือความเข้าใจและกฏทุกอย่างที่เราพึงระลึกได้ครับ
รู้สึกข้อสุดท้ายจะตอบยาวมาก ถ้ายังไงก็ลองฟังความเห็นของคนอื่นๆด้วยก็ดีนะครับ
"นอกจากสอนเรื่องความรัก ศาสนาคริสต์มีอะไรเป็นแก่นธรรม"
-อันนี้เราอ้างจากพระธรรมโครินธ์ก็ได้นะครับ ว่าในศาสนาเรานั้นความรักถือว่ายิ่งใหญ่ที่สุด ไม่มีอะไรมาอยู่เหนือกว่าความรักได้อีกแล้ว เพราะอาจารย์เปาโลยังบอกเลยว่าต่อให้เราศรัทธาหรือมีความหวังแค่ไหน ถ้าเรารักคนอื่นไม่เป็น...ตัวเราก็ไร้ค่า ความรักจึงถือว่าเป็นหัวใจของคริสตชนครับ แก่นของเราไม่ได้ซับซ้อนมีหลักธรรมอะไรมากมาย แค่เรียนรู้ที่จะรักให้เป็นก็เพียงพอในสายตาของพระผู้เป็นเจ้าแล้วครับ
"ทำอย่างไรให้หลุดพ้นจากความทุกข์"
-ถ้าตอบตรงๆคือรอจนถึงเวลาที่พระองค์ต้อนรับเรากลับสู่บ้านของพระองค์ เพราะงั้นต่อให้พยามให้ตาย...ในโลกนี้เราก็หลุดพ้นจากทุกข์ไม่ได้หรอกครับ มันสำคัญที่ว่าเราจะมัวนั่งซึมกับความทุกข์ หรือจะชื่นชมกับความสุขที่ได้รับมากกว่า
"หากเราคิดถึงแต่สิ่งที่เราไม่มี เราจะกลายเป็นคนที่ขาดแคลนและสูญเสียทุกอย่าง
แต่หากเราคิดถึงแต่สิ่งที่เรามี เราจะกลายเป็นคนที่ร่ำรวยอย่างล้นเหลือ"
"คริสต์มีแนวทางไหนให้ไปนิพพาน"
-ไม่มีนะครับ เพราะเราไม่เชื่อว่าไอ้การดำรงตนอยู่ในความว่างเปล่าเนี่ยมันจะเป็นความสุขที่แท้จริง พระเจ้าอุตสาห์ให้เราได้เกิด ได้มีชีวิต ได้เรียนรู้ ได้เติมเต็ม ได้หัวเราะ ได้ร้องไห้ ผมยังนึกไม่ออกว่าทำไมจะต้องพยามทำตัวเองให้กลับไปสู่ "ความไม่มีอะไร"???
"ศาสนาคริสต์สอนอย่างไรให้เป็นคนดี และจะให้ยึดหลักธรรมอะไรเพื่อพัฒนาความดีของตนเอง"
-ส่วนตัวผมว่าโลกนี้มีแค่คนอยู่ 2 ประเภทนะ คือ "คนดี" กับ "คนเลว" ไม่มีดีมากดีน้อย ไม่มีเลวมากเลวน้อย ถ้าคุณเป็นคนดี...คุณก็จะทำแต่สิ่งดีๆ ไม่จำเป็นต้องไปอ่านหลักการพัฒนาอัพเลเวลอะไร และถ้าจะถามจริงๆว่ายึดหลักธรรมอะไร ก็ตอบเหมือนข้อแรกครับ คือความรัก รักคนอื่นเป็น คุณก็จะเป็นคนดีได้แน่นอน(รักให้ถูกวิธีละกัน)
"แล้วถ้าพระเจ้าเป็นผู้สร้างโลก แล้วใครสร้างพระเจ้าล่ะ ชั้นก็เคยถามเพื่อนที่เป็นอิสลามว่า แล้วใครสร้างพระเจ้า เค้าก็บอกว่า ไม่รู้ พระเจ้ามีมาอยู่แล้ว มีมาตั้งนานแล้ว อ่าว...ทุกอย่างมันก็ต้องมีที่มาที่ไปสิ ไม่ใช่มีผลมาก่อนเหตุ"
^Cho เขียน: คำถามนี้ ถ้าลองถามเค้าย้อนกลับว่า ชาติแรกของมนุษย์มาจากไหน? ถ้าชาติแรกสมบูรณ์อยู่แล้ว ทำไมต้องมีชาติที่สอง ? ต้องมีที่มาที่ไปสิ ไม่ใช่มีผลมาก่อนเหตุ ... ถ้าตอบคำถามอจินไตยได้ ก็คงตอบคำถามทุกอย่างได้ครับ
^
^ส่วนตัวชอบคำตอบนี้แฮะ
-สุดท้าย "ปัญญา" ของมนุษย์มันก็จะตันอยู่กับกำแพงที่เรียกว่า "เหตุผล" ครับ พวกเรารับรู้ได้แค่นั้น พระเจ้าทรงมอบขอบเขตให้เท่าที่จำเป็น แต่เนื่องด้วยเรามันพวกทะนงตัวและหลงตัวเองได้อย่างน่าเหลือเชื่อ เราก็เหมาเอาในกรอบของเหตุผลนี่แหละว่าเป็นความจริงแล้ว เป็นที่สุดของที่สุดในจักรวาลแล้ว โอ้วซ์!......พวกเรานี่มันฉลาดโคตรๆ
ทูตสวรรค์ได้ยินคงกลั้นหัวเราะกันท้องแข็ง ส่วนปีศาจน่าจะขำกลิ้งทั้งนรกแล้วล่ะครับ
เฉพาะตอนนี้มันก็มีหลายทฤษฏีที่ขัดแย้งกันเองซึ่งเราอธิบายไม่ได้ ในมิติของเอกภพอันกว้างใหญ่ยังมีอะไรต่อมิอะไรที่มีหลักการของตัวมันเอง กะอีแค่หลักการขี้ประติ๋วของโลกเล็กๆใบนี้คิดว่ามันครอบคลุมได้หมดเหรอครับ??
ถ้าแค่เอกภพยังอธิบายไม่ได้ แล้วพระเจ้าผู้สร้างสรรพสิ่งล่ะ? มีเอกภพอีกไม่รู้กี่ล้านๆๆๆเอกภพภายนอกเอกภพที่เชื่อต่อด้วยช่องว่างของอวกาศ พระองค์สร้างทั้งหมดนั่น พระองค์ดำรงอยู่ด้วยฤทธิ์ธานุภาพ แล้วมนุษย์ตัวกระจิ๋วหลิวคิดจะทำอะไรนอกจากถ่างตาถั่วๆสองข้างของตัวเองแล้วเหมาเอาว่า "ฉันรู้หมดแล้ว เข้าใจหมดแล้ว"
คริสเตียนไม่สามารถอวดอ้างว่าฉลาดหรือรอบรู้กว่าคนทั่วไปได้นะครับ เพราะขนาดยุคพระคัมภีร์เก่าก็มีหลายครั้งที่พระเจ้าทรงตรัสสั่ง แล้วคนฟังไม่เข้าใจ อะไรของพระองค์??? วิธีการนี้มันไม่สมเหตุผลเลย?? มีอะไรผิดพลาดรึเปล่า?? แต่อย่างน้อยเราก็ "ฉลาดพอที่จะไม่ตั้งคำถาม" ครับ พระเจ้าว่ามา เราจัดไป เชื่อมั่น ศรัทธา พระองค์ผู้กุมทั้งจักรวาลไว้บนปลายนิ้วไม่มีคำว่าพลาดอยู่แล้ว
คำถามที่ว่า ใครสร้างพระเจ้า เป็นตัวอย่างที่แสดงถึงความเขลาของมนุษย์ได้ดีจริงๆ เราติดอยู่ในกรอบของคำว่า "ถ้ามันมีตัวตน แปลว่ามันต้องถูกสร้างแน่ๆ" ก็เข้าใจไม่ยากสำหรับการอธิบายเรื่องต่างๆบนโลก แต่นี่กะพรเจ้าที่เป็นผู้สร้างสรรค์สรรพสิ่ง พระองค์อยู่นอกเหนือความเข้าใจและกฏทุกอย่างที่เราพึงระลึกได้ครับ
รู้สึกข้อสุดท้ายจะตอบยาวมาก ถ้ายังไงก็ลองฟังความเห็นของคนอื่นๆด้วยก็ดีนะครับ
-
- โพสต์: 1029
- ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ มิ.ย. 13, 2010 9:53 pm
ลูกแมวน้ำที่เพิ่งเริ่มเดินทางขอตอบบ้าง
"นอกจากสอนเรื่องความรัก ศาสนาคริสต์มีอะไรเป็นแก่นธรรม"
- ความรักเป็นหลักสำคัญที่สุด ถ้าเรารัก เราจะทำทุกอย่างโดยไม่หวังอะไรตอบแทน และอภัยกับทุกอย่างที่ทำให้เราเจ็บช้ำ
"ทำอย่างไรให้หลุดพ้นจากความทุกข์"
- อะไรคือทุกข์ สิ่งที่เราต้องการและไม่ต้องการ ไม่อยากได้ ไม่อยากเป็น ไม่อยากมี อยากได้แต่ไม่ได้ อยากเป็นแต่ไม่เป็น อยากมีแต่ไม่มี เราเผชิญภาวะเหล่านั้นทั้งหมดและน้อมมอบให้กับพระเป็นเจ้า วางใจให้พระองค์นำทางเราพ้นทางทุกข์เหล่านั้น และเชื่อว่าปลายทางเราจะมีพระองค์คอยเราอยู่
"คริสต์มีแนวทางไหนให้ไปนิพพาน"
- ถ้านิพพานคือการไม่ได้เกิดอีก คริสต์ไปถึงเร็วกว่าพุทธอีก พุทธนั้นกี่ชาติจะถึงนิพพานเป็นร้อยเป็นพัน คริสต์มีเพียงชาตินี้ชาติเดียวหากเชื่อพระคริสต์เราก็จะไปถึงพระองค์
- ถ้านิพพานคือการหมดทุกข์ การที่ได้รับความรักจากพระเป็นเจ้าและเชื่อพระเป็นเจ้าอย่างสุดหัวใจ เราก็หมดความทุกข์แล้ว
"ศาสนาคริสต์สอนอย่างไรให้เป็นคนดี และจะให้ยึดหลักธรรมอะไรเพื่อพัฒนาความดีของตนเอง"
- ความรักเป็นคำตอบเดียว ไม่มีความรักทุกอย่างไม่มีความหมาย
ทางพุทธสอนหนทางพ้นทุกข์สุดท้ายคือดับสูญไม่เหลืออะไรเลย แต่คริสต์เราจะได้อยู่กับผู้ที่รักเราที่สุด
ความรักของพระองค์จึงเป็นที่ยึดเหนี่ยวที่เราจะดำเนินรอยตาม รักและอภัยผู้อื่น และก็จะเกิดสันติสุข
"หากเราตัดข้อความ หรือ เพิ่ม ข้อความที่มีอยู่ในไบเบิ้ล ก็จะได้รับหายนะ
- หมายถึงดัดแปลงเพื่อเอาประโยชน์ในทางมิชอบ ถ้าเรายกตัวอย่างจากคำพูดบางคำหรือบางเหตุการณ์ในไบเบิ้ลเพื่ออธิบายให้ผู้ที่ไม่เข้าใจได้เข้าใจไม่น่าจะผิดนะ แต่อย่างหนึ่งคือเราต้องไม่บิดเบือนจนกลายเป็นเราจับแพะชนแกะ มั่วตามเราคิด เรามีอ้างอิงไม่น่าจะกลัวเรื่องนี้นะคะ ข้อนี้เขาน่าจะไว้ขู่พวกที่ตัดเพิ่มบิดเบือนเพื่อเปลี่ยนสร้างลัทธิใหม่มากกว่า
"ใครสร้างพระเจ้า"
- เราจะถามกลับไปว่า ทางพุทธวิญญาณเกิดจากอะไร? โลกเกิดจากอะไร? ทางพุทธแท้ ๆ ไม่มีคำอธิบายค่ะ ถ้าพุทธผสมพราหมณ์จะบอกเกิดจากพระพรหม แต่ทางคริสต์มีคำตอบที่ชัดเจน
พระเจ้าคือผู้สร้างไม่ใช่ผู้ที่ถูกสร้าง ท่านเป็นนิรันดรค่ะ
"คริสต์ทำไมดูเป็นเทพนิยาย"
- แล้วพุทธชาดกมิใช่นิทานหรือคะ?
"ทำไมถึงมานับถือคริสต์"
- ถ้าคุณได้รู้จักพระเป็นเจ้าจากหัวใจและจิตวิญญาณของคุณแล้วคุณจะรู้คำตอบนั้นด้วยตัวของคุณเองค่ะ ทุกวันนี้คุณเชื่อและนับถือศาสนาของคุณเพราะอะไรคุณต้องให้คำตอบของคุณให้ได้ก่อน
นี่เป็นคำตอบจากลูกแมวน้ำที่ยังไม่ได้เป็นลูกแกะยังไม่ได้เรียนคำสอน อ่านจากบทความที่นี่กับไบเบิ้ลเป็นหลักค่ะ
"นอกจากสอนเรื่องความรัก ศาสนาคริสต์มีอะไรเป็นแก่นธรรม"
- ความรักเป็นหลักสำคัญที่สุด ถ้าเรารัก เราจะทำทุกอย่างโดยไม่หวังอะไรตอบแทน และอภัยกับทุกอย่างที่ทำให้เราเจ็บช้ำ
"ทำอย่างไรให้หลุดพ้นจากความทุกข์"
- อะไรคือทุกข์ สิ่งที่เราต้องการและไม่ต้องการ ไม่อยากได้ ไม่อยากเป็น ไม่อยากมี อยากได้แต่ไม่ได้ อยากเป็นแต่ไม่เป็น อยากมีแต่ไม่มี เราเผชิญภาวะเหล่านั้นทั้งหมดและน้อมมอบให้กับพระเป็นเจ้า วางใจให้พระองค์นำทางเราพ้นทางทุกข์เหล่านั้น และเชื่อว่าปลายทางเราจะมีพระองค์คอยเราอยู่
"คริสต์มีแนวทางไหนให้ไปนิพพาน"
- ถ้านิพพานคือการไม่ได้เกิดอีก คริสต์ไปถึงเร็วกว่าพุทธอีก พุทธนั้นกี่ชาติจะถึงนิพพานเป็นร้อยเป็นพัน คริสต์มีเพียงชาตินี้ชาติเดียวหากเชื่อพระคริสต์เราก็จะไปถึงพระองค์
- ถ้านิพพานคือการหมดทุกข์ การที่ได้รับความรักจากพระเป็นเจ้าและเชื่อพระเป็นเจ้าอย่างสุดหัวใจ เราก็หมดความทุกข์แล้ว
"ศาสนาคริสต์สอนอย่างไรให้เป็นคนดี และจะให้ยึดหลักธรรมอะไรเพื่อพัฒนาความดีของตนเอง"
- ความรักเป็นคำตอบเดียว ไม่มีความรักทุกอย่างไม่มีความหมาย
ทางพุทธสอนหนทางพ้นทุกข์สุดท้ายคือดับสูญไม่เหลืออะไรเลย แต่คริสต์เราจะได้อยู่กับผู้ที่รักเราที่สุด
ความรักของพระองค์จึงเป็นที่ยึดเหนี่ยวที่เราจะดำเนินรอยตาม รักและอภัยผู้อื่น และก็จะเกิดสันติสุข
"หากเราตัดข้อความ หรือ เพิ่ม ข้อความที่มีอยู่ในไบเบิ้ล ก็จะได้รับหายนะ
- หมายถึงดัดแปลงเพื่อเอาประโยชน์ในทางมิชอบ ถ้าเรายกตัวอย่างจากคำพูดบางคำหรือบางเหตุการณ์ในไบเบิ้ลเพื่ออธิบายให้ผู้ที่ไม่เข้าใจได้เข้าใจไม่น่าจะผิดนะ แต่อย่างหนึ่งคือเราต้องไม่บิดเบือนจนกลายเป็นเราจับแพะชนแกะ มั่วตามเราคิด เรามีอ้างอิงไม่น่าจะกลัวเรื่องนี้นะคะ ข้อนี้เขาน่าจะไว้ขู่พวกที่ตัดเพิ่มบิดเบือนเพื่อเปลี่ยนสร้างลัทธิใหม่มากกว่า
"ใครสร้างพระเจ้า"
- เราจะถามกลับไปว่า ทางพุทธวิญญาณเกิดจากอะไร? โลกเกิดจากอะไร? ทางพุทธแท้ ๆ ไม่มีคำอธิบายค่ะ ถ้าพุทธผสมพราหมณ์จะบอกเกิดจากพระพรหม แต่ทางคริสต์มีคำตอบที่ชัดเจน
พระเจ้าคือผู้สร้างไม่ใช่ผู้ที่ถูกสร้าง ท่านเป็นนิรันดรค่ะ
"คริสต์ทำไมดูเป็นเทพนิยาย"
- แล้วพุทธชาดกมิใช่นิทานหรือคะ?
"ทำไมถึงมานับถือคริสต์"
- ถ้าคุณได้รู้จักพระเป็นเจ้าจากหัวใจและจิตวิญญาณของคุณแล้วคุณจะรู้คำตอบนั้นด้วยตัวของคุณเองค่ะ ทุกวันนี้คุณเชื่อและนับถือศาสนาของคุณเพราะอะไรคุณต้องให้คำตอบของคุณให้ได้ก่อน
นี่เป็นคำตอบจากลูกแมวน้ำที่ยังไม่ได้เป็นลูกแกะยังไม่ได้เรียนคำสอน อ่านจากบทความที่นี่กับไบเบิ้ลเป็นหลักค่ะ
-
- โพสต์: 973
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ธ.ค. 04, 2006 9:33 pm
- ที่อยู่: Virtusian's House of Prayer,Thailand
- ติดต่อ:
"นอกจากสอนเรื่องความรัก ศาสนาคริสต์มีอะไรเป็นแก่นธรรม"
เป็นผมจะตอบว่า
ศาสนาคริสต์มีความรักเป็นจุดเริ่มต้นของทุกอย่าง เราไม่ได้สอนเรื่อง"ความรัก"อย่างเดียว
แต่เน้นสอนให้เริ่มต้นด้วย"การไตร่ตรองความรัก"ซึ่งคุณธรรมทุกประการจะตามมาเองเมื่อรักถูก
------------------------------------------
"ทำอย่างไรให้หลุดพ้นจากความทุกข์"
เป็นผมจะตอบว่า
เราไม่มีทางหลุดพ้นจากความทุกข์ได้ ถ้าเรามัวแต่คิดว่า"ทำอย่างไรให้หลุดพ้นจากความทุกข์"
เราควรลงมือทำอะไรสักอย่าง ที่เป็น"ความสุขที่แท้จริงสำหรับตัวเรา"
สำหรับเราคือ"การปฏิบัติความรัก",เรารักมากขึ้นเท่าไหร่ ก็ยิ่งสละตัวตนได้ ทุกข์ย่อมน้อยลง
ส่วนจะหลุดพ้นได้หรือไม่ ไม่ใช่เรื่องของปัจจุบัน ก็ไม่อาจรู้ได้เหมือนกัน
------------------------------------------
"คริสต์มีแนวทางไหนให้ไปนิพพาน"
เป็นผมจะตอบว่า
คริสต์ไม่มีการพ้นทุกข์ในความหมายเดียวกับนิพพาน
------------------------------------------
"ศาสนาคริสต์สอนอย่างไรให้เป็นคนดี และจะให้ยึดหลักธรรมอะไรเพื่อพัฒนาความดีของตนเอง"
เป็นผมจะตอบว่า
สอนให้รักและรู้จักรัก นั่นคือหลักธรรมที่เนื้อหาในพระคัมภีร์ทั้งหมดที่มี
แจกแจงเป็นแง่มุมต่างๆให้เราคิดและไตร่ตรองอย่างรอบด้าน
เพื่อจะได้รักให้ถูก และรู้จักรักให้เป็น
------------------------------------------
"แล้วถ้าพระเจ้าเป็นผู้สร้างโลก แล้วใครสร้างพระเจ้าล่ะ"
เป็นผมจะตอบว่า
ถ้าจะถามเอาให้รู้จริงๆล่ะก็ ไม่สามารถที่จะตอบจบและเคลียภายในวันนี้
ต้องคุยและศึกษาค้นคว้ามาก เพราะสิ่งที่ถามไม่ใช่คำถามที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงตนเองให้เป็นคนดี
เป็นคำถามที่เป็นข้อสงสัย ที่มีคนเคยสงสัยมาตลอดหลายพันปี เธอไม่ใช่คนแรกหรอก
------------------------------------------
ก่อนอื่นใดหมด บางคำถามนี้ อีกฝ่าย คือ ผู้ถาม ต้องพร้อมที่ฟังครับ คือไม่ปิดใจ
และเป็นเราคาทอลิกที่จะต้องเพียรทนในการตอบ
เพราะมันช่วยทำให้เราได้ยืนยันความเชื่อที่ถูกต้องในพระอาจารย์
ภายใต้คำว่า"รักเพื่อนพี่น้อง"
ท่าทีสำคัญครับ พูดเรื่องเครียดๆ แต่ด้วยความยิ้มแย้มเป็นมิตร
มีมุขตลก หรืออะไรที่ทำให้เขาผ่อนคลาย
ต้องพยายามไม่โต้แย้งด้วยการสวนกลับ ด้วยความรู้ลึกเกินไป
ต้องประเมินก่อนว่า ผู้ถามมีภูมิความรู้มากแค่ไหน
เพื่อเขาจะได้ ไม่มีความเสี่ยงที่จะปฏิเสธพระอาจารย์ของเรา
อย่าลืมคือ
"จงรักพระเจ้า และรักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตนเอง"
ท่าทีของเรา จะบอกเราเองว่า เรารักเขาหรือไม่?
เป็นผมจะตอบว่า
ศาสนาคริสต์มีความรักเป็นจุดเริ่มต้นของทุกอย่าง เราไม่ได้สอนเรื่อง"ความรัก"อย่างเดียว
แต่เน้นสอนให้เริ่มต้นด้วย"การไตร่ตรองความรัก"ซึ่งคุณธรรมทุกประการจะตามมาเองเมื่อรักถูก
------------------------------------------
"ทำอย่างไรให้หลุดพ้นจากความทุกข์"
เป็นผมจะตอบว่า
เราไม่มีทางหลุดพ้นจากความทุกข์ได้ ถ้าเรามัวแต่คิดว่า"ทำอย่างไรให้หลุดพ้นจากความทุกข์"
เราควรลงมือทำอะไรสักอย่าง ที่เป็น"ความสุขที่แท้จริงสำหรับตัวเรา"
สำหรับเราคือ"การปฏิบัติความรัก",เรารักมากขึ้นเท่าไหร่ ก็ยิ่งสละตัวตนได้ ทุกข์ย่อมน้อยลง
ส่วนจะหลุดพ้นได้หรือไม่ ไม่ใช่เรื่องของปัจจุบัน ก็ไม่อาจรู้ได้เหมือนกัน
------------------------------------------
"คริสต์มีแนวทางไหนให้ไปนิพพาน"
เป็นผมจะตอบว่า
คริสต์ไม่มีการพ้นทุกข์ในความหมายเดียวกับนิพพาน
------------------------------------------
"ศาสนาคริสต์สอนอย่างไรให้เป็นคนดี และจะให้ยึดหลักธรรมอะไรเพื่อพัฒนาความดีของตนเอง"
เป็นผมจะตอบว่า
สอนให้รักและรู้จักรัก นั่นคือหลักธรรมที่เนื้อหาในพระคัมภีร์ทั้งหมดที่มี
แจกแจงเป็นแง่มุมต่างๆให้เราคิดและไตร่ตรองอย่างรอบด้าน
เพื่อจะได้รักให้ถูก และรู้จักรักให้เป็น
------------------------------------------
"แล้วถ้าพระเจ้าเป็นผู้สร้างโลก แล้วใครสร้างพระเจ้าล่ะ"
เป็นผมจะตอบว่า
ถ้าจะถามเอาให้รู้จริงๆล่ะก็ ไม่สามารถที่จะตอบจบและเคลียภายในวันนี้
ต้องคุยและศึกษาค้นคว้ามาก เพราะสิ่งที่ถามไม่ใช่คำถามที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงตนเองให้เป็นคนดี
เป็นคำถามที่เป็นข้อสงสัย ที่มีคนเคยสงสัยมาตลอดหลายพันปี เธอไม่ใช่คนแรกหรอก
------------------------------------------
ก่อนอื่นใดหมด บางคำถามนี้ อีกฝ่าย คือ ผู้ถาม ต้องพร้อมที่ฟังครับ คือไม่ปิดใจ
และเป็นเราคาทอลิกที่จะต้องเพียรทนในการตอบ
เพราะมันช่วยทำให้เราได้ยืนยันความเชื่อที่ถูกต้องในพระอาจารย์
ภายใต้คำว่า"รักเพื่อนพี่น้อง"
ท่าทีสำคัญครับ พูดเรื่องเครียดๆ แต่ด้วยความยิ้มแย้มเป็นมิตร
มีมุขตลก หรืออะไรที่ทำให้เขาผ่อนคลาย
ต้องพยายามไม่โต้แย้งด้วยการสวนกลับ ด้วยความรู้ลึกเกินไป
ต้องประเมินก่อนว่า ผู้ถามมีภูมิความรู้มากแค่ไหน
เพื่อเขาจะได้ ไม่มีความเสี่ยงที่จะปฏิเสธพระอาจารย์ของเรา
อย่าลืมคือ
"จงรักพระเจ้า และรักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตนเอง"
ท่าทีของเรา จะบอกเราเองว่า เรารักเขาหรือไม่?
เวลามนุษย์จะทำสงครามกัน พวกเขากำลังอยู่ในความหลง ความใกรธ ความเกลียดชัง กิเลสเหล่านี้ทำให้พวกเขาอยู่ห่างไกลจากความรัก เพราะพระเจ้าทรงเป็นความรักกุญแจซอล เขียน:อ้อ ยังมีอีกค่ะ
( เค้าถามเยอะจนลืมเรย )
เค้าถามว่า" ในสงคราม ทั้งสองฝ่ายก็ต่างขอให้พระเจ้าคุ้มครอง อยากจะรู้ว่าพระเจ้าจะคุ้มครองใคร?"
ดังนั้น การสวดอ้อนวอนให้พระเจ้าช่วยจึงไร้ผล ถ้าหากคนที่สวดขอพระเจ้ากลับเป็นผู้รุกรานคนอื่นก่อน แต่ถ้าเป็นการต่อสู้เพื่อปกป้องความถูกต้อง หรือป้องกันตัวเอง พระเจ้าจะทรงอยู่ผู้กับผู้ที่อ่อนแอกว่า แม้เค้าอาจจะพ่ายแพ้ในสายตาชาวโลก แต่ชีวิตของพวกเขาก็อยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า
-
- โพสต์: 1029
- ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ มิ.ย. 13, 2010 9:53 pm
มีคนแนะนำว่า "บางครั้งถ้าเราเปลี่ยนเป็นผู้ถามบ้างเราจะเห็นอะไรในอีกมุมหนึ่ง"
ลองเป็นฝ่ายถามกลับไปว่า ทำไมตอนเสียกรุงครั้งที่ 1 ไทยรบกับพม่า (อโยธยากับหงสาวดี) ไทยเป็นฝ่ายแพ้ทั้งที่เป็นพุทธเหมือนกัน? พระพุทธเจ้าทำไมไม่ช่วยไทย? ตอนนั้นกษัตริย์ไทยไม่ดีเหรอ? ตอนนั้นคนในแผ่นดินอโยธยามีแต่คนเลวเหรอ?
พระเจ้าบุเรงนองยกเหตุสำคัญข้อหนึ่งในการยกทัพมาตีเมือง คือ "การขยายอาณาเขตเพื่อรวบแผ่นดินให้อยู่ใต้พระบรมโพธิสมภารขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้า"
คำตอบนี้ความคิดตนเอง กิจการของโลก กิจการของมนุษย์อย่าเอาพระเจ้ามาเกี่ยวข้องค่ะ
สงครามเกิดขึ้นเพราะอะไร ต้องการทรัพยากร ไพร่คนแรงงาน เกียรติกษัตริย์ ศักดิ์ศรีผู้นำมากกว่าทำเพื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือพระเป็นเจ้าจริง ๆ
ขอให้พระเป็นเจ้าอวยพรค่ะ
ลองเป็นฝ่ายถามกลับไปว่า ทำไมตอนเสียกรุงครั้งที่ 1 ไทยรบกับพม่า (อโยธยากับหงสาวดี) ไทยเป็นฝ่ายแพ้ทั้งที่เป็นพุทธเหมือนกัน? พระพุทธเจ้าทำไมไม่ช่วยไทย? ตอนนั้นกษัตริย์ไทยไม่ดีเหรอ? ตอนนั้นคนในแผ่นดินอโยธยามีแต่คนเลวเหรอ?
พระเจ้าบุเรงนองยกเหตุสำคัญข้อหนึ่งในการยกทัพมาตีเมือง คือ "การขยายอาณาเขตเพื่อรวบแผ่นดินให้อยู่ใต้พระบรมโพธิสมภารขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้า"
คำตอบนี้ความคิดตนเอง กิจการของโลก กิจการของมนุษย์อย่าเอาพระเจ้ามาเกี่ยวข้องค่ะ
สงครามเกิดขึ้นเพราะอะไร ต้องการทรัพยากร ไพร่คนแรงงาน เกียรติกษัตริย์ ศักดิ์ศรีผู้นำมากกว่าทำเพื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือพระเป็นเจ้าจริง ๆ
ขอให้พระเป็นเจ้าอวยพรค่ะ
เห็นด้วยค่ะlittleseal เขียน:ลองเป็นฝ่ายถามกลับไปว่า ทำไมตอนเสียกรุงครั้งที่ 1 ไทยรบกับพม่า (อโยธยากับหงสาวดี) ไทยเป็นฝ่ายแพ้ทั้งที่เป็นพุทธเหมือนกัน? พระพุทธเจ้าทำไมไม่ช่วยไทย? ตอนนั้นกษัตริย์ไทยไม่ดีเหรอ? ตอนนั้นคนในแผ่นดินอโยธยามีแต่คนเลวเหรอ?
พระเจ้าบุเรงนองยกเหตุสำคัญข้อหนึ่งในการยกทัพมาตีเมือง คือ "การขยายอาณาเขตเพื่อรวบแผ่นดินให้อยู่ใต้พระบรมโพธิสมภารขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้า"
คำตอบนี้ความคิดตนเอง กิจการของโลก กิจการของมนุษย์อย่าเอาพระเจ้ามาเกี่ยวข้องค่ะ
อันนี้อย่างโดนเลยค่ะlittleseal เขียน: "คริสต์ทำไมดูเป็นเทพนิยาย"
- แล้วพุทธชาดกมิใช่นิทานหรือคะ?
ขนาดคุณลูกแมวน้ำยังไม่ได้เรียนคำสอนlittleseal เขียน: นี่เป็นคำตอบจากลูกแมวน้ำที่ยังไม่ได้เป็นลูกแกะยังไม่ได้เรียนคำสอน อ่านจากบทความที่นี่กับไบเบิ้ลเป็นหลักค่ะ
คุณยังตอบได้ขนาดนี้เลย เก่งมากๆเลยค่ะ...
อย่างฮา (แต่ได้สาระ)In the name of father เขียน: -สุดท้าย "ปัญญา" ของมนุษย์มันก็จะตันอยู่กับกำแพงที่เรียกว่า "เหตุผล" ครับ พวกเรารับรู้ได้แค่นั้น พระเจ้าทรงมอบขอบเขตให้เท่าที่จำเป็น แต่เนื่องด้วยเรามันพวกทะนงตัวและหลงตัวเองได้อย่างน่าเหลือเชื่อ เราก็เหมาเอาในกรอบของเหตุผลนี่แหละว่าเป็นความจริงแล้ว เป็นที่สุดของที่สุดในจักรวาลแล้ว โอ้วซ์!......พวกเรานี่มันฉลาดโคตรๆ
ทูตสวรรค์ได้ยินคงกลั้นหัวเราะกันท้องแข็ง ส่วนปีศาจน่าจะขำกลิ้งทั้งนรกแล้วล่ะครับ
เฉพาะตอนนี้มันก็มีหลายทฤษฏีที่ขัดแย้งกันเองซึ่งเราอธิบายไม่ได้ ในมิติของเอกภพอันกว้างใหญ่ยังมีอะไรต่อมิอะไรที่มีหลักการของตัวมันเอง กะอีแค่หลักการขี้ประติ๋วของโลกเล็กๆใบนี้คิดว่ามันครอบคลุมได้หมดเหรอครับ??
ถ้าแค่เอกภพยังอธิบายไม่ได้ แล้วพระเจ้าผู้สร้างสรรพสิ่งล่ะ? มีเอกภพอีกไม่รู้กี่ล้านๆๆๆเอกภพภายนอกเอกภพที่เชื่อต่อด้วยช่องว่างของอวกาศ พระองค์สร้างทั้งหมดนั่น พระองค์ดำรงอยู่ด้วยฤทธิ์ธานุภาพ แล้วมนุษย์ตัวกระจิ๋วหลิวคิดจะทำอะไรนอกจากถ่างตาถั่วๆสองข้างของตัวเองแล้วเหมาเอาว่า "ฉันรู้หมดแล้ว เข้าใจหมดแล้ว"
เห็นด้วยสุดๆเลยค่ะ เพราะความทุกข์ตอนนี้มันแค่ชั่วคราวเท่านั้นCho เขียน:ขออนุญาต ช่วยตอบนะครับ
Q : "ทำอย่างไรให้หลุดพ้นจากความทุกข์"
A : พระเยซูเจ้า ทรงไม่หลีกเลี่ยงความทุกข์ แต่กลับเผชิญความทุกข์ทรมานอย่างเข้มแข็ง เพราะทรงต้องการสอนเราว่า ความทุกข์ต่างๆ บนโลกนี้ เป็นแค่ชั่วคราว และสั้นมาก ถ้าเทียบกับความสุขนิรันดรในโลกหน้า
ขอบคุณค่ะ สำหรับคำแนะนำMan of Macedonia เขียน: ก่อนอื่นใดหมด บางคำถามนี้ อีกฝ่าย คือ ผู้ถาม ต้องพร้อมที่ฟังครับ คือไม่ปิดใจ
และเป็นเราคาทอลิกที่จะต้องเพียรทนในการตอบ
เพราะมันช่วยทำให้เราได้ยืนยันความเชื่อที่ถูกต้องในพระอาจารย์
ภายใต้คำว่า"รักเพื่อนพี่น้อง"
ท่าทีสำคัญครับ พูดเรื่องเครียดๆ แต่ด้วยความยิ้มแย้มเป็นมิตร
มีมุขตลก หรืออะไรที่ทำให้เขาผ่อนคลาย
ต้องพยายามไม่โต้แย้งด้วยการสวนกลับ ด้วยความรู้ลึกเกินไป
ต้องประเมินก่อนว่า ผู้ถามมีภูมิความรู้มากแค่ไหน
เพื่อเขาจะได้ ไม่มีความเสี่ยงที่จะปฏิเสธพระอาจารย์ของเรา
อย่าลืมคือ
"จงรักพระเจ้า และรักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตนเอง"
ท่าทีของเรา จะบอกเราเองว่า เรารักเขาหรือไม่?
ขอบคุณทุกๆคำตอบนะคะ
หากมีโอกาสก็จะบอกและอธิบายให้พี่สาวได้เข้าใจค่ะ
ฟังคำตอบจากพวกคุณแล้วรู้สึกว่าตัวเอง โง้โง่
โปรดอภัยให้กับความโง่ของหนูด้วยค่ะ
อยากคุยกับคุณลูกแมวน้ำจังเลยค่ะ
แบบว่า เราก็เพิ่งเริ่มต้นเชื่อพระเจ้า และยังไม่ได้เรียนคำสอนเหมือนกัน
(แต่คุณล้ำกว่า...เยอะ)ก็อยากจะมีเพื่อนที่เพิ่งศรัทธาเหมือนกันไว้คุยกันน่ะค่ะ
ไม่รู้ว่าคุณลูกแมวน้ำจะรังเกียจมั๊ยคะ
- Immanuel (MichaelPaul)
- ~@
- โพสต์: 2887
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 8:49 pm
- ที่อยู่: กรุงเทพมหานคร
ตอบกันละเอียดจนไม่รู้จะตอบอะไรเลย = ="
ปัญหาเรื่องใครสร้างพระเจ้า หรือทุกอย่างต้องมีที่มาที่ไปนั้น คงต้องตอบว่า
เรามองในภาพของผู้ถูกสร้าง ที่ไม่มีวันเข้าใจผู้สร้าง หรือพูดง่าย ๆ ก็คือ
"ผู้สร้างไม่จำเป็นต้องเหมือนผู้ถูกสร้าง" เมื่อผู้ถูกสร้าง (มนุษย์) อยู่ภายใต้กฎของ "จุดกำเนิด"
คือทุกสิ่งทุกอย่างต้องมีจุดกำเนิด แต่พระเจ้าผู้สร้างมนุษย์และกฎของโลก ไม่จำเป็นต้องอยู่ภายใต้กฎของจุดกำเนิด (งงไหมหว่า)
ปัญหาเรื่องใครสร้างพระเจ้า หรือทุกอย่างต้องมีที่มาที่ไปนั้น คงต้องตอบว่า
เรามองในภาพของผู้ถูกสร้าง ที่ไม่มีวันเข้าใจผู้สร้าง หรือพูดง่าย ๆ ก็คือ
"ผู้สร้างไม่จำเป็นต้องเหมือนผู้ถูกสร้าง" เมื่อผู้ถูกสร้าง (มนุษย์) อยู่ภายใต้กฎของ "จุดกำเนิด"
คือทุกสิ่งทุกอย่างต้องมีจุดกำเนิด แต่พระเจ้าผู้สร้างมนุษย์และกฎของโลก ไม่จำเป็นต้องอยู่ภายใต้กฎของจุดกำเนิด (งงไหมหว่า)
อย่าว่าตัวเองอย่างนั้นเลยครับ เค้าเรียกว่า แค่รู้ช้ากว่าคนอื่นเท่านั้นเองกุญแจซอล เขียน:
ฟังคำตอบจากพวกคุณแล้วรู้สึกว่าตัวเอง โง้โง่
โปรดอภัยให้กับความโง่ของหนูด้วยค่ะ
น้องกุญแจซอล ถ่อมตนจังเลย อย่างนี้พระเป็นเจ้าทรงโปรดปรานน้องมากแน่ๆ
จริงๆ แล้ว เรามนุษย์ทุกคนก็โง่กันทั้งนั้นแหละ เพราะไม่สามารถรู้ไปหมดทุกเรื่อง
ผู้ที่ฉลาด ปราดเปรื่อง คือ องค์พระเป็นเจ้า ผู้เดียวเท่านั้น
-
- โพสต์: 1029
- ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ มิ.ย. 13, 2010 9:53 pm
ผู้รู้ทุกอย่างจริง ๆ คือ พระเจ้าค่ะ
อย่าคิดกับตัวเองแบบนั้นเลยค่ะ พระเป็นเจ้าประทานพรให้กับทุกคน
คุณแค่เพิ่งเริ่มอ่านเพิ่งรู้จัก แต่จริง ๆ เราสนใจศึกษาเรื่องศาสนา
มาพอสมควรแล้ว ก่อนหน้านั้นศึกษาเพราะสนใจเรื่องเทวตำนาน
กับการมีอิทธิพลต่องานศิลป์และวัฒนธรรม เลยทำให้มีพื้นมาบ้าง
แต่ความรู้ทั้งหมดทุกอย่างก็เพราะพระเป็นเจ้าทรงพระเมตตา
ไม่เช่นนั้นเราก็ยังคงมืดบอด มองเห็นแต่ทางวิชาการไม่ใช่ทางวิญญาณ
ปล. คุย PM ก็ได้นะคะ แอบจีบกับคุณ Holy หลังไมค์เหมือนกัน
จริง ๆ ความเข้าใจหลายๆ เรื่อง คุณ Holy เป็นคนแนะนำหลังไมค์ค่ะ
^^
อย่าคิดกับตัวเองแบบนั้นเลยค่ะ พระเป็นเจ้าประทานพรให้กับทุกคน
คุณแค่เพิ่งเริ่มอ่านเพิ่งรู้จัก แต่จริง ๆ เราสนใจศึกษาเรื่องศาสนา
มาพอสมควรแล้ว ก่อนหน้านั้นศึกษาเพราะสนใจเรื่องเทวตำนาน
กับการมีอิทธิพลต่องานศิลป์และวัฒนธรรม เลยทำให้มีพื้นมาบ้าง
แต่ความรู้ทั้งหมดทุกอย่างก็เพราะพระเป็นเจ้าทรงพระเมตตา
ไม่เช่นนั้นเราก็ยังคงมืดบอด มองเห็นแต่ทางวิชาการไม่ใช่ทางวิญญาณ
ปล. คุย PM ก็ได้นะคะ แอบจีบกับคุณ Holy หลังไมค์เหมือนกัน
จริง ๆ ความเข้าใจหลายๆ เรื่อง คุณ Holy เป็นคนแนะนำหลังไมค์ค่ะ
^^
-
- โพสต์: 973
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ธ.ค. 04, 2006 9:33 pm
- ที่อยู่: Virtusian's House of Prayer,Thailand
- ติดต่อ:
Q : ในสงคราม ทั้งสองฝ่ายก็ต่างขอให้พระเจ้าคุ้มครอง อยากจะรู้ว่าพระเจ้าจะคุ้มครองใคร?
A :
ถ้าหมายถึง สงครามครูเสดและสงครามระหว่างคาทอลิกกับโปรแตสตันท์ ต้องตอบว่า เป็นเรื่องของการเมือง
ดังนั้น ต่างฝ่ายต่างขอให้สิ่งที่ตนคิดว่าจะช่วยให้ตนเองได้ชัยชนะคุ้มครอง ซึ่งเป็นธรรมดาของมนุษย์ที่ไม่เข้าใจเรื่องความรัก
พระเจ้าทรงคุ้มครองทุกคนไม่ว่าเขาจะทำสงครามหรือรักสันติ แต่เป็นเขาเองต่างหากที่กระทำในสิ่งที่ไม่ใช่กิจการแห่งรัก
การลงพระอาชญาเพราะพระยุติธรรมตามกิจการที่เขากระทำจึงต้องตกแก่เขา
ในพระธรรมเก่ามีตัวอย่างมากมาย เกี่ยวกับความเข้าข้างตนเองของชาวอิสราแอลที่มีต่อพระเป็นเจ้า ซึ่งนำไปสู่การอ้างพระองค์เพื่อก่อสงคราม และเป็นพระองค์เองที่ส่งประกาศกลงมาตักเตือนตลอดเวลา
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
เรื่องของสงครามครูเสด หรืออะไรก็ตามที่พระศาสนจักรได้มีส่วนร่วมในการกระทำ
ควรพิจารณาอย่างรอบด้าน และอธิบายด้วยภาษาที่โลกเข้าใจ ไม่เหมาะสมที่จะตอบโต้หรือคัดง้าง คะคาน ด้วยจะเอาชนะอีกฝ่าย
หรือแสดงข้อเท็จจริงแบบไม่ดูสถานการณ์ ควรถือเอา ความปรารถนาดีที่ต่อเขาและรักษาความรู้สึกของเขาเป็นที่ตั้ง
เราต้องเข้าใจว่า ถ้าเขาไม่เข้าใจ ไม่ใช่ความผิดของเขา เป็นเราต้องเพียรทน อธิบาย
A :
ถ้าหมายถึง สงครามครูเสดและสงครามระหว่างคาทอลิกกับโปรแตสตันท์ ต้องตอบว่า เป็นเรื่องของการเมือง
ดังนั้น ต่างฝ่ายต่างขอให้สิ่งที่ตนคิดว่าจะช่วยให้ตนเองได้ชัยชนะคุ้มครอง ซึ่งเป็นธรรมดาของมนุษย์ที่ไม่เข้าใจเรื่องความรัก
พระเจ้าทรงคุ้มครองทุกคนไม่ว่าเขาจะทำสงครามหรือรักสันติ แต่เป็นเขาเองต่างหากที่กระทำในสิ่งที่ไม่ใช่กิจการแห่งรัก
การลงพระอาชญาเพราะพระยุติธรรมตามกิจการที่เขากระทำจึงต้องตกแก่เขา
ในพระธรรมเก่ามีตัวอย่างมากมาย เกี่ยวกับความเข้าข้างตนเองของชาวอิสราแอลที่มีต่อพระเป็นเจ้า ซึ่งนำไปสู่การอ้างพระองค์เพื่อก่อสงคราม และเป็นพระองค์เองที่ส่งประกาศกลงมาตักเตือนตลอดเวลา
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
เรื่องของสงครามครูเสด หรืออะไรก็ตามที่พระศาสนจักรได้มีส่วนร่วมในการกระทำ
ควรพิจารณาอย่างรอบด้าน และอธิบายด้วยภาษาที่โลกเข้าใจ ไม่เหมาะสมที่จะตอบโต้หรือคัดง้าง คะคาน ด้วยจะเอาชนะอีกฝ่าย
หรือแสดงข้อเท็จจริงแบบไม่ดูสถานการณ์ ควรถือเอา ความปรารถนาดีที่ต่อเขาและรักษาความรู้สึกของเขาเป็นที่ตั้ง
เราต้องเข้าใจว่า ถ้าเขาไม่เข้าใจ ไม่ใช่ความผิดของเขา เป็นเราต้องเพียรทน อธิบาย
- Valkyrie Zero Number
- โพสต์: 2081
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ส.ค. 27, 2007 4:11 am
ทุกคนตอบไปหมดแล้ว แถมดี ๆ ทั้งนั้น ดูท่าเราจะมางานเลี้ยงสายไปหน่อยแล้วสินะ
ที่สู้กันน่ะ ไม่ได้สู้เพื่อพระพุทธเจ้าหรือพระเจ้าหรอก ...ก็สู้กันเพื่อตัวเองทั้งนั้นlittleseal เขียน:มีคนแนะนำว่า "บางครั้งถ้าเราเปลี่ยนเป็นผู้ถามบ้างเราจะเห็นอะไรในอีกมุมหนึ่ง"
ลองเป็นฝ่ายถามกลับไปว่า ทำไมตอนเสียกรุงครั้งที่ 1 ไทยรบกับพม่า (อโยธยากับหงสาวดี) ไทยเป็นฝ่ายแพ้ทั้งที่เป็นพุทธเหมือนกัน? พระพุทธเจ้าทำไมไม่ช่วยไทย? ตอนนั้นกษัตริย์ไทยไม่ดีเหรอ? ตอนนั้นคนในแผ่นดินอโยธยามีแต่คนเลวเหรอ?
พระเจ้าบุเรงนองยกเหตุสำคัญข้อหนึ่งในการยกทัพมาตีเมือง คือ "การขยายอาณาเขตเพื่อรวบแผ่นดินให้อยู่ใต้พระบรมโพธิสมภารขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้า"
คำตอบนี้ความคิดตนเอง กิจการของโลก กิจการของมนุษย์อย่าเอาพระเจ้ามาเกี่ยวข้องค่ะ
สงครามเกิดขึ้นเพราะอะไร ต้องการทรัพยากร ไพร่คนแรงงาน เกียรติกษัตริย์ ศักดิ์ศรีผู้นำมากกว่าทำเพื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือพระเป็นเจ้าจริง ๆ
ขอให้พระเป็นเจ้าอวยพรค่ะ
แล้วที่ว่า ไทยรบพม่า....ไม่เกี่ยวว่าใครจะช่วยเลย พระพุทธเจ้าท่านช่วยไม่ได้อยู่แล้ว เพราะพระพุทธเจ้าไม่ใช่ผู้บันดาลสรรพสิ่งใดๆ เป็นเพียงแต่ผู้ค้นพบทางพ้นทุกข์เท่านั้น ท่านช่วยให้คนพ้นทุกข์ ก็แค่นั้น ...ท่านก็เป็นเพียงคนธรรมดาที่ไม่ธรรมดา
- ~@Little lamb@~
- Defender of lawS
- โพสต์: 9396
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:00 pm
- ติดต่อ:
ตอบกันดีแล้วทุกคนค่ะ ขอเสริมนิิดเดียว
เรื่อง นอกการความรักแล้วศาสนาคริสต์สอนอะไร แล้วจะดับทุกข์ยังงัย
คำตอบรวมกันอยู่แล้วว่า ความรักชนะทุกสิ่ง รวมทั้งความทุกข์ด้วย เพราะว่า....
1คร 13:4-13
(4)ความรักย่อมอดทน มีใจเอื้อเฟื้อ ไม่อิจฉา ไม่โอ้อวดตนเอง ไม่จองหอง (5)ไม่หยาบคาย ไม่เห็นแก่ตัว ความรักไม่ฉุนเฉียว ไม่จดจำความผิดที่ได้รับ (6)ไม่ยินดีในความชั่ว แต่ร่วมยินดีในความถูกต้อง (7)ความรักให้อภัยทุกอย่าง เชื่อทุกอย่าง หวังทุกอย่าง อดทนทุกอย่าง (8)ความรักไม่มีสิ้นสุด แม้การประกาศพระวาจาจะถูกยกเลิก แม้การพูดภาษาที่ไม่มีใครเข้าใจจะยุติ แม้ความรู้จะหมดสิ้น (9)เพราะเรารู้อย่างไม่สมบูรณ์ และประกาศพระวาจาอย่างไม่สมบูรณ์ (10)แต่เมื่อสิ่งที่สมบูรณ์มาถึง ความไม่สมบูรณ์จะสูญสิ้นไป (11)เมื่อข้าพเจ้ายังเป็นเด็ก ข้าพเจ้าก็พูดจาเหมือนเด็ก ๆ คิดเหมือนเด็ก ๆ ใช้เหตุผลเหมือนเด็ก ๆ แต่เมื่อข้าพเจ้าเป็นผู้ใหญ่ ข้าพเจ้าก็เลิกประพฤติเหมือนเด็ก (12)ในเวลานี้ เราเห็นพระเจ้าเพียงราง ๆ เหมือนเห็นในกระจกเงา แต่เมื่อถึงเวลานั้น เราจะเห็นพระองค์เหมือนพระองค์ทรงอยู่ต่อหน้าเรา เวลานี้ ข้าพเจ้ารู้อย่างไม่สมบูรณ์ แต่เมื่อถึงเวลานั้น ข้าพเจ้าจะรู้แจ้งเหมือนที่พระองค์ทรงรู้จักข้าพเจ้า (13)ขณะนี้ยังมีความเชื่อ ความหวังและความรักอยู่ทั้งสามประการ แต่ที่ยิ่งใหญ่กว่าสิ่งใดทั้งหมดคือ ความรัก
ดังนั้น ถ้าทำได้ตามมาตราฐานความรักของศาสนาคริสต์ ก็จะไม่มีความทุกข์ค่ะ
เรื่อง นอกการความรักแล้วศาสนาคริสต์สอนอะไร แล้วจะดับทุกข์ยังงัย
คำตอบรวมกันอยู่แล้วว่า ความรักชนะทุกสิ่ง รวมทั้งความทุกข์ด้วย เพราะว่า....
1คร 13:4-13
(4)ความรักย่อมอดทน มีใจเอื้อเฟื้อ ไม่อิจฉา ไม่โอ้อวดตนเอง ไม่จองหอง (5)ไม่หยาบคาย ไม่เห็นแก่ตัว ความรักไม่ฉุนเฉียว ไม่จดจำความผิดที่ได้รับ (6)ไม่ยินดีในความชั่ว แต่ร่วมยินดีในความถูกต้อง (7)ความรักให้อภัยทุกอย่าง เชื่อทุกอย่าง หวังทุกอย่าง อดทนทุกอย่าง (8)ความรักไม่มีสิ้นสุด แม้การประกาศพระวาจาจะถูกยกเลิก แม้การพูดภาษาที่ไม่มีใครเข้าใจจะยุติ แม้ความรู้จะหมดสิ้น (9)เพราะเรารู้อย่างไม่สมบูรณ์ และประกาศพระวาจาอย่างไม่สมบูรณ์ (10)แต่เมื่อสิ่งที่สมบูรณ์มาถึง ความไม่สมบูรณ์จะสูญสิ้นไป (11)เมื่อข้าพเจ้ายังเป็นเด็ก ข้าพเจ้าก็พูดจาเหมือนเด็ก ๆ คิดเหมือนเด็ก ๆ ใช้เหตุผลเหมือนเด็ก ๆ แต่เมื่อข้าพเจ้าเป็นผู้ใหญ่ ข้าพเจ้าก็เลิกประพฤติเหมือนเด็ก (12)ในเวลานี้ เราเห็นพระเจ้าเพียงราง ๆ เหมือนเห็นในกระจกเงา แต่เมื่อถึงเวลานั้น เราจะเห็นพระองค์เหมือนพระองค์ทรงอยู่ต่อหน้าเรา เวลานี้ ข้าพเจ้ารู้อย่างไม่สมบูรณ์ แต่เมื่อถึงเวลานั้น ข้าพเจ้าจะรู้แจ้งเหมือนที่พระองค์ทรงรู้จักข้าพเจ้า (13)ขณะนี้ยังมีความเชื่อ ความหวังและความรักอยู่ทั้งสามประการ แต่ที่ยิ่งใหญ่กว่าสิ่งใดทั้งหมดคือ ความรัก
ดังนั้น ถ้าทำได้ตามมาตราฐานความรักของศาสนาคริสต์ ก็จะไม่มีความทุกข์ค่ะ
ศาสนาพุทธ สอนว่า "ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน"
ศาสนาคริสต์ สอนว่า "พระเจ้าจะช่วยคนที่ช่วยตนเองก่อน"
หากถามว่าคำสอนสองข้อนี้ ต่างกันหรือไม่?
คำตอบคือ เหมือนกันครับ แสดงว่าศาสนาคริสต์ แม้เป็นศาสนาแบบเทวนิยม ก็ไม่ได้สอนให้คนหลงงมงาย เอาแต่อ้อนวอนพระเจ้า โดยที่ตนเองไม่ต้องทำอะไร แต่บอกว่า ให้พึ่งตนเองก่อน ส่วนที่เหลือก็มอบไว้กับพระองค์
ศาสนาคริสต์ สอนว่า "พระเจ้าจะช่วยคนที่ช่วยตนเองก่อน"
หากถามว่าคำสอนสองข้อนี้ ต่างกันหรือไม่?
คำตอบคือ เหมือนกันครับ แสดงว่าศาสนาคริสต์ แม้เป็นศาสนาแบบเทวนิยม ก็ไม่ได้สอนให้คนหลงงมงาย เอาแต่อ้อนวอนพระเจ้า โดยที่ตนเองไม่ต้องทำอะไร แต่บอกว่า ให้พึ่งตนเองก่อน ส่วนที่เหลือก็มอบไว้กับพระองค์
-
- โพสต์: 973
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ธ.ค. 04, 2006 9:33 pm
- ที่อยู่: Virtusian's House of Prayer,Thailand
- ติดต่อ:
มาช่วยเสริมว่าAndreas เขียน:ศาสนาพุทธ สอนว่า "ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน"
ศาสนาคริสต์ สอนว่า "พระเจ้าจะช่วยคนที่ช่วยตนเองก่อน"
หากถามว่าคำสอนสองข้อนี้ ต่างกันหรือไม่?
คำตอบคือ เหมือนกันครับ แสดงว่าศาสนาคริสต์ แม้เป็นศาสนาแบบเทวนิยม ก็ไม่ได้สอนให้คนหลงงมงาย เอาแต่อ้อนวอนพระเจ้า โดยที่ตนเองไม่ต้องทำอะไร แต่บอกว่า ให้พึ่งตนเองก่อน ส่วนที่เหลือก็มอบไว้กับพระองค์
"ความขัดแย้งระหว่างพวกท่านไม่ได้มาจากกิเลสตัณหาภายในร่างกายท่านหรอกหรือ? ท่านอยากได้แต่ไม่ได้ จึงเบียดเบียนกัน ท่านอยากได้ แต่ไม่สมหวัง จึงยื้อแย่งกัน ท่านจะไม่ได้อะไรเลย ถ้าไม่วอนขอ แต่ถ้าท่านวอนขอเพื่อสนองกิเลสตัณหาของท่าน ท่านก็จะไม่ได้รับ เพราะเป็นการวอนขอที่ผิด"
(ยากอบ 4:1-3)
ข้อนี้ ช่วยแสดงให้เห็นว่า "คริสตชนไม่ใช่สักแต่วอนขอ"
เพราะพระอาจารย์ของเราเป็นแบบอย่างของการวอนขอที่ดีว่า
"พระเจ้าข้า อย่าให้เป็นไปตามที่ข้าพเจ้าต้องการ แต่ให้เป็นไปตามพระประสงค์เถิด"(ยอห์น 26:39)
คงไม่หรอกค่ะCho เขียน:
อย่าว่าตัวเองอย่างนั้นเลยครับ เค้าเรียกว่า แค่รู้ช้ากว่าคนอื่นเท่านั้นเอง
น้องกุญแจซอล ถ่อมตนจังเลย อย่างนี้พระเป็นเจ้าทรงโปรดปรานน้องมากแน่ๆ
จริงๆ แล้ว เรามนุษย์ทุกคนก็โง่กันทั้งนั้นแหละ เพราะไม่สามารถรู้ไปหมดทุกเรื่อง
ผู้ที่ฉลาด ปราดเปรื่อง คือ องค์พระเป็นเจ้า ผู้เดียวเท่านั้น
ตอนนี้หนูก็รู้สึกว่าตอนนี้ทำตัวไม่ค่อยดีเท่าไหร่ค่ะ ทำบาปเยอะ~ช่วงนี้
ตอนนี้หนูก็กำลังศึกษาอ่านไบเบิ้ลแบบจริงจังมากขึ้นค่ะ
ถ้าว่าง หรือยังไม่ง่วงก็จะอ่าน
จะได้ถ่ายทอดให้คนอื่นฟังได้อย่างถูกต้อง
ใครถาม จะได้ตอบได้
กว่าจะทำได้อย่างงั้น
หนูก็คงต้องอ่านหลายรอบ
ก็ต้องพยายามต่อไปค่ะ
โอ้ว...คุณlittlesea ขยันจังเลยlittleseal เขียน:เราสนใจศึกษาเรื่องศาสนา
มาพอสมควรแล้ว ก่อนหน้านั้นศึกษาเพราะสนใจเรื่องเทวตำนาน
กับการมีอิทธิพลต่องานศิลป์และวัฒนธรรม เลยทำให้มีพื้นมาบ้าง
แต่ความรู้ทั้งหมดทุกอย่างก็เพราะพระเป็นเจ้าทรงพระเมตตา
ไม่เช่นนั้นเราก็ยังคงมืดบอด มองเห็นแต่ทางวิชาการไม่ใช่ทางวิญญาณ
ปล. คุย PM ก็ได้นะคะ แอบจีบกับคุณ Holy หลังไมค์เหมือนกัน
จริง ๆ ความเข้าใจหลายๆ เรื่อง คุณ Holy เป็นคนแนะนำหลังไมค์ค่ะ
^^
ไว้จะเขียนไปแนะนำตัวนะคะ
ขอแอบจีบคุณ littlesea อีกต่อค่ะ
ยังไงก็ขอขอบคุณกับทุกๆคำแนะนำอีกครั้งนะค๊า...
คำถาม: ใครสร้างพระเจ้า? พระเจ้าทรงมาจากไหน? (1)
คำตอบ: Bertrand Russell ผู้ไม่เชื่อว่ามีพระเจ้า เขียนไว้ในหนังสือของเขาชื่อ “ทำไมข้าพเจ้าจึงไม่เป็นคริสเตียน” ว่า หากทุกสิ่งต้องมีที่มาเป็นความจริง ดังนั้นพระเจ้าก็ทรงต้องมีที่มาเช่นกัน แล้วเขาก็สรุปจากคำพูดนี้ว่าหากพระเจ้าทรงต้องมีที่มา พระองค์ก็ไม่ใช่พระเจ้า (และหากพระเจ้าไม่ใช่พระเจ้าก็แน่นอนว่าไม่มีพระเจ้า) คำถามนี้เป็นคำถามที่หรูขึ้นมาหน่อยจากคำถามแบบเด็ก ๆ ว่า “ใครทำพระเจ้าขึ้นมา?” แม้แต่เด็กเล็ก ๆ ก็รู้ว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาจากความไม่มีอะไร ดังนั้นหากพระเจ้าทรงเป็น “อะไร” บางอย่าง พระองค์ก็ทรงต้องมีที่มาเช่นกัน ใช่ไหม?
คำถาม นี้มีเลศนัย เพราะมันแฝงสมติฐานที่ไม่ถูกต้องเอาไว้ว่าพระเจ้าทรงต้องมาจากที่ไหนสักแห่ง หนึ่ง แล้วจึงถามว่าที่นั้นอยู่ที่ไหน คำตอบคือคำถามนี้ไร้สาระ มันเหมือนกับถามว่า “สีฟ้ามีกลิ่นแบบไหน? แต่สีฟ้าไม่ได้อยู่ในหมวดหมู่ของสิ่งที่มีกลิ่น ดังนั้นคำถามนี้โดยตัวของมันเองมีข้อผิดพลาด ในทำนองเดียวกัน พระเจ้าไม่ได้ทรงอยู่ในหมวดหมู่ของสิ่งที่ทรงสร้าง หรือเกิดขึ้นมาเอง หรือถูกทำให้เกิดขึ้น พระองค์ทรงไม่มีใครทำให้เกิดขึ้นหรือสร้างขึ้น - พระองค์เพียงแค่ทรงดำรงอยู่
แล้วเราจะรู้ได้อย่างไร? รู้สิ เรารู้ได้ว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้จากความว่างเปล่า
เพราะ ฉะนั้นหากจะมีช่วงเวลาสักเวลาหนึ่งที่ไม่มีอะไรดำรงอยู่เลย (ว่างเปล่า) มันก็จะไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาเลย แต่สิ่งต่าง ๆ ก็ได้เกิดขึ้นมาแล้ว
ดังนั้น มันจึงไม่ว่างเปล่ามาก่อน มันจะต้องมีอะไรดำรงอยู่เสมอมา และเราเรียกสิ่งที่ดำรงอยู่นิรันดร์นั้นว่า "พระเจ้า"
http://www.gotquestions.org/Thai/Thai-w ... d-God.html
คำตอบ: Bertrand Russell ผู้ไม่เชื่อว่ามีพระเจ้า เขียนไว้ในหนังสือของเขาชื่อ “ทำไมข้าพเจ้าจึงไม่เป็นคริสเตียน” ว่า หากทุกสิ่งต้องมีที่มาเป็นความจริง ดังนั้นพระเจ้าก็ทรงต้องมีที่มาเช่นกัน แล้วเขาก็สรุปจากคำพูดนี้ว่าหากพระเจ้าทรงต้องมีที่มา พระองค์ก็ไม่ใช่พระเจ้า (และหากพระเจ้าไม่ใช่พระเจ้าก็แน่นอนว่าไม่มีพระเจ้า) คำถามนี้เป็นคำถามที่หรูขึ้นมาหน่อยจากคำถามแบบเด็ก ๆ ว่า “ใครทำพระเจ้าขึ้นมา?” แม้แต่เด็กเล็ก ๆ ก็รู้ว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาจากความไม่มีอะไร ดังนั้นหากพระเจ้าทรงเป็น “อะไร” บางอย่าง พระองค์ก็ทรงต้องมีที่มาเช่นกัน ใช่ไหม?
คำถาม นี้มีเลศนัย เพราะมันแฝงสมติฐานที่ไม่ถูกต้องเอาไว้ว่าพระเจ้าทรงต้องมาจากที่ไหนสักแห่ง หนึ่ง แล้วจึงถามว่าที่นั้นอยู่ที่ไหน คำตอบคือคำถามนี้ไร้สาระ มันเหมือนกับถามว่า “สีฟ้ามีกลิ่นแบบไหน? แต่สีฟ้าไม่ได้อยู่ในหมวดหมู่ของสิ่งที่มีกลิ่น ดังนั้นคำถามนี้โดยตัวของมันเองมีข้อผิดพลาด ในทำนองเดียวกัน พระเจ้าไม่ได้ทรงอยู่ในหมวดหมู่ของสิ่งที่ทรงสร้าง หรือเกิดขึ้นมาเอง หรือถูกทำให้เกิดขึ้น พระองค์ทรงไม่มีใครทำให้เกิดขึ้นหรือสร้างขึ้น - พระองค์เพียงแค่ทรงดำรงอยู่
แล้วเราจะรู้ได้อย่างไร? รู้สิ เรารู้ได้ว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้จากความว่างเปล่า
เพราะ ฉะนั้นหากจะมีช่วงเวลาสักเวลาหนึ่งที่ไม่มีอะไรดำรงอยู่เลย (ว่างเปล่า) มันก็จะไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาเลย แต่สิ่งต่าง ๆ ก็ได้เกิดขึ้นมาแล้ว
ดังนั้น มันจึงไม่ว่างเปล่ามาก่อน มันจะต้องมีอะไรดำรงอยู่เสมอมา และเราเรียกสิ่งที่ดำรงอยู่นิรันดร์นั้นว่า "พระเจ้า"
http://www.gotquestions.org/Thai/Thai-w ... d-God.html
ใครสร้างพระเจ้า (2)
Who Made God? ใครสร้างพระเจ้า
เป็น คำถามที่เราเจอกันบ่อยๆ นั้นคือ "ใครเป็นคนสร้างพระเจ้า" เป็นการถามที่มาจาก คนสองพวก คือ พวกที่อยากจะเข้าใจอย่างแท้จริงเกี่วกับพระเจ้า แล้วก็ พวกที่ตั้งใจจะ ไม่ยอมรับเรื่องพระเจ้า
พระเจ้ามาจากที่ไหน ใครสร้างพระองค์
นี้ เป็นคำถามที่เราพบบ่อยมากๆ การจะได้คำตอบสำหรับคำถามนี้ อาจจะแบ่งได้เป็นสองด้าน ด้านหนึ่งคือ ความเชื่อที่คุณมีต่อ พระคัมภีร์ คุณเชื่อ และวางใจในสิ่งที่เขียนในพระคัมภีร์แค่ไหน และอีกด้านคือทางตรรกวิทยา หรือการคิดเชิงเหตุผล
[ด้านพระคัมภีร์>
เราจะได้เห็นความสอดคล้องในพระคัมภีร์ไบเบิล ว่า : พระเจ้าไม่ได้มาจากที่ไหนเลย ไม่มีใครสร้างพระองค์พระผู้สร้างจักวาลและทุกสิ่ง
พระ เจ้าทรงเป็น พระเจ้าเนืองนิตย์ (อิสยาห์ 40:28) ด้วยคำว่า พระองค์ทรงอยู่ชั่วนิรันดร์ นี้เป็นข้อความที่สำคัญมาก (โรม 16:26; 1 ทิโมธี 1:17) พระองค์ทรงดำรงอยู่เป็นนิตย์ ตั้งแต่ก่อนสร้างโลกพระองค์ก็ดำรงค์อยู่แล้ว (สดุดี. 90:2)
พระองค์ ตรัสกับโมเสสว่า เราเป็นผู้ซึ่งเราเป็น “I AM THAT I AM” (อพยพ 3:14) คำว่า เราเป็น ในที่นี้ ภาษาฮิบบรู หมายถึงพระเจ้า (Yahweh อ่านว่า ยาเว) (LORD – KJV, or Jehovah – see ASV footnote) Yahweh เป็นชื่อเรียกของพระเจ้าชื่อหนึ่ง และถูกใช้ มากกว่า 6,800 ครั้ง ใน พันธสัญญาเก่า คำนี้มีความหมาย ถึงการดำรงค์พระชนม์อยู่ด้วย และความหมายที่ว่า พระองค์ดำรงค์อยู่เป็นนิตย์ ก็ให้ความหมายว่า ไม่มีใครสร้างพระองค์ พระองค์ดำรงค์อยู่ตลอดกาล ตลอดเวลา และตลอดไป
[ด้านตรรก ความคิดเชิงเหตุผล>
ถ้าพิจารณาตามเหตุผล ที่มีการโต้แย้ง ใครสร้างพระเจ้า ทุกอย่างควรมีจุดเร่ิมต้น
ถ้า ช่วงเวลาในการกำเนิด ทุกสิ่งนั้นเริ่มต้นด้วยการไม่มีีอะไร(ความว่างเปล่า) มันก็น่าจะเป็นเหตุผลบอก ว่าความว่างเปล่าก็จะเกิดขึ้นวันนี้ด้วย มันดูเป็นความจริงง่ายๆ ถ้าจะบอกว่าความว่างเปล่า บวกกับ ความว่างเปล่า ก็จะเท่ากับความว่างเปล่า แต่ว่ามันไม่เป็นเช่นนั้น มันมีอะไรเกิดขึ้นในวันนี้้ นั้นหมายถึง ความว่างเปล่า ทำให้เกิด บางสิ่งบางอย่างขึ้น อย่างนั้นหรือ
ในทางวิิทยาศาสตร์ การทดสอบถึง สิ่งที่มีอยู่ตอนนี้ จะต้องมาจากบางสิ่งที่ดำรงอยู่่ก่อน (สสารไม่มีทางสูญหาย) และนั้นบอกเราได้ว่า ความว่างเปล่าไม่สามารถทำให้เกิดบางสิ่งบางอย่างได้ และตอนนี้ ยังมีบางอย่างอยู่รอบตัวเรา คำถามนี้ทำให้เรารู้ว่า มีบางอย่างอยู่ก่อน บางอย่างนั้นดำรงอยู่ตลอดมาหรือ?
การพิจารณา ในเหตุและผล มันเป็นกฎที่จะมองว่า เป็นหรือไม่เป็น ใช่หรือไม่ใช่ ไม่มีตรงกลาง
เรา ลองมาประยุกต์หลักการนี้ ... นั้นคือมีบางอย่าง อยู่มาตลอดกลาล นั้นคือ "บางสิ่ง" มันจะต้องเป็นวัตถุ ที่เราจับต้องได้ในธรรมชาติ หรือ วัตถุที่จับต้องไม่ได้ ถ้าสิ่งนี้ จะพิสูจน์ถึงสิ่งที่อยู่ชั่วนิจนิรันดร์ (จะต้องเป็นสิ่งที่มีอยู่นิรันดร์ เพราะสิ่งนี้ต้องมีมาก่อนทุกสิ่ง และเมื่อทุกสิ่งอยู่นิรันดร์ไม่ได้ สิ่งนี้จะต้องอยู่ได้จนวันที่ไม่มีทุกสิ่ง เนื่องจาก ทุกสิ่งจะสร้างความว่างเปล่าได้อย่างไร) บางสิ่งนั้นก็จะต้อง เป็นวัตถุที่จับต้องไม่ได้ ตามธรรมชาติ
คำถามตอนนี้พาเรามาที่ อะไรที่สามารถเป็นหลักฐานในการแสดงให้เห็นได้บ้าง ในกรณีของวัตถุ ที่อยู่ได้ตลอดกาล หรือการดำรงอยู่ตลอดกาลของ "บางสิ่ง" นั้นก็คือวัตถุที่จับต้องไม่ได้ ตัวอย่างเช่น จิตวิญญาณ ใช่หรือไม่
ใน วงการวิทยาศาสตร์ โลก เป็นที่ยอมรับว่า วัตถุไม่มีทางดำรงค์อยู่นิรันดร์ ในหนังสือที่มีชื่อว่า "จนกระทั่งดวงอาทิตย์ดับ" (ตีพิมพ์ ที่New York ปี 1977) Dr. Robert Jastrow ผู้้สนับสนุนเงินทุนให้กับสถาบัน Goddard ขององค์การนาซ่า เพื่อศึกษาอวกาศ ตัวเขาได้ประกาศว่าไม่เชื่อว่ามีพระเจ้า ได้บรรยายแนวความคิด เกี่ยวกับจุดเริ่มต้นของจัักรวาล เขาได้พูดไว้ว่า อณุภาคแรกที่ปรากฏขึ้น ที่มีมาก่อนทุกสิ่ง วัตถุนั้นไม่มีอยู่ในธรรมชาติ
ตาม ลำดับ เขาได้ยืนยัน ด้วยความหนักแน่นว่า "วิทยาศาสตร์สมัยใหม่ ปฏิเสธ การดำรงอยู่นิรันดร์ ร่วมถึงจักรวาล ไม่มีอณุภาคใดๆ ที่จะเป็นหลักฐานการดำรงอยู่ตลอดกาลของจักรวาล นั้นเป็นความจริงอย่างมาก นักวิทยาศาสตร์ พยายาม ที่จะระบุ อายุ ของจักรวาล ซึ่งเผยให้เห็นในมันตัวเอง ไม่มีวัตถุใดดำรงค์อยู่ได้ชั่วนิรันดร์ ภายใต้จักรวาลนี้ และนั้นหมายความว่า สิ่งที่จะอยู่ตลอดกาลคือ จะเป็นวัตถุที่จับต้องไม่ได้ตามธรรมชาติหรือไม่ อย่าลืมว่าความว่างเปล่า จะทำให้เกิด บางสิ่งไม่ได้
จากที่ได้กล่าวมาแล้ว นั้นคือ มีบางสิ่งบางอย่างดำรงค์อยู่ตลอดมา และไม่ใช่วัตถุตามธรรมชาติ การศึกษาด้านเหตุผล บอกเราจนสุดท้ายได้ว่า บางสิ่ง นั้นเป็นสิ่งที่อยู่มาตลอด เป็นวัตถุที่จับต้องไม่ได้ ด้วยความหมายของมันแล้ว คือ จิตวิญญาณ พระคัมภีร์ไบเบิล บอกเราอย่างขัดเจนว่า นั้นคือพระเจ้า ในยอห์น 4:24 บอกไว่้ว่า พระเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณ
[สรุป>
ความ ว่างเปล่า จะสร้างบางสิ่งไม่ได้ และทุกสิ่งจะสร้าง ความว่างเปล่าไม่ได้ เมื่อ ทุกอย่างไม่สามารถ คงอยู่นิรันดร์ได้สำหรับวัตถุ ที่เราจับต้องได้ตามธรรมชาติ จึงต้องเป็นวัตถุที่ จับต้องไม่ได้ตามธรรมชาติ และคงอยู่ได้นิรันดร์ นั้นคือ จิตวิญญาณ พระเจ้าคือ พระวิญญาณ ที่ดำรงค์อยู่ตั้งแต่แรกสร้างโลก พระองค์เป็น เป็นจุดเริ่มต้นและ จุดสิ้นสุด
ทั้งสองด้าน ตรรกวิทยา และ พระคัมภีร์ ทำให้เห็นตรงกันอย่างประหลาดว่า นี้เป็นเครื่องพิสูจน์ ถึงพระเจ้าผู้ทรงดำรงค์อยู่เป็นนิตย์ พระองค์คือจุดเริ่มต้น ไมมีใครสร้างพระองค์ พระองค์คือ ปฐม และอวสาน
----------------------------------------------------------------------------
[ข้อพระคัมภีร์สนับสนุน>
อสย.41: 4
ผู้ ใด ได้ ประกอบ กิจ และ กระทำ เช่นนี้ เรียกบรรดา ชาตพันธุ์ ทั้งหลาย ออกมา ตั้งแต่ ปฐมกาล เรา เอง คือ พระเจ้าผู้ เป็น ปฐม และ กับ กาลอวสาน เรา คือ ผู้ นั้น ..
อสย.44 : 6
พระเจ้า พระบรมมหากษัตริย์ แห่ง อิสราเอล และผู้ไถ่ ของ เขา พระเจ้า จอมโยธา ตรัส ดังนี้ ว่า "เรา เป็น ผู้ต้นและ เรา เป็น ผู้ปลาย นอกจาก เรา แล้ว ไม่มี
อิสยาห์ 40:28
ท่าน ไม่ เคย รู้ หรือ ท่าน ไม่ เคย ได้ ยินหรือ พระเจ้า ทรงเป็น พระเจ้า เนืองนิตย์ คือ พระ ผู้ สร้าง ที่สุดปลาย แผ่น ดิน โลก พระองค์ มิได้ ทรงอ่อนเปลี้ย หรือ เหน็ดเหนื่อยความเข้าพระทัย ของ พระองค์ ก็ เหลือ ที่ จะ หยั่งรู้ ได้ ..
โรม 16:26
แต่ มา บัดนี้ ได้ เปิดเผย ให้ ปรากฏ แล้ว และ โดย คัมภีร์ ผู้ เผย พระวจนะ ทรง ให้ ชนชาติ ทั้งปวง เห็น ประจักษ์ ตาม ซึ่ง พระเจ้า ผู้ ทรง ดำรง ถาวร ได้ ทรง บัญชา ไว้ เพื่อ ให้ เขา ได้ เชื่อ ..
1 ทิโมธี 1:17
พระเกียรติ และ พระสิริ จง มี แด่ พระมหากษัตริย์ ผู้ ทรง พระเจริญ อยู่ นิรันดร์ ผู้ ทรง เป็น องค์ อมตะ ซึ่ง มิได้ ปรากฏ พระองค์ ผู้ ทรง เป็น พระเจ้า แต่ องค์ เดียว สืบๆ ไป เป็น นิตย์ อาเมน ..
สดุดี. 90:2
ก่อน ที่ ภูเขา ทั้งหลาย เกิด ขึ้น มา ก่อนที่ พระองค์ ทรง ให้ กำเนิด แผ่นดิน โลก และ พิภพ พระองค์ ทรง เป็นพระเจ้า ตั้งแต่ นิรันดร์ กาล ถึง นิรันดร์ กาล ..
http://weareimpact.com/news/show_news.p ... hot_Hit_PR
Who Made God? ใครสร้างพระเจ้า
เป็น คำถามที่เราเจอกันบ่อยๆ นั้นคือ "ใครเป็นคนสร้างพระเจ้า" เป็นการถามที่มาจาก คนสองพวก คือ พวกที่อยากจะเข้าใจอย่างแท้จริงเกี่วกับพระเจ้า แล้วก็ พวกที่ตั้งใจจะ ไม่ยอมรับเรื่องพระเจ้า
พระเจ้ามาจากที่ไหน ใครสร้างพระองค์
นี้ เป็นคำถามที่เราพบบ่อยมากๆ การจะได้คำตอบสำหรับคำถามนี้ อาจจะแบ่งได้เป็นสองด้าน ด้านหนึ่งคือ ความเชื่อที่คุณมีต่อ พระคัมภีร์ คุณเชื่อ และวางใจในสิ่งที่เขียนในพระคัมภีร์แค่ไหน และอีกด้านคือทางตรรกวิทยา หรือการคิดเชิงเหตุผล
[ด้านพระคัมภีร์>
เราจะได้เห็นความสอดคล้องในพระคัมภีร์ไบเบิล ว่า : พระเจ้าไม่ได้มาจากที่ไหนเลย ไม่มีใครสร้างพระองค์พระผู้สร้างจักวาลและทุกสิ่ง
พระ เจ้าทรงเป็น พระเจ้าเนืองนิตย์ (อิสยาห์ 40:28) ด้วยคำว่า พระองค์ทรงอยู่ชั่วนิรันดร์ นี้เป็นข้อความที่สำคัญมาก (โรม 16:26; 1 ทิโมธี 1:17) พระองค์ทรงดำรงอยู่เป็นนิตย์ ตั้งแต่ก่อนสร้างโลกพระองค์ก็ดำรงค์อยู่แล้ว (สดุดี. 90:2)
พระองค์ ตรัสกับโมเสสว่า เราเป็นผู้ซึ่งเราเป็น “I AM THAT I AM” (อพยพ 3:14) คำว่า เราเป็น ในที่นี้ ภาษาฮิบบรู หมายถึงพระเจ้า (Yahweh อ่านว่า ยาเว) (LORD – KJV, or Jehovah – see ASV footnote) Yahweh เป็นชื่อเรียกของพระเจ้าชื่อหนึ่ง และถูกใช้ มากกว่า 6,800 ครั้ง ใน พันธสัญญาเก่า คำนี้มีความหมาย ถึงการดำรงค์พระชนม์อยู่ด้วย และความหมายที่ว่า พระองค์ดำรงค์อยู่เป็นนิตย์ ก็ให้ความหมายว่า ไม่มีใครสร้างพระองค์ พระองค์ดำรงค์อยู่ตลอดกาล ตลอดเวลา และตลอดไป
[ด้านตรรก ความคิดเชิงเหตุผล>
ถ้าพิจารณาตามเหตุผล ที่มีการโต้แย้ง ใครสร้างพระเจ้า ทุกอย่างควรมีจุดเร่ิมต้น
ถ้า ช่วงเวลาในการกำเนิด ทุกสิ่งนั้นเริ่มต้นด้วยการไม่มีีอะไร(ความว่างเปล่า) มันก็น่าจะเป็นเหตุผลบอก ว่าความว่างเปล่าก็จะเกิดขึ้นวันนี้ด้วย มันดูเป็นความจริงง่ายๆ ถ้าจะบอกว่าความว่างเปล่า บวกกับ ความว่างเปล่า ก็จะเท่ากับความว่างเปล่า แต่ว่ามันไม่เป็นเช่นนั้น มันมีอะไรเกิดขึ้นในวันนี้้ นั้นหมายถึง ความว่างเปล่า ทำให้เกิด บางสิ่งบางอย่างขึ้น อย่างนั้นหรือ
ในทางวิิทยาศาสตร์ การทดสอบถึง สิ่งที่มีอยู่ตอนนี้ จะต้องมาจากบางสิ่งที่ดำรงอยู่่ก่อน (สสารไม่มีทางสูญหาย) และนั้นบอกเราได้ว่า ความว่างเปล่าไม่สามารถทำให้เกิดบางสิ่งบางอย่างได้ และตอนนี้ ยังมีบางอย่างอยู่รอบตัวเรา คำถามนี้ทำให้เรารู้ว่า มีบางอย่างอยู่ก่อน บางอย่างนั้นดำรงอยู่ตลอดมาหรือ?
การพิจารณา ในเหตุและผล มันเป็นกฎที่จะมองว่า เป็นหรือไม่เป็น ใช่หรือไม่ใช่ ไม่มีตรงกลาง
เรา ลองมาประยุกต์หลักการนี้ ... นั้นคือมีบางอย่าง อยู่มาตลอดกลาล นั้นคือ "บางสิ่ง" มันจะต้องเป็นวัตถุ ที่เราจับต้องได้ในธรรมชาติ หรือ วัตถุที่จับต้องไม่ได้ ถ้าสิ่งนี้ จะพิสูจน์ถึงสิ่งที่อยู่ชั่วนิจนิรันดร์ (จะต้องเป็นสิ่งที่มีอยู่นิรันดร์ เพราะสิ่งนี้ต้องมีมาก่อนทุกสิ่ง และเมื่อทุกสิ่งอยู่นิรันดร์ไม่ได้ สิ่งนี้จะต้องอยู่ได้จนวันที่ไม่มีทุกสิ่ง เนื่องจาก ทุกสิ่งจะสร้างความว่างเปล่าได้อย่างไร) บางสิ่งนั้นก็จะต้อง เป็นวัตถุที่จับต้องไม่ได้ ตามธรรมชาติ
คำถามตอนนี้พาเรามาที่ อะไรที่สามารถเป็นหลักฐานในการแสดงให้เห็นได้บ้าง ในกรณีของวัตถุ ที่อยู่ได้ตลอดกาล หรือการดำรงอยู่ตลอดกาลของ "บางสิ่ง" นั้นก็คือวัตถุที่จับต้องไม่ได้ ตัวอย่างเช่น จิตวิญญาณ ใช่หรือไม่
ใน วงการวิทยาศาสตร์ โลก เป็นที่ยอมรับว่า วัตถุไม่มีทางดำรงค์อยู่นิรันดร์ ในหนังสือที่มีชื่อว่า "จนกระทั่งดวงอาทิตย์ดับ" (ตีพิมพ์ ที่New York ปี 1977) Dr. Robert Jastrow ผู้้สนับสนุนเงินทุนให้กับสถาบัน Goddard ขององค์การนาซ่า เพื่อศึกษาอวกาศ ตัวเขาได้ประกาศว่าไม่เชื่อว่ามีพระเจ้า ได้บรรยายแนวความคิด เกี่ยวกับจุดเริ่มต้นของจัักรวาล เขาได้พูดไว้ว่า อณุภาคแรกที่ปรากฏขึ้น ที่มีมาก่อนทุกสิ่ง วัตถุนั้นไม่มีอยู่ในธรรมชาติ
ตาม ลำดับ เขาได้ยืนยัน ด้วยความหนักแน่นว่า "วิทยาศาสตร์สมัยใหม่ ปฏิเสธ การดำรงอยู่นิรันดร์ ร่วมถึงจักรวาล ไม่มีอณุภาคใดๆ ที่จะเป็นหลักฐานการดำรงอยู่ตลอดกาลของจักรวาล นั้นเป็นความจริงอย่างมาก นักวิทยาศาสตร์ พยายาม ที่จะระบุ อายุ ของจักรวาล ซึ่งเผยให้เห็นในมันตัวเอง ไม่มีวัตถุใดดำรงค์อยู่ได้ชั่วนิรันดร์ ภายใต้จักรวาลนี้ และนั้นหมายความว่า สิ่งที่จะอยู่ตลอดกาลคือ จะเป็นวัตถุที่จับต้องไม่ได้ตามธรรมชาติหรือไม่ อย่าลืมว่าความว่างเปล่า จะทำให้เกิด บางสิ่งไม่ได้
จากที่ได้กล่าวมาแล้ว นั้นคือ มีบางสิ่งบางอย่างดำรงค์อยู่ตลอดมา และไม่ใช่วัตถุตามธรรมชาติ การศึกษาด้านเหตุผล บอกเราจนสุดท้ายได้ว่า บางสิ่ง นั้นเป็นสิ่งที่อยู่มาตลอด เป็นวัตถุที่จับต้องไม่ได้ ด้วยความหมายของมันแล้ว คือ จิตวิญญาณ พระคัมภีร์ไบเบิล บอกเราอย่างขัดเจนว่า นั้นคือพระเจ้า ในยอห์น 4:24 บอกไว่้ว่า พระเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณ
[สรุป>
ความ ว่างเปล่า จะสร้างบางสิ่งไม่ได้ และทุกสิ่งจะสร้าง ความว่างเปล่าไม่ได้ เมื่อ ทุกอย่างไม่สามารถ คงอยู่นิรันดร์ได้สำหรับวัตถุ ที่เราจับต้องได้ตามธรรมชาติ จึงต้องเป็นวัตถุที่ จับต้องไม่ได้ตามธรรมชาติ และคงอยู่ได้นิรันดร์ นั้นคือ จิตวิญญาณ พระเจ้าคือ พระวิญญาณ ที่ดำรงค์อยู่ตั้งแต่แรกสร้างโลก พระองค์เป็น เป็นจุดเริ่มต้นและ จุดสิ้นสุด
ทั้งสองด้าน ตรรกวิทยา และ พระคัมภีร์ ทำให้เห็นตรงกันอย่างประหลาดว่า นี้เป็นเครื่องพิสูจน์ ถึงพระเจ้าผู้ทรงดำรงค์อยู่เป็นนิตย์ พระองค์คือจุดเริ่มต้น ไมมีใครสร้างพระองค์ พระองค์คือ ปฐม และอวสาน
----------------------------------------------------------------------------
[ข้อพระคัมภีร์สนับสนุน>
อสย.41: 4
ผู้ ใด ได้ ประกอบ กิจ และ กระทำ เช่นนี้ เรียกบรรดา ชาตพันธุ์ ทั้งหลาย ออกมา ตั้งแต่ ปฐมกาล เรา เอง คือ พระเจ้าผู้ เป็น ปฐม และ กับ กาลอวสาน เรา คือ ผู้ นั้น ..
อสย.44 : 6
พระเจ้า พระบรมมหากษัตริย์ แห่ง อิสราเอล และผู้ไถ่ ของ เขา พระเจ้า จอมโยธา ตรัส ดังนี้ ว่า "เรา เป็น ผู้ต้นและ เรา เป็น ผู้ปลาย นอกจาก เรา แล้ว ไม่มี
อิสยาห์ 40:28
ท่าน ไม่ เคย รู้ หรือ ท่าน ไม่ เคย ได้ ยินหรือ พระเจ้า ทรงเป็น พระเจ้า เนืองนิตย์ คือ พระ ผู้ สร้าง ที่สุดปลาย แผ่น ดิน โลก พระองค์ มิได้ ทรงอ่อนเปลี้ย หรือ เหน็ดเหนื่อยความเข้าพระทัย ของ พระองค์ ก็ เหลือ ที่ จะ หยั่งรู้ ได้ ..
โรม 16:26
แต่ มา บัดนี้ ได้ เปิดเผย ให้ ปรากฏ แล้ว และ โดย คัมภีร์ ผู้ เผย พระวจนะ ทรง ให้ ชนชาติ ทั้งปวง เห็น ประจักษ์ ตาม ซึ่ง พระเจ้า ผู้ ทรง ดำรง ถาวร ได้ ทรง บัญชา ไว้ เพื่อ ให้ เขา ได้ เชื่อ ..
1 ทิโมธี 1:17
พระเกียรติ และ พระสิริ จง มี แด่ พระมหากษัตริย์ ผู้ ทรง พระเจริญ อยู่ นิรันดร์ ผู้ ทรง เป็น องค์ อมตะ ซึ่ง มิได้ ปรากฏ พระองค์ ผู้ ทรง เป็น พระเจ้า แต่ องค์ เดียว สืบๆ ไป เป็น นิตย์ อาเมน ..
สดุดี. 90:2
ก่อน ที่ ภูเขา ทั้งหลาย เกิด ขึ้น มา ก่อนที่ พระองค์ ทรง ให้ กำเนิด แผ่นดิน โลก และ พิภพ พระองค์ ทรง เป็นพระเจ้า ตั้งแต่ นิรันดร์ กาล ถึง นิรันดร์ กาล ..
http://weareimpact.com/news/show_news.p ... hot_Hit_PR
ใครสร้างพระเจ้า? (3)
โดย อาจารย์นิกร สิทธิจริยาภรณ์
เมื่อผมเจอคำถามนี้ผมจะบอกเขาว่า……
1.คำถามของคุณไม่น่าจะเป็นคำถาม หรือเป็นคำถามที่ไม่มีเหตุผล เพราะว่าเมื่อเราพูดถึงพระเจ้า เรากำลังพูดถึงผู้สร้างสรรพสิ่ง ถ้าเขาเป็นผู้สร้างสรรพสิ่ง เขาก็ไม่ใช่ผู้ถูกสร้าง ถ้าเขาเป็นผู้ถูกสร้างเขาก็ไม่ใช่ผู้สร้าง ดังนั้นคำตอบของคำถามนี้ก็คือ ไม่ต้องถามว่า “ใครสร้างพระเจ้า ?” เพราะถ้า “พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าจะต้องไม่มีใครสร้าง”
2.ผมจะถามย้อนไปว่า “อนุบาลคุณเรียนที่ไหน?” “ที่นั่นที่นี่” เขาตอบ….“ประถมล่ะ ?” ผมถามต่อ “ที่นู่น” “มัธยมล่ะ ?” “ที่นั่น”… “ผมไม่เชื่อ” ผมจะพูดอย่างนี้แ2ล้วถามเขาว่า “เมื่อผมบอกว่า “ไม่เชื่อ” คุณจะตอบว่าอย่างไร ?” เขาก็บอกว่า “ถ้าไม่เชื่อก็พิสูจน์ได้ ผมมีข้อมูลรอให้คุณพิสูจน์ว่าสิ่งที่ผมพูดมาเป็นเรื่องจริง” ผมก็ตอบเขาว่า “ไม่มีเวลาศึกษา ยังไงก็ไม่เชื่อ” ถ้าผมตอบเช่นนี้คุณจะตอบว่าอย่างไร?.. เขาก็บอกว่า “ไม่เชื่อก็เรื่องของคุณ"…..
เช่นเดียวกันครับ เมื่อมีคนหนึ่งถามว่า “ใครสร้างพระเจ้า ?” พระเจ้าได้ตรัสชัดเจนทางพระคริสตธรรมคัมภีร์ว่า “ไม่มีใครสร้างเรา เราเป็นอยู่แต่แรกเริ่มแล้ว” ถ้ามีคนบอกว่า “ไม่เชื่อ”.. เราก็คงจะตอบว่า….“ก็ขอให้คุณใช้เวลาศึกษาเรื่องนี้ได้ ซึ่งทางคริสตจักรของเรายินดีที่จะให้ข้อมูลแก่คุณเพิ่มเติม”…แต่ถ้าเขายัง บอกว่า “ไม่เชื่อ ไม่ศึกษา ยังไงก็ไม่เชื่อ”
…ผมก็ไม่ทราบว่าจะช่วยเหลือเขาคนนั้นอย่างไรดีแล้ว?……
โดย อาจารย์นิกร สิทธิจริยาภรณ์
เมื่อผมเจอคำถามนี้ผมจะบอกเขาว่า……
1.คำถามของคุณไม่น่าจะเป็นคำถาม หรือเป็นคำถามที่ไม่มีเหตุผล เพราะว่าเมื่อเราพูดถึงพระเจ้า เรากำลังพูดถึงผู้สร้างสรรพสิ่ง ถ้าเขาเป็นผู้สร้างสรรพสิ่ง เขาก็ไม่ใช่ผู้ถูกสร้าง ถ้าเขาเป็นผู้ถูกสร้างเขาก็ไม่ใช่ผู้สร้าง ดังนั้นคำตอบของคำถามนี้ก็คือ ไม่ต้องถามว่า “ใครสร้างพระเจ้า ?” เพราะถ้า “พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าจะต้องไม่มีใครสร้าง”
2.ผมจะถามย้อนไปว่า “อนุบาลคุณเรียนที่ไหน?” “ที่นั่นที่นี่” เขาตอบ….“ประถมล่ะ ?” ผมถามต่อ “ที่นู่น” “มัธยมล่ะ ?” “ที่นั่น”… “ผมไม่เชื่อ” ผมจะพูดอย่างนี้แ2ล้วถามเขาว่า “เมื่อผมบอกว่า “ไม่เชื่อ” คุณจะตอบว่าอย่างไร ?” เขาก็บอกว่า “ถ้าไม่เชื่อก็พิสูจน์ได้ ผมมีข้อมูลรอให้คุณพิสูจน์ว่าสิ่งที่ผมพูดมาเป็นเรื่องจริง” ผมก็ตอบเขาว่า “ไม่มีเวลาศึกษา ยังไงก็ไม่เชื่อ” ถ้าผมตอบเช่นนี้คุณจะตอบว่าอย่างไร?.. เขาก็บอกว่า “ไม่เชื่อก็เรื่องของคุณ"…..
เช่นเดียวกันครับ เมื่อมีคนหนึ่งถามว่า “ใครสร้างพระเจ้า ?” พระเจ้าได้ตรัสชัดเจนทางพระคริสตธรรมคัมภีร์ว่า “ไม่มีใครสร้างเรา เราเป็นอยู่แต่แรกเริ่มแล้ว” ถ้ามีคนบอกว่า “ไม่เชื่อ”.. เราก็คงจะตอบว่า….“ก็ขอให้คุณใช้เวลาศึกษาเรื่องนี้ได้ ซึ่งทางคริสตจักรของเรายินดีที่จะให้ข้อมูลแก่คุณเพิ่มเติม”…แต่ถ้าเขายัง บอกว่า “ไม่เชื่อ ไม่ศึกษา ยังไงก็ไม่เชื่อ”
…ผมก็ไม่ทราบว่าจะช่วยเหลือเขาคนนั้นอย่างไรดีแล้ว?……
ในศาสนาคริสต์ก็มีสอนว่า ทุกสิ่งเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
ลินน์ เด ซิลวา (Lynn de Silva) นักเทววิทยาโปรเตสแตนท์คนหนึ่ง ทำงานในประเทศศรีลังกา ได้ชี้ให้เห็นบทความสองตอนจากพระคัมภีร์ ที่ได้กล่าวถึงลักษณะ 3 ประการของมนุษย์ด้วยกัน แม้ว่าการจัดคำ อาจจะไม่ตรงทีเดียว คือ บทสดุดีที่ 90 และบทจดหมายของนักบุญเปาโลถึงชาวโรม 8 :15-25
บทสดุดี 90 :3 พระองค์ทรงให้มนุษย์กลับเป็นฝุ่นดิน.... อนัตตา
5 ....สั้นเหมือนความฝันในยามเช้า เหมือนต้นหญ้าที่งอกขึ้น ...อนิจจัง
10 ....มีแต่ความเหน็ดเหนื่อยและความกังวล... ทุกขัง
บทจดหมายของนักบุญเปาโลถึงชาวโรม
8:20 สรรพสิ่งต้องอยู่ใต้อำนาจของอนิจจัง
22 สรรพสิ่งกำลังร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวดราวกับสตรีคลอดบุตร..ทุกขัง
21 การเป็นทาสของความเสื่อมสลาย...อนัตตา
ซึ่งในศาสนาพุทธการจะหลุดพ้นจากสิ่งเหล่านี้ได้ก็คือ การไปสู่นิพพาน ส่วนศาสนาคริสต์ก็คือการบรรลุถึงความเป็นหนึ่งเดียวในพระอาณาจักรของพระเจ้า
ลินน์ เด ซิลวา (Lynn de Silva) นักเทววิทยาโปรเตสแตนท์คนหนึ่ง ทำงานในประเทศศรีลังกา ได้ชี้ให้เห็นบทความสองตอนจากพระคัมภีร์ ที่ได้กล่าวถึงลักษณะ 3 ประการของมนุษย์ด้วยกัน แม้ว่าการจัดคำ อาจจะไม่ตรงทีเดียว คือ บทสดุดีที่ 90 และบทจดหมายของนักบุญเปาโลถึงชาวโรม 8 :15-25
บทสดุดี 90 :3 พระองค์ทรงให้มนุษย์กลับเป็นฝุ่นดิน.... อนัตตา
5 ....สั้นเหมือนความฝันในยามเช้า เหมือนต้นหญ้าที่งอกขึ้น ...อนิจจัง
10 ....มีแต่ความเหน็ดเหนื่อยและความกังวล... ทุกขัง
บทจดหมายของนักบุญเปาโลถึงชาวโรม
8:20 สรรพสิ่งต้องอยู่ใต้อำนาจของอนิจจัง
22 สรรพสิ่งกำลังร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวดราวกับสตรีคลอดบุตร..ทุกขัง
21 การเป็นทาสของความเสื่อมสลาย...อนัตตา
ซึ่งในศาสนาพุทธการจะหลุดพ้นจากสิ่งเหล่านี้ได้ก็คือ การไปสู่นิพพาน ส่วนศาสนาคริสต์ก็คือการบรรลุถึงความเป็นหนึ่งเดียวในพระอาณาจักรของพระเจ้า
-
- โพสต์: 973
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ธ.ค. 04, 2006 9:33 pm
- ที่อยู่: Virtusian's House of Prayer,Thailand
- ติดต่อ:
"อนิจจัง อนิจจัง อนิจจัง อนิจจัง สิ่งสารพัดล้วน อนิจจัง"(ปัญญาจารย์ 1:5)Andreas เขียน:ในศาสนาคริสต์ก็มีสอนว่า ทุกสิ่งเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
ลินน์ เด ซิลวา (Lynn de Silva) นักเทววิทยาโปรเตสแตนท์คนหนึ่ง ทำงานในประเทศศรีลังกา ได้ชี้ให้เห็นบทความสองตอนจากพระคัมภีร์ ที่ได้กล่าวถึงลักษณะ 3 ประการของมนุษย์ด้วยกัน แม้ว่าการจัดคำ อาจจะไม่ตรงทีเดียว คือ บทสดุดีที่ 90 และบทจดหมายของนักบุญเปาโลถึงชาวโรม 8 :15-25
บทสดุดี 90 :3 พระองค์ทรงให้มนุษย์กลับเป็นฝุ่นดิน.... อนัตตา
5 ....สั้นเหมือนความฝันในยามเช้า เหมือนต้นหญ้าที่งอกขึ้น ...อนิจจัง
10 ....มีแต่ความเหน็ดเหนื่อยและความกังวล... ทุกขัง
บทจดหมายของนักบุญเปาโลถึงชาวโรม
8:20 สรรพสิ่งต้องอยู่ใต้อำนาจของอนิจจัง
22 สรรพสิ่งกำลังร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวดราวกับสตรีคลอดบุตร..ทุกขัง
21 การเป็นทาสของความเสื่อมสลาย...อนัตตา
ซึ่งในศาสนาพุทธการจะหลุดพ้นจากสิ่งเหล่านี้ได้ก็คือ การไปสู่นิพพาน ส่วนศาสนาคริสต์ก็คือการบรรลุถึงความเป็นหนึ่งเดียวในพระอาณาจักรของพระเจ้า
:)