ทำไมพระเยซูเจ้าไม่ทรงกล่าวบรรยายว่าสวรรค์เป็นอย่างไร
ผมอ่านพระวรสารไม่เห็นพระเยซูเจ้าทรงกล่าวถึงสวรรค์ว่ามีลักษณะเป็นอย่างไร อย่างศาสนาพุทธก็มีบรรยายว่าสวรรค์มีชั้นอะไรบ้าง แต่ละชั้นมีใครอยู่ มีลักษณะเป็นอย่างไร
ในพระวรสารพระเยซูเพียงแต่กล่าวถึงสวรรค์ด้วยการเปรียบเทียบต่าง ๆ เช่น เหมือนงานเลี้ยง เมล็ดซีนาปิส ผู้หว่าน สาวใช้กับตะเกียง ฯลฯ ซึ่งผมก็ไม่สามารถทำให้เห็นภาพของสวรรค์ได้ว่ามีลักษณะอย่างไร เพราะส่วนมากจะเป็นการบอกให้คนเราเตรียมตัวให้พร้อมมากกว่า แต่ก็ไม่รู้ว่าหลังจากผ่านจากชีวิตบนโลกนี้แล้วจะเป็นอย่างไร ทำไมพระเยซูไม่ทรงบอกเล่าแก่คนในสมัยของพระองค์ว่าสวรรค์มีลักษณะเป็นอย่างไร การกล่าวเป็นคำอุปมาไม่น่าจะทำให้พวกเขาเข้าใจ เพราะบรรดาอัครสาวกก็ยังต้องมาถามพระเยซูเจ้าเป็นการส่วนตัวอีกครั้ง เกี่ยวกับความหมายของเรื่องอุปมา
แต่พระเยซูก็กล่าวถึงนรกเอาไว้นิดหน่อยว่า มีหนอนไม่รู้ตาย ไฟไม่รู้ดับ คนในนั้นจะอยู่ด้วยความทุกข์ขบเคี่ยวเคี้ยวฟันด้วยความขุ่นเคือง
ผมอ่านประสบการณ์หลังความตายของหลาย ๆ คนที่อาจจะตายไปชั่วขณะ แล้วไปไปเห็นสวรรค์ นรก แล้วก็กลับมายังร่างมนุษย์มีชีวิตอีกครั้ง แล้วเล่าถ่ายทอดสิ่งที่ตนเองไปเจอให้คนอื่น ๆ ได้รับรู้ แต่เท่าที่เห็นส่วนมากเป็นโปรเตสแตนท์ ไม่เคยเห็นทางฝากคาทอลิกจะมีแบบนั้นบ้างเลยครับ หรือไม่แต่ผมไม่เจอ ก็กรุณานำมาเผยแพร่ด้วยครับ อยากได้ที่เป็นประสบการณ์ของคนในปัจจุบัน ไม่เอาตำนาน ไม่เอาหนังสือของเอโนค ไม่ทราบว่าจะมีบ้างหรือเปล่าครับ
ในพระวรสารพระเยซูเพียงแต่กล่าวถึงสวรรค์ด้วยการเปรียบเทียบต่าง ๆ เช่น เหมือนงานเลี้ยง เมล็ดซีนาปิส ผู้หว่าน สาวใช้กับตะเกียง ฯลฯ ซึ่งผมก็ไม่สามารถทำให้เห็นภาพของสวรรค์ได้ว่ามีลักษณะอย่างไร เพราะส่วนมากจะเป็นการบอกให้คนเราเตรียมตัวให้พร้อมมากกว่า แต่ก็ไม่รู้ว่าหลังจากผ่านจากชีวิตบนโลกนี้แล้วจะเป็นอย่างไร ทำไมพระเยซูไม่ทรงบอกเล่าแก่คนในสมัยของพระองค์ว่าสวรรค์มีลักษณะเป็นอย่างไร การกล่าวเป็นคำอุปมาไม่น่าจะทำให้พวกเขาเข้าใจ เพราะบรรดาอัครสาวกก็ยังต้องมาถามพระเยซูเจ้าเป็นการส่วนตัวอีกครั้ง เกี่ยวกับความหมายของเรื่องอุปมา
แต่พระเยซูก็กล่าวถึงนรกเอาไว้นิดหน่อยว่า มีหนอนไม่รู้ตาย ไฟไม่รู้ดับ คนในนั้นจะอยู่ด้วยความทุกข์ขบเคี่ยวเคี้ยวฟันด้วยความขุ่นเคือง
ผมอ่านประสบการณ์หลังความตายของหลาย ๆ คนที่อาจจะตายไปชั่วขณะ แล้วไปไปเห็นสวรรค์ นรก แล้วก็กลับมายังร่างมนุษย์มีชีวิตอีกครั้ง แล้วเล่าถ่ายทอดสิ่งที่ตนเองไปเจอให้คนอื่น ๆ ได้รับรู้ แต่เท่าที่เห็นส่วนมากเป็นโปรเตสแตนท์ ไม่เคยเห็นทางฝากคาทอลิกจะมีแบบนั้นบ้างเลยครับ หรือไม่แต่ผมไม่เจอ ก็กรุณานำมาเผยแพร่ด้วยครับ อยากได้ที่เป็นประสบการณ์ของคนในปัจจุบัน ไม่เอาตำนาน ไม่เอาหนังสือของเอโนค ไม่ทราบว่าจะมีบ้างหรือเปล่าครับ
1 โครินทร์ 2:9
ดังที่มีเขียนไว้แล้วว่า `สิ่งที่ตาไม่เห็น หูไม่ได้ยิน และไม่เคยได้เข้าไปในใจมนุษย์ คือสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมไว้สำหรับคนที่รักพระองค์'
โดยส่วนตัว ผมคิดว่าอาจเป็นเพราะว่า ต่อให้พระองค์อธิบายไป มนุษย์เราก็ไม่มีทางเข้าใจได้ครับ
เพราะเป็นสถานที่ๆ ไม่สามารถอธิบายออกมาด้วยคำพูด หรืออ้างอิงจากสิ่งของที่มีอยู่ในโลก
ผมเคยอ่านเจอในประสบการณ์หลังความตายของฝรั่งเช่นกันครับ เค้าบอกว่า เห็นสวนดอกไม้ที่เต็มไปด้วยสีสันหลากสี ซึ่งไม่เหมือนกับสีบนโลกเรา เป็นสีสันที่ไม่มีอยู่ในโลก! ประมาณว่าสวยงามเกินกว่าจะบรรยายออกมาได้
ดังที่มีเขียนไว้แล้วว่า `สิ่งที่ตาไม่เห็น หูไม่ได้ยิน และไม่เคยได้เข้าไปในใจมนุษย์ คือสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมไว้สำหรับคนที่รักพระองค์'
โดยส่วนตัว ผมคิดว่าอาจเป็นเพราะว่า ต่อให้พระองค์อธิบายไป มนุษย์เราก็ไม่มีทางเข้าใจได้ครับ
เพราะเป็นสถานที่ๆ ไม่สามารถอธิบายออกมาด้วยคำพูด หรืออ้างอิงจากสิ่งของที่มีอยู่ในโลก
ผมเคยอ่านเจอในประสบการณ์หลังความตายของฝรั่งเช่นกันครับ เค้าบอกว่า เห็นสวนดอกไม้ที่เต็มไปด้วยสีสันหลากสี ซึ่งไม่เหมือนกับสีบนโลกเรา เป็นสีสันที่ไม่มีอยู่ในโลก! ประมาณว่าสวยงามเกินกว่าจะบรรยายออกมาได้
ที่ผมอ่านเจอเกี่ยวกับคำพยานของโปรเตสแตนท์ที่ตายแล้วฟื่น เค้าก็จะเห็นอะไรคล้าย ๆ กันตามแบบที่เค้าเชื่อ แล้วที่สำคัญ ก็มีหลายสิ่งที่ไม่เหมือนกับที่ทางคาทอลิกเชื่อ เช่น บอกว่าพระแม่มารีย์ก็เป็นเพียงชาวสวรรค์ธรรมดาคนหนึ่ง ไม่ได้เป็นราชินีสวรรค์ บ้างก็ว่าเห็นคนนิกายอื่น ๆ ที่ไม่ใช่นิกายที่เค้าอยู่ตกในนรกทั้งนั้น ฯลฯ จนผมรู้สึกว่าบางทีสิ่งที่เค้าเห็นอาจจะเป็นสิ่งที่เค้าคิดไปเอง หรือเชื่อมาก่อนหน้านี้ มันอาจจะเป็นการฝันแบบหนึ่งก็ได้ เพราะอย่างประสบการณ์ของคนตายแล้วฟื้นทางพุทธ ก็จะเห็นสิ่งที่ไม่เหมือนกับชาวคริสต์เห็น คือถ้าไปสวรรค์ก็จะเห็นเทวดาใส่ชฎา ฟ้อนรำ มีพระอินทร์ พระพรหม ถ้าลงไปในนรกก็มีพญายม ยมบาล ต้นงิ้ว กระทะทองแดง ฯลฯ
แต่ในทางนิกายคาทอลิกไม่ค่อยมีเรื่องพวกนี้เลย อาจจะมีบ้างก็เช่น นักบุญยอห์น บอสโก ได้ฝันเห็นนักบุญดอมินิกซาวีโอในสวรรค์ ท่ามกลางบรรดานักบุญใส่ชุดขาว มีผ้าสีทองคาดเอว เป็นต้น
แต่ในทางนิกายคาทอลิกไม่ค่อยมีเรื่องพวกนี้เลย อาจจะมีบ้างก็เช่น นักบุญยอห์น บอสโก ได้ฝันเห็นนักบุญดอมินิกซาวีโอในสวรรค์ ท่ามกลางบรรดานักบุญใส่ชุดขาว มีผ้าสีทองคาดเอว เป็นต้น
ที่ว่าเห็นไม่เหมือนกันนั้น มันขึ้นอยู่กับอุดมคติของสวรรค์และพื้นเพของคนเล่าด้วย
แต่อย่างไรเสียเราเชื่อมั่นในสวรรค์ที่พระองค์ประทานให้เราดีกว่า สวรรค์ที่ๆเราชอบที่ๆเราชอบก็อาจจะเป็นอย่างที่เราชอบ คนไทยชอบเทวดาใส่ลอมพอกก็เลยเห็นแบบนั้น พอเปลี่ยนมาเป็นคริสต์ก็อาจจะเห็นเทวดามีปีกไม่รัดเครื่องอย่างนางละครก็ได้มั้ง
อีกอย่าง ของอย่างเดียวกันบางคนว่าสวย บางคนว่าไม่สวย อย่างเช่นกระเป๋าถุยส์ติงต๊องสำหรับผมแล้วมันไม่สวยเอาเสียเลย ฉะนั้นสวรรค์คือที่ที่สวยงามที่พระเจ้าทรงยกให้เรา อยากให้สวยอย่างไหนก็ว่ากันตามรสนิยมแล้วกัน อย่างนั้นหรือเปล่าไม่ทราบ
แต่อย่างไรเสียเราเชื่อมั่นในสวรรค์ที่พระองค์ประทานให้เราดีกว่า สวรรค์ที่ๆเราชอบที่ๆเราชอบก็อาจจะเป็นอย่างที่เราชอบ คนไทยชอบเทวดาใส่ลอมพอกก็เลยเห็นแบบนั้น พอเปลี่ยนมาเป็นคริสต์ก็อาจจะเห็นเทวดามีปีกไม่รัดเครื่องอย่างนางละครก็ได้มั้ง
อีกอย่าง ของอย่างเดียวกันบางคนว่าสวย บางคนว่าไม่สวย อย่างเช่นกระเป๋าถุยส์ติงต๊องสำหรับผมแล้วมันไม่สวยเอาเสียเลย ฉะนั้นสวรรค์คือที่ที่สวยงามที่พระเจ้าทรงยกให้เรา อยากให้สวยอย่างไหนก็ว่ากันตามรสนิยมแล้วกัน อย่างนั้นหรือเปล่าไม่ทราบ
ผมว่าใน Internet เรื่องไหนจริง หรือไม่จริง เราไม่อาจรู้ได้ครับ บางเรื่องอาจถูกแต่งขึ้นมาก็ได้ครับ แต่เรื่องที่จริงแน่ๆ คือ พระแม่มารีย์คือราชินีแห่งสวรรค์ แน่นอนครับ เพราะพระแม่บอกเราเองAndreas เขียน:ที่ผมอ่านเจอเกี่ยวกับคำพยานของโปรเตสแตนท์ที่ตายแล้วฟื่น เค้าก็จะเห็นอะไรคล้าย ๆ กันตามแบบที่เค้าเชื่อ แล้วที่สำคัญ ก็มีหลายสิ่งที่ไม่เหมือนกับที่ทางคาทอลิกเชื่อ เช่น บอกว่าพระแม่มารีย์ก็เป็นเพียงชาวสวรรค์ธรรมดาคนหนึ่ง ไม่ได้เป็นราชินีสวรรค์ บ้างก็ว่าเห็นคนนิกายอื่น ๆ ที่ไม่ใช่นิกายที่เค้าอยู่ตกในนรกทั้งนั้น ฯลฯ จนผมรู้สึกว่าบางทีสิ่งที่เค้าเห็นอาจจะเป็นสิ่งที่เค้าคิดไปเอง หรือเชื่อมาก่อนหน้านี้ มันอาจจะเป็นการฝันแบบหนึ่งก็ได้ เพราะอย่างประสบการณ์ของคนตายแล้วฟื้นทางพุทธ ก็จะเห็นสิ่งที่ไม่เหมือนกับชาวคริสต์เห็น คือถ้าไปสวรรค์ก็จะเห็นเทวดาใส่ชฎา ฟ้อนรำ มีพระอินทร์ พระพรหม ถ้าลงไปในนรกก็มีพญายม ยมบาล ต้นงิ้ว กระทะทองแดง ฯลฯ
แต่ในทางนิกายคาทอลิกไม่ค่อยมีเรื่องพวกนี้เลย อาจจะมีบ้างก็เช่น นักบุญยอห์น บอสโก ได้ฝันเห็นนักบุญดอมินิกซาวีโอในสวรรค์ ท่ามกลางบรรดานักบุญใส่ชุดขาว มีผ้าสีทองคาดเอว เป็นต้น
แม่พระทรงประจักษ์ ที่โบแรง
...
วันอังคารที่ 3 มกราคม พระนางพรหมจารี ปรากฏมาต่อหน้าฝูงชนประมาณ 30,000 คน เป็นการประจักษ์ครั้งสุดท้ายเพื่ออำลาเด็ก และฝากความลับไว้แก่ยิลแบร์ต เดอแกมเบรอ, อัลแบรต์ วัวแซง และยิลแบร์ต วัวแซง ความลับ ซึ่งแม้ขณะนี้ ก็ยังมิได้มีการเปิดเผย แล้วพระนางตรัสกับยิลแบร์ต วัวแซงว่า "ฉันจะทำให้คนบาปกลับใจ ลาก่อนนะ!" และตรัสกับอังเดร เดอแกมเบรอว่า "ฉันคือ มารดาพระเจ้า, ราชินีแห่งสวรรค์, จงสวดภาวนาเสมอๆ ลาก่อนนะ!"
http://catholic.egat.co.th/people/borang.htm
ถ้าไม่เชื่อแม่ แล้วเราจะเชื่อใคร ใช่มั้ยครับ
ผมเองก็ไม่เคยอ่านเจอประสบการณ์ตายแล้วฟื้นของคาทอลิกเลยเหมือนกันครับ อาจเพราะขึ้นอยู่กับน้ำพระทัยของพระองค์ก็ได้ครับ (เหมือนอย่างคุณ สแตนเล่ย์ ไงครับ)
แต่ผมเชื่อว่า เพราะคาทอลิกเรามี ศีลมหาสนิท ทำให้คาทอลิกเราปรารถนาที่จะอยู่ชิดสนิทกับพระเจ้าบนสวรรค์กัน จนไม่มีใครอยากฟื้นกลับมาละมั้งครับ
- ~@Little lamb@~
- Defender of lawS
- โพสต์: 9396
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:00 pm
- ติดต่อ:
Cho เขียน:1 โครินทร์ 2:9
ดังที่มีเขียนไว้แล้วว่า `สิ่งที่ตาไม่เห็น หูไม่ได้ยิน และไม่เคยได้เข้าไปในใจมนุษย์ คือสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมไว้สำหรับคนที่รักพระองค์'
โดยส่วนตัว ผมคิดว่าอาจเป็นเพราะว่า ต่อให้พระองค์อธิบายไป มนุษย์เราก็ไม่มีทางเข้าใจได้ครับ
เพราะเป็นสถานที่ๆ ไม่สามารถอธิบายออกมาด้วยคำพูด หรืออ้างอิงจากสิ่งของที่มีอยู่ในโลก
เห็นด้วยค่ะ
-
- ~@
- โพสต์: 8259
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:56 pm
- ที่อยู่: Bangkok
อืมม์น่าคิด
ถ้ามาลองคิดตามหลักง่ายๆ
คนๆนึงบอก อยู่ท่ามกลางสาวๆคือการขึ้นสวรรค์
อีกคน อยู่ท่ามกลางหนังสือ คือการขึ้นสวรรค์
แบบที่มนุษย์ชอบพูดว่า "อู้วววว นี่มันสวรรค์ชัดๆ"
แค่ความคิดเรื่องสวรรค์ก็ต่างกันแล้ว ถ้าอธิบายให้เห็นแบบฉากๆ เราว่าคงจะมึน งง หมุนติ้วแล้วต้องมีคนร้องถาม "อ้าว สวรรค์ไม่มี (อะไรก็ว่าไป) เหรอ!?" อะไรแบบนี้ จริงมะคะ
คนๆนึงบอก อยู่ท่ามกลางสาวๆคือการขึ้นสวรรค์
อีกคน อยู่ท่ามกลางหนังสือ คือการขึ้นสวรรค์
แบบที่มนุษย์ชอบพูดว่า "อู้วววว นี่มันสวรรค์ชัดๆ"
แค่ความคิดเรื่องสวรรค์ก็ต่างกันแล้ว ถ้าอธิบายให้เห็นแบบฉากๆ เราว่าคงจะมึน งง หมุนติ้วแล้วต้องมีคนร้องถาม "อ้าว สวรรค์ไม่มี (อะไรก็ว่าไป) เหรอ!?" อะไรแบบนี้ จริงมะคะ
-
- ~@
- โพสต์: 8259
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:56 pm
- ที่อยู่: Bangkok
อยากให้สมาชิกบอร์ดเรามีประสบการณ์ตรงแล้วกลับมาเล่าให้ฟัง
ประสบการณ์แบบนี้ส่วนมากจะเกิดกับคริสเตียนมากกว่า ผมคิดว่าน้องเจี๊ยบมีคุณสมบัติเหมาะสมที่สุด เพราะเป็นโปรฯJeab Agape เขียน:อยากให้สมาชิกบอร์ดเรามีประสบการณ์ตรงแล้วกลับมาเล่าให้ฟัง
- Valkyrie Zero Number
- โพสต์: 2081
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ส.ค. 27, 2007 4:11 am
นั่นสิ ถือว่าดีกว่าเราเยอะAndreas เขียน:ประสบการณ์แบบนี้ส่วนมากจะเกิดกับคริสเตียนมากกว่า ผมคิดว่าน้องเจี๊ยบมีคุณสมบัติเหมาะสมที่สุด เพราะเป็นโปรฯJeab Agape เขียน:อยากให้สมาชิกบอร์ดเรามีประสบการณ์ตรงแล้วกลับมาเล่าให้ฟัง
เพราะเราคงไม่มีคุณสมบัติไปจนตายแหละ
เราคริสตชนคงต้องอ่านและรำพึงพระวาจานี้ ถึงจะเข้าใจว่าทำไมพระเยซูเจ้าทรงเล่าเกี่ยวกับพระอาณาจักรสวรรค์เป็นเรื่องอุปมา
บทอ่านจากพระวรสารโดยนักบุญมัทธิว มธ 13:10-17
เวลานั้น บรรดาศิษย์เข้ามาทูลถามพระเยซูเจ้าว่า “ทำไมพระองค์ตรัสแก่พวกเขาเป็นอุปมาเล่า” พระองค์ทรงตอบว่า “พระเจ้าประทานธรรมล้ำลึกเรื่องอาณาจักรสวรรค์ให้ท่านทั้งหลายรู้ แต่ไม่ได้ ประทานให้แก่ผู้อื่น เพราะผู้ที่มีมากจะได้รับมากขึ้นจนเหลือเฟือ ส่วนผู้ที่มีน้อย จะถูกริบสิ่งเล็กน้อยที่มีไปด้วย เพราะฉะนั้น เรากล่าวแก่คนเหล่านี้เป็นอุปมา ถึงพวกเขามองดูก็ไม่เห็น ถึงฟังก็ไม่ได้ยินและไม่เข้าใจ สำหรับคนเหล่านี้ คำทำนายของประกาศกอิสยาห์ก็เป็นความจริงที่ว่า
‘ท่านทั้งหลายจะฟังแล้วฟังเล่า แต่จะไม่เข้าใจ จะมองแล้วมองเล่า แต่จะไม่เห็น เพราะจิตใจของประชาชนนี้แข็งกระด้าง เขาทำหูทวนลม และปิดตาเสีย เพื่อไม่ต้องมอง ด้วยตา ไม่ต้องฟังด้วยหู จะได้ไม่เข้าใจ จะได้ไม่ต้องกลับใจ เราจะได้ไม่ต้องรักษาเขา’
ส่วนท่านทั้งหลาย ตาของท่านเป็นสุขที่มองเห็น หูของท่านเป็นสุขที่ได้ฟัง เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ประกาศกและผู้ชอบธรรมจำนวนมากปรารถนา จะเห็นสิ่งที่ท่านได้เห็นอยู่ แต่ก็ไม่ได้เห็น ปรารถนาจะได้ฟังสิ่งที่ท่านฟังอยู่ แต่ก็ไม่ได้ฟัง”
บทอ่านจากพระวรสารโดยนักบุญมัทธิว มธ 13:10-17
เวลานั้น บรรดาศิษย์เข้ามาทูลถามพระเยซูเจ้าว่า “ทำไมพระองค์ตรัสแก่พวกเขาเป็นอุปมาเล่า” พระองค์ทรงตอบว่า “พระเจ้าประทานธรรมล้ำลึกเรื่องอาณาจักรสวรรค์ให้ท่านทั้งหลายรู้ แต่ไม่ได้ ประทานให้แก่ผู้อื่น เพราะผู้ที่มีมากจะได้รับมากขึ้นจนเหลือเฟือ ส่วนผู้ที่มีน้อย จะถูกริบสิ่งเล็กน้อยที่มีไปด้วย เพราะฉะนั้น เรากล่าวแก่คนเหล่านี้เป็นอุปมา ถึงพวกเขามองดูก็ไม่เห็น ถึงฟังก็ไม่ได้ยินและไม่เข้าใจ สำหรับคนเหล่านี้ คำทำนายของประกาศกอิสยาห์ก็เป็นความจริงที่ว่า
‘ท่านทั้งหลายจะฟังแล้วฟังเล่า แต่จะไม่เข้าใจ จะมองแล้วมองเล่า แต่จะไม่เห็น เพราะจิตใจของประชาชนนี้แข็งกระด้าง เขาทำหูทวนลม และปิดตาเสีย เพื่อไม่ต้องมอง ด้วยตา ไม่ต้องฟังด้วยหู จะได้ไม่เข้าใจ จะได้ไม่ต้องกลับใจ เราจะได้ไม่ต้องรักษาเขา’
ส่วนท่านทั้งหลาย ตาของท่านเป็นสุขที่มองเห็น หูของท่านเป็นสุขที่ได้ฟัง เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ประกาศกและผู้ชอบธรรมจำนวนมากปรารถนา จะเห็นสิ่งที่ท่านได้เห็นอยู่ แต่ก็ไม่ได้เห็น ปรารถนาจะได้ฟังสิ่งที่ท่านฟังอยู่ แต่ก็ไม่ได้ฟัง”
- Valkyrie Zero Number
- โพสต์: 2081
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ส.ค. 27, 2007 4:11 am
อ่านตรงนี้ทีไรรู้สึกไม่เคยเข้าใจเลย เหมือนไม่ยุติธรรมยังไงไม่รู้Andreas เขียน:เราคริสตชนคงต้องอ่านและรำพึงพระวาจานี้ ถึงจะเข้าใจว่าทำไมพระเยซูเจ้าทรงเล่าเกี่ยวกับพระอาณาจักรสวรรค์เป็นเรื่องอุปมา
บทอ่านจากพระวรสารโดยนักบุญมัทธิว มธ 13:10-17
เวลานั้น บรรดาศิษย์เข้ามาทูลถามพระเยซูเจ้าว่า “ทำไมพระองค์ตรัสแก่พวกเขาเป็นอุปมาเล่า” พระองค์ทรงตอบว่า “พระเจ้าประทานธรรมล้ำลึกเรื่องอาณาจักรสวรรค์ให้ท่านทั้งหลายรู้ แต่ไม่ได้ ประทานให้แก่ผู้อื่น เพราะผู้ที่มีมากจะได้รับมากขึ้นจนเหลือเฟือ ส่วนผู้ที่มีน้อย จะถูกริบสิ่งเล็กน้อยที่มีไปด้วย เพราะฉะนั้น เรากล่าวแก่คนเหล่านี้เป็นอุปมา ถึงพวกเขามองดูก็ไม่เห็น ถึงฟังก็ไม่ได้ยินและไม่เข้าใจ สำหรับคนเหล่านี้ คำทำนายของประกาศกอิสยาห์ก็เป็นความจริงที่ว่า
คงหมายถึงคนแบบเราแหละ‘ท่านทั้งหลายจะฟังแล้วฟังเล่า แต่จะไม่เข้าใจ จะมองแล้วมองเล่า แต่จะไม่เห็น เพราะจิตใจของประชาชนนี้แข็งกระด้าง เขาทำหูทวนลม และปิดตาเสีย เพื่อไม่ต้องมอง ด้วยตา ไม่ต้องฟังด้วยหู จะได้ไม่เข้าใจ จะได้ไม่ต้องกลับใจ เราจะได้ไม่ต้องรักษาเขา’