คือ เพื่อนต่างศาสนา เขาถามหนูว่า ในพระธรรมเก่า(ไบเบิ้ล)ได้มีระบุไว้ประมาณว่า ห้ามกินหมู อะไร
ประมาณเนี่ยอ่ะค่ะ แต่ทำไมคนคริสต์ก็ยังกินได้อยู่
ตัวหนูเองก็ไม่ค่อยจะมีความรู้ทางศาสนาเท่าไร เลยไม่รู้จะอธิบายยังไงดีอ่ะค่ะ
หนูไม่รู้จะอธิบายยังไงดีอ่ะค่ะ ช่วยหนูด้วยนะค่ะ
เหมือนจะเคยอ่านผ่านๆอยู่นะ
ในพระธรรมเก่า ว่าห้ามกิน
สัตว์เท้ามีกลีบแต่ไม่เคี้ยวเอื้อง
ห้ามกินสัตว์น้ำที่ไม่มีเกล็ด
ยกอ้างนะครับ
ทางยิวน่ะ อาหารที่ อนุมัติให้กินได้เรียกว่า "โคเชอร์"
ไม่อนุมัติให้กินนั้นเรียกว่า "เทรฟาห์ " (สิ่งต้องห้าม)
อ่านะเท่าที่รู้ก็เห็นมีแต่ยิวนี่แหละ
ในพระธรรมเก่า ว่าห้ามกิน
สัตว์เท้ามีกลีบแต่ไม่เคี้ยวเอื้อง
ห้ามกินสัตว์น้ำที่ไม่มีเกล็ด
ยกอ้างนะครับ
ชาวยิวที่เคร่งครัดทั้งหลายก็ยังคงปฏิบัติเรื่องนี้อย่างเคร่งครัดในคัมภีร์ไบเบิ้ลเก่า บทเลวิกิโต11.7-8 ".. หมูเพราะมันเป็นสัตว์แยกกีบและมีกีบผ่าแต่ไม่เคี้ยวเอื้อง จึงเป็นสัตว์มลทินแก่เจ้าอย่ารับประทานเนื้อของสัตว์เหล่านี้เลย และเจ้าอย่าแตะต้องซากของมันมันเป็นมลทินแก่เจ้า "
ทางยิวน่ะ อาหารที่ อนุมัติให้กินได้เรียกว่า "โคเชอร์"
ไม่อนุมัติให้กินนั้นเรียกว่า "เทรฟาห์ " (สิ่งต้องห้าม)
อ่านะเท่าที่รู้ก็เห็นมีแต่ยิวนี่แหละ
- salvation7
- Defender of lawS
- โพสต์: 522
- ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ ต.ค. 31, 2010 1:05 am
- ติดต่อ:
พระคัมภีร์ ที่กล่าวไว้ ห้ามการบริโภคเนื้อหมูในหนังสือเลวีนิติ
"และหมูเพราะมันเป็นสัตว์แยกกีบและมีกีบผ่าแต่ไม่เคี้ยวเอื้อง จึงเป็นสัตว์มลทินแก่เจ้า อย่ารับประทานเนื้อของสัตว์เหล่านี้เลย และเจ้าอย่าแตะต้องซากของมัน มันเป็นของมลทินแก่เจ้า"[เลวีนิติ 11:7-8]
--------------------------------------
มธ 15:1-9 ขนบธรรมเนียมของชาวฟาริสี
15(1) เวลานั้น ชาวฟาริสีและธรรมาจารย์จากกรุงเยรูซาเล็มมาเฝ้าพระเยซูเจ้า ทูลถามว่า
(2) “ทำไมศิษย์ของท่านละเลยขนบธรรมเนียมของบรรพบุรุษเขาไม่ล้างมือเมื่อกินอาหาร (3) พระองค์ตรัสตอบว่า “แล้วท่านล่ะ ทำไมจึงละเมิดบทบัญญัติของพระเจ้าเพื่อปฏิบัติตามขนบธรรมเนียมของท่าน”
(4) เช่น พระเจ้าตรัสว่า ‘จงนับถือบิดามารดา’ และ ‘ใครสาปแช่งบิดามารดา ต้องมีโทษถึงตาย’
(5) แต่ท่านสอนว่า ‘ผู้ใดบอกบิดามารดาว่า สิ่งที่ลูกจะนำมาช่วยพ่อแม่ได้นั้น ลูกได้ถวายพระเสียแล้ว
(6) ผู้นั้นก็ไม่จำเป็นจะต้องช่วยเหลือบิดามารดาอีกต่อไป’ “ด้วยเหตุนี้ ท่านทั้งหลายทำให้พระวาจาของพระเจ้าเป็นโมฆะเพื่อปฏิบัติตามขนบธรรมเนียมของ ท่าน (7) คนหน้าซื่อใจคดเอ๋ย ประกาศกอิสยาห์ได้กล่าวไว้อย่างถูกต้องถึงท่านทั้งหลายว่า
(8) ประชาชนเหล่านี้ให้เกียรติเราแต่ปาก แต่ใจของเขาอยู่ห่างไกลจากเรา
(9) เขานมัสการเราอย่างไร้ความหมาย เขาสั่งสอนบัญญัติของมนุษย์เหมือนกับเป็นสัจธรรม
-------------------------
มธ 15:10-20 สิ่งที่บริสุทธิ์และสิ่งที่เป็นมลทิน
(10) พระเยซูเจ้าทรงเรียกประชาชนเข้ามา ตรัสว่า “จงฟังและเข้าใจเถิด
(11) สิ่งที่เข้าไปทางปากไม่ทำให้มนุษย์มีมลทิน แต่สิ่งที่ออกมาจากปากต่างหากทำให้มนุษย์มีมลทิน”
(12) บรรดาศิษย์จึงเข้ามาทูลถามพระองค์ว่า “พระองค์ทรงทราบหรือไม่ว่าพวกฟาริสีไม่พอใจเมื่อได้ยินคำนี้”
(13) พระองค์ทรงตอบว่า “ต้นไม้ทุกต้นที่พระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์มิได้ทรงปลูกไว้ จะถูกถอนทิ้งเสีย
(14) ปล่อยเขาเถิด เขาเป็นคนตาบอดที่นำทางคนตาบอดด้วยกัน ถ้าคนตาบอดนำทางคนตาบอด ทั้งสองคนก็จะตกลงไปในคู”
(15) เปโตรทูลพระองค์ว่า “โปรดอธิบายข้อความที่เป็นปริศนานี้เถิด”
(16) พระเยซูเจ้าทรงตอบว่า “ท่านก็ไม่เข้าใจด้วยหรือ
(17) ท่านไม่เข้าใจหรือว่าสิ่งต่าง ๆ ที่เข้าไปในปากย่อมลงไปในท้อง แล้วออกไปจากร่างกาย
(18) แต่สิ่งที่ออกมาจากปากนั้น ออกมาจากใจ สิ่งเหล่านี้แหละ ทำให้มนุษย์มีมลทิน
(19) ใจเป็นที่เกิดของความคิดชั่วร้าย การฆ่าคน การประพฤติผิดทางเพศ การผิดประเวณี การลักขโมย การเป็นพยานเท็จการใส่ร้าย
(20) การกระทำเหล่านี้ทำให้มนุษย์มีมลทิน ส่วนการกินโดยไม่ล้างมือ ไม่ทำให้มนุษย์มีมลทิน”
--------------------------------------------------------
พระธรรมเก่าคือบทบัญญัติเก่า ไม่สมบูรณ์แต่ต้องบันทึกไว้ ส่วนพระธรรมใหม่ จะเน้นเรื่อง ที่สำคัญ มากกว่าสิ่งเล็กน้อย.. เพราะว่าพระธรรมใหม่ มาเสริมให้สมบูรณ์ขึ้นมากกว่าเดิม สิ่งที่สำคัญมากที่สุด คือ ความรัก ส่วนบทบัญญัติ 10 ประการ พระเยซูเสริมให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น ที่เราควรปฏิบัติให้ได้ เพราะพระเจ้าไม่ได้บังคับเรา
แก่นที่สำคัญ คือ สิ่งที่เราดำเนินในชีวิตประจำ ทุกวินาที ทุกลมหายใจ ที่เรากระทำต่อบุคคลรอบข้าง (ไม่ว่าจะเป็น พ่อ แม่ พี่ น้อง เพื่อน มิตร ศัตรู ฯลฯ พูดง่าย ทุกสิ่งที่มีลมหายใจ) อันนี้สำคัญ ยิ่งกว่าอะไร
"และหมูเพราะมันเป็นสัตว์แยกกีบและมีกีบผ่าแต่ไม่เคี้ยวเอื้อง จึงเป็นสัตว์มลทินแก่เจ้า อย่ารับประทานเนื้อของสัตว์เหล่านี้เลย และเจ้าอย่าแตะต้องซากของมัน มันเป็นของมลทินแก่เจ้า"[เลวีนิติ 11:7-8]
--------------------------------------
มธ 15:1-9 ขนบธรรมเนียมของชาวฟาริสี
15(1) เวลานั้น ชาวฟาริสีและธรรมาจารย์จากกรุงเยรูซาเล็มมาเฝ้าพระเยซูเจ้า ทูลถามว่า
(2) “ทำไมศิษย์ของท่านละเลยขนบธรรมเนียมของบรรพบุรุษเขาไม่ล้างมือเมื่อกินอาหาร (3) พระองค์ตรัสตอบว่า “แล้วท่านล่ะ ทำไมจึงละเมิดบทบัญญัติของพระเจ้าเพื่อปฏิบัติตามขนบธรรมเนียมของท่าน”
(4) เช่น พระเจ้าตรัสว่า ‘จงนับถือบิดามารดา’ และ ‘ใครสาปแช่งบิดามารดา ต้องมีโทษถึงตาย’
(5) แต่ท่านสอนว่า ‘ผู้ใดบอกบิดามารดาว่า สิ่งที่ลูกจะนำมาช่วยพ่อแม่ได้นั้น ลูกได้ถวายพระเสียแล้ว
(6) ผู้นั้นก็ไม่จำเป็นจะต้องช่วยเหลือบิดามารดาอีกต่อไป’ “ด้วยเหตุนี้ ท่านทั้งหลายทำให้พระวาจาของพระเจ้าเป็นโมฆะเพื่อปฏิบัติตามขนบธรรมเนียมของ ท่าน (7) คนหน้าซื่อใจคดเอ๋ย ประกาศกอิสยาห์ได้กล่าวไว้อย่างถูกต้องถึงท่านทั้งหลายว่า
(8) ประชาชนเหล่านี้ให้เกียรติเราแต่ปาก แต่ใจของเขาอยู่ห่างไกลจากเรา
(9) เขานมัสการเราอย่างไร้ความหมาย เขาสั่งสอนบัญญัติของมนุษย์เหมือนกับเป็นสัจธรรม
-------------------------
มธ 15:10-20 สิ่งที่บริสุทธิ์และสิ่งที่เป็นมลทิน
(10) พระเยซูเจ้าทรงเรียกประชาชนเข้ามา ตรัสว่า “จงฟังและเข้าใจเถิด
(11) สิ่งที่เข้าไปทางปากไม่ทำให้มนุษย์มีมลทิน แต่สิ่งที่ออกมาจากปากต่างหากทำให้มนุษย์มีมลทิน”
(12) บรรดาศิษย์จึงเข้ามาทูลถามพระองค์ว่า “พระองค์ทรงทราบหรือไม่ว่าพวกฟาริสีไม่พอใจเมื่อได้ยินคำนี้”
(13) พระองค์ทรงตอบว่า “ต้นไม้ทุกต้นที่พระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์มิได้ทรงปลูกไว้ จะถูกถอนทิ้งเสีย
(14) ปล่อยเขาเถิด เขาเป็นคนตาบอดที่นำทางคนตาบอดด้วยกัน ถ้าคนตาบอดนำทางคนตาบอด ทั้งสองคนก็จะตกลงไปในคู”
(15) เปโตรทูลพระองค์ว่า “โปรดอธิบายข้อความที่เป็นปริศนานี้เถิด”
(16) พระเยซูเจ้าทรงตอบว่า “ท่านก็ไม่เข้าใจด้วยหรือ
(17) ท่านไม่เข้าใจหรือว่าสิ่งต่าง ๆ ที่เข้าไปในปากย่อมลงไปในท้อง แล้วออกไปจากร่างกาย
(18) แต่สิ่งที่ออกมาจากปากนั้น ออกมาจากใจ สิ่งเหล่านี้แหละ ทำให้มนุษย์มีมลทิน
(19) ใจเป็นที่เกิดของความคิดชั่วร้าย การฆ่าคน การประพฤติผิดทางเพศ การผิดประเวณี การลักขโมย การเป็นพยานเท็จการใส่ร้าย
(20) การกระทำเหล่านี้ทำให้มนุษย์มีมลทิน ส่วนการกินโดยไม่ล้างมือ ไม่ทำให้มนุษย์มีมลทิน”
--------------------------------------------------------
พระธรรมเก่าคือบทบัญญัติเก่า ไม่สมบูรณ์แต่ต้องบันทึกไว้ ส่วนพระธรรมใหม่ จะเน้นเรื่อง ที่สำคัญ มากกว่าสิ่งเล็กน้อย.. เพราะว่าพระธรรมใหม่ มาเสริมให้สมบูรณ์ขึ้นมากกว่าเดิม สิ่งที่สำคัญมากที่สุด คือ ความรัก ส่วนบทบัญญัติ 10 ประการ พระเยซูเสริมให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น ที่เราควรปฏิบัติให้ได้ เพราะพระเจ้าไม่ได้บังคับเรา
แก่นที่สำคัญ คือ สิ่งที่เราดำเนินในชีวิตประจำ ทุกวินาที ทุกลมหายใจ ที่เรากระทำต่อบุคคลรอบข้าง (ไม่ว่าจะเป็น พ่อ แม่ พี่ น้อง เพื่อน มิตร ศัตรู ฯลฯ พูดง่าย ทุกสิ่งที่มีลมหายใจ) อันนี้สำคัญ ยิ่งกว่าอะไร
การสังคยานาครั้งแรก เมื่อพระสันตะปาปาองค์แรกคือ น.เปโตร ได้ใช้สิทธิที่พระเยซูเจ้าประทานให้ในการผูกและแก้สิ่งต่างๆตามที่พระจิตเจ้าทรงนำ
กจ 15:5-7 ความขัดแย้งที่กรุงเยรูซาเล็ม
ผู้มีความเชื่อบางคนที่เคยอยู่ในกลุ่มชาวฟาริสีลุกขึ้นกล่าวว่า “ต้องให้คนต่างศาสนาเข้าสุหนัต และปฏิบัติตามธรรมบัญญัติของโมเสส” บรรดาอัครสาวกและผู้อาวุโสจึงประชุมกันเพื่อพิจารณาปัญหานี้ หลังจากโต้เถียงกันมากแล้ว เปโตรลุกขึ้นกล่าวแก่ที่ประชุม
กจ 15:8-12 คำปราศรัยของเปโตร
เปโตรกล่าวว่า “พี่น้องทั้งหลาย ท่านรู้แล้วว่า ตั้งแต่แรกเริ่ม พระเจ้าทรงเลือกสรรข้าพเจ้าในหมู่ท่านทั้งหลาย เพื่อให้คนต่างศาสนาได้ฟังพระวาจาที่เป็นข่าวดี จากปากของข้าพเจ้าและมีความเชื่อ พระเจ้าผู้ทรงล่วงรู้จิตใจ ทรงเป็นพยานยืนยันแก่คนต่างศาสนาโดยประทานพระจิตเจ้าให้เขาเหมือนกับที่ประทานให้พวกเรา พระองค์มิได้ทรงลำเอียง แต่ทรงชำระจิตใจของเขาให้บริสุทธิ์ด้วยความเชื่อ บัดนี้ ทำไมท่านทั้งหลายจึงทดลองพระเจ้า นำแอกที่ทั้งบรรพบุรุษของเราและพวกเราแบกไม่ไหวมาวางบนคอของบรรดาศิษย์ เราเชื่อว่าเราได้รับความรอดพ้นอาศัยพระหรรษทานของพระเยซู องค์พระผู้เป็นเจ้า เช่นเดียวกับคนต่างศาสนาด้วย” ทุกคนในที่ประชุมนิ่งเงียบ ฟังบารนาบัสกับเปาโลเล่าเรื่องเครื่องหมายอัศจรรย์และปาฏิหาริย์ที่พระเจ้าทรงกระทำในหมู่คนต่างศาสนาโดยผ่านตน
กจ 15:19
” ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงเห็นว่าไม่ควรก่อความยุ่งยากแก่คนต่างศาสนาที่กลับใจมาหาพระเจ้า ควรเขียนจดหมายไปบอกเขาให้งดเว้นการกินเนื้อสัตว์ที่ถวายแก่รูปเคารพแล้ว ให้งดเว้นการแต่งงานที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย และงดเว้นการกินเลือดและเนื้อสัตว์ที่ถูกรัดคอให้ตาย กฎเหล่านี้ของโมเสสเป็นที่รู้จักกันทั่วทุกเมืองตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว เพราะมีผู้ประกาศในศาลาธรรมทุกวันสับบาโต”
-------ในสมัยอัครสาวก เกิดปัญหาขึ้นว่า ผู้ที่เชื่อพระเยซูซึ่งเป็นชาวต่างชาติต่างศาสนามาก่อนมิใช่ยิว ต้องมาทำแบบยิวทุกอย่างไหม เช่นการเข้าสุหนัต หรือกินโน่นนี่ไม่ได้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ ทำให้คนไม่น้อยไม่กล้ามาเข้าคริสต์ หรือทนไม่ได้ หรือทำไม่ได้ เพราะพวกเขายังอยู่ในสังคมของตนเองไม่ได้เปลี่ยนสัญชาติแล้วย้ายบ้านมาอยู่ชุมชนยิวแต่อย่างใด เหล่าอัครสาวกประชุมกันเสร็จสรุปว่าคนที่ไม่ใช่ยิว ไม่ต้องถืออะไรนอกจาก3ข้อนั้น เรื่องห้ามกินสัตว์โน่นนี่จึงโดนยกเลิกไปโดยปริยาย ชาวคริสต์จึงกินสัตว์ต่างๆได้ และไม่ต้องเข้าสุหนัตด้วย
กจ 15:5-7 ความขัดแย้งที่กรุงเยรูซาเล็ม
ผู้มีความเชื่อบางคนที่เคยอยู่ในกลุ่มชาวฟาริสีลุกขึ้นกล่าวว่า “ต้องให้คนต่างศาสนาเข้าสุหนัต และปฏิบัติตามธรรมบัญญัติของโมเสส” บรรดาอัครสาวกและผู้อาวุโสจึงประชุมกันเพื่อพิจารณาปัญหานี้ หลังจากโต้เถียงกันมากแล้ว เปโตรลุกขึ้นกล่าวแก่ที่ประชุม
กจ 15:8-12 คำปราศรัยของเปโตร
เปโตรกล่าวว่า “พี่น้องทั้งหลาย ท่านรู้แล้วว่า ตั้งแต่แรกเริ่ม พระเจ้าทรงเลือกสรรข้าพเจ้าในหมู่ท่านทั้งหลาย เพื่อให้คนต่างศาสนาได้ฟังพระวาจาที่เป็นข่าวดี จากปากของข้าพเจ้าและมีความเชื่อ พระเจ้าผู้ทรงล่วงรู้จิตใจ ทรงเป็นพยานยืนยันแก่คนต่างศาสนาโดยประทานพระจิตเจ้าให้เขาเหมือนกับที่ประทานให้พวกเรา พระองค์มิได้ทรงลำเอียง แต่ทรงชำระจิตใจของเขาให้บริสุทธิ์ด้วยความเชื่อ บัดนี้ ทำไมท่านทั้งหลายจึงทดลองพระเจ้า นำแอกที่ทั้งบรรพบุรุษของเราและพวกเราแบกไม่ไหวมาวางบนคอของบรรดาศิษย์ เราเชื่อว่าเราได้รับความรอดพ้นอาศัยพระหรรษทานของพระเยซู องค์พระผู้เป็นเจ้า เช่นเดียวกับคนต่างศาสนาด้วย” ทุกคนในที่ประชุมนิ่งเงียบ ฟังบารนาบัสกับเปาโลเล่าเรื่องเครื่องหมายอัศจรรย์และปาฏิหาริย์ที่พระเจ้าทรงกระทำในหมู่คนต่างศาสนาโดยผ่านตน
กจ 15:19
” ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงเห็นว่าไม่ควรก่อความยุ่งยากแก่คนต่างศาสนาที่กลับใจมาหาพระเจ้า ควรเขียนจดหมายไปบอกเขาให้งดเว้นการกินเนื้อสัตว์ที่ถวายแก่รูปเคารพแล้ว ให้งดเว้นการแต่งงานที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย และงดเว้นการกินเลือดและเนื้อสัตว์ที่ถูกรัดคอให้ตาย กฎเหล่านี้ของโมเสสเป็นที่รู้จักกันทั่วทุกเมืองตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว เพราะมีผู้ประกาศในศาลาธรรมทุกวันสับบาโต”
-------ในสมัยอัครสาวก เกิดปัญหาขึ้นว่า ผู้ที่เชื่อพระเยซูซึ่งเป็นชาวต่างชาติต่างศาสนามาก่อนมิใช่ยิว ต้องมาทำแบบยิวทุกอย่างไหม เช่นการเข้าสุหนัต หรือกินโน่นนี่ไม่ได้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ ทำให้คนไม่น้อยไม่กล้ามาเข้าคริสต์ หรือทนไม่ได้ หรือทำไม่ได้ เพราะพวกเขายังอยู่ในสังคมของตนเองไม่ได้เปลี่ยนสัญชาติแล้วย้ายบ้านมาอยู่ชุมชนยิวแต่อย่างใด เหล่าอัครสาวกประชุมกันเสร็จสรุปว่าคนที่ไม่ใช่ยิว ไม่ต้องถืออะไรนอกจาก3ข้อนั้น เรื่องห้ามกินสัตว์โน่นนี่จึงโดนยกเลิกไปโดยปริยาย ชาวคริสต์จึงกินสัตว์ต่างๆได้ และไม่ต้องเข้าสุหนัตด้วย